xs
xsm
sm
md
lg

ธุรกิจตั้งไข่ แต่รับ "10 ล้าน" จากแรง "3,000 กุมารทอง"? ประสบการณ์ตรง "ตัวพ่อสายมู"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจาะเส้นทางชีวิต “จิลล์ -จักรพงศ์” กูรูกุมารทองแห่งยุค ส่องคลังของขลังที่คนดังหลายวงการนับถือ พร้อมเผยประสบการณ์คุณไสยสุดฮาร์ดคอร์ ย้ำ มูได้ แต่ต้องมีสติและลงมือทำด้วย

*** บทสัมภาษณ์นี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ***



*** เข้าวงการสายมู สู่ “กูรูกุมารทอง” ***

ถ้าพูดถึงชื่อ “แจ๊ค-จิลล์” เชื่อว่าเหล่าคนเจน Y ตอนต้น น่าจะรู้จักพวกเขาดี ในฐานะนักร้องฝาแฝดดูโอ้ยุค 90

แต่ใครจะไปคิดว่าอดีตนักร้องดังแห่งยุค 90's คู่นี้ จะเบนเข็มพลิกขั้ว มาเป็นตัวพ่อวงการสายมู ผู้สะสม “เครื่องราง-ของขลัง” มากมาย โดยเฉพาะ “กุมารทอง” ที่มีในครอบครองแล้วกว่า 3,000 องค์

แล้วอะไรกัน... ทำให้เขาเลือกเดินเส้นทางนี้ พูดคุยกับ “จิลล์ - จักรพงศ์ การสมพรต” หรือที่รู้จักกันตอนนี้ในชื่อ “จิลล์ กุมารทอง”



“หลังจากนักร้องแล้วนะครับ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจแย่หมดเลยนะครับ ผมก็เลยไปปฏิบัติธรรมในวัดป่า ฝึกนั่งสมาธิ หลังจากนั้นเราก็ออกมาทำธุรกิจเกี่ยวกับคอสเมติกส์

การที่มาทำธุรกิจ ผมก็ต้องตัดสินใจอย่างมาก ถ้าเราออกมาแล้ว เราจะไม่กลับเข้าไปในวงการอีก วงการนักร้องคือค่ายปิดแล้ว ค่ายโน้น ค่ายนี้ เขาก็ชวนเราไปออกเพลงออกเทป แต่จริงๆ เราแน่วแน่แล้วว่าออกมา เราทำธุรกิจดีกว่า

ทำธุรกิจปุ๊บ เราต้องมีเครื่องรางของขลัง ที่มาที่ไปของการที่ผมมายุ่งกับเรื่องเครื่องรางของขลัง เมื่อก่อนก็ไหว้พระ ไหว้อะไรต่างๆ มูทั่วไป ต้องบอกก่อนว่าธุรกิจค้าขาย ทุกคนต้องการความรวดเร็ว ทำไมร้านนั้นขายดีกว่าร้านเรา ทำไมยี่ห้อนั้นขายดีกว่าร้านเรา เราต้องหากำลังใจ อะไรดีที่สุด ชูชก รัก-ยม นู่นนี่นั่น แต่สุดท้ายแล้ว กุมารทองดีที่สุด

ถ้าวันนี้ขายยอดได้ขนาดนี้ เดี๋ยวจะเอาเพื่อนมาอยู่ให้ เริ่มจากตรงนั้น หลังจากนั้นเราก็เพิ่มพูนมากขึ้นเพราะยอด แล้วก็สาขาเราเพิ่มทั่วประเทศ เราก็มานั่งศึกษา แล้วเริ่มเก็บสะสมกุมารทอง พูดตรงๆ นะ ตอนที่เป็นนักร้องยังไม่เคยได้เลยเงินจำนวนนี้ พอเป็นนักธุรกิจ 10 ล้านวางบนโต๊ะ เมื่อปี 43 เริ่มทำธุรกิจ

ตอนนั้นต้องบอกเลยว่า คนมองแจ็ค-จิลล์ สายดำ พวกเล่นของ แค่มีกุมารทอง เขาก็มีกันทุกบ้าน ก็กลายเป็น แจ็ค-จิลล์ กุมารทอง ซึ่งก็ประมาณปี 48 นะครับ ที่เราเริ่มให้ความรู้เรื่องกุมารทอง”



ในความเชื่อของจิลล์ การที่บูชา “กุมารทอง” นอกจากช่วยเรื่องธุรกิจให้ทำมาค้าขึ้นแล้ว เขายังเล่าว่า สมัยโบราณมีความเชื่อว่า เครื่องรางชิ้นนี้ยังช่วยปกปักเรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน ถึงขั้นกันฟ้าผ่าได้อีกด้วย

