xs
xsm
sm
md
lg

ฟันธง #น้ำท่วมหาดใหญ่ ฝนตกหนักสุดในรอบ 300 ปี ยังไม่เท่า “บริหารห่วยแบบมวยวัด”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ฝนตกหนักที่สุดในรอบ 300 ปี!! ผลักให้ “สงขลา-หาดใหญ่” อยู่ใต้บาดาล นักวิชาการชี้ “วิกฤติน้ำท่วม” ครั้งนี้ ฝนถล่มก็เป็นแรงผลักหลักส่วนนึง แต่อีกส่วนคือรัฐบาล “บริหารแย่” ไม่เตรียมพร้อม จนผลกรรมมาลงที่ประชาชน ทำให้อพยพไม่ทัน กระทั่งกลายเป็นผู้ประสบภัย ที่กำลังขาดน้ำ-ขาดอาหาร อย่างถึงที่สุด

** ฝนถล่มเพียง 3 วัน “จมบาดาล” **


วิกฤตการณ์ “น้ำท่วมสงขลา” จมบาดาลภายในเวลาเพียง 3 วัน “กรมชลประทาน” เผย สาเหตุมาจาก “ฝน” ที่ถล่มลงมาติดต่อกันหลายวัน ซึ่งถือว่าเป็นพายุฝนหนักที่สุดในรอบ “300 ปี”

16 อำเภอของสงขลา ถูก “น้ำท่วม” คนกว่า 465,000 ชีวิต ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ “หาดใหญ่” ที่มีผู้ประสบภัยกว่า 243,000 คน ตอนนี้หลายคนยังคง “ติดอยู่” ใน “บ้าน” และ “อาคาร” ออกไปไหนไม่ได้

ขาดแคลน “น้ำ” “อาหาร” และ “ไม่มีไฟฟ้า” เพราะบางจุดน้ำขึ้นสูง เกือบถึงชั้น 2 ของบ้านแล้ว บางคนที่อยู่บ้านชั้นเดียว ถึงกับต้องหนีขึ้นไปอยู่บนหลังคา

ท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ทำให้การไฟฟ้าต้องสั่งการ “ตัดไฟ” ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.เพื่อความปลอดภัย

ผู้ประสบภัยตามพื้นที่ต่างๆ ทำได้เพียงแชร์โลเกชันของตัวเอง แปะเอาไว้บนโลกโซเชียลฯ และขอความช่วยเหลือไปตามเพจดังต่างๆ เพื่อหวังให้มีทีมกู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา ก่อนที่แบตมือถือจะหมดลง



ในขณะที่การลำเลียงความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะจากรถทหาร หรือเรือท้องแบน ก็ทำได้อย่างยากลำบาก เพราะนอกจากหลายจุดจะมีน้ำท่วมสูง จนรถไม่สามารถเดินทางได้แล้ว ถนนบางเส้นก็เต็มไปด้วยรถของชาวบ้าน ที่พากันมาจอดหนีน้ำ ทำให้ความช่วยไปไม่ถึง

ก่อนที่ “รัฐศาสตร์ ชิดชู” ผู้ว่าราชการ จ.สงขลา จะออกคำสั่งด่วน ให้คนในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ “อพยพ” ทั้งหมดในทันที เพื่อเดินทางไปสู่จุดปลอดภัย ที่ทางราชการจัดเตรียมไว้

ได้แก่ ศูนย์ประชุมนานาชาติ ม.สงขลานครินทร์, หอประชุม ม.ราชภัฏสงขลา และทัพเรือภาคที่ 2 จ.สงขลา เพราะสถานการณ์ดูท่ามีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้น จากฝนที่ยังคงตกไม่หยุด

แต่คำสั่งดังกล่าว กลับกลายเป็นภาพความโกลาหล เพราะมีเพียงแค่คำสั่ง “อพยพ” แต่ไม่มีแนวทางเข้าช่วยเหลือ รถก็เข้าไม่ได้ เรือก็เข้าไม่ถึงพี่น้องประชาชน แล้วจะให้ว่ายน้ำหนีน้ำท่วมไปได้ยังไง?

