xs
xsm
sm
md
lg

สีสันชีวิต สตาร์ทที่วัย 50+ “ชัตเตอร์ฮีลใจ” แบกกล้อง-ลุยป่า-ค้นหาพันธุ์นก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เริ่มในวัย 50+ ก็ไม่สาย เจ้าของเพจ “ป้ากล้อง” จากชีวิตที่ไม่เคยมี Work-life balance ขอเกษียณก่อนอายุ เพราะหลงใหลเสน่ห์ของนก ลุยเดี่ยวเข้าป่า แบกอาวุธข้างกาย ด้วยกล้องหนักหลายสิบกิโล จนได้ชีวิตใหม่ในฐานะ “ช่างภาพวัยเก๋า” สร้างสุขให้ตัวเอง

ถ่ายนก ช่วยฮีลใจวัยเกษียณ

“แทนที่จะเป็นผู้สูงวัยเหงาๆ อยู่ที่บ้าน ป้ากล้องก็เป็นบุคคลที่อาจมีคุณค่าเล็กน้อย สำหรับการแบ่งปันความสุขให้เพื่อนๆ ในเพจป้ากล้อง แม้ความรู้สึกดีๆ ความสุขเพียงสั้นๆ หรือรอยยิ้มของเพื่อนๆ ที่เวลาเห็นภาพของป้ากล้อง มันชุบชูใจมากๆ เลยค่ะ”

“หน่อย-ธนพร พิชิตพรรณ” เจ้าของเพจ “ป้ากล้อง” วัย 62 ปี เธอเป็นเจ้าของธุรกิจขายอุปกรณ์และสินค้าการเกษตร อยู่ที่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ก่อนที่จะตัดสินใจเกษียณการทำงานในวัย 54 ปี หันมาถ่ายภาพนกและสัตว์ป่า โดยเริ่มต้นทำเพจถ่ายภาพนกในวัย 50+

และใช้ชีวิตหลังเกษียณ ด้วยการแบกกล้องหนักหลายสิบกิโลลุยเดี่ยวเข้าป่า เพื่อเก็บภาพสัตว์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สร้างความสุขให้เธอ

ป้ากล้องบอกว่า การหันมาใช้เวลาทุ่มเทกับการถ่ายภาพนก ซึ่งเป็นงานอดิเรกใหม่หลังเกษียณ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใส เพราะได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และยังได้ฝึกสมาธิ ฝึกการยอมรับความผิดหวัง เมื่อไม่ได้พบนกที่ต้องการ เป็นบทเรียนชีวิตที่ได้ค้นพบระหว่างการถ่ายภาพนก

“มันทำให้เราได้สัมผัสความรู้สึกจากธรรมชาติจริงๆ เราได้อยู่เงียบๆ กับตัวเราเอง การได้มีสมาธิ มีตั้งสติรอคอยนก คือถ้าเราไม่มีสมาธิที่จะเฝ้ารอ มองกล้อง หรือว่ามองภาพข้างหน้า เราอาจจะพลาดช็อตเด็ดก็ได้ มีสมาธิมุ่งมั่น ใจคอไม่วอกแวก

แล้วการที่ได้ภาพถูกใจ มันเหมือนรางวัลเลย มันทำให้จิตใจเราฟูเลยค่ะ มันทำให้เรารู้สึกว่าเกมนี้เราชนะ จากวันที่เรารู้สึกว่าเราพอแล้ว เราไม่ได้รอคอยอะไรแล้ว เราสร้างหลักประกันให้ครอบครัวพอสมควรแล้ว เราก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนวันสุดท้ายของเรา โดยที่ทั้งครอบครัวไม่มีใครลำบากแล้วนะคะ

ป้ากล้องก็รู้สึกว่า เมื่อเราพร้อมในระดับหนึ่ง เราไม่ได้รวยนะคะ แต่เราพอ มันก็ทำให้เราออกไปหาแรงบันดาลใจอื่นๆ อย่างเช่นภาพในฝัน

ก่อนจะออกไปถ่ายภาพ ป้ากล้องจะตั้งโจทย์ไว้สำหรับภาพในฝันตัวเองว่า อยากจะได้ภาพประมาณไหน อาจจะดูภาพของเพื่อนๆ เป็นแบบอย่าง แล้วก็ออกไปตามหาภาพแบบเดียวกัน หรือภาพที่เราอยากได้ พอได้ลองแล้ว มันคือรางวัล จิตใจก็ชุ่มชื่น มีความสุขค่ะ”


แม้สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ จะไม่ได้คุ้มในด้านการเงิน แต่มันคุ้มมากๆ ในแง่ของมูลค่าทางจิตใจ ที่เมื่อวัยยังสาว ไม่มีโอกาสได้ลงมือทำ

“ถ้าเทียบว่าคุ้มไหม ถ้าเรานับเป็นปัจจัยด้านการเงินไม่คุ้มค่ะ เพราะว่าป้ากล้องไม่ได้มีผลตอบแทนเป็นการเงิน จากการเขียนเพจการถ่ายภาพ รวมทั้งมันเป็นการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายสูงอีกต่างหาก ทั้งกล้องและเลนส์ และการเดินทาง และเวลาด้วยนะคะ

