อัปเดตล่าสุด ชะตากรรม “ช้างไทย” ในฐานะทูตสันถวไมตรี ที่ “ศรีลังกา” ถูกใช้แรงงานหนัก ผิดหลักสวัสดิภาพสัตว์ ถึงรัฐจะเดินหน้าเจรจา “ทูตศรีลังกา” แต่อาจขอคืน “ยาก” เพราะดันให้แบบไม่มีเงื่อนไข ให้แล้วให้เลย!!
** ยุติวิบากกรรม ขอ “ช้างไทย” กลับบ้าน **
เจรจาขอคืน “ช้างไทย”จาก “ศรีลังกา”ให้ได้กลับบ้าน “สุชาติ ชมกลิ่น” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แจ้งความคืบหน้าล่าสุดต่อพี่น้องชาวไทย
กับการพยายามนำช้างไทย 2 เชือกกลับบ้าน ทั้ง “พลายประตูผา” และ “พลายศรีณรงค์”สัตว์ประจำชาติที่ถูกส่งไปเป็น “ทูตสันถวไมตรี”ให้กับ “ประเทศศรีลังกา”เมื่อหลายสิบปีก่อน
ล่าสุด ขอเชิญ “ทูตศรีลังกา” มาหารือเรียบร้อยแล้ว ด้วยการเสนอตัว ขอนำทีมสัตวแพทย์ไปตรวจสุขภาพช้างทั้ง 2 เชือกที่ศรีลังกา จากนั้นจะขอเจรจาต่อที่นั่น ไม่เกินวันที่ 8 ธ.ค.นี้
{“พลายศรีณรงค์”}
ให้เหมือนกับเคสของ “พลายศักดิ์สุรินทร์” ช้างทูตสันถวไมตรีอีกเชือก ที่ไทยส่งไปเมื่อปี 2544 และขอนำกลับมาไทยเมื่อปี 2566 หลังถูกใช้งานอย่าง “หนัก”ในการ “แห่”ขบวน“พระเขี้ยวแก้ว”กว่า 20 ปี ที่ศรีลังกา จนร่างกาย “ผอมแห้ง”ทรุดโทรมทั้งที่อายุเพียง 30 ปีกว่าๆ
จากความสำเร็จในการนำ “พลายศักดิ์สุรินทร์”กลับมาได้ในครั้งก่อน ทำให้มี “การเรียกร้อง”ให้นำช้างพลายอีก 2 เชือกกลับบ้านเหมือนกันคือ “พลายประตูผา” และ “พลายศรีณรงค์”ด้วยชะตากรรมที่ถูกใช้แรงงานหนักไม่ต่างกัน
คือถูกใช้ในพิธีแห่ “พระเขี้ยวแก้ว”หรือ “การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า”ในศรีลังกาเหมือนกัน จนเริ่มส่งผลต่อสุขภาพให้เห็นแล้ว
โดยในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มคนไทยในศรีลังกา และเครือข่ายคนรักษ์ช้าง พบว่า ช้างทั้ง 2 เชือก ทั้ง “พลายประตูผา”ที่ถูกส่งไปตั้งแต่ปี 2523 ปัจจุบันอายุกว่า 50 ปี อยู่ที่เมืองแคนดี้ “วัดสุธุฮุมโปลลา”
กับ “พลายศรีณรงค์”ที่ตอนนี้อายุราว 29 ปี ซึ่งถูกส่งไปศรีลังกาตั้งแต่ 2544 และตอนนี้อยู่ที่ “วัดเกลาณียะราชมหาวิหาร” เมือง “โกลัมโบ”
{“พลายประตูผา”}
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ดร.ยุวนุช เกียรติวงศ์”ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มทวงคืนช้างไทย ผู้ลงพื้นที่ติดตามความเป็นอยู่ของทั้ง 2 เชือกในศรีลังกามากว่า 2 ปี ได้เล่าถึง “วิธีเลี้ยงช้าง” ที่น่าเป็นห่วง ณ ที่นั่นเอาไว้กับทีมข่าว