“สมัยก่อน ครูบาอาจารย์ เกจิต่างๆ เขาก็จะมีกุมารทองของตัวเอง ก็จะมีวิชาต่างๆ กุมารทองเอาไว้เฝ้าสวน เฝ้านา คือ มาดลจิตดลใจให้วัวร้อง ให้นกต่างๆ ร้อง เป็นการเตือนว่ามีโจร มีคนจะลักวัว ลักควาย หรือกันฟ้าผ่า

เจ้าของโรงสี ปล่องโรงสีจะสูงมาก ฟ้าจะผ่าบ่อย แล้วสมัยโบราณไม่มีสายล่อฟ้าเหมือนสมัยนี้ เวลาผ่าที ตู้ม! เขาเชื่อว่าเอากุมารทองหรือเอาสิ่งเหล่านี้มาเพื่อการฟ้าผ่า กันผี กุมารทองก็ใช้ได้สารพัดประโยชน์ นั่นแหละจุดประสงค์ ใช้ได้สารพัดประโยชน์ เริ่มสะสม เริ่มบูชา กำลังใจเริ่มมี เปิดสาขานู่นนี่นั่นทั่วประเทศ เหนือตกออกใต้ไปหมด

ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเครื่องรางมันทำให้เรามีกำลังใจ สัมผัสได้ ถือได้ มี 3,000 กว่าองค์ครับ ทำให้รายการต่างๆ ทีวีต่างๆ สมัยก่อน หลั่งไหลเข้ามาที่บ้าน มาขอสัมภาษณ์ มาขอดู ทำไมกุมารทองมีเยอะขนาดนี้

เริ่มจากรายการ ‘7 กะรัต’ รายการแรก จากนั้นก็บูมเลย บูมมาจนเราเริ่มไปเห็นอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช่กุมารทองแล้ว เริ่มเห็นเรื่องปั้นเหน่ง ลูกกรอก ตอนนั้นดังมาก เชิญผมไปนู่นนี่นั่น เราก็ไป แล้วก็ให้ความรู้เรื่องกุมารทอง ลูกกรอก

ต่อมาจากลูกกรอก ผมจะเจอหลากหลาย บอกตรงๆ นะ คนที่มีของเหล่านี้ เขาก็ไม่ได้เอามาอวด ผมต้องไปตื๊อเขา ขอแบ่งผมหน่อยได้มั้ยครับ ผมอยากจะเอามาคุ้มครอง จุดประสงค์คือเอามาช่วยในด้านธุรกิจ ในการค้าขาย เวลาค้าขายกับใคร พูดจาอะไรคนก็หลง อธิบายอะไร เชียร์อะไร คนก็ซื้อ อันนี้จุดหลักในการค้าขายของผม”


[ กุมารทองรัตน แกะจากไม้มงคล ]

เมื่อกุมารทองที่สะสมเริ่มมีจำนวนมากขึ้น การรับรู้ถึงสิ่งเร้นลับหรือสัมผัสที่ 6 ก็เพิ่มขึ้นตามมา

“สัมผัสได้ตั้งแต่เสียง เห็น ฝัน สะกิด ดึงผ้า อันนี้กุมารทองนะ ในกล้องวงจรปิดสมัย 20 ปีที่แล้ว ช่อง 7 ไปถ่าย ของหล่นเอง กุมารทองปั้นด้วยวัสดุ ดิน โลหะ หรือไม้ หรืออะไรก็แล้วแต่ แบบที่ 1 ปลุกเสกด้วยเวทมนตร์คาถา ให้มีดวงจิต ให้มีอาการครบ 32 มีฤทธิ์มีเดชในตัว

แบบที่ 2 กุมารทองตามสังฆภัณฑ์ ที่เป็นเรซิน ยืนเท้าเอว มีจุก กุมารทองแบบนี้เอาวิญญาณมาใส่ หมอดูหรือว่าร่างทรงทักว่ามีเด็กตาม มีใครตามอยู่ ลูกที่ทำแท้งไปแล้วเขาไม่ไปไหน ให้เอามาใส่ในนี้ อันนี้แบบง่ายสุด และทำกันเยอะที่สุด

ส่วน ลูกกรอก คือซากเด็กมนุษย์ที่ตายในท้องหรือตายนอกท้อง ลูกกรอกกับกุมารต่างกัน ลูกกรอกก็คือผีโดยตรงเลยครับ อย่าริไปเลี้ยง เลี้ยงยากมาก มันเป็นอะไรที่เลี้ยงแล้วอาจจะส่งผลไม่ดีกับตัวเอง มันมีร้ายและดีอยู่ในตัว ก็ไม่แนะนำนะครับ แค่กุมารทองก็พอแล้ว

