อุบลราชธานี -เทศกิจเทศบาลนครอุบลฯระอาช้างเร่ร่อนเกลื่อนเมือง ตักเตือนแล้วไม่ฟัง ด้านคนเลี้ยงช้างครวญรัฐช่วยเหลือไม่เคยตกมาถึงช้างเลย
นายสมฤทธิ์ ชาญจิต รักษาการหัวหน้างานเทศกิจ เทศบาลนครอุบลราชธานี กล่าวถึงปัญหาของช้างเร่ร่อนในจังหวัดอุบลราชธานีว่า ขณะนี้ไม่ได้มีกฎหมายที่เข้ามาดูแลเข้มงวดกฎหมายที่มาดูแลก็แค่ปรับไม่เกิน 500 บาท ระเบียบก็คือการห้ามนำสัตว์ปล่อย หรือจูงไปตามท้องถนน ทางเทศบาลฯกับตำรวจก็คอยดูแลอยู่เรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเรียกมาตักเตือน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เคยมีปัญหาช้างเหยียบฝาท่อแล้วตกท่อ ขาหัก เทศบาลฯต้องส่งไปรักษาที่กรุงเทพฯ ต้องจ่ายค่ารักษาไปเกือบ 1 แสนบาท ซึ่งเป็นภาระที่หนักมาก
นายสมฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้เทศบาลฯได้สำรวจจำนวนช้างเร่ร่อนที่เข้ามาเร่ร่อนในอำเภอเมืองอุบลราชธานี จัดสำรวจเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2547 ที่ผ่านมา มีทั้งหมด 7 เชือก มีเจ้าของ 5 คน ส่วนใหญ่มีถิ่นฐานมาจากจังหวัดสุรินทร์และหนองคาย โดยในจังหวัดอุบลราชธานีมี 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่อาศัยอยู่หลังสนามบินนานาชาติ และกลุ่มที่อาศัยอยู่ที่ เส้นรอบเมืองตลาดทรัพย์คูณดี ตรงข้ามนามกอล์ฟ โรงเรียนเบญจมะมหาราช
สำหรับทางเทศบาลนครอุบลราชธานีก็มีมาตรการจัดการในเรื่องของช้างเร่ร่อน ตามกฎหมาย ก็คือ การห้ามปล่อยสัตว์ จูงสัตว์ ไปตามท้องถนน มีโทษปรับไม่เกิน 500-600 บาทซึ่งโทษก็ไม่ได้หนักหนาอะไร หากจะจับมาขังก็จะต้องเสียงบประมาการเลี้ยงดูช้างอีก จึงทำได้แค่การตักเตือนและปรับเท่านั้น
ทางด้านนายพัด มุทุสาหิม ควาญช้าง ซึ่งพาช้างเดินทางมาทำมาหากินในจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า ตนทำอาชีพเลี้ยงช้างมานานแล้ว พื้นเพเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ โดยที่ตอนที่อยู่จังหวัดสุรินทร์ก็ไม่ค่อยอะไรเลี้ยงช้าง หญ้าไม่ค่อยมี รายได้ก็ไม่ค่อยดี ซึ่งถ้าเข้าไปในปางช้างก็จะต้องมีเส้นมีสายถึงจะเข้าไปอยู่ได้ พวกนายทุนเขามีที่ก็ปลูกหญ้าไว้ให้ช้างในปางเขากิน
ดังนั้นจึงออกมาเร่ร่อน ที่เข้ามาเร่ร่อนในเมืองก็เพราะหญ้าในเมืองเป็นหญ้าที่ไม่ได้ฉีดพ่นสารเคมีของเกษตรกร ถ้าออกไปเส้นนอกเมืองก็ไม่มีที่หารายได้ อีกทั้งกลัวช้างจะไปกินหญ้าที่มีสารพิษอีกด้วย
โดยช้างแต่ละตัวจะกินอ้อยและแตงตัวละ 250 กิโลกรัม และถ้าไม่พอก็ต้องเอาหญ้าให้กิน การเดิน ทางไปหาผู้ใจบุญก็เดินทางไปเรื่อยๆ ตามร้านอาหารบ้าง ร้านเนื้อย่างบ้าง รายได้ก็วันละ 4-5 ร้อยบาท หากช้างป่วยก็ต้องหาทางขนย้ายช้าง กลับไปที่โรงพยาบาลช้างจังหวัดสุรินทร์ สิ่งที่อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือก็คือ จัดให้ช้างและควาญช้างอยู่เป็นที่เป็นทาง มีรายได้ต่อเดือน เพราะควาญช้างก็ต้องมีครอบครัวหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ซึ่งที่เคยบอกว่าจะช่วยเหลือก็ได้ยินแต่ไม่เคยตกลงมาถึงช้างเลย
ชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนใกล้เคียงเปิดเผยกับทีมข่าวว่า เส้นทางที่ช้างเดินทางผ่านนั้นทำให้ทางเป็นเลน เดินทางไม่ค่อยสะดวก เพราะจะต้องลงไปเอาน้ำที่แม่น้ำมูลน้อยขึ้นมาใช้ แต่ทางเป็นเลนเลยเดินทางลงไปเอาน้ำลำบาก ซึ่งช้างมักจะย่ำจนเป็นเลน ตอนแรกที่มาอยู่ก็นึกว่าจะอยู่ไม่นานแต่ตอนนี้อยู่ 2 เดือนแล้ว เคยมีเทศกิจมาบอกให้ออกไปแต่ก็ยังเฉย อยากให้ทางเทศบาลเข้ามาดูแลตรงจุดนี้ด้วย ปัญหาดังกล่าวยังต้องรอการแก้ไขจากทุกฝ่าย แม้ว่าจะเป็นปัญหาที่มีมานานแต่ถ้ามีความจริงจังในการแก้ไขก็จะสำเร็จได้
