เส้นทางชีวิตที่ยิ่งกว่าในละคร ของลูกนายตำรวจชั้นผู้น้อยที่เติบโตมาอย่างยากลำบาก สู่แม่ทัพภาคที่ 2 ผู้นำทัพเพื่อนพ้องทหารไทยลุยชายแดน เพื่อปกป้อง 3 สถาบันบนสีธงชาติด้วยชีวิต พร้อมสะท้อนสถานการณ์ “ไทย-เขมร” ศึกนี้จะจบยังไง!?
*** จากเด็กช่าง สู่รั้วของชาติ ***
จากกรณีพิพาทในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จนการปะทะระหว่างทหารทั้ง 2 ประเทศ ที่ชายแเดนช่องบก จ.อุบลราชธานี อีกหนึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญและถูกกล่าวขานถึงอย่างมากในเรื่องนี้ก็คือ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง”
หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ “แม่ทัพกุ้ง” แม่ทัพภาคที่ 2 ผู้เงียบขรึม แต่เมื่อต้องเป็นผู้บัญชาการ เขานำกำลังทหารเข้าปฏิบัติการตอบโต้อย่างเด็ดขาด และยังเป็นผู้เจรจา สั่งการ ดูแลความสงบเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายไปมากกว่านี้
ปัจจุบัน แม้นายพลผู้นี้จะเกษียณอายุราชการแล้ว แต่บทชีวิตก็ได้พลิกสู่หน้ากระดาษใหม่อีกครั้ง กับการดำรงตำแหน่ง นายทหารราชองครักษ์พิเศษ, ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก และยังเป็นวิทยากร จับไมค์บรรยายส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่อีกด้วย
แต่กว่าที่ชีวิตของแม่ทัพกุ้งจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ก็ผ่านอุปสรรคขวากหนามและบทพิสูจน์ความสามารถมามากมาย เรื่องราวจะเป็นยังไง ติดตามได้ในบรรทัดต่อจากนี้...
“ประวัตินะครับก็เกิดที่ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย สมัยนั้นพ่อก็เป็นตำรวจชั้นผู้น้อย เป็นสิบตำรวจเอก พ่อก็ย้ายมาอยู่ที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี คุณแม่เป็นแม่บ้าน ไม่ได้ทำงานอะไร ดูแลลูกๆ มีลูก 8 คน ตัวผมเองเป็นคนที่ 5 ครับ
อุปนิสัยเป็นเด็กกลัว ซื่อบื้อ กลัวห้องเรียน กลัวที่จะออกไปหน้าชั้นเรียน ขี้อายครับ พูดน้อย บางปีก็ได้ที่ 1 ของห้อง บางปีก็ไม่ได้ คือบางทีขี้เกียจอ่านหนังสือก็ลดลงมา ก็ยังไม่คิดอะไรมากมาย ใช้ชีวิตตามที่พ่อแม่เลี้ยงดูไป ตามประสาบ้านนอก
แล้วก็ชอบเรื่องการเกษตร ปลูกผักปลูกอะไร หาปลามาเป็นโปรตีนให้กับครอบครัว มาแกง มาต้ม มาตากแห้ง หาหน่อไม้ไปเรื่อยทุกอย่าง ไปวางเบ็ดไว้ตอนเย็น พอตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนก็ไปดูว่าเบ็ดมีปลากินหรือเปล่า โดยเฉพาะหน้าฝน
พ่อก็ทำงานไปออกชุดควบคุมคุ้มครองตำบล ไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่ พ่อก็ส่งตังค์มาให้ใช้บ้าง มีบ้างไม่มีบ้าง เราก็หาปลา หาโปรตีนให้กับครอบครัวไป ชีวิตไม่ได้สบาย ลำบากตามวิถีชนบทที่คนไทยทุกคนน่าจะเหมือนกันครับ”
ด้วยมีพ่อเป็นตำรวจ ส่วนพี่ชายอีก 3 คนก็เป็นตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ทำให้เลือดรักชาติของ ด.ช.บุญสิน ถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่เด็กแล้ว
“เป็นเด็กที่ไม่เกเรครับ ซื่อบื้อ จีบสาวก็ไม่ค่อยกล้า ไปเที่ยวก็ไม่ค่อยมีตังค์ไป ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสูบบุหรี่ กินเหล้าก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนแบบนั้น มันอาจจะไม่ค่อยมีตังค์มั้งครับ ส่วนใหญ่จะไปหาปลา หาสัตว์ป่าอะไรก็ว่าไป (หัวเราะ) ไม่ค่อยมีที่เที่ยวหรอครับสมัยก่อน อยู่อำเภอบ้านดุง มีแต่อ่างเก็บน้ำมีอะไร ก็พากันไปยิงกะปอม ยิงกิ้งก่าเรื่อยเปื่อยไป