โดยอธิบายว่า จะมีการ “มัด” 2 ขาหลังของช้างด้วยโซ่โดยทิ้งความยาวระหว่างขาไว้เพียงนิดเดียว ขณะเดียวกันก็ “ล่าม” ขาหน้า 1 ข้างไว้กับหลัก ซึ่งทำให้ช้างไม่สามารถยืนตรงได้ตามปกติ
อีกทั้งบริเวณที่ล่ามไว้ก็เป็นพื้นซีเมนต์ “ไม่มีร่มเงา”ให้ช้างได้หลบความร้อน ถ้าสังเกตดีๆ ที่บริเวณ “ข้อเท้าช้าง” ก็จะเห็น “แผล”ที่เกิดจากการล่ามโซ่แบบนี้
ที่น่าเป็นห่วงคือ “ความชรา” ของ “พลายประตูผา”ทำให้มีปัญหาเรื่องการกินจนผลักให้ควาญต้องลากสายยางมาป้อน
แต่ประเด็นคือตัวควาญเอง ก็ไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลา ทำให้ช้างเชือกนี้ได้กินน้ำน้อย ทั้งๆ ที่ควรได้รับน้ำ 200-300 ลิตร/วัน จนผลักให้ผิวหนัง “เหี่ยวย่น”กว่าที่ควรจะเป็น
{ รอยแผลบนตัวของ “พลายประตูผา” }
“สภาพเขาก็คือ มีถังเก่าๆ สนิมขึ้น แล้วก็มีบ่อซีเมนต์เล็กๆ สภาพสกปรก ไม่มีน้ำสะอาดอยู่ในนั้น ช้างจะต้องรอควาญมา เพื่อที่จะให้สายยาง
ซึ่งควาญก็คือ ไม่ได้อยู่กับช้างสักเท่าไหร่ จะมาก็ต่อเมื่อ ใกล้เวลาที่ช้างจะต้องไปทำงาน เพราะฉะนั้น ประตูผาเนี่ย ดิฉันมั่นใจว่า ไม่ได้รับน้ำตามที่ควรจะได้”
นอกจากเรื่องน้ำแล้ว ยังมีเรื่อง “อาหาร” ที่ได้รับอย่างไม่เหมาะสม ทั้งๆ ที่เป็น “ช้างชรา” ควรได้อาหารพื้น กับกินผลไม้ที่หลายหลาก เพื่อให้ครบตามโภชนาการ
แต่กลับได้รับแค่“ทางมะพร้าว” แบบไม่ช่วยบด เพื่อช่วยช้างกินได้ง่ายขึ้นเลย
“โดยหลักแล้วเนี่ย ช้างจะต้องไปได้ประมาณ 300-400 กก.ของอาหาร ซึ่งควรจะเป็นหญ้า แล้วก็มีเกลือแร่ ควรจะมีผลไม้ เป็นโภชนาการ ตามที่เขาควรจะได้นะคะ”
{“ดร.ยุวนุช” ผู้ประสานงานกลุ่มทวงคืนช้างไทย}
** ใช้งานหนักผิดจุด ผิดธรรมชาติร่างกาย **
ถ้าพูดถึงหน้าที่ของ “ทูตสันถวไมตรี” ในพิธีแห่ขบวน “พระเขี้ยวแก้ว” หลักๆ คือหน้าที่แบกผ้าปักลวดลายไว้บนตัว ตั้งแต่ “หัวค่ำ” ลากยาวไปจนถึง“ เที่ยงคืน” โดยถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆ พิธีนี้จะถูกจัดติดต่อกันนานถึง 10 วัน
หนักกว่านั้นคือ การติด “หลอดไฟ” ประดับเพิ่มความสวยงามทำให้ช้างต้องแบก “แบตเตอรี่” ไปด้วยตลอดทาง
โดยก่อนจะใส่ชุดให้ช้าง จะมีการ “ล่ามโซ่” ทั้งขาหน้าและขาหลัง คล้าย “กุญแจมือ” หลังจากนั้นจะสวมชุดให้ ก่อนปล่อยให้เดิน ด้วยการเอาโซ่เส้นใหญ่ๆ อีกหลายเส้นมาพาดที่คอ เพื่อให้ควาญช้างใช้ดึง บังคับทิศทางในการเดิน
จากหน้าที่ที่ต้องแบกรับทั้งหมดนี้ ผลักให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของช้างในหลายๆ จุด อย่างแรกเลยคือเรื่อง “ดวงตา” เพราะหลอดไฟที่ติดอยู่กับผ้าคลุม มัน “ใกล้ดวงตา” มากๆ