นายสมฤทธิ์ ชาญจิต รักษาการหัวหน้างานเทศกิจ เทศบาลนครอุบลราชธานี กล่าวถึงปัญหาของช้างเร่ร่อนในจังหวัดอุบลราชธานีว่า ขณะนี้ไม่ได้มีกฎหมายที่เข้ามาดูแลเข้มงวดกฎหมายที่มาดูแลก็แค่ปรับไม่เกิน 500 บาท ระเบียบก็คือการห้ามนำสัตว์ปล่อย หรือจูงไปตามท้องถนน ทางเทศบาลฯกับตำรวจก็คอยดูแลอยู่เรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเรียกมาตักเตือน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เคยมีปัญหาช้างเหยียบฝาท่อแล้วตกท่อ ขาหัก เทศบาลฯต้องส่งไปรักษาที่กรุงเทพฯ ต้องจ่ายค่ารักษาไปเกือบ 1 แสนบาท ซึ่งเป็นภาระที่หนักมาก
นายสมฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้เทศบาลฯได้สำรวจจำนวนช้างเร่ร่อนที่เข้ามาเร่ร่อนในอำเภอเมืองอุบลราชธานี จัดสำรวจเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2547 ที่ผ่านมา มีทั้งหมด 7 เชือก มีเจ้าของ 5 คน ส่วนใหญ่มีถิ่นฐานมาจากจังหวัดสุรินทร์และหนองคาย โดยในจังหวัดอุบลราชธานีมี 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่อาศัยอยู่หลังสนามบินนานาชาติ และกลุ่มที่อาศัยอยู่ที่ เส้นรอบเมืองตลาดทรัพย์คูณดี ตรงข้ามนามกอล์ฟ โรงเรียนเบญจมะมหาราช
สำหรับทางเทศบาลนครอุบลราชธานีก็มีมาตรการจัดการในเรื่องของช้างเร่ร่อน ตามกฎหมาย ก็คือ การห้ามปล่อยสัตว์ จูงสัตว์ ไปตามท้องถนน มีโทษปรับไม่เกิน 500-600 บาทซึ่งโทษก็ไม่ได้หนักหนาอะไร หากจะจับมาขังก็จะต้องเสียงบประมาการเลี้ยงดูช้างอีก จึงทำได้แค่การตักเตือนและปรับเท่านั้น
ทางด้านนายพัด มุทุสาหิม ควาญช้าง ซึ่งพาช้างเดินทางมาทำมาหากินในจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า ตนทำอาชีพเลี้ยงช้างมานานแล้ว พื้นเพเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ โดยที่ตอนที่อยู่จังหวัดสุรินทร์ก็ไม่ค่อยอะไรเลี้ยงช้าง หญ้าไม่ค่อยมี รายได้ก็ไม่ค่อยดี ซึ่งถ้าเข้าไปในปางช้างก็จะต้องมีเส้นมีสายถึงจะเข้าไปอยู่ได้ พวกนายทุนเขามีที่ก็ปลูกหญ้าไว้ให้ช้างในปางเขากิน
ดังนั้นจึงออกมาเร่ร่อน ที่เข้ามาเร่ร่อนในเมืองก็เพราะหญ้าในเมืองเป็นหญ้าที่ไม่ได้ฉีดพ่นสารเคมีของเกษตรกร ถ้าออกไปเส้นนอกเมืองก็ไม่มีที่หารายได้ อีกทั้งกลัวช้างจะไปกินหญ้าที่มีสารพิษอีกด้วย
โดยช้างแต่ละตัวจะกินอ้อยและแตงตัวละ 250 กิโลกรัม และถ้าไม่พอก็ต้องเอาหญ้าให้กิน การเดิน ทางไปหาผู้ใจบุญก็เดินทางไปเรื่อยๆ ตามร้านอาหารบ้าง ร้านเนื้อย่างบ้าง รายได้ก็วันละ 4-5 ร้อยบาท หากช้างป่วยก็ต้องหาทางขนย้ายช้าง กลับไปที่โรงพยาบาลช้างจังหวัดสุรินทร์ สิ่งที่อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือก็คือ จัดให้ช้างและควาญช้างอยู่เป็นที่เป็นทาง มีรายได้ต่อเดือน เพราะควาญช้างก็ต้องมีครอบครัวหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ซึ่งที่เคยบอกว่าจะช่วยเหลือก็ได้ยินแต่ไม่เคยตกลงมาถึงช้างเลย
ชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนใกล้เคียงเปิดเผยกับทีมข่าวว่า เส้นทางที่ช้างเดินทางผ่านนั้นทำให้ทางเป็นเลน เดินทางไม่ค่อยสะดวก เพราะจะต้องลงไปเอาน้ำที่แม่น้ำมูลน้อยขึ้นมาใช้ แต่ทางเป็นเลนเลยเดินทางลงไปเอาน้ำลำบาก ซึ่งช้างมักจะย่ำจนเป็นเลน ตอนแรกที่มาอยู่ก็นึกว่าจะอยู่ไม่นานแต่ตอนนี้อยู่ 2 เดือนแล้ว เคยมีเทศกิจมาบอกให้ออกไปแต่ก็ยังเฉย อยากให้ทางเทศบาลเข้ามาดูแลตรงจุดนี้ด้วย ปัญหาดังกล่าวยังต้องรอการแก้ไขจากทุกฝ่าย แม้ว่าจะเป็นปัญหาที่มีมานานแต่ถ้ามีความจริงจังในการแก้ไขก็จะสำเร็จได้