สมัยมัธยมจะชัดเจนขึ้น เริ่มรู้เรื่องแล้วว่าชอบตำรวจทหาร พ่อเป็นตำรวจ พี่ชายก็เป็น ตชด. 3 คน ที่ค่ายเสนีย์รณยุทธ ที่อุดรฯ ก็เป็นตำรวจทั้งหมดเลย เห็นพี่ชายแต่งชุดฝึก พี่ชายก็เอาปืนกลับมาบ้าน มี M16 บ้าง ปืน M203 ถือมาลูกจริงทั้งนั้น
สมัยนั้นมีความขัดแย้ง เขาให้ตำรวจทหารถือปืนกลับบ้านได้ มือได้แต่ไปลูบไปคลำอยู่นั่น เด็กน้อยยกปืนก็ไม่ไหว แล้วก็เรียน รด. เพราะว่าชอบ เราก็ซึมซับความเป็นทหาร ความเป็นตำรวจ ความรักชาติ อยู่ในจิตใต้สำนึกมาตั้งแต่นั้นครับ”
แต่หลังจากจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 เขาเลือกเรียนต่อสายอาชีพ ที่วิทยาลัยเทคนิคอุดรธานี แต่เมื่อได้มาสัมผัสแล้วถึงได้รู้ว่า การเป็นช่างยนต์ไม่ใช่ตัวตนของเขาเลย
“เรียน ปวช. ที่อุดรฯ ช่างยนต์ ก็เป็นกลุ่มเด็กเรียน ไม่ค่อยได้ไปเที่ยว จริงๆ พรสวรรค์ทางช่างไม่ค่อยเท่าไหร่ ไปฝึกงานซ่อมมอเตอร์ไซค์ ทางคุณลุงเอารถมอเตอร์ไซต์มาให้ซ่อม ก็บอกอยู่ ‘หนู ทำไมหน้าตาไม่เหมือนช่าง ไปเป็นอย่างอื่นดีกว่ามั้ง’ ไอ้เราก็ ‘ผมเรียนช่างมา ลุงจะให้ไปเป็นอะไร’ สักพักนึงก็จูงรถกลับมาอีก ‘ลุงว่าแล้ว เห็นมั้ยนี่ต่อโซ่ก็ผิด’ มันก็เป็นอย่างที่ว่า
ลึกๆ เราอยากเป็นตำรวจทหาร แต่เรียนช่างแล้ว ก็ต้องไปฝึกงานร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ ฝึกงานศูนย์โตโยต้า เดินสายไฟรถยนต์ ผ่าเครื่อง ทำหมดครับ แต่ถึงเวลานึง จบ ปวช.แล้วยังไงต่อ
เราก็มองว่านักเรียนเตรียมทหารนี่มันเท่ดีนะ ไม่มีบุญวาสนา ไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหน เขาเรียนอะไรกันยังไม่รู้ แต่รู้ว่ามันเท่ ก็เลยจำภาพนั้นมา พอมีโอกาสก็พยายามที่จะศึกษาหาความรู้ว่าไปสอบยังไง”
ความฝันในเส้นทางตำรวจ-ทหารยังคงไม่มอดดับ เป้าหมายฉายชัดที่โรงเรียนเตรียมทหาร เด็กหนุ่มเลือดอีสานคนนี้จึงกัดฟันสู้อ่านหนังสือด้วยตัวเอง เพราะไม่มีเงินพอจะไปเรียนกวดวิชาเพิ่มเติม
“ไม่ได้ติว ไม่มีเงิน สระว่ายน้ำก็ไม่เคยเห็น ว่ายสระน้ำธรรมชาติ มีปลิงมีอะไรเยอะ ก็วัดดวงเอา ลงปุ๊บก็รีบว่ายแล้วก็รีบขึ้น ไม่อย่างนั้นปลิงมากัด มันเลยทำให้เราว่ายน้ำเป็น แต่ไม่ถูกวิธี คอตั้งไปอย่างนี้เลยครับ ขอให้รอด (หัวเราะ)
ไปสอบนักเรียนนายสิบ พ่อไม่ให้ไป ไม่อยากให้เป็นนายสิบเพราะมันลำบาก ถ้างั้นผมไปสมัครจ่าอากาศ ต่อแถวไปตั้งยาว พอไปถึงเขาไม่รับเพราะว่าผลสอบ ปวช. ยังไม่ออก ก็มองไปทิศทางโรงเรียนเตรียมทหาร ลงล็อกเลย ก็ไปสมัคร
ปีแรกญาติพี่น้องก็ไปให้กำลังใจในการสอบ แค่ไปวิ่งก็พากันตบมือข้างสนาม (หัวเราะ) ไปฟังผลสอบก็แห่ไป พอไม่ได้ปุ๊บ บ้านใครบ้านมันเลย (หัวเราะ) ปีแรกผ่านข้อเขียนครับ แต่รอบ 2 จะมีพละ สัมภาษณ์ ตรวจโรค ไม่รู้ตกอะไร ไม่ผ่านรอบ 2
ปีแรกผิดหวัง นั่งคอตกไม่คุยกับใคร เพื่อนก็มาซ้ำเติมอีก ‘กูบอกแล้วมึงอย่าไปสอบ ไม่ได้หรอก มึงเรียนสายช่าง’ เราผ่านข้อเขียนแล้ว มันติดอะไรวะเนี่ย ขอปีสุดท้ายแล้วกัน ไม่ได้ก็ไม่เอาแล้ว ไปเป็นครูสอนช่างก็ได้
อ่านหนังสือใหม่ ฟิตร่างกายใหม่ ซ้อมสัมภาษณ์ ซ้อมว่ายน้ำ กลับมาจากเรียนช่างก็ไปวิ่งออกกำลังกาย แล้วก็ไปซื้อหนังสือมาอ่าน หนังสือคณิตศาสตร์สายสามัญ ส่วนใหญ่เพื่อนผ่านการเรียนกวดวิชาทั้งนั้น มีนายบุญสินไม่ได้รู้เรื่องเลย
