สมฉายานางฟ้าผู้ให้ “บุ๋ม-ปนัดดา” เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ขึ้นเหนือลงใต้ช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่ ยันช่วยหนุนชายแดนรบ เล่าประสบการณ์ลุยสร้าง “บังเกอร์” สะท้อนภาพกัมพูชาถูกล้างสมอง ใช้สื่อโยนบาปประเทศไทย พร้อมเปิดทุกมุมหญิงแกร่ง ผู้ไปสุดทุกอย่างจนหัวใจได้เติมเต็ม
ลุยสร้าง “บังเกอร์” ไม่กลัวยากลำบาก
“ตอนนี้บุ๋ม fulfill มาก บุ๋มมีทั้งลูก มีประชาชน มีลูกๆ ในองค์กรทำดีอีกเกือบ100คนที่ดูแล แล้วชีวิตมันเติมเต็มดีจังเลย ใช้คำว่าตายตาหลับตอนไหนก็ได้ บุ๋มแฮปปี้แล้ว”
“บุ๋ม-ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” ผู้เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว หญิงแกร่งวัย 49 ปี ที่ชีวิตนี้ไปสุดทุกเรื่อง ทั้งเป็นนักแสดง นางงาม, พิธีกร, อาจารย์มหา’ลัย, นักแข่งบิ๊กไบค์, ครูสอนดำนำ, นักยิงปืน และบทบาทสำคัญในการทำงานเพื่อสังคม ผู้ก่อตั้งมูลนิธิองค์กรทำดี
เรียกได้ว่า เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ขึ้นเหนือลงใต้ น้ำท่วมหาดใหญ่ ไปยังชายแดนรบ ก็ไปสัมผัสมาแล้ว แม้กระทั่งรับตำแหน่งโฆษกศูนย์เฉพาะกิจชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเป็นกระบอกเสียงสื่อสารกับชาวโลก และช่วยเหลือประชาชน ก็เคยทำมาแล้ว
และยิ่งตอนนี้ ยังคงมีสถานการณ์ตึงเครียด ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้ เธอก็ได้เล่าถึงประสบการณ์ลุยสร้าง “บังเกอร์” ที่ทั้งโหด มัน ฮา ช่วงที่ไปฝังตัวอยู่ชายแดน ในตอนที่รบกันรอบแรก
เธอเล่าว่า ตอนที่ไทย-กัมพูชารบกันรอบแรก ไม่ได้คิดว่าจะไปอยู่นานขนาดนั้น เพียงแต่คิดว่า ไปช่วยทำอาหารแค่ 2 วัน แล้วก็จะกลับ แต่พอได้ไปเห็นสถานการณ์จริง ได้ไปกินนอนอยู่กับพี่น้องและเหล่าทหารชายแดน ก็อดไม่ได้ ที่อยากจะเข้าไปช่วยทำบังเกอร์
“ตอนแรกคือกะไปให้กำลังใจทหารเฉยๆ กะไปทอดลูกชิ้นแค่ 2 วัน ไม่คิดว่าอยู่4 เดือน แม่สายเหมือนกัน กะไปแป๊บเดียว คือชีวิตเปลี่ยนแปลงมากเลย อย่างชายแดนก็เหมือนกัน กะไป 2 วันจริงๆ แล้วไม่คิดว่าจะอยู่ทนขนาดนี้
กินนอน เขากินยังไง เรากินเหมือนกัน ก็ใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้นเยอะเหมือนกัน บุ๋มจะดูแลเป็นพิเศษก็คือ ในช่วงระยะทางปราสาทตาควาย ไปจนถึงปราสาทตาเมือนธม
ก็ทำทุกอย่างค่ะ ทำทั้งบังเกอร์ ทำทั้งถนน ตอนนี้เรามี ‘ถนนปนัดดา 1’ ที่สุรินทร์ ตรงพนมดงรักนะคะ ถ้าเกิดวันนึง สถานการณ์สงบ ไปเซลฟี่กันได้นะคะ แล้วก็มี ‘ถนนปนัดดา 2’ กับ 3 อยู่ที่ศรีสะเกษค่ะ เพราะว่าที่ทำถนน เพื่อเอารถถังเข้าไปในพื้นที่ได้
แล้วก็มีบังเกอร์ มีฐานทหารที่เราทำเทปูนเอง ก่อสร้างก็ทำได้แล้วค่ะ ทำทุกอย่างแล้วค่ะ ก็วางแผนแนวรบ แล้วก็คุยกับทหารอีกต่างหากว่า ถ้าเกิดสมมติเขายิงปุ๊บ ทีมองค์กรทำดี จะรับผู้ป่วย รับคนแก่ไปถนนเส้นทางไหน แล้วทหารวิ่งเส้นทางไหน จะได้สวนทางกัน จะได้ไม่เกิดปัญหากัน เพื่อเป้าของการรบจะได้เต็มที่ ก็วางแผนกับทหารทุกอย่างเลยค่ะ”