ถ้าเรามองจุดคุ้มทุนกับปัจจัยแลกเปลี่ยนเป็นมูลค่านี้ มันไม่คุ้ม แต่ถ้ามันเป็นมูลค่าทางจิตใจ ป้ากล้องว่ามันคุ้มมากเลยค่ะ เป็นช่วงเวลาแสนสุข จากการได้ดูภาพเก่าๆ ที่ป้ากล้องถ่ายภาพมา มันทำให้ช่วงเวลาของป้ากล้องมีค่ามากขึ้น

ป้ากล้องไม่ได้ขายภาพ แล้วก็ไม่ได้ประกวดใดๆ ถ้าถามว่าตีเป็นมูลค่าด้านการเงิน ถ้าเป็นการทำธุรกิจ ก็คือขาดทุน แต่ป้ากล้องได้กำไรเป็นความสุข ซึ่งมันไม่สามารถใช้เงินหาซื้อได้ค่ะ”






นอกจากนี้ ยังส่งต่อแรงบันดาลใจ ให้กับใครหลายๆ คน อยากออกไปถ่ายรูป และยังช่วยปลูกฝังการรักธรรมชาติ ให้กับอีกหลายคน

“ป้ากล้องได้ทราบว่า เป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคน ให้เด็กที่อยากเข้ามาใกล้ชิดธรรมชาติ ให้ผู้สูงวัย หรือให้ใครสักคนนึง ที่เขาเห็นป้ากล้องเป็นแบบอย่าง แล้วก็อยากมาทำตามป้ากล้อง อันนี้มากกว่าที่มันชุบชูใจป้ากล้อง

ป้ากล้องเคยไปพูดที่งานบ้านและสวน แล้วก็เจอคุณแม่ของน้องคนนึง ที่ตอนนี้เขาถ่ายภาพเก่งแล้ว คุณแม่ท่านเนี่ย บอกว่า ป้ากล้องเป็นแรงบันดาลใจ ให้ลูกเขาในวันนั้น

เคยฟังเพื่อนท่านนึง เขาบอกว่า เขาไม่สามารถจะออกไปจากบ้านไปไหนได้ เพราะเขาไม่สามารถเดินทางได้ เขาต้องดูแลคุณแม่ที่สูงวัย บางคนบอกว่าเขาเป็นผู้พิการทางการได้รับฟัง แต่ได้ภาพป้ากล้อง ทำให้เขามีความสุขในทุกๆ วัน

ก็ดีใจมากๆ เลยค่ะ ที่เป็นส่วนหนึ่งของคนที่เขาไม่สามารถ จะมาใช้ชีวิตเข้าใกล้ธรรมชาติได้แบบนี้ แต่ว่าเขาได้เห็นภาพของป้ากล้อง ได้ฟังเรื่องราวของป้ากล้อง แม้จะบางทีข้อเขียนของป้ากล้อง มันก็จะเยิ่นเยอ เพื่อนๆ ก็ยังให้อภัย

เพจป้ากล้องเหมือนครอบครัวที่เรามาอยู่รวมกัน แล้วเราช่วยกัน ป้ากล้องไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่เพียงป้ากล้องอยู่แนวหน้าที่เป็นผู้นำเสนอเรื่องราว เพื่อนๆ ก็มาส่งข้อมูลเป็นกำลังใจ บางคนก็ส่งขนมให้

ก็ยังมีความรู้สึกว่า เราอยากตอบแทนเขา ยิ่งเราได้รับ เรายิ่งอยากตอบแทนมากขึ้น อันนี้ก็เป็นความสุขเล็กๆ ที่ป้ากล้อง ซึ่งเป็นผู้สูงวัย ก็จะพยายามทำหน้าที่ ลงภาพสวยๆ ให้เพื่อนๆ ชมไปตลอด เท่าที่กำลังจะมีค่ะ

สิ่งที่ทำให้ป้ากล้องมีความสุขมากที่สุด ก็คือการที่ป้ากล้องได้ปลูกฝังความรักธรรมชาติ เราไม่ได้เป็นนักอนุรักษ์ เราไม่ได้เป็นนักปักษีวิทยา แต่เพียงเราไม่ได้ไปทำลาย เราเป็นผู้ไปเยี่ยม แล้วสิ่งที่เราเก็บกลับมาคือภาพถ่าย รวมทั้งภาพถ่ายของเรา สร้างให้เกิดความรักธรรมชาติ สร้างให้เกิดความรักนกด้วยความจริงใจ จากความน่าเอ็นดูของเขา”





จากนกเอี้ยงหลังบ้าน สู่แรงบันดาลใจ

ช่างภาพวัยเกษียณเธอเล่าว่า ด้วยการที่ต้องทำงานตลอดเวลา เพื่อสร้างหลักประกันไว้ให้ตัวเอง และครอบครัวในอนาคต ชีวิตจึงไม่มี Work-life balance ไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ

“ป้ากล้องก็ใช้ชีวิตมา ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ไม่ได้แบ่งเวลา หลังจากที่เรามาทำธุรกิจการค้า ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก่อนที่มีครอบครัว ก็เป็นพนักงานบริษัท ที่เป็นโรงงานทำถ้วยชามเมลามีน เป็นพนักงานฝ่ายการเงิน ก็ทำอยู่ 4 ปีแล้วก็พอเราแต่งงาน เราก็เริ่มมาทำธุรกิจของเราที่ต่างจังหวัด เป็นบ้านเกิดค่ะ ประมาณอายุ 30 ปี