ปีที่ 2 ไปสอบคนเดียว เขาสอบพละ สัมภาษณ์ ตรวจโรคก่อน ค่อยสอบข้อเขียน น่าจะเป็นปีเดียวที่เขามีระบบแบบนี้ ตรวจโรคถ้าใครไม่ผ่านก็ไม่ต้องมาสอบข้อเขียน ตกตั้งแต่รอบแรกไป เผอิญผ่าน ก็เลยได้มาเรียนรุ่น 26”
*** โหดๆ มันๆ ชีวิต “นักเรียนเตรียมทหาร” ***
เส้นทางชีวิตบทใหม่ได้ถูกเขียนขึ้นจากการตัดสินใจของเขาเอง หลังจากที่ได้ก้าวเข้ามาสู่รั้วโรงเรียนเตรียมทหารเป็นที่เรียบร้อย นอกจากการเรียนการสอนตามหลักสูตรที่จะต้องเจอแล้ว ชีวิตของเด็กหนุ่มจากอุดรฯ ก็เต็มไปด้วยสีสันและบททดสอบอื่นๆ อีกมากมาย ที่หาไม่ได้จากในหนังสือเรียน
“ที่โรงเรียนทหารจะมีพิเศษอย่าง หลังเรียนเราก็ไปฝึกทหาร มันเหมือนกับฝึกหลักสูตรทหารใหม่ครับ ก่อนที่เราจบมาเราต้องไปฝึกเขา เราต้องจบหลักสูตรนี้ก่อน ซ้ายหัน ขวาหัน ท่าอาวุธมีกี่ท่า ท่าหมอบ ยุทธวิธีเบื้องต้น เรียนหมด
แล้วกลางคืนก็มีพิเศษหน่อย พี่ๆ น้องๆ ก็รับน้องกัน อยู่กันไปตามประสาวัยรุ่น แกล้งกันทุกรูปแบบเพื่อให้น้องมีความอดทน เพื่อให้น้องมีความพร้อม ถ้าจบไปเป็นนายทหาร คุณต้องเจอแรงกระแทกหลายอย่าง
ทั้งทนความหิวได้ ทนความเหนื่อยได้ จะต้องทำยังไงก็ได้ ให้เด็กพวกนี้อดทนกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับที่คุณไปปกครอง คุณจะต้องฝึกหนักกว่านักเรียนนายสิบ ฝึกหนักกว่าน้องๆ พลทหาร เพราะคุณจะไปปกครองเขา
เพราะฉะนั้น ถูกแกล้งสารพัด บางคืนก็ได้นอนชั่วโมงนึงแล้วไปเรียนหนังสือ บางสัปดาห์ไม่ได้อาบน้ำเลย ฟันก็ไม่ได้แปรงเลย จะทำให้เด็กอดหลับอดนอนแล้วไปเรียนหนังสือให้ได้ แล้วกลับมาก็ซ่อมอีก ไม่ต้องอาบน้ำอาทิตย์นึงอยู่ได้มั้ย
บางทีผื่นก็ขึ้นตามหลัง บางทีก็เหม็นปาก ครูผู้หญิงเข้ามาในห้องนี่สอนแทบไม่ได้ พวกเธอไปทำอะไรมาทำไมเหม็นจัง บางคนทนไม่ได้ก็วิ่งหนีขึ้นรถเมล์ไปเลย ไม่มาเรียน ออกไปบางทีก็ไปเรียนต่อเมืองนอก หนีไปเลย เขาทนแรงกดดันนี้ไม่ได้”
สำหรับการใช้ชีวิตที่นี่ รุ่นพี่จะปกครองรุ่นน้อง ด้วยความใจดีและมีภาวะผู้นำของ นตท.บุญสิน จนเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทุกคน จึงทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็น นักเรียนบังคับบัญชา (Commander) และได้เรียนรู้การปกครองมาตั้งแต่ตอนนั้น
“เพื่อนก็เลือกให้เป็นนักเรียนคอมแมนด์ เป็นหัวหน้ากองร้อย กองร้อยนึงเราก็ปกครองเพื่อนด้วย ปกครองน้อง ในตึกเราก็จะดูแลเขา รู้สึกว่าไม่เคยซ่อมรุ่นน้องเลย เป็นหัวหน้ากองร้อยที่ใจดีครับ
สาเหตุที่ให้เพื่อนแคนดิเดตเป็นนักเรียนคอมแมนด์ เพราะเพื่อนบอกว่านิสัยดี เพื่อนก็เลยให้เป็นนักเรียนปกครอง สงสารเด็กๆ ปี 1 ปี 2 ไม่ค่อยได้ซ่อมเขา ก็มีแต่เพื่อนหลอยไปซ่อม ก็เตือนๆ กัน อย่าไปทำน้องมาก มันเหนื่อย ให้มันอ่านหนังสือ แต่ละรุ่นจะมีคนโหด จะมีคนใจดี ส่วนผมเป็นฝ่ายใจดีมากกว่า น้องๆ ก็รัก แต่จริงๆ ต้องมีคนโหดเพราะไม่มีคนฝึกน้อง
ชีวิตในโรงเรียนทหาร ทำยังไงก็ได้ให้เขามีความอดทนทั้งร่างกายและจิตใจ ออกมาปุ๊บอยู่ในสนามรบคุณจะต้องนิ่ง คุณจะต้องอดทน อยู่กับลูกน้องคุณต้องอยู่ให้ได้ ไม่ได้อาบน้ำคุณต้องอยู่ให้ได้ ไม่ได้นอน เข้าเวรยามคุณต้องอยู่ให้ได้ เขาถึงมีหลักสูตรเสริม หลักสูตรจู่โจม หลักสูตรกระโดดร่ม ทดสอบจิตใจอะไรอย่างนี้ครับ