จากนั้น นายกฯ อย่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” ก็ได้ออกคำสั่งตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.)” เพื่อช่วยประชาชนจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น



ท่ามกลางคำวิจารณ์เดือดจากนักวิชาการหลายฝ่าย ที่มองว่า การบริหารจัดการน้ำในครั้งนี้ ถือว่า “ต่ำกว่าเกณฑ์” ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่า ปีนี้มี “ภาวะลานีญา” อากาศแปรปรวนหนัก อย่างที่ “ดร.สนธิ คชวัฒน์” นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ วิเคราะห์ไว้

ส่วนเหตุผลที่ทำให้ “หาดใหญ่” ท่วมหนักขนาดนี้ นอกจาก“หย่อมความกดอากาศต่ำ”ที่ทำให้มีฝนตกหนักแล้ว สภาพภูมิประเทที่เป็น “พื้นที่ค่อนข้างต่ำ” ทำให้น้ำไหลลงมารวมกันได้ง่าย และระบายออกได้ยาก ยิ่งถ้าเป็นช่วง “น้ำทะเลหนุน” จะยิ่งระบายลงทะเลได้ยากขึ้นไปอีก



** กูรูชี้ชัด รัฐ “ชะล่าใจ-ไร้ความพร้อม” **

ผลของ “การอพยพที่ล้าช้า” ส่งให้หลายฝ่ายรุมตั้งคำถามว่า เป็นเพราะอะไรกันแน่? เพราะผู้ประสบภัย “ชะล่าใจ” ไม่รีบอพยพเองหรือเปล่า

เนื่องจาก “กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)” อ้างว่า มีการ “แจ้งเตือน” ผ่าน SMS “ล่วงหน้า” แล้วถึง “48 ชั่วโมง” และส่งไปกว่า 7 ครั้งว่าจะมีน้ำท่วม

แต่ในอีกมุม คอมเมนต์จากผู้ประสบภัยในหาดใหญ่กลับบอกเล่าเรื่องราวต่างออกไป โดยชี้แจงว่าการแจ้งเตือน “ครั้งแรก” ได้รับในตอนที่ “น้ำมาแล้ว"

เพียงแต่ระดับน้ำตอนนั้นยังไม่สูงมาก จึงยังไม่ได้อพยพ เพียงแค่เอาข้าวของเครื่องใช้ รถยนต์ ขึ้นที่สูง แล้วหลังจากนั้นเพียง 1-2 ชั่วโมง น้ำกลับเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว จนหลายคนอพยพไม่ทัน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ศิรินันต์ สุวรรณโมลี” นักวิชาการและนักวิจัยอิสระด้านการจัดการภัยพิบัติ มองว่า หลักๆ แล้ว อาจไม่ใช่ความผิดของประชาชน เพราะต้นตอความโกลาหลทั้งหมด เกิดจาก “รัฐบาล” มากกว่าที่ “ชะล่าใจ” และ “ไม่เตรียมพร้อม”


เพราะโดยปกติแล้ว “น้ำท่วมใหญ่” มักจะเกิดจาก “พายุเข้า” แต่รอบนี้เป็นเพียง “เส้นความกดอากาศต่ำ” พาดผ่าน จึงไม่มีการประกาศเตือน หรือเฝ้าระวังใดๆ จากทางการ เพราะคาดการณ์ว่า น่าจะเป็นเพียง “ฝนธรรมดา” แต่สุดท้ายกลับ “ตกหนัก” และ “ต่อเนื่อง” อย่างไม่อาจหยุดยั้งได้

“คือส่วนกลาง เป็นส่วนตัดสินใจ คิดว่าน่าจะใช้ความคุ้นเคยเดิมว่า มันควรจะมีพายุ มันถึงจะมีเหตุการณ์ใหญ่ไง ก็เลยไม่เกิดการเตรียมความพร้อม ไม่ได้มีประกาศว่ามีภัยใหญ่ เพราะมันไม่มีพายุเข้า

เราไม่เห็นภาพการจัดการตัวเองล่วงหน้าของประชาชน อันที่ 1 เพราะว่า มันไม่มีฉากทัศน์ที่ว่า มันจะใหญ่ขนาดไหนสื่อสารออกไป ไม่รู้ขอบเขต แล้วก็ไม่รู้ระดับความรุนแรง ประชาชนก็เลยไม่ได้เตรียมพร้อม”