ทำให้ตาของช้างเกิดอาการพร่ามัว สับสน และอาจส่งผลเสียระยะยาวด้วย แถมยังทำให้ช้างเกิดความเครียดสะสม จากแสงจ้าและความไม่สบายตา ตลอดหลายชั่วโมงแห่งการใช้แรงงาน
{ขบวนแห่พระเขี้ยวแก้ว}
ทั้งนี้ ในพิธีแห่พระเขี้ยวแก้วนี้ การเดินขบวนก็ไม่ได้เดิน “บนถนน” อย่างเดียวเท่านั้น ยังมีการเดินขึ้นลง “บันได” ที่ “ชัน” และขั้นบันไดเล็กกว่าเท้าช้างด้วย ซึ่งจุดนี้นี่เองที่ก่อให้เกิดปัญหาที่ “ข้อขา” และ “กระดูก”
เพราะเมื่อลงหรือขึ้นบันไดแบบนี้ ทำให้เกิดการถ่ายน้ำหนักที่ “ผิดธรรมชาติ” จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า การรับน้ำหนัก “เฉพาะจุด”ผลักให้เกิดการบาดเจ็บเรื้อรัง เอ็นยึดข้อเสื่อม และอาจรวมถึงกระดูกสันหลังโก่ง
ที่สำคัญคือ เท้าช้างไม่ได้ถูกออกแบบมา ให้เดินในที่ลาดชันแบบนี้ หากก้าวพลาดนิดเดียว ช้างอาจล้มได้ง่ายๆ จนก่อให้เกิดการบาดเจ็บหนักได้
“ใช้งานโดยทั่วไปของศรีลังกา ที่มาขอเราไว้เนี่ย ก็จะเป็นการขอไปแห่พระธาตุเขี้ยวแก้ว แต่ว่างานของเขาแล้วจริงๆ เลยคือ ที่พบเป็นการแห่ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น งานแต่งงาน งานบวช งานพิธีกรรมต่างๆ แม้กระทั่งฮินดู”
** ให้แล้วให้เลย ต้นเหตุปัญหา **
จากที่เล่าไปทั้งหมด สิ่งที่ช้างไทยได้รับ มันขัดกับหลัก “สวัสดิภาพสัตว์ 5 ประกาศ”
1. อิสระจากความหิวและกระหาย คือจัดหาอาหารและน้ำที่เพียงพอ
2. อิสระจากความไม่สบายกาย คือจัดหาที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
3. อิสระจากความเจ็บปวด คือต้องป้องกันและรักษาเมื่อเจ็บป่วย
4. อิสระในการแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ คือต้องมีพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวก ให้แสดงพฤติกรรมปกติ
และ 5. อิสระจากความกลัวและความทุกข์ คือต้องหลีกเลี่ยงความเครียด และการกระทำที่สร้างความทรมาน
พูดง่ายๆ คือ นอกจากหลักสวัสดิภาพจะไม่ผ่านแล้ว สภาพร่างกายของช้างทั้ง 2 เชือก ที่ผิวเหี่ยวย่น ขา คอ สะโพก มีแต่รอยแผลแบบนี้ ชี้ชัดเลยว่าเข้าข่ายทรมานสัตว์
จนเกิดคำถามว่า ทำไมไทยเราถึงไม่สามารถ “ขอช้างคืน” ได้ทันที เหมือนกรณี “แพนด้า” สัตว์ทูตสันถวไมตรีของ “จีน” จากเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อปี 2566 ที่สวนสัตว์เมมฟิซ สหรัฐอเมริกา