(หลักสูตรที่ยากที่สุดสำหรับแม่ทัพกุ้ง) จู่โจมครับ จู่โจมเป็นหลักสูตรระยะยาว 11 สัปดาห์ มันเป็นการฝึกผู้นำหน่วยทหารขนาดเล็ก มีภาคป่าภูเขา ภาคทะเล ภาคที่ตั้ง
ภาคทะเล ถ้าเรือเดินสมุทรล่ม คุณไปติดเกาะ คุณทำยังไงถึงจะใช้ชีวิตได้ เมื่อคุณไปรบป่าภูเขา ทำยังไงถึงจะดำรงชีพได้ คุณต้องเดินนะ กางเกงในไม่ได้ใส่เลย มันใส่ไม่ได้เพราะมันต้องอยู่ตรงนั้นตลอด 11 สัปดาห์ แล้วก็ฝึกการเข้าปฏิบัติต่อที่หมาย การรบเวลากลางคืน ไปซุ่มเวลากลางคืน มันเป็นหลักสูตรเขา เสือคาบดาบที่ว่า เป็นหลักสูตรหลักของทหารราบครับ”
[ กำลังใจจากหลานๆ ถึงลุงแม่ทัพ ]
จากเด็กช่างที่ต้องจากบ้านมาไกล สู่การเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 26 และศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) รุ่นที่ 37 ทั้งหมดทั้งมวลได้หล่อหลอมให้เขาเป็นชายชาติทหารสุดแกร่งอย่างในทุกวันนี้
“ก่อนที่เราจะเข้าเตรียมทหาร ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เป็นเด็กบ้านนอกซื่อบื้อๆ หินปูนก็ไม่เคยขูดตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 18 ปี แม่ไม่เคยพาไปเช็กร่างกายเลย พอเข้าไปกองทัพก็จับตรวจสุขภาพหมด ตรวจพยาธิทุกชนิดในร่างกาย ขูดหินปูน
เข้าไปเขาก็ฝึกความมีวินัยและความเป็นผู้นำ พอจบออกมาจากชั้น 5 นำหน่วยได้เลย เขาจะให้ผู้หมวดจบใหม่ไปฝึกทหารใหม่ทุกคนก่อน อย่างน้อยๆ ก็ไปฝึกต่อหน้าแถวทหาร มีลูกน้องที่ใกล้ชิดคือครูฝึก มีพ่อจ่า มีผู้หมู่ สิบเอกเป็นลูกน้องผู้หมวด จ่าก็อยู่เก๋ามานานแล้ว ผู้หมวดใหม่ก็ต้องไปเรียนรู้กับเขา ไปเรียนรู้การเข้าเวรยาม แล้วก็ไปเรียนรู้ในการพูดหน้าแถว
จบมามันจะแตกต่างกับที่เราเข้าไปโดยสิ้นเชิง คุณเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็มีลักษณะความเป็นผู้นำ การเดินจะเปลี่ยนไป เพราะเขาฝึกเดิน นั่ง กินข้าวอย่าตัวงอนะ อย่าก๋องแก๋ง เวลายืนต้องยืนตรง ขึ้นรถเมล์ก็ยืนตรง อย่าไปสะเงาะสะแงะ มันไม่สง่า เครื่องแบบที่ใส่ต้องดูดี ศักดิ์ศรีของทหารไทย พี่เขาจะสอนมาอย่างนั้น
เป็นเรื่องที่สร้างวินัยของทหารไทย ที่ผู้บังคับหน่วยระดับเล็กที่สุด ระดับหมวด ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีกับกำลังพลในกองทัพ บุคลิกต่างๆ ต้องดี อันนี้คือสิ่งที่โรงเรียนนายทหารต้องสร้างให้เขามีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ครับ”
*** เดือดสุดในชีวิต ภารกิจชายแดน ***
หลักจากจบการศึกษาและก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานจริง ก็มีสิ่งต่างๆ มากมายรออยู่ หนึ่งในนั้นคือการได้เป็น นายทหารคนสนิท (ทส.) ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ โอกาสครั้งสำคัญที่ทำให้ได้เรียนรู้และโชว์ศักยภาพให้ทุกคนได้เห็น
“จบมาใหม่ เราก็ไปเป็นผู้ฝึกทหารใหม่ก่อน เราได้เจอพี่ๆ น้องๆ คุณลุงจ่า คุณอาสิบเอก เราเป็นร้อยตรีใหม่ อายุ 23 ปี เราก็ปกครองน้องๆ พลทหาร มันได้ประสบการณ์ในการใช้ชีวิต
หลังจากนั้น ก็เข้าไปเป็น ทส. ของพลตรีเรวัต บุญทับ การเป็น ทส. ก็คือไปกับผู้บังคับบัญชาตลอด ให้ในเรื่องของการทำงานของผู้ใหญ่ ทำให้เราได้รู้จักผู้บังคับหน่วย เราก็ไปหลายที่ ได้เห็นหน้างานที่ท่านทำ แล้วก็ประสานงาน ทำให้รุ่นพี่ได้รู้จัก เป็นคะแนนสะสมที่พี่เขาจำว่าบุญสินเป็น ทส. นายนะ ทำหน้าที่ได้ดี ใช้ได้ อะไรแบบนี้