การเข้าไปสร้างบังเกอร์ให้กับพี่น้องชายแดน ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด เพราะค่อนข้างที่จะเป็นพื้นที่อันตราย ต้องระวังอย่างรอบด้าน ต้องไปบุกป่าฝ่าดง และเธอเรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงคนเดียว ที่เดินตามป่าแถวนั้น
“ต้องเข้าใจก่อนว่า ในคำว่าชายแดนเนี่ย มันไม่ได้เป็นแค่ค่ายทหารอย่างเดียว มันจะมีในส่วนของพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นพื้นที่ใหม่ ทหารเองเขาก็ต้องบุกเบิกเข้าไป เพื่อตั้งฐานเพิ่มเติม ในการดูแลแนวชายแดน มันก็จะเป็นป่าเลยจริงๆ
หลายคนก็ถามว่า ทำไมบุ๋มต้องไปสร้างโน่นสร้างนี่ ให้เยอะแยะมากมาย เพราะมันเป็นป่าโดยสมบูรณ์ จริงอยู่ทหารตั้งแคมป์ได้ แต่ถ้าจะต้องผจญภัยกับลูกปืน หรือลูกกระสุน มันก็ต้องเป็นบังเกอร์ เราก็เลยต้องไปสร้างบังเกอร์แถวนั้น
แต่กว่าที่มันจะสร้างได้ มันก็ต้องไปสำรวจ เพื่อไปบุกป่าฝ่าดง แต่บุ๋มเองเป็นผู้หญิง เราก็ต้องปรับตัวเยอะมากเลยค่ะ เพราะว่าเป็นผู้หญิงคนเดียว ที่เดินตามป่าแถวนั้น
เราก็ต้องไปเคลียร์พื้นที่ มันก็เหมือนกับเราไปจัดการใหม่เลยค่ะ โซนไหนที่จะต้องนอน ตรงไหนที่เป็นไฟ เเล้วก็ดูแลแม้กระทั่งห้องน้ำ เพราะว่าเราคงไม่สามารถให้ทหารเดินเข้าไปตามป่า ไปขุดหลุม เพราะมันจะมีกับระเบิดหมดเลย
แล้วภาพก็ถ่ายไม่ได้ เพราะว่ามันจะเป็นการบอกตำแหน่งอาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นการทำงานค่อนข้างจะลำบากเหมือนกัน แต่ก็ชีวิตก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าจะไปอยู่ตามชายแดนเป็นวันๆ จัดการพื้นที่
หรือแม้กระทั่งดูแลบังเกอร์ กระโดดจากบังเกอร์ 1 ไปบังเกอร์ 2 ถ้าเกิดล้มไปตอนกลางคืน มันจะวิ่งลำบากนะ เอาแผ่นปูนปูให้ละกัน คิดทุกอย่าง ดูแลทุกอย่าง ดูแลยันกางเกงใน คิดดูแล้วกัน”
นอกจากความมีน้ำใจ ที่คอยช่วยเหลือสังคมอยู่ตลอดแล้ว เธอยังทำเรื่อง สมฉายานางฟ้าผู้ให้ โดยยอมจำนองที่ดินส่วนตัว 4 ไร่ ที่สามีเคยให้ไว้ เพื่อนำเงินกว่า 2.5 ล้านบาท ไปซื้ออุปกรณ์สร้างบังเกอร์ 11 จุดที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ทหารไทย และประชาชนตามแนวชายแดน
“เอาที่ไปจำนอง เป็นที่คุณสามีให้(หัวเราะ) ช่วยชาติไปก่อน ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราได้เงินพรีเซ็นเตอร์ แล้วมันก็ได้จริงๆ บุ๋มได้ค่าพรีเซ็นเตอร์หลังจากนั้นมา ก็จ่ายเรียบร้อยเลยค่ะ
ก็พูดตรงๆ ว่าเอาตังค์ตัวเองทำบังเกอร์ เพราะว่าด้วยความบ้าของตัวเรา ไปอยู่ตรงนั้นมันอิน แล้วเรารู้สถานการณ์ แล้วว่าไม่ธรรมดาแน่ มันต้องยิงแน่นอนเลย แต่จะมาบอกแฟนคลับ บอกประชาชน ว่ามาทำบังเกอร์กับฉันเถอะ คุณต้องด่าว่าบุ๋มบ้า เพราะว่ามันจะรบอะไรกัน ดิฉันเกิดมา ก็ไม่เคยเห็นภาพการรบ เอาพูดตรงๆ นะ
แม้ว่าปี 2554 ที่ผ่านมา จะมีการรบ แต่เราไม่เห็นภาพนั้นใช่ไหมคะ เราไม่เห็นความตึงเครียดขนาดนี้ เราก็เลยโอเค อย่าไปบอกใครเลย เดี๋ยวเขาด่าเรา ทำเองไปเลยแล้วกัน ก็ทำไปเป็นฐานนึง เป็นฐานใหม่เลย อยู่ระหว่างกลางเขมร มันแอบทำถนนฝั่งนึงมา แล้วมันมาจอดตรงจุดนี้ เพื่อจะเอารถถังขึ้นมา นี่คือความลับเลยนะ แต่ก็บอกได้แหละ เพราะว่าไม่รู้จุด