ไม่มีคำว่า Work-life balance ทำงานสร้างหลักประกันอย่างตึงเครียดมาก ด้วยความตั้งใจว่า อยากจะเกษียณอายุให้เร็วกว่ากำหนด พออายุ 54 ปี ก็เกษียณอายุของตัวเอง เพราะเราทำธุรกิจการค้า”

[นกเอี้ยงภาพแรก ที่เป็นแรงบันดาลใจในการถ่ายภาพ]


ส่วนจุดเริ่มต้นของการชอบถ่ายนก ป้ากล้องบอกว่า เริ่มจากมองเห็นนกเอี้ยงหงอนสีดำ ผ่านเลนส์กล้อง กำลังพาลูกๆ มากินมะละกอที่หลังบ้าน จึงถ่ายเก็บไว้ แล้วเอามาลงเฟซบุ๊กส่วนตัว แบ่งปันโมเมนต์น่ารัก

“เราได้เห็นภาพที่เรามองผ่านเลนส์ เป็นภาพที่แตกต่างจากที่เราเห็น เพราะปกติ เราจะถ่ายภาพอย่างอื่นอยู่แล้วนะคะ ก็เป็นเหมือนการถ่ายภาพท่องเที่ยว เป็นคนที่พกกล้องอยู่แล้วโดยปกติ พอมามองภาพนกด้วยการเฝ้าดูพฤติกรรมของเขา เราก็จะเห็นความน่ารัก

เป็นนกเอี้ยงหงอนสีดำค่ะ เขาจะพาลูกมากินมะละกอ ที่ป้ากล้องปลูกไว้หลังบ้าน ลูกเหมือนจะมี 2 หรือ 3 ตัว ไม่แน่ใจ ภาพตอนนั้นเราก็มาจากเลนส์ที่เป็นเลนส์ระยะใกล้ ไม่ได้ภาพที่สวยอะไร แต่ก็ยังเก็บภาพไว้

พ่อแม่ยังต้องช่วยป้อนมะละกอให้ลูกนกอยู่เลย เพราะว่าลูกนกก็จะร้องเหมือนเด็กที่อ้อน กางปีกร้องไห้ ขออาหารจากพ่อแม่ เหมือนเด็ก มันเป็นพฤติกรรมที่น่ารัก ทำไมมันน่ารัก แล้วทำไมมันมีพฤติกรรมที่คล้ายมนุษย์อย่างนี้ อันนี้ค่ะเป็นจุดเริ่มต้น

พอนำภาพที่ถ่ายได้มาลงเฟซส่วนตัว เพื่อนๆ ก็ชอบดู เราก็เลยความรู้สึกว่าหลงใหลภาพธรรมชาติ ก็เลยคิดว่า ถ้าลงภาพทุกวันๆ เราเปิดเพจเพื่อการแบ่งปันภาพถ่ายจากที่เราเห็นมาดีกว่า คนอื่นจะได้เห็นเหมือนเรา

มันเป็นความสุขที่เรารู้สึกว่า เราอยากให้คนอื่นเห็น แล้วก็ได้รู้สึกเหมือนเรา นี่เป็นจุดเริ่มต้นว่าทำไมถึงทำเพจป้ากล้อง ทำไมถึงชอบนก”




ก่อนหน้านั้น แม้จะเป็นคนชอบพกกล้องตัวเล็กๆ อยู่บ้างเมื่อเวลาไปเที่ยว แต่ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องกล้อง นอกจากใช้โหมดออโต้ถ่ายภาพ บันทึกการเดินทางเพียงเท่านั้นเอง

“ไม่มีความเป็นมืออาชีพ แล้วก็ไม่เรียกตัวเองว่าตากล้อง เรียกว่าคนมีกล้อง ที่พกกล้องไปเพื่อบันทึกเรื่องราวการเดินทางของตัวเอง เราอยากเก็บภาพของพวกเรา อยากเก็บภาพของลูกที่เขาเปลี่ยนแปลง เขาเติบโต เราก็อยากบันทึกไว้เท่านั้นเองค่ะ”

เคยไปลองเข้าชมรมปั่นจักรยาน แต่ก็รู้สึกไม่ใช่ตัวเอง เพราะตัวเองเป็นคนชอบสันโดษ ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม ซึ่งนกหลังบ้านตัวนั้น ก็เรียกได้ว่า เป็นจุดประกายสำคัญ ที่ทำให้ชีวิตวัยเก๋า แฮปปี้ขึ้น

“การที่เราได้เลือกกิจกรรมไปถ่ายนก จากความชอบที่เราได้เห็นภาพที่น่ารักของนกผ่านเลนส์ มันก็ทำให้เราได้มีความรู้สึก ได้อยู่กับตัวเอง มีสมาธิ มีสติ เริ่มต้นจากความชอบ ที่เราเห็นภาพนกก่อน แล้วเราก็มาทดลองกันไปถ่ายนกจริงๆ ว่ามันต้องมีชีวิตแบบไหน”






ลุยเดี่ยว ตามล่าหาพันธุ์นก

หลังจากรู้ความสุข คือการได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติ และถ่ายนก ช่างภาพวัยเก๋าก็เริ่มมีความรู้สึกว่า อยากออกสนามจริง เริ่มจากจากซื้อเลนส์กล้องเพิ่ม