และที่สำคัญ ทำให้เราได้มีความละเอียดในการทำงาน พลาดบ่อย อย่างผู้บังคับบัญชาจะไปไหนก็ลืมเอกสาร ลืมคำกล่าวรายงานบ้างอะไรบ้าง เราก็นำข้อผิดพลาดนั้นมาปรับใช้ไม่ให้มันพลาด มันทำให้เราได้เรียนรู้การทำงานของผู้ใหญ่ครับ”
[ สมัยเป็นร้อยเอกบุญสิน พาดกลาง เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ]
ตลอดเส้นทางอันยาวนานในการรับราชการ แน่นอนว่าเต็มไปด้วยประสบการณ์ชีวิตมากมาย หนึ่งในบทเรียนสำคัญ คือการเป็นนักดื่มตัวยง ที่ดื่มหนักจนตับอักเสบมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันแม่ทัพกุ้งก็ได้เลิกขาดกับของมึนเมาเป็นที่เรียบร้อย
“สนุกที่เราได้อยู่กับสังคมพี่ๆ น้องๆ ในช่วงความเป็นวัยรุ่น จบมาใหม่ การอยู่กับกำลังพลและครอบครัว มีงานเลี้ยง มีงานรื่นเริง งานวันเด็ก พาพี่ๆ น้องๆ ไปเที่ยว ไปสร้างความรู้จักกันมากขึ้น มันเป็นสังคมของทหารที่เราต้องอยู่กันด้วยใจ
สมัยก่อนยังดื่มอยู่ กินเหล้า เที่ยวเป็นเรื่องปกติ (ดื่มเก่งมั้ย) เก่งครับ จนตับอักเสบ เป็นสิงห์สุรา ตอนเป็นนักเรียนก็เริ่มฝึกอยู่ ลูกน้องเขากินไง เราก็ต้องกิน ถ้าเราคออ่อนไป เสียฟอร์ม เราก็ดื่ม แต่ว่าต้องทำงานให้ได้
รุ่นพี่เขาจะฝึกมาว่าดื่มเหล้าอย่าให้เหล้าดื่ม ดื่มแล้วทำงานไม่ได้ก็นอนเป็นจระเข้ เลื้อยไปเลื้อยมา ดื่มเสร็จต้องมีสติ ทำงานได้ รุ่นพี่เขาฝึกอย่างนี้ เมาขนาดไหนต้องมีสตินะ เคยดื่มเหล้าคนเดียวเกือบหมดกลมก็มี เพื่อพิสูจน์ว่าการกินเหล้าเยอะๆ จะเป็นยังไงบ้าง สรุปแล้วก็เดินไม่ได้ ลืมได้เฉพาะตา แต่สติเหมือนเดิม
มันเป็นสังคมวัยรุ่นในห้วงนั้น 20 กว่าปี ไปเที่ยวเธค เที่ยวบาร์เหมือนกัน ลูกน้องประเภทเมา 3-4 ตลบมา มีปัญหาเรื่องผู้หญิง มีปัญหาเรื่องหนี้สิน เจอมาหมดแล้ว เพราะเราผ่านมาหมด แล้วก็ทดลองมา”
และสิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดกับการเป็นทหาร คือการลงพื้นที่สีแดง ทั้งชายแดนใต้และชายแดนไทย-กัมพูชา ในฐานะผู้บัญชาการ ทำให้เขาต้องแบกความรับผิดชอบทั้งหมดเข้าสู่สนามรบอีกด้วย
“ตื่นเต้นที่สุดก็คือเรื่องที่เข้าสู่สนามรบจริง เช่น ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกคนมีปืน มีกระสุนจริง ไม่รู้จะดวลเมื่อไหร่ มันเป็นความรับผิดชอบที่มากกว่าความกลัว เราเป็นผู้บังคับบัญชาเขา เป็นผู้พันนำกองพันลงใต้
เราไม่มีเวลากลัวเลย เพราะเราต้องเป็นห่วงลูกน้องทั้งหมด เราจะต้องทำให้เขาเห็นว่าเราไม่กลัว แล้วเราอยู่ใกล้เขานะ ก็ไปเยี่ยมทุกฐาน ออกทุกวัน ขบวนรถผู้พันออก เป็นเป้า 1 ที่เขาจะต้องเล็ง
แล้วก็เรื่องรบกับเขมรที่ผ่านมานี่แหละ อันนี้เป็นการรบในแบบ ที่ใต้มันรบนอกแบบ มันคนละอย่าง ที่ใต้นี่ยาก คนที่จะแก้ปัญหาภาคใต้ได้ จะต้องเป็นคนที่มีไหวพริบปฏิภาณพอสมควร เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ส่วนที่ชายแดนเขมร-ไทย เป็นการรบเหมือนสมัยเก่า แต่งเครื่องแบบคนละแบบ มองรู้เลยว่าเป็นข้าศึก ตื่นเต้นมั้ย ตื่นเต้น แต่เราต้องทำ เราก็อยู่กับลูกน้อง เมื่อลูกน้องบาดเจ็บจริง เสียชีวิตจริงทั้ง 2 พื้นที่ เราต้องแบกรับเรื่องตรงนี้ให้ได้ครับ
ที่เราเศร้าที่สุดคือเราโทรศัพท์ไปบอกแม่เขา บอกว่าลูกแม่เสียชีวิตแล้วนะ แต่ยังไม่ทันได้พูดหรอกครับ แม่เขารู้แล้ว แม่ทำใจๆ นะครับ วางหูเลย ก็ได้ส่งเป็นเมสเสจไป คือลูกเขาเสียชีวิตในความรับผิดชอบของเรา
