xs
xsm
sm
md
lg

ซิ่งท่องโลก มาซ่อมเด็กดอย “คุณครูไบค์เกอร์” 2 มิติฝัน ฮีลใจในคนเดียว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



2 ตัวตนต่างสุดขั้ว แต่ไปด้วยกันได้ “คุณครู-ไบค์เกอร์” มัดรวมสิ่งที่รัก ฮีลใจอาชีพครู ด้วยการซิ่งมอเตอร์ไซค์ท่องโลก หลากประสบการณ์ลุย เติมเต็มฝันวัยเด็ก บุกชายแดนใต้คนเดียว “16 วัน 14 จังหวัด” ก่อนกลับมาใช้ไฟฝัน เติมอาชีพหลัก “สร้าง-ซ่อม” ลูกศิษย์ให้ได้ดี

ต่างคนละขั้ว เจอกันในคนเดียว

“ต่างกันคนละขั้วเลย แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ เป็นครูเราก็ยังต้องเรียนรู้ เป็นไบค์เกอร์ เราก็ยังต้องเรียนรู้”

“ครูข้าวโพด-สนธยา ทิวทองนำชัย” อายุ 29 ปี เจ้าของเพจ “CoolKru RIDE OUT” ที่เธอเป็นทั้ง “คุณครูบนดอย” และ “ไบค์เกอร์” ขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว

แม้บทบาทหน้าที่ครูสาว กับมาดสาวไบค์เกอร์ จะต่างกัน 2 ลุค 2 สไตล์ บวกกับความเป็นสาวไซส์มินิของเธอ จะแตกต่างลิบลับ กับรถคันใหญ่ที่เธอขี่ แต่ก็ชอบที่จะทำ เพราะเธอบอกว่า การขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว ทำให้รู้สึกฟิน และมีความสุขทุกครั้ง จากอาชีพครูที่อาจจะหนัก แต่ก็รักทั้งการเป็นครู และไบค์เกอร์

ครูไบค์เกอร์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการชอบรถ 2 ล้อ เพราะตอนเรียนใฝ่ฝันมาตลอด ว่าอยากเที่ยวด้วยมอเตอร์ไซค์
แต่ตอนเรียนยังไม่ค่อยมีเงิน และไม่มีเวลา ต้องทั้งเรียนและทำงานส่งตัวเองไปด้วย

เธอนิยามตัวเองว่า น่าจะเป็นครูที่เฟี้ยวฟ้าวที่สุดในละแวกนั้น เพราะยังไม่เคยเห็นครูผู้หญิงคนไหนทำแบบนี้ ตอนนั้นพอลงรูป เครื่องแบบชุดกากี ยืนคู่กับรถ ก็ทำเอาคนในโซเชียลฯ ฮือฮาพอสมควร

“คนไลก์ก็เยอะตอนนั้นเอาชุดไปเปลี่ยนค่ะ เกรงว่ากระโปรงจะฉีก แต่หลังจากนั้น ก็ขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นใส่กระโปรงก็ได้นะ ไม่มีปัญหา แต่ตอนนั้นเราเพิ่งหัดขับใหม่ ก็เลยทักษะยังไม่พอ แต่ตอนนี้มันทำแบบนั้นได้ค่ะ คันที่มันเป็นมอเตอร์ไซค์กึ่งวิบากก็เคยควบ

ยังไม่เจอครูผู้หญิงด้วยกันขี่มอเตอร์ไซค์แบบเรา ก็เลยรู้สึกว่าทำไมมันเฟี้ยวขนาดนี้ ขึ้นดอยลงดอย ไปกลับบ้าน 500 กม. ก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน มันก็ไม่ค่อยมีคนอื่นเขาทำกันเท่าไหร่ เราเฟี้ยวฟ้าวอยู่คนเดียว”

ครั้งแรกที่เด็กนักเรียนเห็นว่า มีครูผู้หญิงควบมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ไปโรงเรียน ก็เกิดเสียงฮือฮาอยู่ แต่พอนานๆ ทีทุกคนก็เริ่มชินไปเอง

“ชินแล้ว แรกๆ ก็ฮือฮาค่ะ คือฮือฮาในอำเภอ มันเป็นอำเภอเล็กๆ เพราะว่าก็มีอยู่คนเดียวที่ขี่แบบนี้ คนเดียวที่โรงเรียน คันเดียวในอำเภอนี้เลยค่ะ”




เธอใช้เวลาว่างในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ในการออกไปท่องเที่ยว โดยที่ไม่เคยลาไปเที่ยวเลยสักครั้ง เพราะมองว่า ถ้าตัวเองลา แล้วจะกลายเป็นการผลักภาระให้ครูคนอื่น ต้องมารับผิดชอบสอนแทนตัวเอง

บทบาททั้งการเป็น คุณครู และไบค์เกอร์สาว แม้จะแตกต่างกันคนละขั้น แต่ก็ทำควบคู่ไปได้ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่กระทบอาชีพหลัก อย่างครูแน่นอน แถมยังรู้สึกฟิน และมีความสุขทุกครั้ง ที่ได้ขับมอเตอร์ไซค์

“ส่วนมากเขาจะมองว่าตัวแค่นี้ ขี่มอเตอร์ไซค์ใหญ่ได้ยังไง เพราะเราสูงแค่ 150 ซม. ขาเราไม่ถึง อีกขานึงลอย เราก็ต้องใส่เกียร์ 1 ไว้ก่อน เราต้องใช้ทักษะเยอะกว่าคนทั่วไป เพราะเราเตี้ย คือคนทั่วไปถ้าขาถึง มันคอนโทรลได้ดีกว่า

แต่ทุกครั้งที่ขี่มอเตอร์ไซค์ มันเป็นความรู้สึกที่มีความสุข เราชอบขับรถบนดอย ทุกครั้งที่เราเข้าโค้ง หรืออะไรก็แล้วแต่ คือมันมีความสุขมาก ถ้าเราเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์เป็นนะ มอเตอร์ไซค์จะเป็นความสุขมาก มันเหมือนของเล่นมากกว่า ที่มันจะเป็นของทรมานเรา

นอกจากมันมีความสุขตอนขี่แล้ว มันยังมีความสุขตอนที่ไปเจออะไรด้วย บอกไม่ถูก คือถ้าเปรียบเทียบเราตอนเด็ก เราก็จะมีของเล่นที่เราชอบ 