“ตอนนั้นก็ใช้กล้องที่ใช้ถ่ายทั่วไป แล้วเราก็ไปเพิ่มอุปกรณ์ด้วยการไปซื้อเลนส์เทเล ที่มีทางไกลขึ้น เป็นเลนส์ขนาด 600 มิล เราก็ไปซื้อเลนส์ในราคาย่อมเยา เอาพอถ่ายได้ก่อนนะคะ เป็นเลนส์ซูม

อันแรกซื้อมาอยู่ 50,000 กว่าบาทค่ะ ก็ไปซื้อเลนส์เทเลมา เป็นเลนส์ซูมนะคะ ก็คือภาพใกล้ภาพไกลได้ พอป้ากล้องใช้เลนส์ซูม เราสามารถซูมเข้ามาใกล้ขึ้น เห็นรายละเอียดมากขึ้น เห็นความชัดเจนของสีสันของนกมากขึ้น

แล้วมันก็ทำให้เราพาตัวเองออกไปหานก ไม่ว่าจะเป็นตามท้องทุ่งในบริเวณบ้านของเรา หรือว่าตามแหล่งนก ที่เขาพูดถึง
การที่เราพาตัวเองเข้าไปอยู่ในธรรมชาติ กลางป่าจริงๆ เราจะได้ความรู้สึกเย็นสบาย อากาศที่ดี แล้วถ้าเรามีอะไรให้เป็นจุดมุ่งหมายในการเดินทาง ในการเฝ้ามอง

อย่างเช่นป้ากล้องไปเพื่อเฝ้ามองนก และสัตว์ต่างๆ มันทำให้การรอคอยของเรา มันมีความหวัง มันมีความหมาย และเมื่อเราได้ภาพอย่างนั้น มันเหมือนเราได้รางวัลค่ะ มันเหมือนเราชนะ

มันเหมือนเราเล่นเกม เหมือนเรากำลังเดินทางไปสู่เลเวลที่มันชนะเลิศ ถ้าได้ภาพอย่างที่เราต้องการ มันก็จะได้ความรู้สึกนั้น แล้วความสุขมันก็จะตอบกลับมาค่ะ

เรามีความสุขจากภาพถ่าย ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน รวมทั้งเราก็ไม่ได้ไปรบกวนธรรมชาติด้วย เราไปเหมือนเราเป็นแขก เราไปเหมือนเราเป็นผู้ที่เข้าไปในบ้านของเขาไง เราก็ต้องให้ความยำเกรง ให้ความเกรงใจเจ้าบ้านค่ะ พอเราได้ไปใช้ชีวิตแบบนั้นแล้วเนี่ย เราจะรู้เลยว่า มันต่างกับที่เรามีชีวิตในชนบทที่อากาศก็ดีอยู่แล้ว อย่างสิ้นเชิงเลยค่ะ”

[นกเงือก]
บางครั้งก็ลุยเดี่ยวแบกกล้องหนักๆ เข้าไปคนเดียว บางครั้งก็ไปทริปกับเพื่อนๆ ในกลุ่มที่ชอบถ่ายสัตว์ป่าด้วยกัน ซึ่งสนามแรกที่ไปถ่ายก็คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

“สนามแรกที่ป้ากล้องไป เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งค่ะ ให้เจ้าหน้าที่นำทางให้นะคะ เพราะสมัยก่อนเริ่มต้น เราก็ไม่รู้จัก สนามแรกเราไม่มีเป้าหมาย ส่วนมากก็จะเป็นเก้งกวาง นกยูง นกหัวขวาน แต่แรกๆ เราก็อยู่ตามท้องทุ่งบ้านเรานี่แหละค่ะ นกตัวไหนก็เป็นนกแปลกสำหรับป้ากล้องหมดในวันแรก”

นอกจากสนามในประเทศแล้ว ป้ากล้องยังเคยไปถ่ายนกที่ต่างประเทศมาแล้วหลายป่า เช่นที่ประเทศจีน, ไอร์แลนด์, อังกฤษ

“ป้ากล้องมีไปประเทศจีนมา 2 ครั้งค่ะ แล้วก็ไปล่าสุดไปไอร์แลนด์ ไปอังกฤษ ถ้าที่ไอร์แลนด์ ป้ากล้องไปถ่ายนกพัฟฟินค่ะ อันนี้ก็เป็นความฝันนึง ก็ได้ทำสำเร็จแล้ว”

 [ได้ไปถ่ายภาพในฝัน นกพัฟฟินคาบปลาเต็มปาก ที่เกาะซอลตี้ ไอร์แลนด์]




นอกจากนี้ เธอยังมีเป้าหมายไว้ในใจว่า ครั้งนึงในชีวิต ต้องได้ไปถ่ายนกที่ป่าฮาลาบาลา จ.ยะลา ส่วนต่างประเทศ ก็มีความฝันอีกว่า อยากไปถ่ายนกที่แอฟริกา

“เป้าหมายไว้ในใจ ป่าฮาลาบาลา อยากไปถ่ายที่แอฟริกา อยากไปถ่ายนกที่ประเทศจีน ในบางมุมที่มีไก่ฟ้า อยากไปป่าบางป่าที่เรายังไม่เคยไป อันนี้มันมีแพลนไว้ในหัว ถ้าจังหวะเหมาะ เราก็อาจจะได้เดินทางไป