มันทำทางมันเลยแหละ และทำมานานมากแล้ว ดังนั้นการรบแบบนี้ ในครั้งช่วงที่ผ่านมา มันวางแผนมาเป็นปี ไม่ว่าจะเป็นบังเกอร์ฝั่งมัน แล้วถนนเส้นนี้ก็เช่นเดียวกัน มันเอามาถึงจุดนี้เลย เราก็ทำการวิเคราะห์แผนที่นะคะ ว่าทำไมถึงเอามาจุดนี้
มันพยายามเอารถถัง เพื่อจะมายึด 2 ปราสาทค่ะ เพราะตรงนี้เป็นทางค่อนข้างจะเรียบ ไม่ใช่ทางเขาเหมือนชั้นโซนอื่น มันเรียบ แล้วก็สามารถเข้ามา และภายในไม่กี่นาที ไม่ถึงชั่วโมง มันสามารถยึด 2 ปราสาทได้ ดังนั้น บุ๋มก็เลยต้องลุย บุ๋มก็เลยต้องทำฐานใหม่ เราดูแลทั้งหมด 30 กว่าฐานค่ะ”
เธอเอ่ยปากอีกว่า โชคดีมาก ที่เราอยู่ในประเทศไทย เพราะถ้าให้เปรียบเทียบความเป็นอยู่ของไทยกับกัมพูชา ถือว่าเราได้เปรียบกว่าเยอะ ในขณะที่เราไม่อยากสูญเสียแม้กระทั่งสักชีวิตเดียว แต่ตัดภาพไปที่ฝั่งกัมพูชา พวกเขากลับไปคิดสนใจผู้คนด้วยซ้ำ เลือกที่เก็บปืน มากกว่าเก็บศพ
“มันมีความรู้สึกหลายอย่างมาก มันมีความรู้สึกฮึกเหิม การรักชาติ มันมีความรู้สึกที่รู้จักทหารมากขึ้น ว่าอยู่เพื่ออะไร เราได้เห็นแววตาประชาชน
โชคดีที่เราเป็นคนไทยในพื้นแผ่นดินนี้ เมื่อเราเปรียบเทียบกับความเป็นอยู่ การแร้นแค้นในอีกฝั่งหนึ่ง สิ่งที่เราเห็นคือ เขาเอารถอีแต๊กมาเก็บปืน แต่ไม่เก็บศพไป เขาให้ศพเน่าอยู่ตรงนั้นเลย”
ไทยยังเอื้อเขมร ช่วยเปิดทางธุรกิจ
นักอาสาคนนี้ เธอเปิดเผยอีกว่า แม้จะมีการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ยังมีนักธุรกิจชาวไทยบางคน ลักลอบเอาพวกน้ำมัน
หรือเอาของบางอย่างผ่านทางลาว เพื่อนำเข้ากัมพูชา
“ตอนนี้ปัญหาคือ มันยังมีนักธุรกิจชาวไทยที่เอาพวกน้ำมัน หรือเอาของบางอย่างผ่านทางลาว เพื่อเข้ากัมพูชา ดังนั้น
กัมพูชาก็ยังรู้สึกเฮฮาอยู่ ยังโอเคอยู่”
และสิ่งหนึ่งที่นางฟ้าขาลุย ช่วยสะท้อนให้ผู้นำประเทศไทย ได้เล็งเห็นก็คือ ช่วยเยียวยาคนที่ชายแดนด้วย ชาวบ้านหลายคนที่ทำอาชีพเกษตรกร แต่ต้องขาดทุนยับเยิน เพราะเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ และไม่ทัน
“อีกอย่างนึงในสิ่งที่บุ๋มเห็น คือข้อจำกัดของชีวิตของประชาชน ที่อยู่ในพื้นที่ชายแดน ก็คือที่นาที่สวนต่างๆ เขาไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ แต่พวกนั้นมันสุกไม่รอสงคราม
วันที่มันจะสุก มันต้องเก็บเกี่ยวแล้ว แต่มันไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวได้ เพราะลูกปืน BM-21 อยู่ตรงนั้น มันอยู่เต็มพื้นที่ไปหมดเลย ไม่สามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวอะไรได้ ไม่สามารถกรีดยางได้ เศรษฐกิจหยุดหมดเลยค่ะ ร้านค้าต่างๆ คือปิดหมดเลย
ไหนจะค่าปุ๋ย ค่าเช่าที่ มันจ่ายไปแล้วไง แต่มันไม่รอสงคราม ตรงนี้อยากให้ทางภาครัฐช่วยมากๆ เลย ช่วยปลดหนี้ หรืออะไรให้เขาหน่อย เพราะว่ามันเป็นภาระเขาจริงๆ