มันเหมือนเราได้เล่นหมากเก็บตอนเด็ก เหมือนเราได้เล่นรถของเล่นอะไรพวกนั้น ที่เป็นรถที่พ่อแม่เราทำให้ หรือหนังสติ๊ก หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มันเป็นของเล่น มอเตอร์ไซค์ทุกวันนี้ มันก็เปรียบเหมือนของเล่นชิ้นพวกนั้น ที่มันทำให้เรามีความสุข แล้วฟินทุกครั้งที่ได้ขับ”






หาเงิน-ส่งเรียน สานฝันเที่ยววัยทำงาน

ชีวิตที่ต้องสู้มาตั้งแต่เด็ก ของครูดอยคนนี้ จริงๆ เธอเริ่มทำงานมาตั้งแต่ช่วงเรียนจบ ม.6 เริ่มจากการเป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรม เธอบอกว่าตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจะได้เรียนต่อไหม เพราะพ่อแม่ไม่ได้มีเงินมากพอ ที่จะส่งเรียนได้ เธอจึงต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อไปจ่ายค่าเทอม

“ทำหลายอย่าง แต่ว่าหลักๆ เลยก็คือเป็นเด็กเสิร์ฟในอาหาร ร้านลาบอีสาน แล้วก็จะมีแต่ผู้ใหญ่เข้ามา และก็ขายเสื้อผ้าออนไลน์ ขายกางเกงยีนส์ ช่วงนั้นขายในเฟซบุ๊กบูมมากเลย มีทั้งนัดรับ มีทั้งแบบส่งไปรษณีย์ แล้วก็ขายในกลุ่มขายเสื้อผ้ามือ 2 เชียงใหม่

ช่วงนั้นหาเงินหนักมาก แล้วยิ่งตอนปี 5 คือแบบเราเริ่มมีกำลัง ที่จะซื้อได้มากขึ้นใช่ไหม เราก็ซื้อมาทั้งแบบปลีก-ส่งช่วงนั้น มันก็เลยทำให้หลังโควิดปุ๊บ เรามีเงินเที่ยว มันต่อเนื่องกันไปแบบนั้น ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เราอดเอาอย่างเดียว

ช่วงที่เรียนมหา’ลัย มันใช้ชีวิตค่อนข้างที่จะหนักไปทางการทำงาน และการเรียน แล้วมันไม่มีเวลาเที่ยว สมมติว่า อาทิตย์นึง เรามีเรียนประมาณ 3 วัน แล้วเราทำงานทุกวัน เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่า เราไม่มีเวลาพักเลย เราทำงานแล้วเรียนอยู่อย่างงั้น ประมาณเกือบ 5 ปี

จริงๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเป็นไบค์เกอร์ขนาดนี้ค่ะ มันเริ่มต้นจากช่วงมหา’ลัย ตอนนั้นก็ทำงาน ไม่ค่อยมีเวลาเที่ยว เราจะทำงานไปด้วย แล้วก็เรียนไปด้วย เพื่อนเขาขับมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวกัน ช่วงวันที่ไม่มีเรียน หรือช่วงวันหยุด ไปดอยอินทนนท์บ้าง ไปม่อนแจ่มบ้าง

เราก็ไม่ได้ไปกับเพื่อน เพราะว่าเราก็ต้องทำงาน เราก็อยากเที่ยวมาก ช่วงนั้นก็ซื้อกล้องไว้ตัวนึง ความฝันเราก็แค่สะพายกล้อง ขับมอเตอร์ไซค์แล้วไปถ่ายนั่นถ่ายนี่”


เธอเกิดและเติบโตที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ที่นั่นอยู่บนดอยที่ไม่มีไฟฟ้า อาชีพการทำงาน นอกเหนือจากการทำไร่บนดอย คืออาชีพครู นั่นจึงทำให้เธอรู้จักอาชีพนี้เป็นอาชีพแรกในชีวิต และมีความฝันว่าอยากเป็นครู เพราะรู้สึกว่ามัน “มีเกียรติ”

เธอเรียนจบครูภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ด้วยการกู้ กยศ. ระหว่างเรียน ก็มุ่งมั่นทำงานหลากอาชีพอย่างหนัก เพื่อส่งตัวเองเรียนเรียนให้จบ เพราะที่บ้านยากจน ไม่ค่อยมีเงินมากนัก

ทำให้ช่วงมหา’ลัย ไม่ค่อยได้ไปเที่ยว เพราะไม่มีเงิน แต่มีความฝันมาตลอด ว่าอยากออกเดินทางท่องโลก ฉบับวิถีไบค์เกอร์ ด้วยรถมอเตอร์ไซค์สักคันนึง

เมื่อเรียนจบ เธอได้ทำงานเป็นครูที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง รวมถึงรับงานสอนพิเศษเด็กๆ เพิ่มเติม จนรู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองวุ่นวาย ขอหันหลังกลับไปสอนแถวบ้านเกิด จนได้บรรจุเป็นครู ที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่



 

 “ตอนเด็กๆ เราเกิดและโตในหมู่บ้าน ที่มันไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีถนนดีๆ เป็นถนนลูกรัง หน้าฝนคือใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง กับระยะทางแค่ 20-25 กม. คือเราไม่ได้เกิดในที่มีทุกอย่าง เราเกิดในหมู่บ้านที่อยู่ในป่า ชาติพันธุ์เราเป็นกะเหรี่ยง ทีวีก็ไม่เห็น เพิ่งมาเห็นตอนประมาณสัก ป.4-ป.5

คือทุกอย่างที่มันอยู่ในเมือง เราเห็นแต่ในหนังสือ ไปโรงพยาบาล เราก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาลในเมือง เพราะมันไปลำบาก ไม่มีใครไปส่ง มันจะมีหมอที่จะเข้ามาดูแล มาตรวจสุขภาพเราบ้าง มาแจกยา

ส่วนมากเราจะเห็นแต่คนมาบริจาคสิ่งของ เขามาจากชลบุรีบ้าง มันก็เลยเห็นว่าฉันอยากไปจังหวัดนี้จังเลย จะมีโอกาสได้ไปไหม มันก็มีคิดบ้างแหละ แต่มันก็ไม่คิดว่า วันนึงเราจะได้ไปเยอะขนาดนี้

ไม่กล้าฝันด้วยซ้ำ เพราะว่ามันตอนเด็กๆ เรายังนึกภาพตัวเองเรียนจบ ป.ตรี ยังไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะมันไม่มีใครเรียนจบ ป.ตรี เลย อย่างน้อยถ้าจบ ม. 6 กลับมาแต่งงานมีลูก ทำสวนทำนา เรานึกแค่นั้น ในช่วงเด็กๆ มันไม่ใช่ว่าเราฝันไม่ไกลนะ แต่เราไม่ได้เห็นอะไรไกลพอ ที่เราจะฝันถึงมันได้”


