เปิดปาก “ผู้ประสบภัยสงคราม” สะท้อนถามถึงภาครัฐ ไหนล่ะการเยียวยา? รอบที่แล้วก็จ่าย “ช้า” จำนวนเงินก็ “น้อย” ไม่เพียงพอต่อรายได้ที่หายไป กูรูชี้มาตรการติดขัด เดินเรื่องช้า เพราะ “สุญญากาศการเมือง” ทำพิษ!!
** ชาวบ้านสะท้อน “จบให้ไว้” เยียวยา “อย่าช้าเกิน” **
ท่ามกลางการปะทะรอบใหม่ระหว่าง “ไทย” กับ “กัมพูชา” ด้วยท่าทีที่ “ดุดัน” ของ “รัฐบาลไทย” นำเสนอภาพเดินเกมตอบโต้เด็ดขาด
แต่กลับแทบไม่มีแอ็กชั่นในเรื่อง “การเยียวยา” พี่น้องชาวไทยตามแนวชายแดน ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามนี้ แบบเห็นเป็นรูปธรรมเท่าไหร่นัก
ตั้งแต่การปะทะกันรอบที่แล้ว ช่วงเดือน “ก.ค.68” ส่งให้ชาวบ้านในหลายพื้นที่ ตั้งแต่บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, ตราด, สระแก้ว, อุบลราชธานี และจันทบุรี กลายเป็น “ผู้ประสบภัยสงคราม” อย่างเป็นทางการ
ต้อง “อพยพ” ไปอยู่ศูนย์หลบภัย ทิ้งนา ทิ้งไร่ ทิ้งบ้าน จนหลายครอบครัวตอนนี้ “ขาดรายได้” เลี้ยงปากท้อง
หันกลับมาดูประเด็น “การเยียวยา” ของภาครัฐ ทาง “กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)” กลับเพิ่งจ่ายเงินเยียวยาเสร็จไป เมื่อ “ต.ค.68” ที่ผ่านมานี้เอง
และเงินที่มอบให้ ก็เป็น “รายครอบครัว” โดยแบ่งตาม 2 หลักเกณฑ์หลักๆ คือ ครัวเรือนที่ “อพยพ 8 วันขึ้นไป” ได้รับเงินเยียวยา “5,000 บาท/ครัวเรือน” และครัวเรือนที่ “อพยพไม่เกิน 7 วัน” ได้รับเงินเยียวยา “2,000 บาท/ครัวเรือน”
ดังนั้น ถ้าจะเรียกว่าเป็นการเยียวยาที่ “ล่าช้า” และ “ไม่เพียงพอ” ก็คงไม่ผิดอะไร อย่างที่ “เพชร อึงชื่น” ผู้ประสบภัยวัย 64 ชาวบ้านในพื้นที่ ต.โคกกลาง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ สะท้อนปัญหาเรื่องเงินเยียวยา รอบที่ผ่านมาให้ทีมข่าวฟังเอาไว้
“การเยียวยา ขั้นตอนมันเยอะเกินไปนะครับ กว่าจะได้ ประชุมแล้วประชุมอีก ต้องลงทะเบียน คือหลายอย่างมันกว่าจะได้ ก็เป็นเดือนอะครับ”
อีกอย่างการจ่ายเป็น “รายครอบครัว” ก็ไม่ตอบโจทย์ เพราะบางครอบครัวมี 2 คน, บางครอบครัวมี 5 คน แถมเงินที่ได้ก็แค่ 5,000 บาท พอมาเฉลี่ยหารค่าหัวแล้ว กลายเป็นได้คนละไม่เท่าไหร่ ไม่สามารถมาชดเชยรายได้ที่หายไปอย่างแท้จริง
ยกตัวอย่าง ชาวบ้านที่ “รับจ้างกรีดยาง” รายได้ต่อวันปกติแล้ว ก็ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท นี่ยังไม่นับความเสียหายต่อไร่นา และบ้านเรือนที่เกิดจากสงครามอีก
“ชดเชย 5,000 มันไม่มีความหมายเลยนะครับ แค่ได้ค่ากับข้าว ค่าอาหารนิดหน่อย”
เสียงสะท้อนจากผู้อพยพรายเดิมบอกตรงๆ ว่า ตอนนี้ชาวบ้าน “ขาดรายได้” มาเป็นเวลานานแล้ว เพราะคนในเขตชายแดน ส่วนมากทำอาชีพเกษตรกรรม แต่ไม่สามารถเข้าไปเก็บผลผลิตมาขายได้ ทำให้รายได้ต้องชะงัก