แล้วก็พวกการท่องเที่ยวคือจบ เราก็พยายามใช้สื่อของเรา ไปช่วยเหลือเขา เท่าที่พอจะทำได้ เด็กนักเรียนเอง ก็ไม่ได้ไปเรียนค่ะ เพราะว่ามันต้องหยุดเรียนหมดเลย โดยเฉพาะโรงเรียนชายขอบ ที่ระยะรัศมีใกล้ๆ ทุกอย่างคือมันชะงักหมดเลยค่ะ”
เธอฝากถึงผู้นำไทยอีกว่า ในยามวิกฤตเช่นนี้ ต้องเด็ดขาดชัดเจน และต้องกล้ารับทั้งผิดและชอบ ไม่ใช่รับแค่ความดีความชอบอย่างเดียว แล้วผลักภาระไปให้ประชาชน
“อยากจะฝากถึงผู้ใหญ่ข้างบนค่ะ เมื่อวันนึงถึงเหตุการณ์ที่ต้องปะทะจริงๆ คุณต้องสามารถรับผิดและชอบ คือไม่ใช่รับแต่ชอบอย่างเดียว แต่ต้องช่วยทหารรับผิดและชอบพร้อมๆ กัน ว่าผมรับผิดชอบเอง
คุณบอกว่าให้สิทธิทหารในการดูแลอนาธิปไตยเต็มร้อยก็จริง แต่สิทธิในการรุกรานประเทศอื่น มันยังไม่ใช่นะ มันต้องเป็นคำสั่งจากข้างบนนะ
ดังนั้นถ้าเราจะไปบุก เพื่อเอาพื้นที่เพิ่มเติม แล้วให้เขารู้สึกเข็ดหลาบ กลัวแสนยานุภาพของเรา มันต้องบุกเข้าไป นั่นคือจากข้างบนค่ะ ที่ต้องสั่งแล้วต้องเด็ดขาดจริงๆ
การตัดสินใจที่บอมปอยเปต หรือว่าไปจัดถึงพนมเปญ เหมือนที่เวียดนามทำ เพื่อให้เขมรไม่กล้าหือกับเวียดนามเลยนะ เวียดนามเขาดุ ดังนั้น ถึงถามว่า ผู้นำเรากล้าพอแบบนั้นหรือเปล่า แต่ปัญหาคือหน้าตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะมีมือถือโทรศัพท์จากประเทศที่ 3 มาอีกหรือเปล่าไง”
ประเทศแห่งข้อมูลเท็จ ถูกล้างสมองจนเคยชิน
นักจิตอาสาคนนี้มองว่า คนกัมพูชาถูกล้างสมอง ให้เข้าใจผิดว่าชายแดนไทย คือแผ่นดินกัมพูชา และสิ่งถนัดที่ “ฮุน เซน” ทำคือ ใช้สื่อเป็นช่องทางในการโยนบาป หรือกล่าวโทษฝ่ายตรงข้าม เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นปัญหา หรือสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเอง
“คนเขมรวันนี้เขาก็โดนล้างสมองเขาเกลียดเรา เขาก็บอกว่าอยากให้ทำกำแพงเหมือนกันแหละ เขาก็ไม่ได้อยากจะมาสานสัมพันธ์กับประเทศไทย ประชาชนเกลียดกัน ก็คือไม่ต้องการที่จะมีมิตรไมตรีสัมพันธ์อันดีอีกต่อไป ก็คือสร้างกำแพงไปเลย
ดูแววตายายมาลีสิ สามารถอ่านข่าวโกหกได้ ตั้งแต่ข่าวแรกยันข่าวสุดท้าย โดยที่แววตาไม่กระดิกเลย คือความเชื่อแบบสุดใจมาก ว่าผู้นำเขา ว่าข้อมูลที่เขาได้เอามาอ่านเนี่ย คือข้อมูลที่จริง
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการบริหารงานของ ฮุน เซน น่ากลัวมากค่ะ เขาควบคุมทุกอย่าง ควบคุมสาธารณูปโภค ควบคุมสื่อทุกอย่าง แล้วให้ก็เห็นภาพของเขา การทำงานที่หนักเพื่อประชาชน นั่งบนโต๊ะทำงานจนดึกดื่นเที่ยงคืน แต่ให้เห็นภาพราชวงศ์ของทางฝั่งกัมพูชาร้องรำทำกิน ไม่ได้ใส่ใจประชาชน
เขาล้างสมองอย่างนี้โดยตลอด เขาให้เห็นว่า ฮุน เซน คืออยู่เพื่อประชาชนเขมร แล้วให้ลูกสาวเขาเป็นคนโกหกสื่อทั้งหมด
ประชาชนชาวกัมพูชาจะมีสักกี่คน ที่กล้าหือ กล้าอือกับเขา มันไม่เหมือนประเทศอื่นนะ เขามีพลังในการต่อสู้ เพราะเขาเคยเห็นสื่อ เขาเปิดโลกของเขา จะไม่เหมือนคนกัมพูชา ที่โดนผู้นำเขากดไว้”
เขมรทำแม้กระทั่ง ปลุกม็อบตะโกนเสียงดังกดดันทหารไทยรื้อลวดหนาม หนักกว่านั้นคือ พยายามเอาเด็ก ผู้หญิง และคนพิการ มาเป็นแนวหน้าสร้างม็อบยั่วยุ