อีกเรื่องที่สะท้อน “ความไม่ใส่ใจ” ในการเตรียมพร้อมของรัฐบาล คือข้อมูลที่รู้กันดีว่า ปีนี้ประเทศไทยเจอน้ำท่วมในทุกภาค แถมยังเสริมด้วย “ภาวะลานีญา” ผลักให้อากาศแปรปรวนหนัก

แต่กลับไม่มีคำสั่ง “ตั้งศูนย์บัญชาการ” ที่จะเป็นแม่งาน ในการเตรียมพร้อมรับมือปัญหาน้ำท่วม ถึงแม้ล่าสุด “นายกฯ หนู” จะสั่งตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.)” แล้ว แต่ก็เกิดขึ้นหลังวิกฤตหนัก จนผู้คนเสียชีวิตไปแล้วหลายราย



ต่างจากเมื่อปีที่แล้ว (2567) ที่หลังจากเกิดน้ำท่วมในภาคเหนือ ทาง “สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)”ก็ตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้าที่ภาคใต้ เพื่อเตรียมรับมือน้ำที่กำลังจะมา ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ต.ค.67

และมีการทำงานคู่กับ “กรมชลประทาน”ในการเปิด-ปิดเขื่อน วางแผนว่าจะผันน้ำออกไปทางไหน รวมถึงประสานงานกับ “ปภ. (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)” และหน่วยงานท้องถิ่น ทำ “ศูนย์พักพิง” ทำแผ่นอพยพล่วงหน้า เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด

อีกทั้งยังมีการทำ “แบบจำลอง”มวลน้ำรวมกับ “สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.)”ว่า ถ้าฝนตกขนาดนี้ ปริมาณน้ำจะระดับไหน น้ำจะท่วมถึงไหนบ้าง

คิดดูว่า ขนาดปีก่อน มีการเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นเดือนๆ ภาคใต้ยังถูกน้ำท่วมหนัก พอมาปีนี้ ที่ส่วนกลางไม่มีความพร้อมแบบนี้ จึงกลายเป็นความโกลาหลอย่างที่เห็น

ประชาชนอพยพไม่ทัน ความช่วยเหลือจากรัฐก็เข้าไปไม่ถึง ส่วนที่เข้าถึงก็ไม่เพียงพอ เพราะ “ท้องถิ่น”ก็ไม่คิดว่าจะเกิดวิกฤติใหญ่ เลยไม่ได้เตรียมรับมืออะไรไว้ทั้งสิ้น

“ปีนี้ เนื่องจากว่ามันไม่มีใครเป็นคนฟันธง มันก็เลยอีหลักอีเหลื่อ แล้วก็ใช้วิธีการของสำนักนายกรัฐมนตรี ช่วยน้ำท่วมเป็นเฉพาะกิจ แล้วก็บัญชาการหน้างานกันต่อไป

มันก็ไม่มีการเตรียมพร้อม ไม่มีการที่จะจัดการทั้งคน หรือว่าจัดการทั้งทรัพยากร ในการเคลื่อนย้ายคนเอาไว้ล่วงหน้า”


                                                      {“ศิรินันต์” นักวิชาการอิสระ ด้านการจัดการภัยพิบัติ}

“เปิ้ล-นาคร ศิลาชัย” คืออีกหนึ่งเสียงที่ช่วยย้ำว่า สิ่งที่ทำให้วิกฤตครั้งนี้ ยิ่งทวีความวิกฤตหนักขึ้นไปอีก ก็คือ“การรับมือของภาครัฐ” ที่ไม่มีการเตรียมความพร้อม

จากมุมมองของ คนดังผู้รับหน้าที่ “อาสากู้ภัย”ลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัย ณ หาดใหญ่ ยืนยันไว้ชัดเจน ผ่านรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” ว่า “สถานการณ์ย่ำแย่มาก”คิดดูว่า ตั้งแต่ทำหน้านี้นี่มา 14 ปี “ครั้งนี้คือที่สุดแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ภัยพิบัติครั้งนี้ “ไร้การบริหารจัดการ” ขณะที่เขาและอาสาคนอื่นๆ พยายามอพยพ ผู้ประสบภัย ออกจากบ้านที่น้ำท่วมมิดหลังคาชั้น 1 พาไปจุดที่ยังพออยู่ได้ จุดที่น้ำยังท่วมไม่ถึง