เริ่มจากตรงกุมารทอง สมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้วโดนว่าแบบนี้ ว่าฝาแฝดเล่นของดำ เล่นคุณไสย มนต์ดำ เขาก็จะด่านู่นนี่นั่น เดินไปไหนก็เล่นของ ไหนเอามาดูซิ คนกลัวเรานะ ขนลุก รู้สึกแปลกๆ ปัจจุบันแต่ละคนยิ่งกว่าผมอีก มูทุกอย่าง มันเป็นอะไรที่แตกต่างกับสมัยก่อนที่ผมโดนด่า”

*** ประสบการณ์หลอน เบื้องหลัง “น้ำมันพราย” ***

หลังจากที่อดีตนักร้องดัง ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิต มาสู่กูรูเครื่องรางเต็มตัว ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นของขลังสายฮาร์ดคอร์ด้วยแล้ว เขาจึงต้องศึกษาด้านไสยศาสตร์อย่างเข้มข้น หลักๆ ก็เพื่อไว้ป้องกันตัวเอง

“ผมพูดตรงๆ ว่าผมเรียนในด้านเกี่ยวกับที่ช่วยตัวเองด้านการค้าขาย ด้านธุรกิจผม คนอื่นอาจจะมองว่าเรียนด้านทำร้ายทำลาย แต่จริงๆ เปล่า เราต้องเรียนรู้ทุกอย่าง เพราะเราก็ไม่รู้หรอก ว่าวันนึงเราจะโดนของที่ไม่ดี ผีร้ายก็มี ผีดีก็มี

ครูบาอาจารย์ให้เราเรียน เพื่อที่จะป้องกันผีร้ายที่จะมาทำร้ายเรา ครูบาอาจารย์บอกว่าหมอผีบางคนที่เกลียดโกรธเรา สามารถทำร้ายเราได้ ของเหล่านี้เราก็ต้องมีวิชาป้องกัน ก็คือมีทั้งเรียนผูกและเรียนแก้

อาจารย์ผมเป็นอาจารย์ขมังเวทย์ ไสยศาสตร์ เขาเป็นคนกุย คนส่วยที่อยู่สุรินทร์ เขาบอกว่า มึงเอาของพวกนี้ไป แต่ขออย่างนึง มึงต้องเรียนวิชาป้องกันไว้ด้วยนะ ของพวกนี้เวลาที่มันดีก็ดี ไปเจอของร้ายๆ เราจะได้แก้ของได้ทัน

เรียนตั้งแต่ปั้นเทียน เทียนมาจากไหน สมัยโบราณเขาจะมีเทียนหน้าผี สมัยโบราณไม่มียาฟอร์มาลีน ตามต่างจังหวัด เขาก็จะเอาขี้ผึ้งแปะที่หน้าเพื่อไม่ให้เห็นตาถลน สวด 2-3 วัน ก็เอาขี้ผึ้งนั้นมาผสมนู่นนี่นั่น ผมเรียนตั้งแต่ตรงนั้น”


[ “น้ำมันพราย” ของขลังสายฮาร์ดคอร์ ]

เมื่อดำดิ่งลงไปในศาสตร์นี้ลึกขึ้น ก็ทำให้เขาได้สัมผัสเรื่องราวอาถรรพ์มากขึ้นเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือประสบการณ์ การเดินทางไปเก็บมวลสาร เพื่อมาทำเครื่องรางสายเสน่ห์อย่าง “น้ำมันพราย” ที่ต้องข้ามฝั่งไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน

“แล้วเราก็เรียนเยอะขึ้น สมัยก่อนบ้านเรากับฝั่งเขมรเดินไปเลย เจอตำรวจตะเวนชายแดนก็ให้เหล้าขวดนึง รู้อยู่แล้วว่ากลุ่มเราไปฝั่งโน้นไปทำอะไร จุดประสงค์เราไปเอาของ เป็นวัตถุดิบที่เราต้องไปเอาฝั่งโน้น เขาจะรู้กันนะว่าใครตาย เสียชีวิตแบบไหนบ้าง ตายโหง ตายท้องกลม ผู้หญิงสวยตาย เขาจะรู้เลย

เราก็… มันมีจริงเหรอวะ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น น้ำมันพรายมันเอายังไง เราก็ข้ามไปกับอาจารย์ ไปกัน 3-4 คน เขารู้จุด ลูกศิษย์ลูกหาก็เริ่มขุดกัน เอาออกมาเสร็จ ครูบาอาจารย์ทำพิธี ขอผีจนกว่าจะได้ ก็แกะผ้า เขาใส่ผ้าถุง

ผมนึกภาพว่าต้องเอาเทียนไปลนที่คอเหมือนในหนัง มันไม่เหมือน เขาลนตรงอวัยวะเพศ เพื่อจะเอาน้ำมันตรงนั้น เอาช้อนขูดน้ำมันแล้วก็ใส่ตลับยาหม่อง ได้ไม่เยอะหรอกครับ ได้มานิดเดียว แล้วก็เอาส่วนอื่น เอาปั้นเหน่ง เอาตรงนั้น เอาตรงนี้”