“แม้กระทั่งม็อบนะ คือบุ๋มมาทำงานกับทางกองกำลังบูรพาด้วยนะคะ ก็ได้ข้อมูลมาหลายอย่าง ที่เราก็เพิ่งรู้นะ ว่ากัมพูชาทำถึงขนาดนี้ อย่างเช่นเห็นม็อบ ที่มายืนตรงบ้านหนองจาน หรือว่าหนองหญ้าแก้วไหมคะ คือม็อบจัดตั้งล้วนๆ ค่ะ เพราะกฎหมายของทางเขมร คือห้ามรวมตัวกันเกิน 5 คน ถ้ารวมตัวเกิน 5 คน คือแทบจะโดนยิงตาย
ดังนั้นไม่มีทางที่ประชาชน จะรวมตัวได้เยอะขนาดนี้ โดยที่เขมรไม่จัดการอะไร และก็กำลังทหารเขามีหลายขั้นตอนมาก เขาจะไม่เหมือนฝั่งไทย ทหารคือทหาร การปกครองคือฝ่ายปกครอง
แต่ของกัมพูชาไม่ใช่ ฝ่ายปกครอง มีกองกำลังทหารเป็นของตัวเองค่ะ ดังนั้น ผู้ว่าฯ บันเตียเมียนเจยเนี่ย ก็มีกองกำลังทหารของตัวเอง ถึงให้ทหารเข้าแฝงตัวอยู่ในม็อบ
และมันดันเอาเด็ก ผู้หญิง และคนพิการมาด้วย สิ่งที่มันต้องการมาโดยตลอด คือภาพที่ทหารเราทำลายประชาชนผู้อ่อนแอของมัน จึงพยายามยิงยั่วยุเราโดยตลอด เพื่อให้เรายิงกลับไปสักตู้มนึง แล้วมันเก็บภาพฟ้องเลย”
แม้จะโดนด่ายับ จากชาวเขมร ที่แห่กันพาเอาทัวร์มาลง ช่องทางโซเชียลฯ ของเธอ แต่เธอก็บอกว่าไม่หวั่น เพราะไม่เคยแคร์คนเหล่านั้นเลย แต่เลือกที่จะแคร์คนที่เรารัก อย่างคนไทยมากกว่า
“อินฟลูฯ กัมพูชา มันเอาบุ๋มไปเขียนด่าเต็มไปหมด ไปทำคลิปด่านะ ถ้าเกิดฝั่งกัมพูชา มีอินฟลูฯ คนไหน หรือคนดังคนไหน หรือใครทำคลิปอะไร ที่แค่มีคำถาม โดนเก็บเลยนะ ฮุน เซน แม่งเก็บเลยนะ ร้ายมากเลย
อย่างบุ๋มพอตั้งแต่มาเป็นแบบโฆษก ศบ.ทก. (โฆษกจิตอาสาของศูนย์บัญชาการทางทหาร) ก็แค่ 17 ล้านคนฝั่งกัมพูชาเกลียดบุ๋มแค่นั้นเอง ก็เข้ามาด่าเยอะแยะมากมาย
ด่าว่าเป็นผู้หญิงพัทยาบ้าง เอาภาพบุ๋มตอนถ่ายเซ็กซี่ชุดว่ายน้ำสมัยก่อน ที่เป็นนางแบบระดับตัวท็อป มันก็เอามาตัด พูดเลยว่าไม่แคร์ เพราะบุ๋มจะไม่แคร์คนที่เกลียด จะแคร์คนที่เขารักบุ๋มมากกว่า แล้วแคร์ความรู้สึกของคนไทยมากกว่า”
นอกจากต้องรับทัวร์จากกัมพูชาอยู่บ่อยๆ แล้ว ในฐานะโฆษก ศบ.ทก.จิตอาสาของไทย เธอยังเป็นคู่ปรับกับ“มาลี โซเจียตา” โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่มักจะออกมาตอบโต้ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชาสร้างข้อมูลเท็จ (เฟคนิวส์)
“บุ๋มมีแค่มงเดียว มาลีอ่ะ 18 มง”
ส่วนคนเขมรที่เขามาช่วยซัพพอร์ตชาติไทย นี่คือความโชคดี ที่เรายังเจอคนเขมรที่ไม่ได้โง่ เพราะเขารู้เท่าทันข่าวสาร ไม่ได้ปิดหูปิดตาดูแค่สื่อในบ้านตัวเอง
“เขารู้ข้อมูล เขารู้การกระทำ ว่าเขมรยิงก่อน เขมรทำลายอะไรบ้าง เขมรยั่วยุยังไง เขาไม่ได้โดนปิดหูปิดตาไง นี่คือความโชคดี ที่เรายังเจอคนเขมรที่ไม่ได้โง่
คนที่เขารักประเทศไทยก็มีนะคะ แล้วก็มีคนเห็นที่บริจาคเข้ามูลนิธิ ก็บอกว่า ผมอยู่เมืองไทยมานาน ผมรักประเทศไทย ผมกินผมอยู่ ผมใช้ชีวิตที่นี่ ประเทศไทยมีบุญคุณกับผม ผมร่วมกิจกรรมด้วย ก็ร่วมบริจาคมา 3,000 4,000น่ารักมากเลยค่ะ เราก็ต้องแยก คนดีๆ น่ารักก็ต้องแยก
บางอย่างอย่าเหมารวม บุ๋มเจอเขมรที่เขาอยู่ในประเทศไทย แล้วก็เข้าใจประเทศไทยอย่างดี คือไม่ใช่พอเจอเขมรปุ๊บ ก็ด่าเขาเลย โดยที่ไม่มองตัวตนเขาเลย
