ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย จากเด็กบ้านนอกติดลบ ผู้ผ่านมาหลากหลายบทบาท ทั้งงานสิ่งพิมพ์-นักแข่งรถ ใช้ความกล้าลุยฝัน จนมาสู่เจ้าของอาณาจักร “มอเตอร์โชว์” พางานมหกรรมยานยนต์ไทยยิ่งใหญ่ระดับโลก!!
*** ประสบการณ์โชกโชน “นักหนังสือพิมพ์-นักแข่งรถ” ***
ทุกคนลองจินตนาการตัวเองในวัย 80+ ดูว่าตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่
บางคนอาจจะเลี้ยงหลาน บางคนอาจจะใช้ชีวิตไปตามประสา หรือบางคนอาจจะโรยราไปก่อนหน้าแล้วด้วยซ้ำ
แต่สำหรับ “ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้สร้างงาน “มอเตอร์โชว์” งานมหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย จนโด่งดังถึงระดับโลก
วันนี้ชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึง 82 ปี ก็ยังไม่หยุดทำงาน แถมยังดูกระฉับกระเฉง จนคนหนุ่มสาวยังอาย
แต่กว่าที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่าย เส้นทางชีวิตของชายคนนี้ ผ่านเรื่องราวสุดเข้มข้นมามากมาย ก่อนที่จะมาเป็นตัวพ่อในวงการยานยนต์ ความเป็นมาจะเป็นยังไงนั้น ติดตามได้ในบรรทัดต่อจากนี้
“ผมเกิดที่ จ.ปราจีนบุรี เลยใช้ชื่อปราจิน เกิดยังไม่ได้ขวบเลย พ่อก็ย้ายมาอยู่อยุธยา เรียนอยู่ที่อยุธยา สมัยก่อนผมเรียนเร็ว
ตอนนั้นมีอุเทนถวาย ช่างกล เพาะช่าง ไม่รู้จะไปไหน ชอบงานขีดๆ เขียนๆ ก็เลยไปเข้าเพาะช่าง อายุ 15 เพาะช่างเรียน 5 ปี อายุ 19 ก็มาทำงานเขียนรูปไปเรื่อย แล้วก็สัญจรไปกับเพื่อนๆ ก็คือทำสไตล์ปกหนังสือ ทำอะไรพวกนี้
พอดีเขามีการแข่งขันรถจักรยานยนต์ ที่ จ.นครสวรรค์ ไปทำสูจิบัตรให้เขา คนก็สนใจหนังสือที่เราแจก เพื่อนมีโรงพิมพ์ ก็เลยบอกงั้นเราว่างๆ มาทำหนังสือขาย ทำหนังสือชื่อ Sport Speed World หนังสือรถยนต์เล่มแรก
เราก็อาศัยแปลข่าวสาร เมื่อก่อนปีนึงจะมีแข่งรถสักครั้งสองครั้ง ตามงานต่างจังหวัด อย่าง จันทบุรี ระยอง เพชรบุรี นครสวรรค์ อะไรพวกนี้ ที่แข่งรถมอเตอร์ไซต์สมัยก่อน เราก็ไปทำข่าวแข่งอยู่
ทำไปนานๆ เข้า มันไม่มีข่าวสาร แข่งมีน้อย เราจะแปลหนังสือต่างประเทศมา คนก็ไม่ค่อยติด ก็เลยมาเป็นโปรโมเตอร์จัดแข่งรถ (หัวเราะ) เพราะเรามีเวทีอยู่แล้วก็คือหนังสือ ก็เลยต้องจัดแข่งรถ เพื่อเอาตัวละครขึ้นมา
ดังมากตอนนั้น มีการแข่งขัน จัดแข่งอยู่หลายปีเหมือนกัน เราก็ไปเช่าสนามบิน บน.2 ที่ลพบุรี เพราะสนามบินพื้นมันเรียบ มันกว้าง สนามแข่งรถทั่วโลกมันก็เริ่มจากสนามบินหมด เราก็เลียนแบบเขา”
[ จัดการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ ]
บอกเลยว่านี่ไม่ใช่คนทำหนังสือธรรมดา แต่เขายังเป็นผู้จัดการแข่งขันรถ ไปจนถึงการก้าวลงสนาม นั่งหลังพวงมาลัยเป็นนักแข่งเอง จนคว้าชัยและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอีกด้วย
“ตอนนั้นเราไปแข่งรถแรลลี่ของ First Asian Highway Motor Rally จากลาวมาเมืองไทย แล้วก็ไปมาเลฯ สิงคโปร์ 2,900 กว่ากิโล มีรถมาทั่วโลก 180 กว่าคัน เราก็ไปลงแข่งด้วย คนไทยแข่งประมาณสัก 80 คันได้ พอไปถึงสิงคโปร์ปุ๊บ ผมแข่งชนะที่ 1 ในรุ่น 1,300 cc แล้วก็ที่ 2 overall ตั้งแต่นั้นก็เลยมีชื่อเสียง
เราดูหนังสือ หนังสือต่างประเทศมีกฎกติกาในการแข่งแรลลี่ เราแปลมา เราก็มีความรู้ มันเป็นเรื่องของเทคนิคในการแข่ง เราเลยได้เปรียบตรงนี้
เขาจับเวลาเป็นช่วงๆ ไม่ใช่ขับเร็วนะ ถ้าเราขับเร็ว ไปถึงก่อนนี่ตัดคะแนน ขับเป็นช่วง เราต้องรักษาเวลา เขากลัวอุบัติเหตุ พอดีเรามีความรู้เรื่องนี้เพราะเราแปลมา เราก็เลยชนะ
มีชื่อเสียงก็ตื่นเต้นดี สติ๊กเกอร์ยังติดอยู่ ผมไม่ลอกเป็นปี (หัวเราะ) ขับวนจนคนในประเทศไทยรู้จักหมด ก็เลยเอาชื่อเสียงตรงนี้มาทำหนังสือ กรังด์ปรีซ์ แล้วก็ลุยมาตลอด”
[ คว้าชัยในรายการ First Asian Highway Motor Rally ]
เจ้าพ่อมอเตอร์โชว์วัย 82 ปีบอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนมาจากความกล้าที่มีในตัวอย่างเต็มเปี่ยม
“ผมค่อนข้างจะเป็นคนกล้า เพราะว่าอะไร เราดูหนังกลางแปลงสมัยก่อน พระเอกมาตอนแรกไม่มีอะไร จ๊นจน พอจะจบปุ๊บ พระเอกมันเก่ง มันชนะหมดเลย เสร็จแล้วมันก็ได้นางเอกไปครอบครอง
เราดู เราก็ เอ… คนเก่งมันก็ดีนะ เราจะต้องเป็นคนเก่ง หลังจากนั้นมา ผมต้องเป็นผู้นำ ผมต้องเป็นคนเก่งตลอด ไม่เคยกลัวอะไร เราก็ดูจากภาพยนตร์ และเราก็มีกำลังใจว่าทุกคนจะชอบคนกล้า พอคนกล้า ทุกคนก็สนับสนุน
ผมไม่ได้เรียนต่างประเทศนะ ผมทำงานในเมืองไทย แต่เวลาผมทำงานอะไร ทำสนามแข่ง จัดแข่งรถ นักเรียนนอกมาอยู่กับผมหมดเลย เพราะเขาอยากเห็นประเทศไทยมีสนามแข่งรถ มีการแข่งรถ มีอะไรเหมือนประเทศที่เขาเจริญแล้ว
แล้วเราก็กล้าดีเดือด พอเราคิดทำขึ้นมา พวกนี้มาช่วยผมหมด ให้ยืมตังค์ด้วย ลงทุนร่วมด้วย มาจัดงานมอเตอร์โชว์ มาทำอะไร เขามาช่วยเราหมด เขาก็สนับสนุนเราตลอด เราก็มีกำลังใจ”