แต่ปัญหาที่น่ากังวลกว่า จากการปะทะรอบใหม่ที่เกิดขึ้นนี้คือ มันดันตรงกับ “ฤดูเก็บเกี่ยว” ผลผลิตทางการเกษตรหลายๆ อย่าง ทั้งข้าว, อ้อย, มันสำปะหลัง และยางพารา
และถ้าสงครามยังคงยืดเยื้อต่อไป จนเลยฤดูเก็บเกี่ยว ผลผลิตพวกนี้ก็มีแต่จะเน่าเสีย และเงินที่ชาวบ้านไป “กู้” มาลงทุนเพาะปลูก ก็เท่ากับ “สูญเปล่า” จนก่อให้เกิดปัญหาต่อมาคือ “รายได้ไม่มี แต่หนี้ต้องใช้”
“ตอนนี้ก็คือ ชาวบ้านอยากให้จบให้เร็วที่สุด การเยียวยาก็อย่าช้าเกินไป ขั้นตอนต่างๆ เรามีฐานข้อมูลแล้ว ควรที่จะทำตรงนี้ให้มันรวดเร็ว ให้ทันใช้ เพราะชาวบ้านเดือดร้อน
บางคนก็กู้หนี้ยืมสินไป ถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไป นอกจากรายได้ไม่มี แล้วหนี้ยังเพิ่ม บางคนก็ต้องถูกฟ้องร้องเรื่องหนี้สินอะไรต่างๆ ยึดรถ ยึดอะไร มันเป็นผลพวงมาเยอะแยะไปหมดเลยครับ”
** เยียวยาช้า = ซ้ำเติม **
“ตอนนี้ยังไม่เห็นพูดถึงเรื่องการเยียวยาเลย”
ยิ่งหลังการปะทะรอบใหม่ ยิ่งแทบไม่มีความคืบหน้าเรื่องสำคัญเรื่องนี้ จนผู้ประสบภัยเกิดข้อสงสัยต่อความมั่นคงในชีวิตหลายๆ อย่าง
รวมถึงประเด็นเรื่อง “วิธีจ่ายเงินเยียวยา” ว่าจะสามารถเปลี่ยนจาก “รายครัวเรือน” มาเป็น “รายหัว” ได้หรือไม่?
หรือแม้แต่ “จำนวนเงินเยียวยา” ก็สงสัยว่าจะมีการคำนวณใหม่ได้ไหม? เพราะแค่ “5,000 บาท/ครัวเรือน” มันเทียบไม่ได้เลยกับ “ความเสียหาย” และ “รายได้” ที่ขาดหายไป
รวมถึง “ทางออกเรื่องหนี้สิน” ที่เกิดจากผลกระทบจากสงครามด้วยว่า จะช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้แค่ไหน?
นี่เป็นเพียงส่วนนึงเท่านั้น จากความคลางแคลงใจมากมาย ที่วนเวียนในใจ รบกวนในชีวิตของ “เหยื่อสงคราม” ทุกวันนี้ และยังไม่ได้คำตอบที่เป็นชิ้นเป็นอันจาก “รัฐบาล” เสียที
เกี่ยวกับเรื่องนี้ กูรูด้านสังคมสงเคราะห์ อย่าง “เก๋” (รศ.ดร.วิไลภรณ์ โคตรบึงแก) อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมนักสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ช่วยชี้แนวทาง “การเยียวยา” เอาไว้ให้ดังนี้
ประการแรก “การเยียวยาด้านเศรษฐกิจ” บอกตรงๆ เลยว่า “เงินเยียวยา” ลักษณะ “เหมาจ่าย”ตีค่าความเสียหายเป็นก้อนกลมๆ แบบที่ภาครัฐชอบทำในทุกๆ เคสภัยพิบัติ “ไม่ตอบโจทย์จริงๆ”
เพราะที่ควรจะเป็นคือ “เงินเยียวยา” ต้องถูกคำนวณอย่างละเอียด เพราะความเสียหายของแต่ละครอบครัว ทั้งบ้านเรือน ไร่นา มันไม่เท่ากัน อีกอย่างที่ต้องหยิบเอามาคำนวณด้วยคือ “รายได้ที่หายไป”
{“รศ.ดร.วิไลภรณ์” นายกสมาคม นักสังคมสงเคราะห์ฯ}
ยกตัวอย่างเคส “วิกฤตโควิด” ถ้าเป็นเหล่า “พนักงานประจำ” มี “เงินเดือน” ถ้าขาดรายได้จะไม่ได้รับผลกระทบมาก