โอเค มันมีสิทธิที่เขาจะได้รับ มันทดแทนกันไม่ได้ แต่เราก็ต้องเดินต่อ เป็นหน้าที่ของน้องๆ ทั้งหลายที่อาสามา สิ่งเหล่านี้ต้องสู้ต่อ แม้แต่ตัวผู้พันเองก็ต้องออก ไม่รู้ตัวผู้พันจะโดนเมื่อไหร่เหมือนกัน จัดงานรดน้ำศพเขาแล้วก็ส่งศพกลับนี่เป็นขั้นตอนที่บีบหัวใจเรา ก็มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ เป็นเรื่องที่รบจริงมันจะต้องเจอ ทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตครับ”
สุดภูมิใจ “ทหารของพระราชา” “ทหารของพระราชา ในความคิดผมก็คือ ทหารที่มีความเป็นกลาง ยึดมั่นในความถูกต้องตามที่พระเจ้าอยู่หัวท่านมีกระแสคำสั่ง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ต้องกลัวอะไร และยึดผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตน อย่าไปเห็นแก่พวกพ้อง ตรงไปตรงมา เป็นกลางทางการเมืองเท่านั้น ประเทศชาติถึงจะอยู่ได้ ทหารก็คือกำลังหลักที่จะรักษาสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทหารต้องรักษา 3 เสาหลักนี้ให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะท่านคือจอมทัพไทย พระเจ้าอยู่หัวท่านจะถามว่ากองงานในพระองค์ ถามผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิดท่าน วันนี้เป็นยังไงบ้าง มีทหารเราบาดเจ็บมั้ย แล้วก็เน้นย้ำว่าอย่าไปรุกรานประเทศอื่นเขานะ ท่านไม่ประสงค์ที่จะไปรุกรานประเทศอื่น ท่านมีความเป็นธรรม แต่ขณะเดียวกันเมื่อเกิดการรบแล้ว ท่านจะอยู่กับทหาร เป็นจอมทัพไทยที่เป็นห่วง แล้วก็คอยให้กำลังใจทหารเสมอ คนไข้ทุกคน รวมถึงผู้เสียชีวิต ก็จะรับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ด้วย ขาขาด ท่านจะดูแลเรื่องขาเทียมให้ ที่บาดเจ็บต้องดูแลครอบครัว คนพิการพวกนี้ บรรจุทายาททดแทน ท่านถามทุกวันจนกระทั่งจบศึก แม่ทัพกุ้ง ท่านก็ให้เป็นราชองครักษ์พิเศษ เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ให้ทำหน้าที่ราชองครักษ์ต่อ แม้ว่าจะเกษียณแล้วครับ ผมก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แล้วก็จะทำหน้าที่นี้ เพื่อไปเล่าสู่เยาวชน แล้วก็พี่น้องคนไทยทั่วประเทศไทยรับทราบโดยทั่วกันว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องช่วยกันธำรงไว้ให้เข้มแข็ง” |
*** จะจบยังไง? “ไทย vs เขมร” ***
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเกษียณอายุราชการแล้ว แต่เราจะได้เห็น พล.ท.บุญสิน ในบทบาทของที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก ที่ปรึกษาพิเศษสถาบันพระปกเกล้า และ ผอ.หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.) นอกจากนั้น ก็ยังมีการเดินสายให้ความรู้กับหลานๆ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ถึงหน้าที่ของทหารอีกด้วย
“ณ วันนี้เริ่มมีคนเห็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เริ่มมีการแสดงออกมากขึ้นแล้ว โดยเฉพาะเรื่องหวงแหนแผ่นดินตัวเอง เขาเล็งมาว่าลุงแม่ทัพบุญสินนี่แหละที่พาเขาทำในห้วงเวลานี้ แม่ทัพบุญสินทำเพื่อชาติโดยแท้จริง พี่น้องเขาคิดอย่างนั้น เราก็ทำหน้าที่เรา ไปรบเอาแผ่นดินคืนเท่านั้นเอง มีน้องทหารเขาเสียชีวิตจริง ประชาชนเราก็เสียชีวิตอีก
[ เยี่ยมน้องๆ ทหารแนวหน้า พร้อมโชว์ฝีมือตำส้มตำ ]