*** ทุ่มค่อนชีวิตกับ “มอเตอร์โชว์” ***
จากความชื่นชอบด้านยานยนต์เป็นทุนเดิม บวกกับการได้เห็นงานแสดงยนตรกรรมในต่างแดน ทำให้ ดร.ปราจิน เลือกที่จะไปกันต่อกับความท้าทาย ด้วยการเป็นผู้จัดงาน “มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 1” ระหว่างวันที่ 2 – 6 เม.ย. 2522 ภายใต้ชื่อ MOTOR SHOW ‘79
โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระราชอิสริยยศในเวลานั้น) เสด็จเปิดงาน ณ ลุมพินีสถาน มีประชาชนสนใจเข้าชมงานรวมกว่า 380,000 คน ซึ่งรายได้จากบัตรผ่านประตูราคา 3 บาท ได้มอบให้มูลนิธิดวงประทีป
[ งานมอเตอร์โชว์ครั้งแรกของไทย ]
“ผมเป็นคนอ่านหนังสือเยอะ ต่างประเทศทำอะไร ผมจะทำหมด เขามีสนามแข่งรถ เราก็ทำตามเขา เขามีมอเตอร์โชว์ เราก็ทำตามเขา เพื่อนๆ ที่เรียนอยู่ต่างประเทศ มันไปเที่ยวงานพวกนี้หมดแล้ว เขาก็มาช่วยเราหมด
ตอนนั้นเราไม่คำนึงถึงความยาก เรามีความห้าว แล้วเราแกร่ง เราไม่รู้ว่าจะลำบากยังไง พอเราบอกจะทำปุ๊บ ก็มีเพื่อนมาช่วย ทั้งเงินทั้งอะไร ช่วยคิดด้วย เปิดงานมอเตอร์โชว์ครั้งแรก ที่เวทีลีลาศ ลุมพินี เราก็มีกำลังใจ ผู้ใหญ่ก็พร้อมหมด ช่วยเราหมดทุกคน ทำให้งานเราเกิดขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย
ครั้งที่ 2 ต้องย้ายไปที่สวนอัมพร เพราะสวนลุมพินีมันเล็กไป จัดอยู่ประมาณ 19 ปี ก็ย้ายไปอยู่ที่ไบเทค เพราะสวนอัมพรเล็กไปเลย อยู่ไบเทค ไบเทคเล็กไปอีกแล้ว จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองทอง เมืองทองเลยยิ่งใหญ่”
การตอบรับอย่างล้นหลามในทุกปี จากคนที่ชื่นชอบงานแสดงนวัตกรรมด้านยานยนต์ ทำให้ตัวพ่อวงการมอเตอร์โชว์คนนี้ไม่หยุดพัฒนา เขาวางแผนรูปแบบการจัดงานขึ้นใหม่ และเปลี่ยนชื่องานอย่างเป็นทางการว่า “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” (Bangkok International Motor Show)
พร้อมขยับขยายสถานที่จัดงานให้กว้างขวางมากขึ้น รองรับผู้เข้าชมตลอดการจัดงาน เฉลี่ยแล้วจำนวนล้านกว่าคนทุกปี และวางกลยุทธ์ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จนทำให้งานมอเตอร์โชว์ ก้าวอย่างมั่นคง เข้าสู่ปีที่ 46 แล้ว
“ใหญ่มาตั้งนานแล้ว อาเซียนสู้เราไม่ได้หรอก การที่เราขายรถได้ ทำให้มอเตอร์โชว์เราขยายตัวกว้างขึ้นไป ในต่างประเทศที่มอเตอร์โชว์มันล่มสลาย มันไม่มีการขายรถ พอไม่มีการขายรถ รถมาโชว์ มันไม่มีทุน ก็ปิดไปหมด