Honda Click 150 เป็นส่วนรถคันแรกที่ซื้อ ที่ใช้เงินเก็บจากน้ำพักน้ำแรง ที่อดทนทำงานตอนสมัยเรียน บวกกับเงินจากอาชีพครู เป็นรถที่เธอมองว่า ทั้งใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และใช้เดินทางเที่ยวได้ด้วย

“คันแรกเวฟ 150 ประมาณ 60,000 กว่าบาท หลักๆ เอาไว้ทำงาน แล้วไปสอนพิเศษ มันก็คือเงินที่เราทำงานทุกอย่างรวมกัน ไปเป็นครูที่กรุงเทพฯ ประมาณ 4 เดือน แล้วซื้อรถ 

การซื้อรถมอเตอร์ไซค์คันนึง มันไม่ได้เป็นเรื่องหนักอะไรสำหรับเราในตอนนั้น มันไม่เหมือนมหา’ลัย ที่เราต้องอดทนกัดฟัน เพื่อที่จะได้มอเตอร์ไซค์คันนึงมา เราทำงาน แล้วเราแบบก็โตแล้ว เพราะว่าที่ผ่านมา เราก็วางแผนเรื่องเงินอะไรต่างๆ ได้ค่อนข้างดีแล้ว

แล้วการขับรถในกรุงเทพฯ มันสนุกมาก เหมือนเราเป็นสายซิ่งอยู่แล้ว ไม่ยอมใคร เราก็จะชอบไปแว้นแข่งกับพวกไรเดอร์ เป็นคนที่ค่อนข้างขับรถในกรุงเทพฯ คล่องอยู่แล้ว ก็ขับในกรุงเทพฯ ได้ปุ๊บ ก็อยากจะออกไปเดินทางไกลๆ บ้าง 

ก็เริ่มขับจากกรุงเทพฯ กลับบ้านที่เชียงใหม่ แล้วก็เริ่มไปเที่ยวไกลๆ ไปกาญจนบุรี ไปสวนผึ้งบ้าง แต่ที่แบบไปไกลสุดก็น่าจะขับจากกรุงเทพฯ เบตง”
 



จนตอนนี้เธอมีรถมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเองทั้งหมด 3 คัน และก่อนที่จะตัดสินใจการซื้อรถแต่ละคัน เธอต้องศึกษาก่อน ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ชอบแล้วจะไปซื้อได้เลย ต้องผ่านการคิดแล้วคิดอีกเป็นหลายเดือน ว่าคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งคันที่แพงที่สุด คือรถ Hunter 350 ซื้อมาในราคาประมาณ 130,000 บาท

“มี 3 คันค่ะ ตอนนี้หลักๆ ก็มีรถฮอนด้าเวฟ แล้วก็มี PG1 ของยามาฮ่า เป็นรถกึ่งวิบาก เอาไว้สำหรับลุยเข้าป่า กับ Hunter 350 Royal Enfield เอาไว้ขี่เท่ๆ ในเมือง ขี่สร้างภาพ (หัวเราะ) ส่วนมอเตอร์ไซค์ Click 150 ที่ไปเบตงครั้งแรกในชีวิต ขายไปแล้ว

อย่างมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ซื้อ ก็คิดมาเป็นปีเหมือนกัน จนวันที่รู้สึกว่าโอเค ฉันมีมาแล้ว ฉันยอมรับในข้อเสียของมันได้แล้ว ฉันชอบที่มันเป็นแบบนั้น ก็เลยซื้อ แต่ยังหาเหตุผลในการซื้อรถยนต์ไม่ได้ตอนนี้

คือเราไม่ได้ให้ค่า กับการที่ว่าเราจะต้องมีรถยนต์ แค่มอเตอร์ไซค์แค่นี้ ก็ที่สุดแล้ว คือเราพอใจแค่นี้ เราไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดยังไง มองแค่ว่า ทุกวันนี้ฉันมีความสุขกับการขับมอเตอร์ไซค์”




คนเดียว 16 วัน 14 จังหวัด เหนื่อยแต่มีความสุข

“ทริปแรกเนี่ย เราขี่จากกรุงเทพฯ ไปพิษณุโลก แล้วก็ไปทางเส้นสุโขทัย ไปตาก อ้อมไปแม่ฮ่องสอน ย้อนกลับมาที่เชียงใหม่ แล้วก็ขับจากเชียงใหม่กลับกรุงเทพฯ นั่นเป็นครั้งแรก ที่เอามอเตอร์ไซค์คันนี้ เดินทางไกลที่สุด แต่ก็หลังจากนั้น ก็มีที่ไกลกว่าก็คือ ขี่จากกรุงเทพฯ ไปเบตง”

ครูข้าวโพด เคยออกทริปคนเดียวยาวนานแบบบ้าระห่ำ ขี่จาก อ.ปาย ไปถึง อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งมีระยะทางกว่า 4,500 กิโลเมตร ก็เคยมาแล้ว

โดยทริปนี้เกิดขึ้น ช่วงที่เธอสอบบรรจุข้าราชการครูได้แล้ว แต่ในระหว่างที่ต้องรอเรียกตัวบรรจุ เธอจึงอยากพักใจ ด้วยการเลือกขับรถคันแรก Honda Click 150 ออกทริปคนเดียว 16 วัน 14 จังหวัด

“มันเป็นทริปที่ช่วงนั้นลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ เพื่อที่จะกลับมาบรรจุที่ต่างจังหวัด ก็คือรับราชการ ช่วงนั้นมันก็ว่างงานอยู่ประมาณ 8 เดือน เราก็เลยมีเวลาเยอะ ก็ขับ Royal Enfield Hunter 350 ของเรา ขี่จากปายไปเบตง ซึ่งระยะทางประมาณ 4,500 กิโล ไปกลับเลย แต่ว่าใช้เวลาประมาณ 16 วันได้ เพราะว่าเราแวะหลายจังหวัด

ขับเริ่มตั้งแต่กรุงเทพฯ ลงไปนอนชุมพร ไประนอง ไปภูเก็ต ไปหาดใหญ่ ลงไปถึงนราธิวาส ปัตตานี ก็ขึ้นมานอนสงขลา เป็นทริปที่ยาวมาก แล้วช่วงนั้นคือมันไม่ค่อยมีผู้หญิงขับรถเที่ยว”



เธอยอมรับว่าตอนนั้น ยังเป็นมือใหม่ ที่ยังไม่มีความรู้อะไรมากพอ เกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ คิดแค่ว่าอยากเที่ยวเฉยๆ พอมองย้อนกลับไป ก็ถึงขั้นเอ่ยปากว่า ดีที่ยังรอดกลับมาได้