เราตั้งโจทย์ไว้แล้ว ว่าในวันที่เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังต้องถ่ายภาพอยู่ เราอยากไปประเทศพวกนี้ เราอยากไปสถานที่พวกนี้ แต่ว่าถามว่าแผนระยะสั้นเนี่ย มันก็จะเป็นตามสถานการณ์ของช่วงนั้น เช่น ตอนนี้มีนกหายาก มาที่บางปู พร้อมเราก็ไป”


ส่วนความรู้เรื่องนก เริ่มแรกก็เรียกผิดๆ ถูกๆ บ้าง แต่ก็ได้เพื่อนๆ ในเพจ มาช่วยไขข้อสงสัย บวกกับตัวเองก็ศึกษาค้นคว้า ทั้งเสิร์ชอินเทอร์เน็ต และอ่านหนังสือเกี่ยวกับนกเพิ่มเติมด้วย

“เริ่มต้นป้ากล้องก็จะมีหนังสือคู่มือดูนก ของคุณหมอบุญส่ง เลขะกุล ที่ท่านเป็นผู้ที่รวบรวมจัดตั้งภาพนก และตั้งชื่อนกทำหนังสือ จนตอนนี้ก็มีประมาณ 5 เล่มค่ะ

ก็ส่วนใหญ่ก็จะถามในกลุ่ม การเรียนรู้เรื่องนกผิดถูก ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าอายนะคะ เราไม่ได้นักปักษีวิทยา เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง เราก็แค่เป็นผู้ถ่ายภาพ เอามาแบ่งปันกัน ว่ามันมีสิ่งนี้เกิดขึ้น มันมีสิ่งนี้ในธรรมชาตินะ เท่านั้นเองค่ะ

ทุกอย่างต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมกัน แล้วในวงการถ่ายภาพนก จะมีน้ำใจ มีความน่ารักตรงที่ เขาก็จะชี้แนะ แล้วก็บอกกล่าวกันว่า มันคือนกอะไร มันคือเรื่องอะไร สอบถามได้นะ มันเป็นสังคมที่น่ารักนะคะ เป็นสังคมที่น่าอยู่”

[นกเหยี่ยวทุ่งเอเชียตะวันออก]
บทเรียนที่บึงบอระเพ็ด เกือบเอาชีวิตไม่รอด

ช่างภาพวัยเก๋าเล่าถึง ประสบการณ์เกือบเอาชีวิตไม่รอดให้ฟังว่า ครั้งนั้นอยากไปถ่ายนกกระทุงหายาก ที่บึงบอระเพ็ด แต่เนื่องจากติดต่อเรือใหญ่ไม่ได้ จึงใช้เรือเล็ก เพราะคิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไร บวกกับช่วงนั้นหน้าร้อนเดือนเมษายน ไม่น่าจะมีฝนตก

แต่กลับกลายเป็นว่าฝนตก เรือก็มีปัญหาสตาร์ทไม่ติด ต้องพยายามพายเรือเข้าไปฝั่ง ซึ่งตอนนั้นเรือก็เกือบจะจม เพราะฝนตก บวกกับเรือเล็ก

“ป้ากล้องเกือบเอาชีวิตไม่รอด ก็เนื่องจากว่าป้ากล้อง อยากได้ภาพนกกระทุงจับปลามากๆ เป็นนกที่พบเห็นยาก น้องที่บึงบอระเพ็ดก็โทรมาบอกว่า ตอนนี้มีนกกระทุงหากิน ช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนเมษายน ซึ่งยังไม่มีฝนตก น้ำในบึงบอระเพ็ดแห้ง

ป้ากล้องไม่สามารถลงเรือใหญ่ ที่ให้บริการที่บึงบอระเพ็ดได้ ก็เลยนั่งเรือเล็ก ที่น้องคนนี้เขาไปยืมจากคนรู้จักมา เขาก็ไม่ได้คุ้นเคยกับเรือ ป้ากล้องก็ถ่ายภาพนกกระทุงที่หากินอยู่ 3 ตัว ถ่ายเสร็จเรียบร้อย อันเป็นช่วงบ่าย คราวนี้ฝนก็ตก ที่เดือนเมษายนนะคะฝนตก

ฝนตกเราเพลิดเพลินกับถ่ายนกอยู่ หันไปอีกที เรามองไม่เห็นฝั่งแล้วนะคะ ครึ้มมาก แล้วกับเรือก็ไม่ได้มีความชำนาญ เรือสตาร์ทไม่ติด


ป้ากล้องอาศัยเนินดิน อยู่ในบึงบอระเพ็ด ที่โดนน้ำท่วม ไม่เห็นเนินดิน ไม่เห็นป่าหญ้า เห็นแต่ยอดหญ้า ป้ากล้องต้องนั่งเอามือจับยอดหญ้าไว้ แล้วนั่งอยู่ในเรือ เราไม่มีอุปกรณ์เตรียมการใดๆ ทั้งสิ้น

แล้วก็มีแค่เสื้อคลุมหนึ่งตัว เอาคลุมกล้องไว้ มีถุงพลาสติกที่เราใส่อาหารไปกิน ใส่ตัวกล้องไว้ เพื่ออย่างน้อยกล้องไม่เปียก เพราะถ้าเปียกก็อาจจะพัง แล้วหลังจากนั้นเนี่ย เราก็กลับกันไม่ได้ เพราะว่าเรือมันสตาร์ทไม่ติด น้ำเกาะเต็มเรือ ฝนก็ยังลงเม็ดอยู่