เราปรึกษากับ Toyota, Honda, Mercedes-Benz, BMW พวกนั้นบอก งานมอเตอร์โชว์ประเทศไทยเป็นงานที่ดีที่สุดในโลก พอมีการขายรถ เขาก็สามารถเอาเงินมาทุ่มลงทุนได้ เพราะรถก็ขายได้ เขาลงทุนไปเท่าไหร่ ก็ได้กำไรขึ้นมา 2-3 เท่าตัว
ญี่ปุ่นเองจากคนดูล้านกว่าคน เหลือ 4-5 แสนคน มันไม่มีขายรถ แต่บ้านเรานี่นับวันจะโตขึ้นๆ เราติด TOP 10 ของโลก ในอาเซียนมาดูงานประเทศไทยเราหมด แล้วก็เริ่มมีการขายตามแบบเรา ขอให้มีการขาย เราเป็นต้นแบบ
อย่างในญี่ปุ่นก็ดี ในมาเลฯ ในอินโดนีเซีย ของเขาขายบัตร บางทีธุรกิจไม่ดี คนก็ไม่ซื้อบัตร ของผมใช้แจกบัตร ไปช่วยแจกให้คนมาดู บัตรผมขายได้จริงๆ ประมาณสัก 2 แสนคน คนที่มาซื้อบัตร พวกทัวร์ที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง
คนที่เป็นนักเลงรถ เขาไม่เคยซื้อบัตรหรอก เขาได้รับบัตรแจก เหมือนการ์ดเชิญ ทำให้งานของเรามีคนอยู่มาก เราเป็นงานมอเตอร์โชว์ที่มีผู้เข้าชมเกินล้านคนมาตลอด ทุกๆ ปีแจกบัตรฟรีไปล้านกว่าใบ
แล้วเรายังเชิญผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศทั่วโลก ให้เขาซื้อตั๋วเครื่องบิน บินมาแล้วมาเบิกตังค์จากเรา มาดูงานเราแล้วกลับไปช่วยเขียนข่าวให้เรา แล้วก็ส่งผลงานมาตีพิมพ์ เราก็ตีพิมพ์แจก เราเลยเป็นงานเดียวที่มีข่าวสารทั่วโลก”
อีกสิ่งที่คู่กับมอเตอร์โชว์มาอย่างยาวนาน ก็คือ พริตตี้ตัวท็อป ที่คอยยืนประจำบูธของแต่ละค่ายรถ คัดเอาบรรดาสาวสวย เก่ง มั่นใจ ไหวพริบดี มาคอยให้ข้อมูล
และยังมีการประกวด Miss Motor Show ที่ในเวลาต่อมาผู้ครองตำแหน่งนี้ ก็ได้กลายมาเป็นนักแสดงแถวหน้า ประดับวงการบันเทิงบ้านเรา
[ “Miss Motor Show” สู่ตัวแม่วงการบันเทิง ]
ไม่ว่าจะเป็น "น้ำฝน-กุลณัฐ กุลปรียาวัฒน์", "โอ๋-ภัคจีรา วรรณสุทธิ์", "เอ๊ะ-อิสริยา สายสนั่น", "เข็ม-ลภัสรดา ช่วยเกื้อ", "ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต" และอีกมากมาย
“เราไปดูในต่างประเทศนะ วันแรกเขาจะเชิญพวกดารา คนสวยๆ มายืนกับรถ ให้ช่างภาพถ่ายรูป หมดงานก็จบ ระยะหลังพวกสวยๆ ค่าตัวมันแพง เป็นดาราทีวี พวกนี้ก็เลยน้อยลง
ที่ไหนก็มีผู้หญิงมายืนกับรถ แต่งตัวสวยๆ ดูจากการแข่งรถ อะไรที่มันค่อนข้างจะเสี่ยง อะไรที่มันเกิดความเร็วขึ้น ผู้หญิงก็ต้องไปยืนอยู่ มี Race Queen คนก็ชอบความตื่นเต้น ผมก็เลยจับจุดได้ ทีนี้ผมจัดประกวด Miss Motor Show แล้วเราก็ผลักดันให้ Miss Motor Show ไปเป็นดารานักแสดง แล้วเราทำมาตลอด