“Solo Trip มันไม่ง่าย ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้เหมือนกันค่ะ ไปกลับมาปุ๊บ ก็ลงรูปลงคลิป ก็กลายเป็นว่าคนเริ่มเข้ามาดู ว่าผู้หญิงตัวเล็ก แล้วขี่รถธรรมดา ที่มันวิ่งความเร็ว ยังไงมันก็ไม่เกิน 120 แต่ไปไกลขนาดนั้นได้ไง

กลับไปมองตัวเองในตอนนั้น ก็ยังรู้สึกว่า กล้ามากที่ทำแบบนั้น ค่อนข้างที่จะบ้าพอสมควร ที่จะขี่รถไปแบบนั้น ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้มีความรู้เรื่องมอเตอร์ไซค์ เราก็แค่คิดว่า เราไปเพราะใจเฉยๆ ไม่ได้เซฟตัวเองเท่าไหร่ แต่ก็รอดกลับมาได้ หลังกลับจากเบตงปุ๊บ เริ่มมีคนรู้จัก”

[รถคันแรกที่ขับไปไกลถึงเบตง]
ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่เริ่มออกทริปเที่ยวมา ส่วนใหญ่ก็ไปคนเดียว หรือไปกับกลุ่มเพื่อนไบค์เกอร์บ้าง เธอบอกว่า ตอนนี้ไปมาแล้ว 70 จังหวัดทั่วไทย และก็มีอีกหลายจังหวัด ที่อยากไปซ้ำอีก

“ตอนนี้ที่เหลืออยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นจังหวัดทางอีสานใต้ ที่ยังไม่ได้ไป ก็คือมีตราด, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, ชัยภูมิ, มุกดาหาร, ยโสธร ประมาณ 7 จังหวัด ที่ยังไม่ได้ไป ก็เคยจะไปเก็บ 77 จังหวัด แต่เก็บไม่หมด ไม่มีเวลา พอมาทำงานเป็นครู แล้วเวลาน้อย

หลายจังหวัดนะ ที่อยากจะไปอีก แบบไปใช้ชีวิตอยู่ คือนครพนม แบบไปใช้ชีวิตอยู่เหมือนไปสงขลา นครพนมมันมีแม่น้ำด้วย อาหารอร่อย มันก็จะเห็นวิวภูเขาสวย แล้วก็ซอยจุ๊อร่อย

เรารู้สึกได้ว่านครพนมเป็นจังหวัดที่มีเสน่ห์ มันไม่วุ่นวาย เราชอบจังหวัดที่วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ของคนที่นั่นยังเด่นชัด มันไม่ได้ถูกการท่องเที่ยวแทรกแซง จนทำให้คนในพื้นที่สูญเสียความเป็นตัวเองไป

พอเรากลมกลืนไปกับคนที่นั่น เราก็จะซึมซับวัฒนธรรม แล้วคนในพื้นที่เหล่านั้น เขาก็จะเป็นตัวเอง ก็คือไม่มีแขกเขาเป็นยังไง มีแขกเขาก็เป็นแบบนั้น ซึ่งเราชอบอะไรแบบนั้นมากกว่า มันเป็นธรรมชาติ”

ส่วนทริปในต่างประเทศ เธอเองก็บอกว่า ยังไม่เคยได้ออกไปเที่ยว และก็ยังไม่มีแพลนว่าจะไปต่างประเทศ เพราะมองว่าบ้านเรา ก็มีอีกหลายอย่างให้ค้นหาอีกเยอะ


ทริปหลอน รถยางแบนกลางป่า

เธอเล่าถึงหลายเหตุการณ์อันน่ากลัว ที่ทำให้เธอ ไม่กล้าขับรถออกทริปตอนกลางคืนอีกเลยก็คือ ทั้งเคยยางแบนกลางป่า แล้วไม่มีคนช่วย ต้องทิ้งรถเดินเท้าประมาณ 7-8 กม. เพื่อไปหาคนช่วย

“เคยขับตอนกลางคืนค่ะ แต่นั่นคือสมัยที่ขี่แรกๆ แล้วรู้สึกว่า กลางคืนมันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง มันไม่ปลอดภัยกับใครเลย ไม่ใช่แค่ผู้หญิง ทั้งผู้ชายด้วย หนึ่งเลยอุบัติเหตุ สองคือคนที่เราไม่รู้ว่าจะมีใครอยู่ตรงนั้น แต่กลางวันมันจะดีกว่า มันจะปลอดภัยกว่า

สมมติว่ารถเป็นอะไรขึ้นมา การที่ใครจะผ่านไปผ่านมา หรือว่ามาช่วยเรา ไม่มีใครมาช่วยเรา ไม่เดินทางกลางคืนค่ะอันตราย

เหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเอง ที่เกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ ที่ทำให้ไม่เดินทางกลางคืนอีกเลย น่าจะเป็นเหตุการณ์ครั้งนึง ที่เคยขับออกจากเชียงใหม่ ไปลำปางตอนตี 5 ต้องผ่านขุนตาลกลางคืน มันเปลี่ยวมากๆ แล้วก็น่ากลัว แล้วก็หลอนด้วย กลัวผี

แล้วก็ครั้งที่ 2 มอเตอร์ไซค์ยางแบนกลางป่า เวลากลางคืนเลย สุดท้ายก็ต้องทิ้งมอเตอร์ไซค์ในป่า เพื่อเดินออกจากป่าตรงนั้นมา เกือบๆ 7-8 กม. เพื่อที่จะไปหาคนช่วย น่ากลัว หลังจากนั้นก็ไม่ทำอะไรแบบนั้นแล้วค่ะ”


หรือจะเป็นอีกเหตุการณ์ ที่ไปนอนเต็นท์คนเดียวริมทะเล แล้วรู้สึกมีคนมาเดินรอบเต็นท์ จนต้องโทรแจ้งตำรวจ ให้มารับไปนอนที่โรงพัก นั่นเป็นอีกเรื่องเตือนใจ ที่ทำให้เธอรู้สึกว่า ต้องรู้จักเซฟตัวเองมากกว่านี้

“ครั้งนั้นเราขับรถอยู่ที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช มันจะมีเส้นที่ติดชายทะเล ที่เราสามารถขับ ปกติเส้นเอเชียมันจะมี 2 เส้น ก็คือเราสามารถกลับไปทางสุราษฎร์ธานีได้ แล้วขึ้นไปชุมพร