แต่ถ้าเป็นคนหาเช้ากินค่ำ เกษตรกร พ่อค้าแม่ขาย จะกระทบหนักกว่า ทำให้การแจกเงินแบบ “เหมาจ่าย” เท่ากันทุกคน-ทุกเคส ไม่ตอบโจทย์ความเดือดร้อนที่แท้จริง
“เฉพาะที่เป็นตัวเงิน ที่เป็นเงินล่ำซำให้เองเนี่ย ก็อาจจะต้องมาพิจารณาถึงความเสียหาย พิจารณาในรายละเอียดค่ะ จะมองเป็นเงินก้อนกลมๆ เนี่ย มันอาจไม่ได้ตอบสนองกับความต้องการของคนจริงๆ”
“ถ้าเป็นพวกเกษตรกร มันก็อาจต้องมีมาตรการที่มาดูว่า เขาสูญเสียโอกาสในการทำมาหากิน ในช่วงเวลานั้นอะเท่าไหร่”
ส่วนประเด็นเรื่อง “หนี้กู้ยืม” นั้น กูรูเห็นควรว่า ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือตรงนี้ ด้วยการ “ลดดอกเบี้ย” หรือ “พักชำระหนี้” และควรออกมาประกาศให้ “เร็วที่สุด” ด้วย เพื่อลดความเครียดและกังวลใจของเหยื่อสงคราม
“สถานการณ์มันมีความรุนแรง ทำให้คนกังวลอยู่แล้ว แต่การที่เขามองไม่เห็นอนาคตเลยว่า เขาจะได้รับความช่วยเหลืออะไรบ้าง มันเป็นเหมือนการซ้ำเติมอะค่ะ ในความยากลำบากของเขา”
ลองเทียบกับเคส “น้ำท่วมใหญ่” ในภาคใต้ จะเห็นว่ามาตรการเยียวยาจากภาครัฐ ถูกประกาศออกมาค่อนข้าง “รวดเร็ว” ทั้งเรื่อง “เงินเยียวยา” ที่มีการลดขั้นตอนด้านเอกสาร รวมถึง “การพักหนี้” ในพื้นที่น้ำท่วมด้วย
ต่างจากสถานการณ์ชายแดน ณ ตอนนี้ ที่ยังไม่เห็นมีมาตรการที่ควรทำ ประกาศออกมาให้ชัดเจน ถึงแม้ว่าบริบทของ “น้ำท่วม” กับ “สงครามชายแดน” จะต่างกัน แต่ขั้นตอนการเยียวยา ก็สามารถหยิบมาใช้ได้ โดยเฉพาะ “มาตรการทางการเงิน”
“เพราะมันรู้อยู่แล้วว่า เกิดความเสียหาย แล้วก็ทำให้เขาขาดรายได้ ยกตัวอย่าง กยศ.(กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา), ธอส.(ธนาคารอาคารสงเคราะห์) พวกเงินกู้ต่างๆ ที่เป็นหน่วยงานของรัฐเอง หรือแม้กระทั่ง ธนาคารพาณิชย์ จริงๆ ก็สามารถคิดถึงการเยียวยาลักษณะนี้ได้”
ต้องยอมรับว่า หนึ่งในสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้มาตรการเยียวยาภัยสงครามรอบใหม่ ไม่รวดเร็วเหมือนน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา เป็นเพราะ “สุญญากาศทางการเมือง”
หลังเพิ่งมี “การยุบสภาฯ” กันไป จึงผลักให้รัฐบาลรักษาการตอนนี้ มี “ข้อจำกัด” ในการบริหารงบประมาณ และไม่มีนโยบายเรื่องนี้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ
“แต่นั่นมันก็เป็นบทเรียนว่า แม้ในภาวะสุญญากาศเอง มันก็ไม่ควรให้เกิดผลกระทบกับประชาชนที่เดือดร้อน”
“เพราะงั้น การทำระบบงบประมาณแบบไหน ที่จะมีเงินส่วนนึง ที่จะสามารถรองรับกับเหตุการณ์วิกฤต หรือภัยพิบัติได้ อันนี้ก็ต้องมองแล้วว่า รัฐบาลจะบริหารยังไง”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”, “สวท.สุรินทร์”, “Surindra Rajabhat University”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