จิลล์เล่าอีกว่า น้ำเหลืองที่ต้องการ ไม่ได้ลนจากคางเหมือนที่เราเคยเห็นในหนังผี แต่คือการลนจากอวัยวะเพศ ภาพและกลิ่นในระหว่างการทำพิธีในวันนั้น ยังติดอยู่ในความทรงจำมาจนถึงทุกวันนี้

“ผมเห็นทุกกระบวนการ ยืนตัวสั่น กูมาทำไมที่นี่ ผมบอกตรงๆ ครั้งแรกในชีวิต กลิ่นนั้นยังติดจมูกผมวันนั้นจนถึงวันนี้ กลิ่นขนไหม้ กลิ่นมันไม่ได้เน่านะ แต่มันฉุๆ ผมพูดไม่ถูก

การเอาน้ำมันพราย ก็คือการเอาน้ำเหลืองจากศพตรงนั้น ที่ทุกคนสงสัยว่าทำไมเอาตรงคอ หนัง/ละครจะเอาตรงนั้นก็ไม่ได้ ก็เอาตรงหน้า ให้ความน่ากลัวเกิดขึ้น

เอามาเสร็จก็จะมีกระทะเล็กๆ ในกระทะเขียนยันต์ไว้ทั่วเลย เอาน้ำมันนี่ใส่ แล้วก็เอาน้ำมันจันทร์ น้ำมันอะไรของเขาใส่ แล้วก็เคี่ยว เสร็จแล้วก็ห่อผ้าเก็บที่เดิม แล้วก็ทำพิธีสะกดเพื่อไม่ให้ตาม เสร็จแล้วฝังปิดเหมือนเดิม


[ "ปั้นเหน่ง" เครื่องรางจากกระดูกหน้าผากมนุษย์ ]

ส่วนใหญ่ร้อยละ 99 เอามาจากผู้หญิง ไม่มีศพผู้ชาย เพราะว่าศพผู้หญิงคุมง่ายกว่าผู้ชาย ผู้ชายจะเกเร ดื้อ แต่ผู้หญิงจะของ่าย จะคุยได้ง่าย ควบคุมได้ง่ายกว่า จะสะกดได้ง่ายกว่า

ผมมีหน้าที่ตอกหมุดตามแยกต่างๆ ไม้ยาวคืบกว่าๆ ถือหินเอาไปไว้ทุบ ขากลับต้องทุบทุกแยก เพื่อไม่ให้ผีตาม แล้วก็ล้างอาถรรพ์ ผีจะไม่ตามพวกเรา ไปทำร้ายหรือทำลายพิธี หรือไปเข้าใคร เป็นอาถรรพ์บุคคลในคณะ ผมก็ไปหาที่นอนในเมือง ใจตึกๆๆ นอนไม่หลับ กินอะไรก็กินไม่ได้ เห็นแล้วมันติดตา ทุกกระบวนการทำ

หลังจากนั้นเราก็เรียนรู้เพิ่มมากขึ้น เรียนรู้เรื่องเครื่องรางต่างๆ ซึ่งเมื่อก่อนผมมีพระเครื่องเยอะ กลายเป็นว่าพระเครื่อง เครื่องรางแบบนั้น มันไม่ตื่นเต้นเท่ากับสิ่งเหล่านี้”

*** ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เปิดกรุ 6 ของสุดแรร์ ***

ไม่ใช่แค่กุมารทองกว่า 3,000 องค์ที่มีเก็บสะสมไว้เท่านั้น แต่กูรูด้านเครื่องรางคนนี้ เปิดกรุของแรร์จากอวัยวะคนจริงๆ ให้ได้ชมกัน เริ่มกันที่ “น้ำมันพราย” ที่มีพกติดตัวไว้เพื่อเสริมด้านเสน่ห์ให้กับเจ้าของ

“น้ำมันพราย เราไม่ได้ใช้ผีจากน้ำมันพราย เราใช้อาถรรพ์จากน้ำมันศพ น้ำเหลืองในนั้น ข้างบนจะเป็นน้ำมันจันทร์ น้ำมันที่ไม่ให้เหม็น ข้างล่างคือน้ำมันจากศพนะครับ

จริงๆ ต้องเอาไว้พกติดตัว ไม่ควรที่จะเอาไปป้าย ไปแตะ เพราะอะไร พอไปป้ายเสร็จ อาถรรพ์เกิดขึ้นที่คนแตะก่อนคนแรก เกิดสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ต้องบอกเลยว่าเครื่องราง มันมีทั้งด้านดีและด้านร้ายอยู่ในตัว อยู่ที่คนใช้