แต่วันนั้นเราไม่ได้ผ่านสุราษฎร์ธานี แต่ว่าเราไปทางนครศรีธรรมราช แล้วค่อยเข้าสุราษฎร์ธานี เราผ่านทางนั้น ที่มันติดทะเลฝั่งอ่าวไทย แล้วเราก็ไปนอนริมทะเลแห่งหนึ่ง เป็นร้านอาหาร กลางคืนวันนั้นมันมีคนมาเดินรอบๆ เต็นท์เรา

แล้วรอบๆ นั้น มันก็ไม่มีใครอยู่ แล้วเราเป็นผู้หญิงคนเดียว เราก็จอดอยู่ตรงนั้นคนเดียว เราโทรหาตำรวจ ให้มาช่วยหน่อยค่ะ พอดีว่ามีคนเดินรอบเต็นท์หนู

คือเราก็ไม่กล้าส่งเสียง ตำรวจเขาก็มารับเราที่ริมทะเลตรงนั้น แล้วเราก็ไปนอนที่หน้าโรงพัก ครั้งนั้นเป็นอีกเหตุการณ์ที่มันทำให้เรารู้สึกว่า เราต้องเซฟตัวเองมากกว่านี้นะ”

 
 ส่วนการเตรียมตัวออกทริปแต่ละครั้ง เธอก็บอกว่าไม่ได้เตรียมอะไรมาก โดยเฉพาะของที่ไม่จำเป็น ไม่ต้องเอาไปเยอะ เพราะด้วยความที่ขี่มอเตอร์ไซค์ พื้นที่ค่อนข้างจำกัด แต่สำคัญที่ต้องมีเลยก็คือ หมวกกันน็อค

“หมวกกันน็อคไม่ใช่แค่ออกทริป หมวกกันน็อคมันเป็นสิ่งที่เราต้องใส่ทุกครั้ง ที่ขับมอเตอร์ไซค์ เราเตรียมแค่สิ่งที่เราสามารถคาดการณ์ได้ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เสื้อกันฝนหน้าฝนเราก็เตรียม

เราจะไม่ค่อยมีพร็อพเยอะเท่าไหร่ เพราะมันหนัก ถ้าได้เที่ยวจริงๆ เราจะรู้ว่า การที่เอาอะไรไปหลายอย่างรุงรัง และสุดท้ายไม่ได้ใช้ มันรู้สึกเหนื่อย เคยเอาไปของทั้งชุด ไม่ได้ใช้เลยทั้งทริปก็มี

การเดินทางมันก็เหนื่อยแล้ว เรารู้สึกว่าถ้าจะต้องมาเตรียมพร็อพ มาทำอะไรแบบนั้น ก็รู้สึกว่า เราไม่ได้เป็นอินฟลูฯ ทำเป็นอาชีพ ลงแค่อยากลงจริงๆ”




ลุยโคลน รถสไลด์ ชนควาย

การลองผิดลองถูกกับมอเตอร์ไซค์ จนทำให้รู้สึกสนุกไปกับมัน โดยเธอเริ่มหัดรถมอเตอร์ไซค์ด้วยตัวเอง ตอนอยู่ ม.1 ด้วยการแอบลองขี่มอเตอร์ไซค์ของพี่สาว ทั้งที่ตอนนั้นก็ยังขี่ไม่เป็น แม้จะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ก็รู้สึกทุกครั้งที่ได้อยู่หลังแฮนด์รถ

“พี่สาวเราเริ่มไปเรียนมหา’ลัย แล้วพ่อก็ซื้อมอเตอร์ไซค์ไว้ให้เขาคันนึง เป็นมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าดรีม รุ่นเก่ามากๆ มันไม่มีใครสอนเลยค่ะ คือพ่อแม่เราก็ขับมอเตอร์ไซค์ไม่เป็น พ่อแม่เราก็ทำได้แค่สตาร์ท แล้วอุ่นเครื่องไว้ เพื่อที่แบบจะไม่ให้แบบเครื่องมันพัง คนที่ขับเป็นก็มีพี่สาวคนเดียว

เราก็เห็นเพื่อนเขาเริ่มขี่มอเตอร์ไซค์กันแล้วเหรอ ทำไมฉันก็อยากขี่ แต่ไม่มีใครสอนฉันได้เลย พ่อแม่ก็สอนฉันไม่ได้ จำเหตุการณ์วันแรกได้เลย ที่ขับมอเตอร์ไซค์คันนั้น กล้าที่จะขับออกมา คนที่ไม่มีทักษะในการขี่มอเตอร์ไซค์

เราก็คอยสังเกตด้วยตาตัวเอง รู้สึกว่ามันก็ไปได้ คือดูไปดูมาหลายครั้งแล้ว เราก็เริ่มไปกับเขาบ้าง ผลักรถให้เขา เวลาเขาขี่ คือเขาสอนให้ทรงตัวได้ก่อน แบบเกียร์ว่าง เราก็เป็นคนไปผลักให้เขา และบางทีเราก็ได้ลองขึ้นกับเขาบ้าง

ฉันจะลองมาขับดูละกัน ไหนๆ ฉันก็รู้วิธีขี่แล้ว ก็เลยแอบหยิบกุญแจที่บ้าน สตาร์ทออกไป แล้วก็ไปน้ำตก ถึงแม้ว่ามันจะสั่น แต่มันก็ไปได้นะ จนขี่ไปจนไม่กลัว

ครั้งแรก ครั้ง 2 ครั้ง 3 มันก็ยังไม่กล้าขับไปหรอก แต่พอมันขับเริ่มเป็นนิดหน่อยแล้ว คือเริ่มดี มันก็เริ่มห้าวเนอะ สุดท้ายก็ล้มเพราะห้าว ไม่ได้ล้มเพราะความเงอะงะนะ ล้มเพราะความห้าว ใส่เกียร์ว่างลงดอย นึกภาพบนดอยที่มันเป็นถนนลูกรัง ที่มันเป็นทางดินหนังหมูแล้วเราใส่เกียร์ว่างลง

แต่เป็นคนล้มแล้วเข้าใจ ไม่ได้ล้มแล้วกลัวเข็ดขยาด ก็ลองฝึกหลายๆ อย่าง ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองมาเยอะกับมอเตอร์ไซค์ จนทุกวันนี้ก็กลายเป็นว่าชอบมอเตอร์ไซค์”




เธอเล่าถึงประสบการณ์ในวัยเด็กให้ฟังว่า เคยขับไปชนควาย จนรถล้ม เจ็บหนักที่สุดในชีวิต เพราะตอนนั้นยังไม่มีทักษะที่มากพอ