แต่ผมห้ามไม่ให้พริตตี้เรียกผมป๋านะ เพราะป๋าคนฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยดี ป๋านี่เหมือนเขาเป็นเด็กผม ไม่ได้ ให้เรียกพ่อ ความเป็นพ่อลูก มันทำให้เรายกจิตใจไปอีกระดับ”
*** พลิกเหมืองเก่า สู่ “กรังปรีซ์ กอล์ฟ คลับ” ***
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของมอเตอร์โชว์ ได้ต่อยอดสู่การขยายอาณาจักร “สนามกอล์ฟ กรังปรีซ์ กอล์ฟ คลับ” บนเนื้อที่ 2,400 ไร่ ใน อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เขาได้เนรมิตเหมืองไพลินเก่า ให้กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของทุกคน ด้วยแนวคิด ‘My Dream, My Friend, My Family’
“พวกบริษัทรถยนต์ เขาก็จะเล่นกอล์ฟกัน เราไปเจอประธาน Toyota ประธาน Honda ประธาน Mitsubishi ที่บริษัท เขามีเวลาคุยกับเราประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ถ้ามาเจอในสนามกอล์ฟ เขาอยู่กับเราประมาณ 4-5 ชั่วโมง
ผมก็เลยต้องมาทำสนามกอล์ฟ ได้เล่นพบปะ แล้วก็บริษัทรถก็ยินดีที่จะตอบแทนเรา ก็มาซื้อป้ายในสนามกอล์ฟ มีประมาณสัก 10 ป้าย เขาก็ถือว่าเป็นพันธมิตรร่วมกัน เป็นเพื่อนกัน เขาก็ให้เกียรติเราตลอด
สนามกอล์ฟ บางครั้งเราไปเล่นที่อื่น เราไม่แฮปปี้ มันไม่ได้ดั่งใจ การต้อนรับก็ดี ความสวยงามความอะไร เราเล่นแล้วเราอึดอัด เห็นแล้วมันทนไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจมาทำสนามกอล์ฟซะเอง ตอนนี้ใครมีอะไร ติผมได้เลย
ถ้าเราอยากจะมีที่เยอะๆ เราต้องทำสนามกอล์ฟ ไม่งั้นเรามีที่ไม่ได้ เพราะเราไปสะสมที่ดินปุ๊บ แบงค์เองก็ต้องโวยวาย ทำสนามกอล์ฟมันมีสิทธิ์มีที่ได้เป็น 1,000 ไร่ เราอยากจะมีที่ดิน
แล้วผมเป็นคนชอบต้นไม้ สนามกอล์ฟผม ผมออกแบบเอง ทุกหลุม ต้นไม้ซื้อมาเองหมดทุกอย่าง อยากได้ต้นไม้อะไร เราก็จินตนาการซื้อมา เรามีชีวิตผูกพันอยู่กับตรงนั้น ถึงได้ตั้งคอนเซ็ปต์ไว้ว่า ‘My Dream, My Friend, My Family’ รวมกันอยู่ในนี้หมด ทุกคนมาที่นี่แล้วก็ให้เขาแฮปปี้ เขาอยากได้อะไรที่นี่ เราก็ยินดีตอบแทน ให้เขามีความสุข”
ด้วยความเป็นศิลปินในตัวของ ดร.ปราจิน ทำให้ทุกรายละเอียดของสนามกอล์ฟแห่งนี้ มีเขาเป็นส่วนร่วมในการดีไซน์และตรวจสอบทั้งสิ้น แถมยังพัฒนา จนสามารถรองรับการแข่งขันกอล์ฟ ในระดับทัวร์นาเมนต์ได้เลยทีเดียว
“เวลาผมทำอะไรแล้วมันต้องดี ถ้าไม่ดีผมจะไม่ทำ สนามกอล์ฟ ตอนนั้นมีทั้งหมดประมาณ 260 สนาม พอผมทำสนามกอล์ฟปุ๊บ ผมมีความตั้งใจ อย่างน้อยๆ ติด 1 ใน 100 ผมไม่เอา ผมต้องคิดว่าติด TOP 20-30