ผู้ชาย-ผู้หญิงส่วนใหญ่ จะป้ายผู้ชาย จะป้ายผู้หญิง ผมเห็นมาหมด แล้วผมถึงแนะนำให้พกติดตัวเป็นเสน่ห์ดีที่สุด เวลาเราไปป้าย เราได้เขาแล้ว แล้วไม่แซ่บ ไม่อร่อย จะทิ้งเขา มันเป็นกรรมกับเขานะ เขาจะบ้าตามราวี จะไปไหนจะตาม ก็จะเริ่มเพ้อเกิดขึ้น พอกรรมเสร็จเราก็ต้องหนี มันไม่มีความสุขครับ ต้องบอกก่อน”


ถัดมา “เสน่ห์ยาแฝด” ที่เชื่อกันว่าเมื่อผสมใส่อาหารให้คนที่หมายปองกินเข้าไป แล้วท่องคาถากำกับ คนคนนั้นจะเกิดความหลงใหลในตัวผู้ที่ทำเสน่ห์ยาแฝดนั่นเอง

“ที่อยากได้กันมากที่สุดก็คือ เสน่ห์ยาแฝด คืออะไร ให้บุคคลคนนั้นกิน จะเป็นชายหรือเป็นหญิง แล้วก็ท่องคาถาไม่กี่ตัวเอง บุคคลนั้นก็จะหลงงงงวยในความรักเรา เมื่อหมดฤทธิ์บุคคลนั้นก็จะคลายมนต์ไป ต้องให้กินใหม่ ต่างกับน้ำมันพราย

มันมีมวลสารอะไรก็แล้วแต่ ไม่ขออธิบายแล้วกัน เดี๋ยวคนจำแล้วเอาไปทำ มันจะมีผงต่างๆ ที่ให้บุคคลนั้นกินแล้วหลงงงงวย หลงเชื่อ ส่วนใหญ่คนที่ใช้ของเหล่านี้ ของเสน่ห์ ผู้หญิงกลางคืน ผู้ชายทำงานกลางคืน ก็มาปรึกษาเยอะแยะ”

ส่วน “หนังอวัยวะเพศผู้หญิง” ของหายากขั้นสุด ที่ใครๆ ก็อยากมีพกติดตัวไว้ เพื่อช่วยเสริมเรื่องเสน่ห์โดยตรง

“ผมมีของหาดูยาก แล้วก็เป็นของที่ไม่มีใครมี ต่างชาติเสียค่าเครื่องบินบินมา เพื่ออยากจะได้สิ่งนี้ นักการเมือง ผู้หลักผู้ใหญ่ ดารา หรือใครสายนี้ อยากครอบครอง ผู้ใหญ่เอาไปทำอะไร เวลาเขาหาเสียง ลูกบ้านเอ็นดู เชื่อถือ จะเป็นระดับตำบล ระดับท้องถิ่น หรือจะเป็นระดับประเทศ ผมคุยกับคนเหล่านี้มาหมดแล้ว

เจ้าของเดิมเป็นมาม่าซัง แก่แล้ว ได้ตกทอดต่อกันมา แล้วอยู่ที่ผม ความเชื่อคือ มีลึงค์เกิดขึ้น แล้วก็มีโยนีเกิดขึ้น ทุกคนออกมาจากนี่หมด แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ คนพก จะมีความเป็นเสน่ห์อยู่ในตัว เพราะมันรวมอยู่ในนี้ มันรวมน้ำมันพราย รวมทั้งของเจ้าของ รวมทุกอย่าง มันถึงเป็นของ masterpiece คนอยากจะพก ใฝ่ฝันของนักเล่นของพวกนี้”



มีฝั่งของผู้หญิงแล้ว จะพลาดฝั่งผู้ชายไปได้ยังไง แน่นอนว่าชิ้นถัดมาคือ “อวัยวะเพศชายเลี่ยมทอง”

“อันนี้หายาก เคยได้ยิน ‘กระเจี๊ยวเลี่ยมทอง’ มั้ยครับ ผมเลี่ยมให้ดูแล้วนี่ไง ไม่มีใครมี แล้วใครๆ ก็อยากจะมี เอาตั้งแต่นักการเมือง ผู้หลักผู้ใหญ่ระดับประเทศ ข้าราชการสายมูต่างๆ อยากได้มาก

เขามีกรรมวิธีในการถนอม ผมไม่ขอเล่าแล้วกัน แล้วก็มีสูตรของเขา เป็นว่านที่เอาไปแช่ ที่จริงมันได้หมดแล้วแต่เราจะขอเขาของเหล่านี้ไม่ใช่มีทั่วไป อาจารย์เล่าให้ฟังว่าไปเริ่มเอามา ตั้งแต่ พ.ศ.2498 - 2506 แล้วแกก็เลิกทำ