“บาดเจ็บสุดๆ ก็คือขับรถไปชนควาย ตอน ม.1 ขับรถกลางคืน คือตอนนั้นเรายังไม่มีทักษะในการขี่รถ คือมันเป็นถนนที่ มันไม่ดี เราก็เบรกหน้า จริงๆ คือห้ามใช้เบรกหน้า เวลาเกิดเหตุการณ์กะทันหัน เขาถึงไม่ให้เอามือไปแตะตรงเบรกหน้า เพราะเบรกหลังมันทำให้รถทรงตัวไม่ได้

ตอนนั้นเราก็ยังไม่มีความรู้ไง เจอถนนดินไปเล็กน้อย กับเจอควายตัดหน้า แล้วเบรก แล้วหลังปักลงแฉลบ ก็ทำให้เดินไม่ได้เป็นอาทิตย์ เดินไม่ได้เลย ตอนนั้นเจ็บหนักสุดในชีวิต

แต่ว่ามันมีครั้งที่เสียว และอันตรายกว่านั้นอีก เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ที่เชียงดาว เราเอามอเตอร์ไซค์วิบากไปขับทางดำ แล้วเราขี่ด้วยความเร็ว ที่เราควบคุมไม่ได้ เรายังไม่ได้รู้จักนิสัยรถมาก คือรถแต่ละคัน มันจะมีนิสัยไม่เหมือนกัน

รถเราเอง แต่มันเป็นรถที่เราซื้อมาใหม่ไม่ถึงปี แล้วเราก็ลองขี่ ตอนนั้นความเร็วมันเยอะเกิน แล้วเราไปเจอถนนในเชียงดาว ที่มันเป็นแบบนูนขึ้นมา วันนั้นเรายอมให้ตัวเองล้มให้เจ็บ เพราะว่าถ้าเราไม่ล้มตอนนั้น เราลองปล่อยไปอีกนิดนึง แบบไม่ถึง 5 วินาที คือเราก็ไม่รู้ว่าเราจะมานั่งคุยแบบนี้ได้อยู่ไหม

มันส่าย จนมันไม่สามารถที่จะคุมในทิศทางปกติได้ ตอนนั้นรถก็ถลอก ไม่ได้พัง แต่สไลด์ไปประมาณ 50 เมตร เราลงบ่อข้างทาง ก็แอบเจ็บอยู่ กลายเป็นแผลเป็นทุกวันนี้เลย ไปนอนโรงพยาบาลที่เชียงดาว ไม่มีญาติด้วยตอนนั้น คือตั้งใจจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ แต่กลับไม่ถึง”



นอกจากนี้ เธอยังเล่าถึงประสบการณ์บนถนน ที่บางครั้งก็ต้องลุยป่า ฝ่าโคลน ล้มบ้างเจ็บบ้าง แต่ก็เต็มได้วยประสบการณ์

“ถนนจากโรงเรียนที่เราอยู่ กลับไปบ้านเรา มันจะมีทางลัดทางนึง คือเราไม่ต้องอ้อมไปไกลถึงแม่แตง แต่ว่าถนนมันเป็นถนนลูกรัง เป็นดินแบบแฉะเขลอะขละ ก็ขับไป 52 กม. แต่ว่าถนนมันไม่ดี มอเตอร์ไซค์เต็มไปด้วยโคลน ล้มบ้าง เจ็บบ้าง ก็จะเต็มไปด้วยฝุ่นเต็มตัวค่ะ”


หลงรักเสน่ห์คนใต้ “สงขลา”

จังหวัดสงขลา เป็นจังหวัดที่ทำให้เธอรู้สึกหลงรัก จนกลับไปเที่ยวซ้ำๆ 4-5 ครั้ง โดยเฉพาะผู้คน ที่นักท่องโลกคนนี้บอกว่า ผู้คนน่ารัก และมีน้ำใจมาก

“สงขลาเราประทับใจเกาะยอ ไปนับไม่ถ้วน หลายครั้งนะ 4-5 ครั้งได้ ประทับใจสงขลาเพราะว่า ตอนนั้นเป็นทริปที่กลับจากเบตงค่ะ แล้วก็หาที่พักวุ่นวายมาก ที่พักหาดใหญ่ ส่วนมากมันแพงมากๆ เรารู้สึกว่า กว่าจะถึงปาย ต้องเสียค่าที่พักคงอีกเยอะเลย รู้สึกว่าอยากจะเซฟ ก็เลยหาที่พักราคาไม่แพง แล้วก็ได้มาในราคา 300 กว่าบาทเป็นโฮสเทล

แต่ว่าประทับใจมากๆ มันเป็นโฮมสเตย์ของพี่คนนึง ที่เป็นคนสงขลา อยู่ในเกาะยอ คือทำบ้านบนต้นไม้ แล้วเขาดูแลลูกค้าเหมือนเป็นเพื่อนไปหาเขา เราไปหยิบไปกินอันนี้ได้เลย เราไปถึงค่อนข้างมืด เขาก็ยังเตรียมอาหารมาให้เรา แล้วตื่นเช้ามา ก็ยังทำกับข้าวให้เราอยู่

เกิดอยากกลับไปอีกแล้ว นึกถึงที่นี่ เพราะรู้สึกว่าฉันประทับใจเจ้าของบ้าน การดูแลของเขา อาหาร แล้วก็เกาะยอด้วย เพราะเกาะยอบรรยากาศดีมาก ก็เลยไปอยู่นะคะ 10 วัน พักตรงนั้น 10 วัน เขาก็ลดให้ เขาคิดแค่ 4,500 ถ้ารวมอาหารคือแบบเหมือนเราไปอยู่ฟรีมากกว่า ดูแลเราดีมาก เหมือนเราเป็นเพื่อนเขา ทุกวันนี้ก็กลายเป็นเพื่อนกันค่ะ”


นอกจากบรรยากาศที่สวยงามแล้ว สิ่งที่เธอประทับใจมากๆ เลยก็คือผู้คน เธอบอกว่า รู้สึกประทับใจคนใต้มาก

“จริงๆ เรียกว่าประทับใจคนใต้ดีกว่า เขาดูแลคนที่ไปเยี่ยมเยือนจังหวัดเขาดีมากเลย ให้คำแนะนำเรื่องถนนหนทาง ขนาดเราแวะซื้อข้าวที่ร้านข้างทางเฉยๆ อาหารใต้ เขาก็เห็นแล้วว่า เราเป็นคนแปลกถิ่น เขาก็ยังเอาอาหารกินเล่นอย่างอื่น มาวางตั้งไว้ให้เรา ทั้งที่ก็ขายของให้เรา แต่ก็ยังเอาอย่างอื่นมาวางให้