                                                                         {“เปิ้ล-นาคร ศิลาชัย” }

แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะไม่มีทั้งรถพยาบาล หรือแม้แต่หน่วยงานที่จะมารับตัวชาวบ้าน เพื่อไปดูแลต่อ หลายคนจึงได้ต่อนั่งรอความช่วยเหลือต่อไป“อย่างไร้จุดหมาย”

“ไม่มีใครมารับต่อ ไม่มีหน่วยปฏิบัติการ ไม่มีหน่วยพยาบาล คือไม่มีใคร มีแต่อาสากู้ภัยประมาณทีม 2 ทีม 10-20 คน แล้วชาวบ้านตรงนั้นเป็นร้อย ไม่มีใคร จนกระทั่งทุกคนเดินมาบอก ช่วยเอาป้ากลับไปที่เดิมได้ไหม”

ถึงตอนนี้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัดว่า มีผู้คนเสียชีวิตจากอุทกภัยใหญ่ครั้งนี้แล้วกี่ราย แต่คนในพื้นที่รับรู้กันดีว่า มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางอย่าง “คนชรา” ที่ขาดยา ขาดน้ำ และเข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล



** “แผน” ที่อยู่แค่ใน “แผ่นกระดาษ” **

ภาพ “ผู้ประสบภัย” ที่ติดอยู่ตามบ้าน หนีน้ำไม่ทัน และกำลังขาดแคลนอาหาร เพราะน้ำท่วมสูง จนความช่วยเหลือเข้าไปไม่ถึง คือภาพที่ได้พบเห็นผ่านสื่อเสมอๆ ไม่ใช่จากแค่สถานการณ์ล่าสุดในขณะนี้

จึงเกิดเป็นคำถามว่า “ประเทศไทย” กับ “น้ำท่วม” คือของคู่กัน ที่เรียกว่า “ท่วมแทบทุกปี” แต่ทำไมเราถึงไม่มีระเบียบปฏิบัติ หรือขั้นตอนในรับมือที่รัดกุมสักที?

นักวิชาการและนักวิจัยอิสระด้านการจัดการภัยพิบัติ รายเดิมช่วยวิเคราะห์ไว้ให้ว่า จริงๆ แล้วในองค์กรท้องถิ่น จะมีสิ่งที่เรียกว่า “แผนเผชิญอุบัติภัย” ซึ่งไทยเราก๊อบฯ มาจาก “ญี่ปุ่น” ซึ่งค่อนข้างระบุขั้นตอนต่างๆ เอาไว้ชัดเจน

ยกตัวอย่าง เช่น เวลาแจ้งเตือนสึนามิ ต้องอพยพขึ้นที่สูง ในแผนจะบอกไว้เลยว่า ต้องไปที่ไหน สูงขนาดไหน อยู่นานกี่นาที

ในภาคการทำงานส่วน “เทศบาล” ก็จะต้องเตรียมศูนย์พักพิงล่วงหน้า รวมถึงเก็บเสบียง อาหารและยา เอาไว้แจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัย รวมถึงดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่าง ไฟฟ้า, น้ำประปา, สัญญาณมือถือ ให้ยังคงใช้การได้

อีกภาคส่วนอย่าง “จังหวัด” ก็มีหน้าประสานกับพื้นที่ข้างเคียง หรือ “รัฐบาลกลาง” เพื่อคอยส่ง“ทรัพยากร”หรือทีมช่วยเหลือ เวลาหน่วยงานในพื้นที่ เจอเข้ากับปัญหาที่เกินกำลังจะควบคุม

นอกจากนี้ยังต้อง “ซ้อม” ให้ครบทุกระดับ ตั้งแต่การจัดการในพื้นที่, การประสานงานระดับจังหวัด ไปจนถึงการติดต่อกับรัฐบาลกลาง ซึ่งแผนการซ้อมก็จะมีการจำลองสถานการณ์ ตั้งแต่กรณีปกติ จนถึงเคสเลวร้ายที่สุด เท่าที่จะเกิดขึ้นได้