คนจะเอามาได้เฉพาะลึงค์นะ องคชาติ คือคนที่เมียเยอะที่สุด บารมีเยอะที่สุด แล้วไม่ตายโหง ถึงจะเอามาได้ ถ้าตายโหงใช้ไม่ได้เลย ต้องแก่ตาย ตายตามธรรมชาติ”


[ นักธุรกิจฮ่องกง บินมามูถึงไทย ]

อีกชิ้นที่เป็นที่สนใจของคนหลากหลายวงการ คือ “ผ้ายันต์” จากผ้าห่อศพ ที่เชื่อกันว่าช่วยหนุนดวง

“อันนี้เป็นผ้ายันต์ ดารา นักแสดง นักร้อง หรือว่าผู้หลักผู้ใหญ่ คลุมผ้ายันต์นี้กันมาเยอะ ผ้ายันต์นี้ใช้ในการคลุมเพื่อที่จะเกี่ยวกับเรื่องหนุนดวง ดวงไม่ดี ดวงตก ดวงต่ำ แล้วแต่ ใช้นี้ผ้าคลุม

เป็นผ้าห่อศพ ไม่ซัก ซึ่งห่อศพผีใต้ท้องกลม แล้วมาเขียนยันต์ ยันพวกนี้ก็แล้วแต่ว่าจะอาจารย์จะเขียนยันต์อะไร เอาไว้คลุมเพื่อหนุนดวง ข้าราชการมาคลุมเพื่อที่จะให้ตัวเองหมดมลทินก็มี

ของเหล่านี้ไม่ได้ทำครั้งเดียวและชีวิตจะดีขึ้นตลอด ถ้ามันเริ่มตกก็ต้องทำ หมอวิชาอาคมต่างๆ สำนักต่างๆ เขามาทำกันทุกปี เหมือนเติมฟิลเลอร์ ต้องเติมโบทอกซ์ มันมีความเสื่อมนะ”


และของชิ้นใหญ่อย่างสุดท้ายที่เขานำมาพรีเซนต์ คือ “หัวกะโหลก” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของคู่กายของจอมขมังเวทย์

“กะโหลกแม่ยุพา เป็นกะโหลกของอาจารย์ขมังเวทย์ ก็คืออาจารย์ของผมที่สอนวิชา เขาอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สมัยตอนที่เขาเรียนวิชาใหม่ๆ ซึ่งแม่ยุพาเป็นผู้หญิงสวยแต่ตายกะทันหัน เคยเห็นหมอผีมั้ย หมอผีเขาจะมีกะโหลกประจำของตัวเองอยู่ เอาไว้ปกป้องคุ้มครองหมอผีท่านนั้นๆ กันคุณไสย มนต์ดำ กันสิ่งชั่วร้าย เตือนภัยตลอดเวลา

คนที่เล่นเครื่องรางจะเข้าใจ แต่เขาเล่นกันเงียบๆ ไม่ได้มาเปิดเผยประเจิดประเจ้อ เพราะถ้ารู้ว่าใครห้อยอะไร จะแก้ได้ จะมีเหนือกว่า เพราะฉะนั้น มันก็เหมือนกับจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่ผมเอามาวันนี้ เอามาให้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร

เราเรียนด้านไสยศาสตร์ด้านเสน่ห์ พอรู้วิธีการแก้ รู้วิธีการทำ แต่ไม่ลงลึกไปขนาดนั้น เพราะว่ามันเป็นอาถรรพ์ดำที่จะติดตัวกับเรา ด้านทำร้าย ทำลายคนอื่น ผมจะไม่เรียน มันทำให้ไสยศาสตร์ด้านเสน่ห์แย่ลงไป ไม่ได้ผล

จะบอกว่าไม่ใช่มีแค่นี้ ผมเอามาแค่นี้ มีอีกเยอะกว่านี้ครับ ที่ยังไม่เคยเห็น ในนี้ก็จะเป็นผงยาแฝดทั่วไป ก็จะเป็น เบี้ยแก้ แก้ กัน เสริม หนุน สมัยโบราณเขาจะเอาปรอทใส่เข้าไปเชื่อว่ากันทุกสิ่งทุกอย่าง กันมนต์ดำกันคุณไสย ถ้าเป็นมุมคนที่ชอบเครื่องราง พุทธคุณ สายตะกรุด ก็จะชอบแบบนี้ เมื่อก่อนผมก็ชอบแบบนี้ แต่พอมันไม่สนุกแล้ว อย่างนี้รู้สึกมันตื่นเต้นกว่า”