อันนี้หรือเปล่า ที่ทำให้คนไทยลุกขึ้นมาว่าเราต้องสู้แล้วนะ ถ้าเราอยู่เฉยๆ จะปล่อยให้ประชาชนถูกรังแกอย่างนี้หรือ แผ่นดินเราถูกเขาล้ำเข้ามาอีกหรือเปล่า เหตุนี้มั้งครับ พี่น้องประชาชนถึงอยากจะร่วมกันมีความรัก ความสามัคคีในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เพิ่มขึ้น
ผมก็ถือโอกาสนี้ไปพูดคุยทั้งที่พูดไม่เก่ง เอาประวัติ เอาประสบการณ์ที่เราทำงานจริงมาตลอดทั้งชีวิตรับราชการ มาพบกับพี่น้องโดยไม่มีเบื้องหลัง โดยไม่มีผลประโยชน์ประโยชน์ส่วนตัวมาแอบแฝง ว่ากันซื่อๆ อย่างนี้แหละ
ก็มีคิวที่จะไปเจอพี่ๆ น้องๆ ทั่วประเทศ มันจะไปถึงเดือน ธ.ค.-ม.ค.แล้วตอนนี้ เราก็จะทำหน้าที่นี้ ไปพบปะพี่น้อง หน้าที่ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก หลักๆ ไปพูดคุย ไปให้กำลังใจพวกเขา ให้ช่วยกันดูแลประเทศชาตินะลูก
แล้วก็น้องๆ นักเรียน นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ พวกเธอต้องเป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องดูแลเสาหลักประเทศชาติต่อจากพวกลุงนะ อาจารย์ที่นั่งอยู่หน้าพวกเธอ เดี๋ยวท่านก็แก่ ท่านก็เกษียณไปแล้ว พวกเธอนี่แหละตั้งหลักให้ดี เราก็มีสติ อย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ มีเหตุมีผล แล้วก็นำพาประเทศชาติเราให้มีศักดิ์ศรีในสังคมโลกต่อไป”
สำหรับความขัดแย้ง “ไทย-เขมร” ที่ยืดเยื้อมายาวนาน และไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ เลยทำให้คนในสังคมมองว่าน่าจะต้องมีเรื่องของ ‘ผลประโยชน์’ มาเกี่ยวข้อง ซึ่งทางแม่ทัพกุ้งเองก็คิดเห็นแบบนั้น และยังบอกอีกด้วยว่า นี่เป็นปัญหาที่ต้องแก้ทั้งภายในบ้านตัวเองและภายนอกประเทศ
“มีครับ มันต้องมีเป็นเรื่องปกติ การค้าตามแนวชายแดน สิ่งบอกเหตุก็คือมันมีสแกมเมอร์ มีบ่อนคาสิโนตลอดแนวชายแดน เจ้าหน้าที่รัฐหรือใครก็แล้วแต่ ทั้งภาคการเมือง ภาครัฐ หรือคนในพื้นที่ ก็จะพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ มันได้เงินง่าย แล้วก็เสียเงินง่ายด้วย มันจะมอมเมาคน พอมอมเมาคนเสร็จ คนที่ถูกมอมเมาก็กลายเป็นลูกโซ่ต่อไป
มีการก่อสร้างพวกนี้ตลอดแนวชายแดนไทย หนีไม่พ้นหรอกครับ ต้องมีนักลงทุนคนไทยไปร่วมด้วย จะบอกว่าจีนเทาอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เพราะว่าคนที่เข้าไปเล่นส่วนใหญ่เป็นคนไทยด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่ กัปตัน หรือผู้บริหาร ผมว่าต้องมีคนไทยอยู่
ของเขมรมันเป็นเรื่องของผู้นำ ที่เราจะต้องเคลียร์กับผู้นำเบอร์ 1 เขาให้ได้ ส่วนคนไทยมันเป็นการรบที่อยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล มันก็ยาก คนไทยที่จะข้ามไปทำกิจกรรมที่ไม่ดี ต้องไม่ให้ข้าม เอาประวัติคนที่ข้ามไปทั้งหมด เซ็ตเป็นระบบ ต้องมานับหนึ่ง ปราบปรามสแกมเมอร์ ต่อต้านบ่อนคาสิโนให้ได้ก่อน พวกเดียวกันนี่แหละครับ มิติมันเยอะกว่า”
สุดท้าย เมื่อสมมติให้เขาเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเรื่องปัญหาชายแดน อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ก็เลยให้แนวทางจัดการไว้อย่างน่าคิดตาม
“ผมมองพื้นฐานของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันหมด ผมคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ 2 ประเทศเราทะเลาะกัน ไม่ใช่เพราะประชาชน เป็นที่ผู้นำ ก็ต้องคุยกับผู้นำ แล้วก็จะต้องต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