บุ๋มว่าคนไทยเรา น่าจะต้องแสดงให้กัมพูชาเห็นว่า เรามีสติสัมปชัญญะ มีวุฒิภาวะที่สูงกว่าเขา อันนี้คือสิ่งที่อยากจะฝากตรงนี้ไว้”
มี “บ้าน 40 ล้าน” ไม่เติมเต็มเท่า “ช่วยสังคม”
บางคนอาจจะรู้บ้างแล้ว กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ แม่บุ๋ม ที่ใครๆ เรียกกันนี้ เส้นทางในวงการบันเทิงของเธอ เริ่มจากเรียนจบ ป.โทร จากออสเตรเลีย
จากนั้นก็กลับมาเป็นอาจารย์ที่ ม.เกษตร จนมาเป็นนางสาวไทย เข้าสู่วงการบันเทิง เป็นพิธีกร เป็นนางแบบ เล่นละคร จนได้เป็นเจ้าแม่วีซีดี เพราะช่วงนั้นเล่นหนังเยอะ
“จบปริญญาโท จากออสเตรเลีย ก็กลับมาเป็นอาจารย์ที่ ม.เกษตรศาสตร์เลยค่ะ สอนอยู่คณะวิทยาการจัดการค่ะ สอนพวก Operations Research ค่ะ การวางสินค้าคงคลัง ทำ ISO แต่ความรู้นี้ มันช่วยบุ๋มได้มากเลยนะ ตอนที่มาบริหารมูลนิธิ จัดการของลงพื้นที่ ช่วยได้ดีมากเลย
แล้วก็มาเป็นนางสาวไทยปี 2543 เสร็จเเล้วก็เข้าสู่วงการบันเทิง โดยการเป็นพิธีกรรายการบันเทิง แล้วก็อ่านข่าวด้วยนะคะ แล้วก็มีละคร มีหนัง เป็นเจ้าแม่วีซีดี ช่วงหนังวีซีดีดังๆ ดิฉันเป็นเจ้าแม่วีซีดีนะ
แล้วก็ดิฉันไม่เล่นเลิฟซีน แม้กระทั่งทั้งจูบจริงก็ไม่เอา แต่ก็ถือว่าเป็นเจ้าแม่วีซีดี ช่วงนั้นขายดีมาก คิดดูสามารถซื้อคอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้อ่ะ เล่นเป็นสิบๆ เรื่อง ถ่าย 3-4 วันได้เป็นแสน”
พอเริ่มดังมาสักหน่อย ก็เริ่มอยากทำธุรกิจส่วนตัว ด้วยการทำชุดว่ายน้ำขาย แบรนด์ “BSC Panadda” เธอบอกว่า ช่วงนั้นขาขึ้น ฮอตขนาดที่ว่า ถ่ายชุดว่ายน้ำลงนิตยสาร 4 ชั่วโมงหมดเกลี้ยงแผง ไม่จบแค่นั้น ยังลงทุนทำธุรกิจฟิตเนสด้วย
“ก็มาเป็นนางแบบ มาทำชุดว่ายน้ำขาย ก็ต้องถ่ายชุดว่ายน้ำถูกไหมคะ ก็ BSC เลยค่ะ เราไม่ใช่ไก่กานะ ทำชุดว่ายน้ำลงห้างนะ
เราก็ต้องถ่ายชุดว่ายน้ำลงปกนิตยสาร หมดเกลี้ยงแผงเลยภายใน 4 ชั่วโมงก็มี
ปกติทุกปีต้องมีปนัดดา1 ปกช่วงซัมเมอร์ อย่างน้อยต้องมี 1 ปก แต่บางปีมี 4 ปก แล้วดิฉันอยู่ในตลาดตรงนี้ตั้ง10 ปี ภาพไม่เยอะได้ยังไง ยืนหนึ่ง ขึ้นมาลัยไทยรัฐ เป็นความภาคภูมิใจ ก็มันเป็นยุคสมัยนั้น ที่เราก็เต็มที่กับงานทุกอย่าง
ทำยิมด้วย ก็ออกกำลังกาย ปั้นหุ่นปั้นก้นปั้นเอว”
เรียกได้ว่าสุดโต่ง ไปสุดทุกอย่าง ทำมาแล้วหลายบทบาทอาชีพ ทั้งการเป็นครูสอนดำนำ ยิงปืนก็เป็น เป็นบอดี้การ์ดก็ได้ แม้กระทั่งเคยมีบิ๊กไบค์ถึง 14 คัน และยังเคยลงแข่งด้วยตอนนั้น
“คือเวลาบุ๋มจะทำอะไร ต้องอยู่ระดับต้นๆ ต้องทำให้มันสุด อย่างเช่นถ่ายหนัง ก็ให้มันแบบสุดๆ อยากเป็นนางแบบก็ต้องสุด ผู้ประกาศข่าวก็ต้องได้รางวัล เป็นคนที่สุดโต่ง ต้องสุดทุกอย่าง
แล้วบุ๋มขี่มอเตอร์ไซค์บ้าบอคอแตกกับชีวิตมาก ซิ่ง มีทีมแข่งด้วย คือใช้เงินสะบั้นมาก ขี่ฮายาบูสะ (Hayabusa) ด้วย คือผู้หญิงที่ขี่เร็วที่สุดในประเทศไทย ด้วยความเร็ว 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คือเป็นคนบ้า แล้วก็สุดทุกอย่าง คือทำมาแล้วตอนช่วงวัยรุ่น มอเตอร์ไซค์ 14 คัน ซื้อทำไม ลงแข่งด้วย