ผมพยายามพัฒนาสนามกอล์ฟ จนกระทั่งเราสามารถจัดแข่งขัน Asian Tour ได้ แข่งขัน Royal’s Cup ได้ เราถือว่าสนามกอล์ฟถ้าจะจัดพวกนี้ได้ ในประเทศไทยประมาณสัก 30-40 สนาม ที่จะจัดรายการนี้ได้ เพราะต้องสมบูรณ์แบบ
อย่างต่างชาติ สิงคโปร์อะไรพวกนี้ ในเอเชีย เขาก็มาสำรวจหมดก่อนที่เขาจะมาเล่น ตรงไหนเป็นยังไง หญ้าเป็นยังไง ฉะนั้น สนามเราตอนนี้ถึงได้เป็นสิ่งที่เขาส่งทีมมาแข่ง ทีมชาติก็ส่งมาเก็บตัวที่นี่ แล้วก็รุ่นเยาวชนก็มาจัดแข่งที่นี่ เก็บตัวให้หมด
สนามกอล์ฟมันกว้าง แล้วต้นไม้มันเยอะ เขาก็สามารถมารีแลกซ์ได้ มาเดินเหิน แล้วอีกอย่าง เวลาวาง Layout ผมให้ทุกหลุมมองเห็นทะลุหมดเลย Clubhouse ของเราอยู่สูงสุด เขาสามารถมองไปเห็นรอบ ทำให้เวลาคนมาอยู่ที่ Clubhouse มองดูเกิดจินตนาการสวยงาม เห็นครบเกือบทุกหลุม
เป็นที่พึงพอใจของผู้ปกครอง ของคนมาเล่น และของสมาคมกอล์ฟแห่งประเทศไทย ที่เขาคัดเลือกเราให้มาอยู่เป็นการคัดเลือกทีมชาติ แล้วก็คัดเลือกทีมเยาวชนแข่งกอล์ฟ”
[ “Carhenge” จุดเช็กอินห้ามพลาด ]
และอีกไฮไลต์ที่เมื่อมาที่นี่แล้วต้องเช็กอิน นั่นก็คือ “Carhenge” ประติมากรรมรถยนต์จากซากรถเก่า ที่ถูกนำมาเรียงซ้อนกัน ทั้งแปลกตาและอลังการ โดยมีไอเดียมาจาก “Stonehenge” แท่งหินยักษ์เก่าแก่อายุหลายพันปี ในประเทศอังกฤษ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
“เราไปเที่ยวที่อังกฤษ มี Stonehenge หินที่ไม่รู้มาจากไหน มาวางซ้อนๆ กันประมาณสัก 10 กว่าก้อน อยู่กลางทุ่งนา เราก็ไปดู มันมาได้ยังไง ไปตั้งได้ยังไง มันก็เป็นแลนด์มาร์ก
เราก็ย้อนกลับมาที่เมืองไทย เราชำนาญเกี่ยวกับเรื่องรถมาตลอด ใช้ชีวิตอยู่กับรถ ผมเลยคิดว่าถ้าอยู่เมืองไทย หน้าสนามกอล์ฟเราก็ทำ Carhenge ผมเลยรวบรวมรถประมาณ 78 คัน มาซ้อนต่อกันไปต่อกันมา ให้เต็มเป็นวงกลม
แล้วก็ไปขอรถในโรงงานเขา การประกอบรถที่เขายังไม่ได้ประกอบ เป็นโครงรถ มาเพื่อให้เด็กมาดูรถก่อนที่เขาประกอบ เฟรมมันเป็นยังไง ก่อนที่จะมีประตู มีเบาะมีอะไร ก็เลยทำขึ้นมา ทำขึ้นมาปุ๊บ มันก็มีแตกตามมาว่า ชิ้นส่วนของรถพวกนี้ พวกเกียร์ เราก็เอามาประกอบเป็น Transformers
ให้เด็กมาศึกษาดูว่ารถมันมาอย่างนี้ มันต่อเป็นอย่างนี้ เพื่อสอนเด็กให้เรารู้ว่า รถถ้าเราไม่ดูแล ให้ตากแดดตากฝนมันเป็นสนิมแบบนี้ ให้เด็กมาดูว่ามีรถยี่ห้อไหนบ้าง เราจะมีสักประมาณ 20 คำถาม ถ้าถูกหมด เราก็จะแจกเป็นรถคันเล็กๆ”