ภายใต้กรอบความเห็นชอบของหลายๆ ฝ่าย แล้วก็มุ่งไปในทิศทางเดียวกันของคนทั้งชาติ นักวิชาการทุกสาขา ต้องฟัง แล้วไปในแนวทางเดียวกัน เพราะฉะนั้น หลายๆ ความเห็น หลายๆ ความคิดมา มันก็จะได้เป็นแนวคิดที่ตกผลึก ข้อดี-ข้อเสีย แล้วเราตกลงใจเดินเป็นยุทธศาสตร์ชาติไปสำหรับประเทศนี้
รุกด้วยกำลัง เราก็ต้องรุกตอบ เราต้องสร้างอำนาจกำลังรบทางทหารให้มีความพร้อมต่อศตวรรษที่ 21 ถ้าเรามีอำนาจกำลังรบที่ทันสมัยและเทคโนโลยี มันจะมีอำนาจต่อรองที่ไม่มีตัวตน ตัวนี้ต้องสำคัญ
วิกฤตเขมร หมายถึงความขัดแย้ง อนาคตก็จะมีการใช้กำลังต่อกันไปเรื่อยๆ ถ้าเขามีความพร้อม เขาก็จะรบกับเรา ถ้าเขาไม่มีความพร้อม เขาก็จะวิ่งเต้นหาประเทศมหาอำนาจมาเพื่อเรียกประชุมด่วน เพื่อใช้ประเทศเหล่านั้นมาคุยกับเราอีกทีนึง แต่ถ้าเขาพร้อม เขารบเลย เพื่อให้เขาได้สิ่งที่เขาอยากได้ แบบที่เขาเคยทำมา
ก็ขอให้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ท่านนายกฯ เองก็พยายามที่จะแก้ปัญหา ต้องช่วยกันดูว่าจะออกไปทิศทางใด เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเรา รักษาผลประโยชน์ให้เร็วที่สุด”
ส่องกรุของขลังแม่ทัพกุ้ง “ชีวิตประจำวัน ก่อนที่จะเป็นแม่ทัพก็เหมือนกับพวกเราทั่วไป แต่พอเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เวลาไปเที่ยวจะไม่มีแล้ว ก็ออกไปทางปฏิบัติธรรม ไหว้พระ สวดมนต์ ถ้ามีเวลาก็ออกกำลังกาย ทหารกับการออกกำลังกาย ทิ้งไม่ได้ เพราะสักวันนึงเราก็ต้องแบกเป้ถือปืนไปกับลูกน้อง เดินขึ้นภูมะเขือเราก็ต้องเดินไปกับลูกน้อง เดินขึ้นเนิน 500 เนิน 677 เนินต่างๆ เพราะฉะนั้น คุณจะแก่ขนาดไหน ถ้าคุณยังไม่เกษียณ คุณก็ต้องฟิตร่างกาย เป็นทหารมา ตัวผมเองมักจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อยู่ มีชุดใหญ่ ชุดเล็ก ชุดเบา ชุดกลาง เวลาวิ่งก็ชุดเบาๆ หลวงปู่ทวดห้อยคอ 1 องค์ วิ่งก็ต้องมีพระห้อย เราออกสนามไง เจ็บจริง ตายจริง ขาดไม่ได้เลยคือพระกับเสื้อเกราะ ชุดใหญ่ก็มี 1 เบญจภาคีครบครับ 2 พระเหล็กไหล ก็จะเป็นพญาครุฑเหล็กไหล พระสมเด็จเหล็กไหล ผมมีหมด ต่อไปก็ พระหลวงปู่ศิลา พหูรมาน แล้วก็ ตะกรุดหลวงปู่ศิลา ที่ท่านถอดจากคอท่านให้ไม่นานมานี้เอง ช่วงศึกเขมรนี่แหละ ปู่มองหน้าผม ท่านอยากให้ตะกรุดที่อยู่มาตั้งแต่ท่านเป็นพระหนุ่ม เป็นตะกรุดที่อัดพระคาถาไว้เยอะมาก มี 9 ดอกในพวงเดียวกัน ผมจะใส่เวลาไปปฏิบัติภารกิจพื้นที่ชายแดน จะเชิญท่านขึ้นคอ ทั้งหมด จะใส่พร้อมกันเวลาเข้าสนามรบจริง ปืนพกออกสนามมันจะคู่กันตลอด แต่ว่าทุกวันนี้พกปืนไม่ได้แล้ว ห้อยพระนี่แหละ ถ้าไม่ห้อยพระ มันเหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในโลกนี้ สรรหา เหล็กไหลก็หา ณ เวลานี้ มีโอกาสก็ทำบุญๆ เราเชื่อในหลักคำสอน เชื่อในปาฏิหาริย์ ในพุทธกาล ผมเชื่อหมดโดยไม่ต้องสงสัย มันก็เลยทำให้เรามีความสุขเวลาเราเข้าวัดเข้าวา” |
สัมภาษณ์ : YouTube "พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร"
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : กองทัพบก, เฟซบุ๊ก “กองทัพภาคที่ 2” และ “Army Military Force”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