ก็เลยรู้สึกว่า เราได้อะไรจากที่นี่เยอะมากจริงๆ เราชอบใต้มากเลยนะ เพราะอากาศมันดีทั้งปี หน้าร้อนมันก็ไม่ได้ร้อนเหมือนที่อื่น หน้าร้อนอากาศตอนเย็นๆ คือเย็นเลย

คือหลังๆ มาเราเริ่มตกหลุมรักความเป็นวิถีชีวิตของคน มากกว่าจะไปดูธรรมชาติ ตอนที่ไปอยู่สงขลา 10 วัน คือไปใช้ชีวิตเหมือนคนที่นั่น มันทำให้เราเห็นได้เลยว่า คนที่นั่นเขาขับรถยังไงกัน เขาอยู่ยังไง เขากินอะไร แล้วก็ได้กินอาหารที่เราไม่เคยกิน

อย่างเช่นกินไข่ครอบสงขลา คือมันเป็นสินค้าของจังหวัดสงขลา ที่เหมือนไข่เค็มเลย แต่รสชาติดีกว่ามาก แล้วมีความนุ่มนวลอร่อยกว่า เขาไว้กินกับแกงส้ม

แล้วคนที่อยู่เกาะยอ ทำกับข้าวส่วนใหญ่เขาไม่ใส่ผงชูรส แต่เขาใช้ใบลา ก็คือใบยี่หร่า แต่เขาเรียกว่าใบลา ใช้แทนผงชูรส รสชาติเปลี่ยนเลย เพิ่งทราบว่ามันได้ด้วย ก็ได้เห็นหลายๆ อย่าง

มันเป็นเมืองที่ มันมีทุกอย่างที่เราชอบ แล้วมันราคาถูก มันก็มีย่านเมืองเก่าสงขลา ที่ถ่ายรูปสวยๆ ซอยต่างๆ คือมันเดินเพลินมากเลย เป็นทะเล ทั้งทะเลสาบ คือมันติดทะเลทุกฝั่งเลย มีร้านเหล้าเล็กๆ มีนักศึกษามหา’ลัยเยอะมาก”


หลายคนอาจจะกลัว ไม่ค่อยอยากไปเที่ยวใต้ เพราะอาจจะเห็นข่าวตามหน้าสื่อถึงเหตุการณ์ไม่ค่อยสงบของชายแดนใต้ แต่นักท่องโลกคนนี้ เธอยืนยันว่า ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เห็นในทีวี ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้กลัวเลย และถ้ามีโอกาส ก็อยากกลับไปอีกบ่อยๆ

“เราไม่ได้กลัว เพราะว่าก่อนหน้านั้น มันมีคนที่ไปมาก่อนแล้ว ถึงมันจะไม่ได้เยอะ แล้วอีกอย่างเรามีเพื่อนมหา’ลัย ที่เป็นคนปัตตานี ก่อนจะไปเราก็ถามเขาว่า เราไปได้ไหม เขาบอกว่าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะเดินทางกลางวัน

เราถึงกล้าไปนราธิวาส ปัตตานี เบตง บางทีมันก็เป็นถนนที่รถไม่ค่อยผ่าน เราก็ไปคนเดียว ไปเทือกเขายือลาแป ซึ่งสมัยก่อนมันเคยเป็นที่มีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นบ่อยมากบริเวณนั้น แต่เราไปในฐานะนักท่องเที่ยว

คือเราก็ไม่รู้หรอก วันดีคืนดี อาจมีนักท่องเที่ยวสักคนหนึ่ง อาจโดนอะไรก็ได้ แต่เราไปด้วยความปกติ เราไปด้วยใจ ที่ไม่ได้ไปทำร้ายใคร เราแค่อยากมาเที่ยว มาศึกษา

มันคนละอย่างกับในข่าวทีวี ที่เราเห็นเลยค่ะ บางครั้งมันก็เป็นเหตุการณ์จริงๆ บางทีมันก็เป็นกระแส ไม่งั้นคนที่นั่น เขาก็คงอยู่กันไม่ได้ เพราะว่าทั้งปัตตานี และนราธิวาส มีคนพุทธอยู่เหมือน มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ถ้าเราไปแล้วเราไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนอะไรให้เขา หรือว่าไปทำอะไรที่มันเป็นการหมิ่นเขา”


เธอบอกอีกว่า เป็นนักท่องเที่ยวสายวิถีชีวิต คือออกไปเรียนรู้วัฒนธรรมคนต่างถิ่น มากกว่าแค่ไปดูธรรมชาติที่สวยงาม เพราะมองว่า น่าจะได้แนวคิดอะไรดีๆ จากคนจังหวัดอื่น

“เราไม่ได้เที่ยวแค่ดูธรรมชาติเฉยๆ เราเที่ยวเพราะว่า เราอยากจะเรียนรู้วัฒนธรรมคนต่างถิ่น ที่มันไม่ใช่ในแง่มุมของการเที่ยว สนใจในเรื่องของพฤติกรรมของคนด้วย

คือเราชอบเรียนรู้ เราก็อยากจะรู้บริบทของคนภาคนี้ เขาใช้ชีวิตกันยังไง คนจังหวัดนี้ เขาอยู่กันยังไง เหมือนบ้านเราไหม เราก็มีโอกาสได้เอาตัวเองไปเจอ เพื่อที่พอจะเห็นอะไรดีๆ บ้าง เราอาจจะได้รู้แนวคิดอะไรหลายอย่าง ของคนจังหวัดนั้น จังหวัดนี้ หรือใครก็ตาม ที่เราไปเจอ

หลักๆ คือเราแค่อยากจะเรียนรู้ เข้าใจคนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม อาหารการกิน อะไรพวกนั้นมากกว่า เพราะเรารู้สึกว่า ธรรมชาติมันไปไหนก็ได้ แต่เราเดินทาง เพราะว่าเราอยากจะเจอผู้คนมากกว่า ไปดูแค่ธรรมชาติ”




ครูคืออาชีพที่สร้าง และซ่อมคน

ตอนนี้ครูข้าวโพด สอนอยูที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ซึ่งอำเภอที่ติดชายแดนพม่า ห่างจาก อ.เชียงดาว ประมาณ 70 กม. เด็กส่วนใหญ่ 80% เป็นเด็กไทใหญ่ที่อพยพมา ไม่มีสัญชาติไทย และที่โรงเรียนมีนักเรียนทั้งหมด 500 คน เป็นโรงเรียนขนาดกลาง และครูข้าวโพด รับหน้าที่สอนชั้น ป.3