*** พระเอกในชีวิตจริง ***
สำหรับชีวิตส่วนตัวของชายคนนี้ ก็มีเรื่องราวไม่ต่างอะไรกับหนังรักโรแมนติก ที่พระเอกต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เพื่อเอาชนะใจนางเอกให้ได้ ซึ่งคู่ชีวิตก็คือ “รุจิโรจ เอี่ยมลำเนา” ในเวลานั้นเธอคือสาวสวยชาติตระกูลสูง ผู้เป็นลูกหลานของเจ้าพระยา ที่ชายหนุ่มในยุคนั้นต่างพากันหมายปอง
[ ภรรยาสมัยยังสาว ]
“ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด ตังค์ก็ไม่มี แล้วผมเป็นคนใฝ่สูง ผมก็ดันทะลึ่งไปชอบคนสวย ชอบคนมีสกุลรุนชาติ เราก็ต้องยกระดับตัวเอง ผมไปชอบหลานสาวเจ้าพระยารามราฆพ ไม่ใช่คนธรรมดา มันก็เป็นบุพเพสันนิวาสนะ
บางทีเขาจะไปเที่ยวสวางคนิวาส ไปตากอากาศบางปู ไปประจวบฯ ผมได้แต่ไปยืนส่งเขาที่หน้าบ้าน ขบวนรถคุณตา 7-8 คัน เราต้องแอบข้างต้นมะขามไปยืนส่งขบวนเขาไป คุณตาอยู่ ผมเข้าบ้านไม่ได้ เพราะคุณตาเขาเนี้ยบ พอคุณตาเขาเสีย เขาก็ต้องอยู่กับคุณยาย ผมก็เลยต้องเข้าทางคุณยาย คุณหญิงประจวบ สุขุม
ทุกวันผมจะเปิดหนังสือข่าว ดูว่าเขาไปหมั้นกับใครหรือยัง (หัวเราะ) เพราะสมัยเขาสาวๆ พวกลูกรัฐมนตรี ลูกคนใหญ่ๆ จบจากต่างประเทศ มาขอดูตัว ตอนวันเกิดเขา หัวค่ำผมไปไม่ได้เลย พวกลูกรัฐมนตรีมากันเต็ม ขับรถมากันเป็นแถว
คุณยายจะเป็นคนนัดให้มาที่บ้านของคุณยาย ผมไม่สามารถจะไปนัดเองได้ ยุคนั้นผมขี่มอเตอร์ไซค์ ผมทำงานหนังสือพิมพ์ ผมไปนี่หมดสภาพ ผมทำงานดึก เรารู้ว่าไปหัวค่ำก็สู้เขาไม่ได้ ผมต้องไปตอนประมาณ 5 ทุ่ม เขาเลิกงานกันหมดแล้ว เขาก็เก็บเค้กไว้ให้ผมกิน รอผม”
หลังจากที่ชายหนุ่มนามว่าปราจิน ได้พิสูจน์ตัวเองจนสามารถเอาชนะใจผู้ใหญ่ฝั่งภรรยาได้ ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้แต่งงาน มีทายาทสืบทอดธุรกิจ และครองรักกันมาถึงทุกวันนี้ เรียกได้ว่านี่คือหนังรักที่จบแบบ Happy Ending เลยทีเดียว
“คุณยายช่วย ก็ขอกับคุณยาย คุณยายบอกไม่เอาอะไร ขอแหวนวงเดียว ผมก็มีตังอยู่หมื่น ไปซื้อแหวนมาวงนึง แล้วจากนั้น พระยาท่านเขาเป็นญาติกับคุณยาย เขาช่วยผมหมด ผมไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ไปรดน้ำที่วังเพชรบุรี จัดเลี้ยงที่นั่น
เราต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วเราต้องอวดตัวเองว่าเราสามารถทำได้ แต่ไม่ต้องใช้เงิน เขาจะมองสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ เพราะว่าคนที่มีตังค์เยอะๆ ลูกรัฐมนตรี คุยแต่ความร่ำรวยของพ่อ