ตัดกลับมาที่การรับมือในสถานการณ์จริงของประเทศไทย แผนทั้งหมดที่เคยก๊อบฯ มา และวางไว้ว่าจะใช้ยึดเป็นแบบแผน กลับกลายเป็นแค่ “หน้ากระดาษ” ที่บอกแค่ชื่อคนรับผิดชอบ เวลาเกิดภัยพิบัติ

น่าเสียดาย ที่ไม่มีภาพจำลองว่า เวลาเกิดเหตุจริงๆ หรือสถานการณ์ที่เลวร้ายขั้นสุด จะต้องทำยังไง และที่สำคัญคือ หน่วยงานในบ้านเมืองเรา “ไม่เคยซ้อม” เกี่ยวกับภัยพิบัติอะไรเลย

จึงไม่แปลกที่เวลาเกิดเหตุ โดยเฉพาะ “น้ำท่วมใหญ่” ในเคสที่น้ำหนุนมาไว ภาพที่เห็นจนชินตาจึงคือความวุ่นวาย ทั้งคนอพยพขนของไม่ทัน และการช่วยเหลือจากรัฐไปถึงช้า เพราะไม่มีการวางแผนรับมือสถานการณ์ที่แย่ที่สุด เตรียมเอาไว้เลย

“เวลาทำงาน เอาเข้าจริงๆ เป็นทีม แต่ในใบงาน มันเป็นใบระบุชื่อ แต่เคยซ้อม หรือเคยลองทำกันไหม อันนี้คือปัญหานึง ก็เลยเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แบบมวยวัด งานวัด กันต่อไป”



**ธารน้ำใจ สู้ภัยน้ำท่วม**

ล่าสุด "มูลนิธิกระจกเงา" ได้ตั้ง "ทีมจัดการข้อมูลผู้ประสบภัย" เพื่อหนุนหน่วยงานรัฐ และทีมกู้ภัยส่วนหน้า ให้เข้าช่วยเหลือได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถแจ้งขอความช่วยเหลือได้ที่ jitasa.care


ตอนนี้ สิ่งที่ผู้ประสบภัยต้องการจำนวนมาก คือ น้ำดื่ม, ข้าวสาร, อาหารแห้ง และ ยาสามัญประจำบ้าน โดยเฉพาะยาป้องกันโรคฉี่หนู

โดยพี่น้องชาวไทย ที่ต้องการ "บริจาคเงิน-สิ่งของ"  สามารถช่วยเหลือได้ ดังนี้

1."มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" (ม.อ.หาดใหญ่) ที่ อาคารกิจกรรมนักศึกษา และอาคารศูนย์กีฬาและนันทนาการ (รับบริจาค ข้าวสาร, อาหารแห้ง, น้ำดื่ม, ยาสามัญ)
ติดต่อ : 099-405-6239, 062-235-2644
หรือบริจาคได้ที่ "ธนาคารไทยพาณิชย์" เลขบัญชี "565-471106-ห1" ชื่อบัญชี "สงขลานครินทร์เพื่อผู้ประสบภัย"

2."เทศบาลเมืองบ้านพรุ" จ.สงขลา ที่ ศูนย์บริการสาธารณสุข และสำนักงานเทศบาล (รับบริจาค ยา-เวชภัณฑ์ และอาหารกล่อง)
ติดต่อ : คุณศศิธร (090-219-0555), คุณโสมสิริ (061-209-5651)

3."มูลนิธิกระจกเงา" เลขที่ 191 ซอยวิภาวดีรังสิต 62 (แยก 4 - 7) เขตหลักสี่ กทม. (รับบริจาคสิ่งของ)
ติดต่อ : 061-909-1840
หรือบริจาคได้ที่ “ธนาคารไทยพาณิชย์” เลขบัญชี “507-410183-8” ชื่อบัญชี “โครงการภัยพิบัติ โดยมูลนิธิกระจกเงา”
สนับสนุนแบบลดหย่อนภาษีได้ที่ “เทใจ ดอทคอม” (taejai.com/th/project/ots-mirrorfoundation-fund)





** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น