กีฬาบุ๋มทำหมด ก็คือยิงปืน เรื่องของเรื่องคือจะหาทีมบอดี้การ์ด เพราะเราลงพื้นที่ชายแดน แต่ไปๆ มาๆ ครูจับเรียนด้วย ดิฉันได้ไปประกาศบอดี้การ์ดมาเรียบร้อยแล้วนะคะ เป็นบอดี้การ์ดได้แล้ว เราก็เลยไปเรียนยิงปืน ก็มีใบประกาศด้วยนะคะ ท่ายากก็ได้ค่ะ ท่านอน ท่าตะแคงได้หมด
บุ๋มดำน้ำมา 20 ปีแล้วค่ะ ตอนนี้กำลังจะได้ใบเป็น instructor แต่ตอนนี้ก็สอนดำน้ำทหารค่ะ แล้วก็มาเป็นมาเป็นประธานมูลนิธิองค์กรทำดี ก็คือจบจากกีฬาทุกอย่างแล้ว ค่อนข้างจะชอบกีฬาผาดโผนนิดนึง แบบผู้ชายๆ หน่อย”
ส่วนจุดเริ่มต้น ในการเปิดมูลนิธิเพราะรู้สึกใจฟู เมื่อได้ช่วยคนอื่น เธอเล่าว่า พอไปสุดทุกอย่าง มีทุกอย่างแล้ว ก็รู้สึกอิ่มตัว พอกลับบ้านไปรู้สึกว่างเปล่า จนรู้สึกว่าอยากทำอะไรมากกว่านี้ เริ่มออกไปช่วยน้ำท่วมปี 2554 พอได้ไปทำงานเพื่อสังคมแล้วใจฟู จนเกิดเป็น “มูลนิธิองค์กรทำดี”
“แต่พอมาถึงวันนึงมันได้ทุกอย่างแล้ว มันอิ่มตัว มันรู้สึกว่าอันนั้นก็ได้ อันนี้ก็ได้ บ้านหลังโตที่เราอยากได้ 40 ล้านมันก็ได้ พูดตรงๆ มีบ้าน 40 ล้าน ก่อนที่มีมูลนิธิ เพราะเราได้ทั้งพรีเซ็นเตอร์
วันนึงพอเรารู้สึกว่าเฮ้ย..ทำไมเรามีบ้าน แต่มันกลับบ้านแล้วมันยังโหวงๆ มันว่างเปล่าจังเลย หรือเราต้องทำอะไรมากกว่านี้ไหม แต่พอได้ไปทำงานเพื่อสังคม แล้วรู้สึกแบบใจมันฟูจังเลย”
สำหรับมูลนิธิที่เธอจัดตั้งขึ้น ก็เห็นได้ชัดว่า ช่วยคนอื่นได้เยอะมาก ทุกเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้น ที่รอรับการช่วยเหลือ แทบจะเห็นเธอยื่นมือเข้าไปช่วยเป็นคนแรกๆ
“ทุกสถานการณ์บ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม โคลนถล่มแม่สาย ตึกถล่มสตง.ปัญหาชายแดน”
แก้โทษข่มขืนให้หนักขึ้น อีกหนึ่งบทบาทสำคัญ คือการทำหน้าที่ เป็นกระบอกเสียงเพื่อเด็กและสตรี โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ “คดีข่มขืน” หวังขจัดสวะสังคมให้หมด “ปี 2557 คือเปลี่ยนกฎหมายข่มขืน น่าจะเป็นดาราคนแรก ที่เปลี่ยนแปลงกฎหมายได้ จริงๆ แล้วก่อนหน้าบุ๋ม ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนพยายามนะ มีหลายคนพยายาม แต่โดนปัดตกจากสภาหมดเลย เพราะอาจจะเป็นผู้ชายเยอะในสภา การเปลี่ยนกฎหมาย สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องใช้สิทธิ์เลือกตั้งก่อน อย่างที่สองคือ ต้องรวบรวมรายชื่อให้ได้มากกว่า 25,000 รายชื่อ แต่วันนั้นบุ๋มขอรวบรวมมากกว่า 100,000 รายชื่อ เพราะบุ๋มต้องการได้พลังมวลชน ในการกดดันสภา ว่าคุณต้องใส่ใจ” เธอเรียกร้องให้เปลี่ยนโทษข่มขืน จากจำคุก 4-20 ปี ปรับแค่ 8,000-40,000 บาท ถ้าสารภาพผิด โทษก็จะลดลงกึ่งนึง แต่เธอเรียกร้อง จนสามารถเปลี่ยนให้ปรับ 80,000-40,0000 บาท และห้ามมีการอภัยโทษ “ชีวิตผู้หญิงมันเสียทั้งชีวิต 40,000 บาทเอง กับการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต มันก็ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันกับยุคสมัยนิดนึง ดังนั้นก็เลยบอกว่า ช่วยเปลี่ยนให้หน่อย อย่างน้อยให้รู้ว่ายังมีคนใส่ใจผู้หญิง