ผมคุยเรื่องว่าผมทำงานดึก คุยแค่นี้ ทุกวันเราจะไปหาเขาต้องไปดึก เพราะยังทำหนังสือพิมพ์อยู่ เอางานมาเป็นตัวให้เขารู้ว่าเราเป็นคนทำงาน แค่นั้น ผู้ใหญ่เขารู้ไง คนทำงานจะอยู่ได้ คนที่คุยฟุ้งเฟื่อง ต่อไปจะรักษามรดกได้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ผมก็ดูแลเขาได้ทุกอย่าง คุณยายเก่งมาก มองผมออก ว่าผมสามารถดูแลหลานเขาได้ ผมก็สามารถปลูกบ้าน หลังจากแต่งงานแล้ว คุณยายเขาก็มาเที่ยวบ้าน ก็เป็นความภาคภูมิใจที่เราสามารถทำได้เหมือนที่คุยไว้”
และนี่ก็คือเรื่องราวของชายผู้เป็นตำนานอีกคนของเมืองไทย ผู้บุกเบิกงาน “Bangkok International Motor Show” ให้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทุกความสำเร็จในวันนี้ ทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว ล้วนแล้วแต่มี ‘ความกล้า’ เป็นแรงผลักดัน
“บอกได้อย่างเดียวว่าชีวิตคนเรา ‘อย่าไปกลัวอะไร’ บางคนอ้าง ผมเกิดมาจน ผมเรียนไม่เก่ง พ่อแม่ไม่มีตังค์ มันเป็นข้ออ้างที่ทุกคนไม่อยากทำงาน ผมไม่มีอะไร ติดลบศูนย์ ผมลูกคนที่ 6 พ่อแม่มีลูก 9 คน ตายไปเหลือ 8 คน
ผมไม่ขออะไรพ่อแม่เลยเพราะขอไม่ได้ ลูกเยอะต้องหาเอง เราก็ช่วยเหลือตัวเอง จากความกล้าที่เราเคยดูหนังกลางแปลง พระเอกมันกล้า พอกล้าปุ๊บก็มีคนเชียร์
งานที่ผมทำที่สำเร็จทุกอย่าง ทั้งสนามแข่งรถทั้งอะไร มีคนช่วยทั้งนั้น เขาอยากเห็นประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรือง อยากเห็นประเทศไทยยิ่งใหญ่ ผมก็โชคดี พอเราจริงทำปุ๊บ มีคนช่วย
อย่าไปคิดว่าเราเกิดมาไม่มีอะไร ต้องอาศัยเงิน ไม่ใช่ ใจมาก่อน พอใจทำปุ๊บ เงินจะตามมา ทำอะไร คุณมีความตั้งใจ ถ้าเป็นสิ่งที่ดีงาม มีคนมาช่วยคุณทุกคน เพราะเขาอยากเห็นประเทศไทยก้าวหน้า เทียมหน้าเทียมตาต่างประเทศ ถ้าคุณเริ่มทำได้นะ คุณเปิดเกมมาเลย แต่สิ่งที่คุณทำมาแล้วมันเหลวแหลก ทำไปแล้วคุณไม่รับผิดชอบ ไม่มีใครช่วยหรอก”
สัมภาษณ์ : YouTube "พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร"
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Bangkok International Motor Show, เฟซบุ๊ก “ททท.สำนักงานกาญจนบุรี : TAT Kanchanaburi Office” และ “Pitak Bhradprueng”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