เมื่อนักท่องเที่ยวไปพบ เจ้า “หยาหยา” แพนด้าจากจีน มีสภาพร่างกายย่ำแย่ “ขนหลุดร่วง” จึงได้ร้องไปยังรัฐบาลจีน เพื่อให้ขอเรียกคืน ซึ่งจีนก็ทำทันที
นี่อาจเป็นเพราะ “ระเบียบ” ระหว่างไทยกับจีน มันต่างกัน ระเบียบของจีนระบุว่า การส่ง “แพนด้า” ไปเป็นทูตสันถวไมตรี ไม่ได้ให้ขาด แต่เป็นการ “ยืม” ระยะเวลา“10 ปี” และระหว่างนั้น ต้องจ่ายค่าเช่า 500,000-1,000,000 ดอลลาร์/ปี
แล้วถ้าหากแพนด้าที่ให้ไป เกิดมี “ลูก” ก็จะยังถือว่า ลูกแพนด้าเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลจีน และต้องส่งกลับจีน เมื่ออายุครบ 2-4 ปี ส่วนในเคสที่แพนด้าเกิดตาย ประเทศที่รับไป ต้องส่งร่างคืนให้จีน พร้อม “จ่ายค่าปรับ” ด้วย
ส่วนของไทย การส่ง “ช้าง” ไปเป็นทูตสันถวไมตรี เป็นแบบให้แล้วให้เลย บอกแค่ว่า ประเทศที่รับไปต้องมีควาญช้าง 2 คน ต่อช้าง 1 เชือก และในช่วงปีแรก ควาญช้างต้องเป็นคนไทย แค่นั้น
“ดิฉันมองจากภาพช้าง มองว่าสภาพเนื้อตัวเหี่ยวย่น ขาก็เป็นแผล สะโพกก็มีรอย รอบคอก็มีแผล วิถีการใช้งานก็ยังเหมือนเดิม ถามว่าถ้าทางเราได้มีการเจรจา ทำ MOU หรือใดๆ ที่เคยบอกและอ้างถึง
ประชาชนคนไทย ผู้ร้องเรียนอย่างดิฉันเนี่ย อยากเห็นค่ะว่า MOU ของคุณเนี่ย เอื้อประโยชน์ให้กับพลายชรา แล้วก็พลายอีกเชือกนึงของเรายังไง เขามีชีวิตที่ดีขึ้นไหม”
แม้ตอนนี้ไทยจะไม่มีนโยบายส่งช้างออกไปนอกประเทศแล้วก็ตาม แต่การที่รัฐบาลไทยในยุคนั้น ตีเช็กเปล่า ส่งช้างไทยไปแบบไร้เงื่อนไขแบบนี้ มันก็กลายเป็นปัญหาในการขอคืน แม้เขาจะนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็ตาม
“เรา G to G (Government to Government) ให้เขาไปแล้ว เพื่อใช้อะไรคะ วัตถุประสงค์แห่พระเขี้ยวแก้ว เพราะฉะนั้นเนี่ย คุณเอาไปใช้อย่างอื่น ไปให้คนลอดใต้ท้องช้าง ไปยืนบริจาคเงินทำอะไรก็แล้ว คุณก็ผิดวัตถุประสงค์”
ความยากในขอคืนของเคสช้างพลายทั้ง 2 เชือกนี้คือ ตอนเราให้ทำสัญญาแบบ G to G หรือ รัฐต่อรัฐ ต้องเป็นการทำด้วย“ความยินยอม” ทั้ง 2 ฝ่าย
และอีกความซับซ้อนคือ ตอนนี้รัฐศรีลังกาก็มอบช้างทั้ง 2 เชือกนี้ ให้กับวัดไปอีกต่อนึงแล้ว ตอนนี้จึงทำได้เพียงภาวนา ให้การเจรจาที่เกิดขึ้นสำเร็จเท่านั้นเอง
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook ”NuNa Silpa-archa”, “Tien Nung Ching”, “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม-ประเทศไทย”, “สุชาติ ชมกลิ่น”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