ที่โดนอะไรอย่างนี้บ้าง ก็เปลี่ยนได้นะคะ จาก 8,000-40,000 เป็น 80,000-40,0000 บาท ก็ยังไม่สะใจค่ะ ปี 2558 ก็เลยขอพลังมวลชนอีกรอบนึง เปลี่ยนอีกรอบ ก็คือโทษข่มขืน เมื่อไม่เปลี่ยนแปลงจาก 4-20 ปี บุ๋มก็เลยขอว่า ถ้าอย่างนั้นห้ามมีการอภัยโทษได้ไหม คือศาลตัดสินเท่าไหร่ ก็ให้อยู่ประมาณนั้น ไม่ได้ทำโทษพวกเขาพวกเพิ่มนะ เพราะนั่นคือศาลตัดสินตามกฎของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ขอเวลาให้กับเหยื่อ หรือผู้ที่โดนกระทำ เพราะกว่าจะบำบัดตัวเอง เพราะว่ากรณีข่มขืน ร่างกายต้องเจอกับร่างกายถูกไหม มันเป็นคนที่บ้านใกล้กัน หรือโรงเรียนเดียวกัน หรือที่ทำงานเดียวกัน มันต้องเจอกัน ดังนั้นแป๊บๆ ไม่กี่ปีคุณออกมาอีกแล้วเหรอ มันก็ไม่ใช่ไง คุณช่วยอยู่ในนั้น ตามที่ศาลตัดสินหน่อยได้ไหม แค่นั้นเอง เพื่อให้ทางนี้ ได้มีเวลาหาจิตแพทย์ มีเวลาเยียวยาหัวใจ หรือหาบ้านใหม่ สังคมใหม่ บางคนหลายๆ คนที่บุ๋มช่วยเหลือเนี่ย ต้องไปหาโรงเรียนใหม่ ต้องย้ายจังหวัดหนีนะ เพราะคนข้างบ้านรู้หมด นินทาทุกวัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องให้เขาอยู่ในนั้นก่อน เพื่อให้มีเวลาดูแลเยียวยาจิตใจ ของคนที่ถูกกระทำ ก็ขอยกเลิกพระราชทานอภัยโทษ กับนักโทษข่มขืน 5 ประเภท แล้วเราก็ทำสำเร็จนะคะ คือนักโทษข่มขืนแล้วฆ่า ข่มขืนโดยใช้อาวุธร้ายแรงมีดจ่อคอ ปืนจ่อหัว ข่มขืนเยาวชน ข่มขืนคนในสันดาน ก็คือพ่อข่มขืนลูก ลุงข่มขืนหลาน แล้วก็ข่มขืนซ้ำ คือพวกนี้ได้รับโทษแล้วไม่จำ ดังนั้นนักโทษข่มขืน 5 ประเภทนี้ จะไม่ได้รับการอภัยโทษอีกต่อไป ตั้งแต่ ปี 2558” |
แม่ผู้ยิ่งใหญ่ ให้การศึกษา สานฝันลูกบุญธรรม นอกจากบทบาทนักแสดง พิธีกร และผู้ทำงานเพื่อสังคมแล้ว สิ่งที่มาเติมเต็มให้ชีวิตเธอแฮปปี้ขึ้น คือบทบาทความเป็น “แม่ผู้ยิ่งใหญ่” เธอแสดงให้เห็นถึงความรัก ความภูมิใจ และความทุ่มเทในการเลี้ยงดู ทั้งลูกแท้ๆ และลูกบุญธรรม โดยเฉพาะการส่งเสียค่าเล่าเรียน ให้กับบรรดาลูกๆ บุญธรรม ทำให้เธอเป็นต้นแบบคุณแม่ยุคใหม่ ที่ทั้งน่ารักและแข็งแกร่ง ที่ดูแลครอบครัวอบอุ่น กับสามีดีกรีนักกีฬายิงปืนรณยุทธทีมชาติ“ก็อต-อธิป อนันทวรรณ” “เป็นแม่ของลูก 16 คนค่ะ ลูกที่คลอดมาเอง 3 ค่ะ น้องอันดามัน ตอนนี้เรียนหมออยู่ แล้วก็มีน้องอเล็กซ์ค่ะ กำลังจะ 3 ขวบ และก็น้องอาเธอร์ กำลังจะ 1 ขวบ ส่วนลูกอีก 3 คน ลูกฝั่งสามีค่ะ ก็กำลังจะเรียนจบ 1 คน กำลังเรียนมหา’ลัย 1 คน เรียนมัธยม 1 คน ส่วนอีก 10 คน คือลูกบุญธรรมค่ะ ที่รับมาตั้งแต่ก่อนเป็นนางสาวไทยอีกค่ะ คนนึงเป็นครูค่ะ เป็นคนกะเหรี่ยง แล้วก็มีจบหมอ เป็นแพทย์ฉุกเฉินอีก 2 คน กำลังเรียนมัธยม 1 คน กำลังเข้ามหา’ลัย 3 คน” |
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **
สัมภาษณ์ : YouTube “พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร”
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : Facebook “ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี”, Instagram @boompanadda