“ชิปโบราณ” เครื่องรางนักเสี่ยงโชค


“เรื่องการพนันมันคู่กับคนไทยและคู่กับมนุษย์มานานแล้ว แค่ใบไม้ใบนึงหล่นมาจะคว่ำจะหงายยังพนันกันเลย คาสิโนสมัยโบราณ หรือว่าบ่อนสมัยโบราณ ไฮโล กำถั่ว มีหมด มีมาตั้งตั้งแต่สมัยอยุธยา อู่ทองเลยด้วยซ้ำ

คนเอาเข้ามาคือคนจีน แล้วก็มาตั้งอากรบ่อนเบี้ย ทั้งแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีของเหล่านี้หล่นอยู่ตามโคลนตม ในน้ำ อันนี้คือชิปในสมัยก่อน คนจีนกว่าจะมาเปิดบ่อนในบ้านเรา เขาเชื่อเรื่องพวกนี้ มูเหมือนกัน บ่อนนั้นคนเยอะกว่า บ่อนกูจะทำยังไง เขาก็ต้องไปทำพิธี หาหมอพิธีกรรมต่างๆ ในการที่โกยอย่างเดียว กินอย่างเดียว

ชิปเหล่านี้เอาไว้แทนเงินสด เฟื้อง อัฐ พดด้วงอะไรต่างๆ เอาไปแลกก่อนเหมือนสมัยนี้เลยครับ ทำมาจากกังไสหรือกระเบื้อง ที่ทำสวยงามที่สุดทำจากประเทศจีน เอามาขายให้บ่อนต่างๆ ทุกบ่อนจะต้องจ่ายอากรบ่อนเบี้ย แล้วโบราณเขาบอกเลยนะ ว่าเก็บอากรบ่อนเบี้ย ภาษีการพนัน ได้เยอะกว่าการขายของให้กับชาวต่างชาติอีก

แล้วเบี้ยต่างๆ ก็จะเป็นสัญลักษณ์ไม่เหมือนกัน เบี้ยต่างๆ สามารถเอาไปแทนเงินสดได้ แล้วไม่ใช่มีบ่อนเบี้ยของคนจีนเท่านั้น มีบ่อนเบี้ยของโปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส ซึ่งบ่อนเบี้ยตรงนี้ก็จะสูญหายไปตอนเราเสียกรุงครั้งที่ 2

มาเกิดอีกทีตอนรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 6 มีการเก็บอากรบ่อนเบี้ยไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงขึ้น ก็เลยยุบบ่อนต่างๆ ให้เอาเบี้ยมาคืนหลวง แต่ก็รู้กันว่าคืนก็ไม่ได้เงิน ก็เก็บเอาไว้ ไม่มีบ่อนแล้ว กลายเป็นหวย ก.ข. เกิดขึ้น

ที่เอามาให้ดูเพราะความหายากหรือเด็กสมัยนี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ ชิปต่างๆ คนที่ชอบเล่นการพนัน ชอบเล่นหวย ชอบพกติดตัว เชื่อว่าเอาไว้ดูดเงินดูดทอง โชคลาภ มันก็คือความสวยงาม ผมมองอีกแบบนึง"




ไม่ได้ผล “มนต์ดำเขมร” ทำของใส่ไทย

“ผมถามอาจารย์ผม หมอผีในเขมรที่เป็นรุ่นอาจารย์ยังเหลือมั้ย ไม่เหลือแล้ว เขมรแดง พล พต กวาดเรียบ คนมีความรู้คนตั้งตัวเป็นอาจารย์ มีสำนัก กวาดเรียบ แม้แต่คนใส่แว่นตาก็โดนฆ่าหมด ห้ามมีความรู้เด็ดขาดนอกจากพวกตัวเอง เบ็ดเสร็จแล้วตายประมาณ 2 ล้านกว่าคน แล้วก็หนีเข้ามาบ้านเรา หนีมาที่ศูนย์อพยพอีด่าง

ไสยศาสตร์ในเขมรตอนนี้มีจริงหรือเปล่า ที่เอารูปของแม่ทัพภาค 2 คุณสนธิ ท่านเสรีพิศุทธ์ เอามาทำ ทำไม่ได้ เพราะว่าเขมร หมอไสยศาสตร์ไม่หลงเหลือแล้ว กวาดล้างหมดแล้ว เหลือเพียงพิธีกรรม มันก็เหมือนการสาปแช่ง เผาพริกเผาเกลือ บ่นให้ผีฟัง ขอให้ผีไปช่วยทำให้บุคคลนั้นนู่นนี่นั่น ผมก็ทำได้ ใครเห็นก็รู้ว่าตลก