ตอนนั้นบนฝั่ง เราพยายามติดต่อใครก็ติดต่อไม่ได้เลยนะคะ เรามีพายก็เลยพาย เรือ น้องคนที่ขับเรือ ก็เลยใช้พายเข้ามา ระดับน้ำที่สูงขึ้น ทำให้เรือเหลือพื้นที่แค่ประมาณนี้ นิดเดียว แค่นี้เองค่ะ

ป้ากล้องนั่งตัวตรงมาก ไม่งั้นมันอาจน้ำเข้าเรือ แล้วเราก็ล่มได้ บึงบอระเพ็ดจะมีส่วนที่ลึก ส่วนที่ตื้น เราจะต้องผ่านส่วนที่ลึก เพื่อเข้าลำคลองเข้ามาที่ท่าเรือ ช่วงที่ผ่านส่วนที่ลึกเนี่ยเป็นช่วงที่เรากลัวที่สุด คือไม่รู้ว่าจะจม จมแล้วยั่งไม่ถึงด้วย อันนี้คือเฉียดตายค่ะ

ป้ากล้องกลับมาถึงฝั่งก็เกือบ 3 ทุ่มค่ะ ถึงฝั่งนะคะ ด้วยการที่เรามาเจอเรือชาวประมง ที่เขาหาปลาอยู่ ก็อาศัยนั่งเขามา ก็กลับถึงฝั่งได้ปลอดภัย

เป็นบทเรียน ว่าเราจะไปทำอะไรยังไงก็ตาม ต้องระวังก็คือความปลอดภัย อันนี้คือเรื่องที่ป้ากล้องจดจำมากเลย สำหรับการเอาชีวิตเกือบไม่รอด เพราะเราต้องใช้ชีวิตตั้งแต่ประมาณบ่าย 3 โมง ถึง 3 ทุ่ม 6 ชั่วโมงอยู่ในน้ำแบบนั้น”




ส่วนเรื่องราวความประทับใจ ตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่ถ่ายภาพมา ป้ากล้องบอกว่า มีความประทับใจในทุกๆ ภาพ ที่ได้ออกไปถ่าย

“ถ้าถามว่าภาพที่ชอบ ก็มีเยอะ สำหรับความรู้สึกของตัวเอง แต่เรื่องราวต่างๆ ที่ไปเจอ ที่มันเป็นเรื่องตื่นเต้น บางทีเกือบเอาชีวิตไม่รอด บางทีเราสนุกมาก เรามีความสุขมาก เราได้ภาพที่ถูกใจมากๆ บางครั้งเราไม่ได้ภาพอะไรเลย เรานั่งหายใจทิ้งในป่า 

แต่เราก็ยังมีความสุข เราก็ยังไม่เข็ด พร้อมที่จะออกไปอีก เพราะฉะนั้นป้ากล้องว่า เรื่องราวระหว่าง การเดินทางมากกว่า ที่ทำให้ภาพแต่ละภาพ มันมีให้ความรู้สึก ที่เรากลับไปนึกถึง ที่มาของภาพมากกว่าค่ะ

ถ้าเทียบกับความประทับใจของป้ากล้อง ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนช่างภาพหลายๆ คน แต่ก็คาดหวังว่า เราคงได้มีความประทับใจใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อจากนี้ค่ะ หวังว่าจะได้พบอะไรง่ายๆ สะดวกสบาย แล้วก็ได้ภาพสวยๆ กลับมาค่ะ”

[นกกาบบัว]


ฝึกสกิลมุมมดมอง ด้วยการลงมือทำซ้ำๆ

สำหรับสกิลในการถ่ายภาพ ป้ากล้องก็บอกว่า ส่วนใหญ่ก็ฝึกมาเอง ซึ่งมาฝึกตอนอายุเยอะแล้ว ก็ยากเหมือนกัน แต่ก็ทำได้
ก่อนหน้านั้นก็เป็นคนชอบถ่ายภาพตัวเองไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้จริงจัง หรือมีสกิลอะไรมาก่อน จนมาเริ่มฝึกจริงจังตอนเกษียณตัวเอง เริ่มแรกยอมรับว่ายาก แต่ก็เชื่อว่าทุกคนทำได้

“สำหรับทักษะในการถ่ายภาพนะคะ ป้ากล้องเคยพูดเสมอว่า ไม่มีอะไรเรียนรู้ได้จากการนั่งอ่าน นั่งดู หรือฟังมาเพียงอย่างเดียวค่ะ มันจะต้องลงมือใช้งาน จะต้องใช้จริง จะต้องทำจริง สำหรับการถ่ายภาพต่างๆ นะคะ ก็แยกแยะออกไปเป็นเฉพาะทางนะคะ

เมื่อก่อนเราใช้กล้องในระบบอัตโนมัติในการถ่ายรูป ในการบันทึกการท่องเที่ยว ไม่ได้เน้นว่าสวยงามอะไร แต่พอการมาชอบการถ่ายภาพนก เราก็ต้องไปเรียนรู้การถ่ายเฉพาะทาง จากการที่เราได้ทดลองทำ ไม่รู้ก็หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต หรือถามรุ่นพี่รุ่นน้อง ที่เราไปเจอกัน เวลาที่ออกทริปนะคะ แล้วเราก็ลองใช้ ลองฝึกจริงๆ ค่ะ