อาชีพครูแม้จะหนัก แต่เธอก็มองว่าดีใจที่เลือกอาชีพนี้ เพราะเป็นอาชีพที่สร้าง และซ่อมคนในเวลาเดียวกัน

“มันเป็นอาชีพที่เราให้คุณค่ากับมันมากๆ เลย ครูสำหรับเรา มันตามมาด้วยความรับผิดชอบเยอะแยะมากมาย แล้วมันเป็นอาชีพที่หนักนะ มันคือการสร้างคน แล้วก็ซ่อมคนในเวลาเดียวกัน

เราต้องสร้างเด็ก ที่เราอยากจะให้เขาเติบโต เราอยากจะเห็นเขา ให้เขามีอนาคตที่สดใส เราก็ต้องค่อยๆ สร้างเด็กพวกนั้นขึ้นมา มันเป็นงานที่ไม่ใช่ใครก็ทำได้ คือถ้าไม่มีใจ สักแต่จะทำ มันไม่ได้เป็นอาชีพครูที่แท้จริง

แต่เรารู้สึกว่า เราได้สร้างคนไม่พอ เราต้องซ่อมคน เด็กที่มีบาดแผล มีอะไรหลายๆ อย่างจากครอบครัว หรือว่าจากอะไรก็แล้วแต่ แล้วจิตใจเขามันไม่ได้ดี มันไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมดุล เราก็ต้องค่อยๆ ซ่อม

คือมันไม่ใช่แค่การสอนหนังสือเขานะ แต่มันคือการสอนให้เขารักษ์โลก รักในชีวิต รักมนุษย์ด้วยกัน รักทุกอย่าง ทำยังไงก็ได้ให้เขารู้สึกว่า ฉันมีความสุขกับทุกอย่างบนโลกนี้ เหมือนที่เรามีความสุขกับทุกสิ่งบนโลกนี้”




สิ่งสำคัญที่ครูไบค์เกอร์คนนี้เชื่อเลยก็คือ เชื่อว่าโอกาสทางการศึกษา จะพาลูกศิษย์ของเธอไปได้ไกล เหมือนที่เธอก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าจะมาได้ถึงทุกวันนี้

“อยู่ที่เขาเองด้วย เคยคาดหวังมากๆ กับการที่จะต้องดูแลคน แต่สุดท้ายปัญหาต่างๆ มันสอนให้เราเข้าใจว่า เราไม่จำเป็นที่จะต้องผลักดันเด็กทุกคนในห้อง ให้ไปไกลได้ เราไม่จำเป็นต้องเหนื่อยขนาดนั้น เรายังมีตัวเองที่ต้องดูแลอยู่ แต่ว่าเอาให้มันเต็มที่ อย่างน้อย 20 คน สัก 5 คน ที่สามารถไปไกลได้ แค่นั้นมันก็ดีใจสุดๆ”

เธอยอมรับว่าตอนนี้ ความฝันของการเป็นครู และความฝันการได้เดินทางท่องเที่ยว สำเร็จแล้ว แต่ยังเหลือความฝันอีกอัน ที่อยากสร้างโฮมสเตย์ฮีลใจ ให้กับคนที่กำลังเจ็บปวด กับปัญหาต่างๆ ได้มาทำกิจกรรมฮีลใจ

“success แล้วแหละ เหลือแต่สิ่งที่เราจะทำตอนนี้ ที่มันกำลังเดินทางไป ก็คือเราอยากจะช่วยคน อยากจะช่วยคนให้กลับมาอยู่กับตัวเอง กำลังทำโฮมสเตย์อยู่ แต่ว่าเป็นในรูปแบบของ Healing space

หากิจกรรมให้เขาทำ อย่างเช่นวาดรูป ไปเที่ยวน้ำตก แล้วก็เอาหินมาทุบๆ วาดภาพเป็นศิลปะ แล้วปลูกต้นไม้ แล้วก็ทำดินเผา เป็นอนาคตข้างหน้า แต่ตอนนี้กำลังเริ่มสร้าง ตอนนี้ก็ประมาณสัก 20% แล้ว”

ความฝันอันนี้ เธอบอกว่า ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากการออกไปท่องเที่ยว แล้วเจอผู้คนหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการเจ็บปวด คงจะดี ถ้าเรามีพื้นที่ให้พวกเขาเหล่านั้นได้ฮีลใจ

“มันปนกันหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางแต่ละที มันเห็นคนเจ็บปวดกับอะไรหลายๆ อย่าง หลายคนเดินทางเพราะว่าเจ็บปวด แล้วพอเจ็บปวดปุ๊บ เดินทางไปที่นึง แล้วรู้สึกว่าถ้ายังไม่ฮีลใจให้เขา การเดินทางนั้นอาจจะสร้างบาดแผลเขาเพิ่ม แต่ว่าถ้าเรามีที่ทำให้เขาเดินทางไปแล้ว เขาได้เห็นตัวเอง มันก็คงจะดีเนอะ เราก็อยากให้เป็นแบบนั้นบ้าง เป็นที่รักษาคน”


สุดท้าย เธอฝากถึงคนที่กำลังเลใจ ในการตามฝันของตัวเอง อยากบอกว่า ถ้ามัวแต่รอว่าพร้อม ค่อยลงมือทำ วันนั้นจะมาไม่ถึงสักที ดังนั้นจงลงมือทำเลยตอนนี้ แต่ต้องเริ่มอย่างระมัดระวังด้วย

“อยากจะฝากถึงใครสักคน ที่อยากลองทำอะไรสักอย่าง เราจะบอกว่า ถ้ายังไม่ลอง แล้วเราวางแผนเยอะเกินไป บางทีสิ่งที่เราวางแผนไว้ บางอย่างเราจะอาจจะไม่ใช้ ถ้าอยากจะทำอะไร แล้วรอให้ตัวเองพร้อม มันจะไม่มีวันพร้อม เพราะว่าการจะทำอะไรที่มันสำเร็จ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก

บางทีใช้ความรู้ บางทีใช้คอนเนกชั่น บางทีถ้าเราได้ออกไปปุ๊บ เครื่องไม้เครื่องมืออะไรต่างๆ จะเข้ามาหาเราเอง แต่เราต้องออกไปก่อน เราไม่สามารถรอให้ตัวเองพร้อมทุกอย่างได้ ถ้ารอให้ตัวเองพร้อมทุกอย่าง เราจะไม่ได้ทำอะไรเลย เริ่มต้นจากการที่ไม่พร้อมนี่แหละค่ะ แต่ว่าเริ่มอย่างระมัดระวัง เริ่มแบบมีแผนการรองรับ”


สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : Facebook “CoolKru RIDE OUT”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น