ศูนย์ข่าวเชียงใหม่-สรุปผลรับซื้อลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือได้ปริมาณกว่า 88,000 ตันแล้วมูลค่ากว่า 905 ล้านบาท คาดอีก 2 สัปดาห์ผลผลิตทะลักสู่ตลาด เตรียมเพิ่มปริมาณการรับซื้อแต่ละจุดเป็นวันละ 35 ตัน ส่วนผลกระทบก๊าซที่ใช้อบแห้งลำไยขึ้นราคา ล่าสุด อ.ต.ก.ลงนามจัดหาก๊าซราคาถูกกว่าท้องตลาดมาให้วันละ 180 ตัน ขณะเดียวกันมุ่งส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพในการแปรรูป
นายเกรียงไกร คะนองเดชชาติ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขปัญหาลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยสรุปผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาลำไยว่า จนถึงขณะนี้ อ.ต.ก.ได้ทำการเปิดหน่วยรับซื้อลำไยสดแล้วทั้งสิ้น 231 หน่วย สามารถรับซื้อลำไยสดได้ประมาณ 88,321,044 กิโลกรัม หรือประมาณกว่า 88,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 905,694,145 บาท
ทั้งนี้ คาดว่าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าจะเป็นช่วงที่มีลำไยออกสู่ตลาดมากที่สุด ดังนั้น จึงได้มีการเตรียมการที่จะเพิ่มปริมาณการรับซื้อลำไยของแต่ละหน่วยรับซื้อจากเดิมเฉลี่ยวันละประมาณ 30 ตัน เป็น 35 ตัน เพื่อให้เพียงพอรองรับปริมาณผลผลิตลำไย
สำหรับการมาตรวจติดตามผลการรับซื้อลำไยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ได้มีการกำชับสั่งการให้เพิ่มจุดรับซื้อให้เพียงพอกับปริมาณผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด ด้วยการสั่งการให้จัดหาเตาอบลำไยเพิ่มอีกจำนวน 3,000 เตา จากเดิมที่มีอยู่แล้วกว่า 9,000 เตา ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ อ.ต.ก.ลงนามในบันทึกข้อตกลงการจัดหาก๊าซหุงต้มเป็นเงินเชื่อกับ ปตท.และยูนิกแก๊สเพื่อนำมาใช้กับเครื่องอบลำไยของเกษตรกรในราคาถังขนาด 48 กิโลกรัมถังละ 730 บาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มจ่ายก๊าซได้ในเร็วๆ นี้วันละ 180 ตัน
ขณะที่การเพิ่มประสิทธิภาพการแปรรูปลำไยนั้น ได้มีแนวทางด้วยการส่งเสริมให้ใช้เตาอบลำไยแบบไอน้ำที่จะมีต้นทุนต่ำกว่าการอบแบบกระบะประมาณร้อยละ 50 และมีคุณภาพดีกว่า ซึ่งในเรื่องนี้ทางธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พร้อมที่จะให้การสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อเป็นค่าก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์แก่ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร
โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 6 ระยะเวลา 5-8 ปี ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เป็นผู้รับผิดชอบเตาดังกล่าวจัดทำรายละเอียดเผยแพร่แก่เกษตรกรแล้ว
นายเกรียงไกร คะนองเดชชาติ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขปัญหาลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยสรุปผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาลำไยว่า จนถึงขณะนี้ อ.ต.ก.ได้ทำการเปิดหน่วยรับซื้อลำไยสดแล้วทั้งสิ้น 231 หน่วย สามารถรับซื้อลำไยสดได้ประมาณ 88,321,044 กิโลกรัม หรือประมาณกว่า 88,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 905,694,145 บาท
ทั้งนี้ คาดว่าในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าจะเป็นช่วงที่มีลำไยออกสู่ตลาดมากที่สุด ดังนั้น จึงได้มีการเตรียมการที่จะเพิ่มปริมาณการรับซื้อลำไยของแต่ละหน่วยรับซื้อจากเดิมเฉลี่ยวันละประมาณ 30 ตัน เป็น 35 ตัน เพื่อให้เพียงพอรองรับปริมาณผลผลิตลำไย
สำหรับการมาตรวจติดตามผลการรับซื้อลำไยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ได้มีการกำชับสั่งการให้เพิ่มจุดรับซื้อให้เพียงพอกับปริมาณผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด ด้วยการสั่งการให้จัดหาเตาอบลำไยเพิ่มอีกจำนวน 3,000 เตา จากเดิมที่มีอยู่แล้วกว่า 9,000 เตา ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ อ.ต.ก.ลงนามในบันทึกข้อตกลงการจัดหาก๊าซหุงต้มเป็นเงินเชื่อกับ ปตท.และยูนิกแก๊สเพื่อนำมาใช้กับเครื่องอบลำไยของเกษตรกรในราคาถังขนาด 48 กิโลกรัมถังละ 730 บาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มจ่ายก๊าซได้ในเร็วๆ นี้วันละ 180 ตัน
ขณะที่การเพิ่มประสิทธิภาพการแปรรูปลำไยนั้น ได้มีแนวทางด้วยการส่งเสริมให้ใช้เตาอบลำไยแบบไอน้ำที่จะมีต้นทุนต่ำกว่าการอบแบบกระบะประมาณร้อยละ 50 และมีคุณภาพดีกว่า ซึ่งในเรื่องนี้ทางธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พร้อมที่จะให้การสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อเป็นค่าก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์แก่ผู้ประกอบการและสถาบันเกษตรกร
โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 6 ระยะเวลา 5-8 ปี ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เป็นผู้รับผิดชอบเตาดังกล่าวจัดทำรายละเอียดเผยแพร่แก่เกษตรกรแล้ว