การใช้งานจริงเท่านั้นแหละค่ะ จะเป็นการบอกว่าเราใช้ได้ไหม เราเป็นหรือยัง เราชำนาญหรือเปล่า ไม่มีอะไรที่แบบว่าเรานั่งมองอย่างเดียว แล้วเราจะทำได้ ต่อให้เราอ่านทุกบทจนบทสุดท้ายนะ ถ้าไม่ลองไปหัดเอง เราก็ทำไม่ได้

ทุกอย่างถ้าไม่เรียนรู้ เราไม่ผิดพลาดตั้งแต่ครั้งแรก เราก็จะไม่แก้ไข ไม่ใช่เฉพาะการถ่ายภาพนกนะคะ ป้ากล้องว่า การถ่ายภาพเฉพาะทางหลักอื่นๆ ก็แตกต่างกันไปนะคะ ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายพลุ ถ่ายไฟกลางคืน หรือการถ่ายภาพมาโครทุกอย่างยาก แล้วก็ต้องใช้ความพยายามในการเข้าถึงด้วย จากการเรียนรู้ จากการใช้งานจริงทั้งหมดค่ะ”

[อยากได้มุมมดมอง ต้องลงไปถ่ายแบบบังไพร]
นอกจากฝึกด้วยตัวเอง ยังเคยลงเรียนคอร์สออนไลน์ 20 ชั่วโมง เพื่อเสริมทักษะให้ตัวเอง มีความชำนาญมากขึ้น

“ป้ากล้องเคยลงคอร์สออนไลน์ ในการจัดองค์ประกอบภาพ คอร์สออนไลน์จะไม่ได้บอกว่า วิธีการใช้กล้องเป็นยังไงนะคะ แต่จะบอกว่า ต้องทำยังไงให้ภาพสวย การจัดองค์ประกอบ การใช้แสงยังไง ป้ากล้องลงเรียนไปประมาณ 20 ชั่วโมงค่ะ”

ป้ากล้องบอกอีกว่า หัวใจสำคัญนอกจากการถ่ายภาพ ที่ใช้ฟังชั่นโหมดต่างๆ ของกล้องที่ถูกต้องแล้ว เราก็จะต้องมีมุมมอง ที่ทำให้ภาพของเรามีเอกลักษณ์ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องใช้ประสบการณ์ ในการที่นำมาปรับใช้ กับการถ่ายภาพทั้งสิ้น

“ป้ากล้องเองก็ยังต้องเรียนรู้การใช้กล้องไปเรื่อยๆ เรียนรู้จากภาพของเพื่อนๆ ที่เขาถ่ายว่าสวยแบบไหน ดูภาพของต่างประเทศบ้าง แล้วเราก็จดจำ หรือเลียนแบบ หรือหาเทคนิคการนำเสนอแบบเดียวกับเขา

อย่างเช่นตอนนี้ ป้ากล้องจะชอบมุมมองของการถ่ายภาพ ที่เขาเรียกว่า มุมมดมอง หมายถึงเราจะทำตัวเราให้ต่ำ ให้เตี้ย ให้ตัวเล็ก แล้วก็มองแบบของเรา ให้มีขนาดใหญ่ ที่มองจากพื้นล่างขึ้นมา หรือว่ามุมระดับสายตา

อย่างมุมระดับสายตา ป้ากล้องชอบในการลงบังไพรในน้ำ แล้วไปถ่ายภาพนกน้ำ ที่เคยนำเสนอในเพจป้ากล้องนะคะ ก็จะมีเป็ดต่างๆ ที่ป้ากลองใช้เทคนิค การลงบังไพร และไปอยู่ในน้ำ แล้วไปถ่ายภาพในน้ำ อันนี้ก็เป็นความชอบ และเป็นมุมมองที่พอเราได้เห็น มันจะต่างกับที่เราอยู่บนถนน อยู่บนฝั่ง แล้วถ่ายภาพลงไป

การที่เราได้ลงไปสัมผัสภาพ แล้วก็ไปอยู่ใกล้ชิดแบบนั้น เราจะได้เห็นพฤติกรรมที่แตกต่าง เราจะได้รับความไว้วางใจจากการที่เขาไม่ได้ระแวง ว่าเราไปเฝ้ามองอยู่ การที่สัตว์ไม่ได้ระแวงว่าเราเฝ้ามองอยู่ เขาก็เฉลยพฤติกรรมของธรรมชาติออกมาค่ะ

พฤติกรรมที่เราเห็น มันจะเป็นธรรมชาติ รู้สึกได้เลยว่า ที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นเลยว่า นกเขาดูแลกันยังไง เราไม่เคยเห็นเลยว่า พ่อกับแม่เป็ดช่วยกันเลี้ยงลูก แล้วก็ผลัดหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป อย่างภาพที่ป้ากล้องนำเสนอ เป็นภาพที่ไปแอบดูค่ะ”




แพลนเกษียณ ไม่เป็นภาระลูกหลาน

ที่ตัดสินใจเกษียณตัวเองในวัย 54 ปี เพราะวางแผนเรื่องการเงิน มาตั้งแต่ลูกๆ เรียนจบเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว และตอนนี้ลูกๆ เรียนจบ และอยู่ในวัยทำงานกันหมดแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ส่วนธุรกิจก็วางระบบ ให้มันไปต่อได้ ด้วยพนักงานที่มี