ผมบอกตรงๆ ว่าไสยศาสตร์มันต้องใช้ผู้มีวิชาอาคมที่เก่งกล้าจริงๆ ถึงจะทำได้ แต่ถามว่าเรามีของป้องกันมั้ย หลักๆ คือผีบ้านผีเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ปกป้องคุ้มครองอยู่ ใครก็แล้วแต่ ทำเราไม่ได้

ต้องบอกก่อนเลยว่าดวงเขากับดวงเมืองเราต่างกัน เขาถึงพยายามที่จะทำพิธีกรรมต่างๆ ไสยศาสตร์ต่างๆ แก้คำสาป แล้วยิ่งแก้ ไปกระทบกระเทือนคำสาป ชัยวรมันที่ 1 คำสาปเหล่านั้น เป็นคำสาปที่กษัตริย์ทำ ไม่ใช่ทาสทำ

เราไม่อยากจะเหยียดแต่มันเป็นคำสาปจริงๆ รู้มั้ยว่าคำสาปต่างๆ ที่เอาไว้แต่ละหลักศิลา เขาเขียนให้กับคนที่รู้อ่านออก เขียนให้พระมหากษัตริย์ เขียนให้กับเทวดาผีบ้านผีเมืองตรงนั้นอ่านออก ณ ที่นี้ ปราสาทแห่งนี้ ใครเป็นคนสร้าง ใครเป็นคนทำลาย ใครเป็นคนขโมย ใครเป็นคนยึดอำนาจ มันเกี่ยวกับการปกครองทั้งหมดเลย ชาวบ้านทั่วไป ตาสีตาสาอ่านไม่ออก

เขามีความเชื่อด้านนั้นทั้งผู้นำและเมียผู้นำ คนที่จะมาแก้คำสาปได้ ต้องเป็นเชื้อไขวรมันหรือขอมเท่านั้น ไม่ใช่ตระกูลแตงหวาน ถ้าตระกูลนายแตงหวานมาทำไม่ได้ ถือว่าเป็นบุคคลธรรมดา เป็นทาส”




ย้ำ “มูอย่างมีสติ”

“จริงๆ พุทธกับไสยศาสตร์นี่มาพร้อมกันเลยนะ ทุกวันนี้ก็มีหลายแบบ พระก็จะมีหลายนิกาย ถ้าเราไปหาพระที่ทำนะหน้าทอง เพื่อเสริมเสน่ห์ เสริมพลัง เสริมดวง ผมไม่ว่านะ ถ้าคุณไปแล้วมันดี คุณก็ไป แต่ถ้าคุณไปแล้วมันไม่ดี คุณก็เลิกไป

แต่พระบางกลุ่มหรือเอาศาสนามาบังหน้า โดยการทำไสยศาสตร์มนต์ดำ มีนะครับ ทำร้าย ทำลาย พระหลงสีกาก็มี ในการทำสิ่งเหล่านี้ สีกาทำใส่พระก็มี พระทำใส่ญาติโยมก็มี โดยที่หลงตัวเอง มอมเมาในด้านไสยศาสตร์

ก็อยากให้ทุกคนมูให้ถูกต้อง มูให้ปกติ จะไปทำบุญกับวัด ทำบุญกับพระ พรมน้ำมนต์ รับศีลรับพร ถือศีล 8 ถือศีลอะไร เพื่อจะให้ตัวเองเจริญ นับเป็นสิริมงคลกับตัว ไปได้เลย แต่ถ้าจะไปเกี่ยวกับด้านไสยศาสตร์ ไม่ควรไปในด้านนี้กับพระ

พระจริงๆ เขาไม่มายุ่งด้านนี้ คำว่า อุตริวิชา คือหลงมอมเมาอยู่กับสิ่งที่ไม่สามารถเป็นและจับต้องได้ หลงในผี หลงในสาง โดยการใช้เครื่องแบบตัวเองทำให้หลงมัวเมา บางคนเสียเนื้อเสียตัว เสียเงินเสียทองเยอะมาก เพราะฉะนั้น เราเลือกได้ อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร

อย่างผม ผมมีของเหล่านี้ แต่หลักธรรมคำสอนอะไรที่ดีและไม่ขัดกับผม ผมจะรับเอาไว้ เป็นคนดี ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ถ้าไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมไม่ทำ มูกันอย่างมีสติ แล้วก็เอาหลักธรรมคำสอนที่เหมาะกับตัวเอง

มูแล้วมันผิดตรงไหน ทำให้ให้กำลังใจเราดี เราไม่ได้ไปเดือดร้อนคนอื่น ไม่ได้เดือดร้อนคนรอบข้าง มูแล้วต้องหาไอเดียด้วย ในการบูชา ในการเชื่อในสิ่งพวกนี้ ไม่ลงมือทำ นอนเฉยๆ มันได้ที่ไหน”



สัมภาษณ์ : YouTube "พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร"
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก "Jack Jill Kumanthong"



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น