นครราชสีมา-พ่อยืนยัน “น้องอร”เตรียมแขวนลูกเหล็กเลิกเล่นทีมชาติหลังประสบผลสำเร็จสูงสุดในชีวิตนักกีฬา เผยยินดีเข้ารับราชการทหารติดยศ “ร.ต.หญิง” กองทัพบก ประจำการที่กองทัพภาคที่ 2 บ้านเกิดโคราช พร้อมผันบทบาทสู่ผู้ฝึกสอนเต็มตัว เพื่อปั้นเยาวชนไทยสู่เวทีกีฬาโลก และตั้งใจนำเงินรางวัลเปิดมินิมาร์ทเป็นธุรกิจส่วนตัวตามฝัน
สำหรับความคืบหน้าของบรรยากาศการฉลองความสำเร็จของ “อุดมพร พลศักดิ์” หรือ “น้องอร” นักกีฬาน้ำหนักหญิงทีมชาติไทยชาวจังหวัดนครราชสีมาที่คว้าเหรียญทองการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 28 ที่ประเทศกรีซ เป็นเหรียญแรกให้กับประเทศไทยและชาวไทยทั้งชาติ รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 53 กิโลกรัมนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (16 ส.ค.) ที่บ้านเกิดของ “น้องอร” ในชุมชนมหาชัย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ยังคงมีการจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
โดยเทศบาลนครนครราชสีมา นำโดยนายเชิดชัย โชครัตนชัย นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ได้จัดงานเลี้ยงขนาดย่อมให้กับครอบครัวของ “น้องอร“และประชาชนในเขตชุมชนมหาชัยที่มาร่วมส่งแรงเชียร์ให้กับ“น้องอร“มาตั้งแต่ต้น ซึ่งได้ว่าจ้างวงดนตรีเพลงลูกทุ่งมาจัดแสดงให้ความบันเทิงบนเวที พร้อมจัดเลี้ยงอาหารชุดแก่ประชาชนเข้าร่วมกว่า 500 คน และได้มี ส.ส.นครราชสีมา พรรคชาติพัฒนา เช่น น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล, นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ตลอดจนนักการเมืองท้องถิ่น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสมาชิกสภาเทศบาลเข้าร่วมงานด้วย
ขณะที่นายบุญส่ง-นางศศิธร พลศักดิ์ พ่อและแม่ของ “น้องอร” และบรรดาญาติพี่น้องยังทำหน้าที่ต้อนรับแขกด้วยความสุขอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยติดต่อกันหลายวัน
ล่าสุด (17 ส.ค.) นายบุญส่ง เปิดเผยถึงอนาคตของ ”น้องอร” หลังกลับจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ว่า การคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดในชีวิตนักกีฬาของ “น้องอร” ซึ่งน้องอร คงจะตัดสินใจเลิกรับใช้ทีมชาติไทยในโอกาสนี้ด้วยเพราะตนคิดว่าลูกเหนื่อยมามากแล้ว และถือว่าการเดินทางมาถึงจุดนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จสูงที่สุดของนักกีฬาทุกคนใฝ่ฝัน
อีกทั้งเมื่อเลิกแข่งขันแล้ว “น้องอร” ยังสามารถสร้างคุณประโยชน์ทางด้านกีฬาให้กับประเทศชาติได้อีกมากไม่แตกต่างกันคือ การไปเป็นผู้ฝึกสอนเยาวชนนักกีฬารุ่นใหม่ให้ได้มีโอกาสขึ้นมารับใช้ชาติและก้าวสู่ระดับโลกต่อไป
“แต่อย่างไรก็ตามการตัดสินใจในเรื่องนี้ จะมีการหารือกับผู้ใหญ่ให้แน่ชัดอีกครั้ง” นายบุญส่ง กล่าว
สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบกออกมาระบุว่าพร้อมที่จะรับ “น้องอร” เข้ารับใช้ชาติในบทบาทของทหารนั้นตนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นความตั้งใจเดิมของพ่อแม่ และเป็นความใฝ่ฝันของ “น้องอร” ซึ่งหากเป็นไปได้อยากให้บรรจุทำงานอยู่ในสังกัดกองทัพภาคที่ 2 จังหวัดนครราชสีมาเพื่อจะได้อยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่น
นายบุญส่ง กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ “น้องอร” ยังมีความฝันส่วนตัวที่อยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง และแม่ก็เห็นพ้องด้วยอย่างยิ่งมานานคือ การทำธุรกิจร้านมินิมาร์ท ซึ่งเชื่อว่าการกลับมาครั้งนี้ลูกสาวคงจะนำเงินรางวัลส่วนหนึ่งมาดำเนินกิจการดังกล่าวตามความฝันของตัวเองอย่างแน่นอน
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายรวมทั้ง พระเทพวิทยา หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เป็นห่วง เรื่องการใช้จ่ายเงินรางวัลที่จะได้จากการแข่งขันครั้งนี้มาเป็นจำนวนมากนั้น นายบุญส่ง กล่าวอย่างเชื่อมั่นต่อลูกสาวว่า “น้องอร” เป็นคนมัธยัสถ์ รู้จักอดออม และใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวังและมีเหตุผล อันเป็นนิสัยส่วนตัวของ “น้องอร” มาตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันอยู่แล้ว
ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อได้เงินรางวัลจากการแข่งขันต่างๆ มักจะให้พ่อแม่เป็นคนเก็บออมให้ ฉะนั้นจึงเชื่อมั่นว่าเงินรางวัลหรือทรัพย์สินต่างๆ ที่จะได้จากการแข่งขันครั้งนี้ก็คงจะไม่ใช้จ่ายสิ้นเปลืองสูญเปล่า หรือมีปัญหาอะไรและครอบครัวของตนก็ยังจะใช้ชีวิตธรรมดาเหมือนเดิมต่อไป ซึ่งตนก็จะยังคงทำธุรกิจขายส่งน้ำแข็งเหมือนเดิมแต่อาจจะมีการพัฒนานำเชื่อเสียงของ “น้องอร” มาปรับปรุงเป็นตรายี่ห้อน้ำแข็งที่ครอบครัวตนจำหน่ายอยู่ก็เป็นได้
ขณะที่นางศศิธร แม่ของ “น้องอร” กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจาก “น้องอร” หลังการแข่งขันคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเป็นครั้งแรก เมื่อช่วงค่ำ ( 16 ส.ค.) ที่ผ่านมา โดยน้องอร บอกว่า อยากให้พ่อและแม่เดินทางไปรับถึงกรุงเอเธนส์ประเทศกรีซ ซึ่งได้บอกเขาไปว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการให้ของการบินไทย และสมาคมกีฬายกน้ำหนักแห่งประเทศไทย
อีกทั้งน้องอร ยังได้บอกให้ตนแลกเงินสกุลยูโรจำนวน 600 ยูโร หรือประมาณ 30,000 บาทจากเมืองไทยไปให้ด้วย เพราะที่นั้นอัตราแลกเปลี่ยนแพงกว่าเมืองไทย แต่สำหรับอาหารท้องถิ่นที่ “น้องอร” ชื่นชอบนั้นไม่ต้องเอามาก็ได้เนื่องจากที่กรีซหารับประทานได้โดยง่ายไม่ต่างจากเมืองไทยนัก