“ป้ากล้องวางแผนเรื่องการเงินเมื่อลูกเรียนจบค่ะ ลูกเรียนต่างประเทศด้วย มันก็เลยทำให้ป้ากล้องต้องขยันมาก แล้วให้ลูกเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ทำงาน ต้องใช้เงินเยอะในการที่จะส่งลูกเรียน แล้วเราไม่ได้คนรวยมีสมบัติมาก่อน เราก็ต้องสร้างด้วยตัวเอง

การที่ส่งลูก 2 คนเรียน ป้ากล้องว่าเป็นค่าใช้จ่ายของคุณพ่อคุณแม่ที่หนักมากนะคะ เราไม่สามารถนำเงินไปทำอะไรได้เลย 

นอกจากลงทุนทางการค้า เมื่อลูกเรียนจบ เขาไม่ต้องอาศัยเราแล้ว มันยังเป็นวัยที่เราสามารถทำงานได้อยู่ ก็เป็นช่วงเก็บเงินค่ะ
ลูกน่าจะเรียนจบกันมา 10 ปี ป้ากล้องน่าจะอายุประมาณราวๆ 50 ก็เริ่มเก็บเงินค่ะ เก็บเงินเพื่ออนาคต แต่ระหว่างทางเป็นคนชอบซื้อที่ดิน ก็ซื้อที่ดินเก็บไว้ ให้มันมีมูลค่าเพิ่มนะคะ”

[ครอบครัวป้ากล้อง ลูกสาว 1 คน ทำงานอยู่ต่างประเทศ และมีลูกชาย 1 คน]

[บริษัทเพื่อนเกษตร เดิมบาง จำกัด ธุรกิจเล็กๆ ของป้ากล้อง]

และการวางแผนสำหรับการเกษียณของป้ากล้องก็คือ สร้างหลักประกัน แล้วก็ทำ money income ให้มันมีรายได้ พอที่เราจะอยู่ได้ ในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งค่ารักษาพยาบาล ที่ควรจะทำประกันชีวิต หรือออมไว้เพื่อการดูแลตัวเราเองในอนาคต ที่สำคัญ ป้ากล้องบอกอีกว่า อย่าหวังให้ลูกหลานมาดูแล ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง

“เราจะต้องแข็งแรงให้นานที่สุดค่ะ เราจะต้องไม่เป็นภาระของลูกหลาน ไม่เป็นภาระของตัวเอง เราจะต้องมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ และสุขภาพดีทั้งกายและใจ ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเองนะคะ

ถ้าเรารู้จักพอ ความอยากได้ อยากมีเราหมด เราจะเบา เราจะใจสบาย สุขภาพที่ดี เราก็ต้องทานอาหารที่ดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี นอนให้ได้ กินให้ได้ พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วออกกำลังกายค่ะ

ป้ากล้องว่า การที่เป็นผู้สูงวัยที่มีคุณภาพ มันไม่ใช่แค่สุขภาพดี มันจะต้องจิตใจดีด้วย จิตใจดีด้วยการเข้าไปหาธรรมชาติ เข้าไปอยู่ที่สงบ อาจจะมีธรรมะเข้ามาช่วยก็ได้ค่ะ แล้วแต่เพื่อนๆ จะเลือกใช้อย่างไร แต่ป้ากล้องเลือกธรรมชาติเป็นตัวช่วย”


สิ่งสำคัญอีกอย่าง ที่ป้ากล้องอยากเตือน สำหรับผู้สูงวัย ที่กำลังมีแรงทำงาน อย่าลืมเก็บออมเงิน ไว้ใช้ให้ตัวเองในวันที่ไม่มีแรงทำงาน

“ฝากทุกคนที่เป็นผู้สูงวัยที่ยังมีแรงทำงานนะคะ ป้ากล้องขอให้ปันส่วนในการเก็บเงิน วางแผนด้านการเงินไว้ให้ชัดเจนเลยนะคะ ว่าส่วนนี้เราจะเก็บไว้ใช้จ่าย ยามที่เราหาเงินไม่ได้แล้ว ส่วนนี้เราจะเก็บไว้สำหรับการรักษาสุขภาพ

ป้ากล้องคิดว่า เราควรจะต้องมีการเก็บเงินไว้ เพื่อไปเกษียณอายุ แล้วการทำเงินให้เป็น money income ก็มีหลากหลายการจัดการนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกองทุน การมีบ้านให้เช่า การมีที่ดินให้เช่า การปลูกพืชผลทางการเกษตร และสามารถเก็บขายได้ในอนาคต มันมีหลากหลายเรื่องราว หลากหลายการจัดการเลยค่ะ

เพื่อนๆ ที่ยังแข็งแรงอยู่ เลือกสักวิธี เพื่อที่จะได้มีทิศทางในวัยเกษียณ ถ้าเราจะต้องไปนั่งขอเงินลูก เพื่อนๆ ลองคิดดูนะคะ ว่าเราจะเป็นคนแก่ที่รู้สึกไร้ค่า แล้วเราจะนั่งร้องไห้ เราจะน้ำตาไหลจากการที่ลูก อาจจะไม่ได้ตั้งใจพูดให้เราน้อยใจ เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจให้เราต้องคิดมาก แต่เราจะเป็นคนแก่ๆ ที่คิดมากค่ะ เราเตรียมความพร้อมสำหรับตัวเราก่อนนะคะ”


นอกจากการถ่ายภาพแล้ว ป้ากล้องบอกว่า ยังมีความฝันอยากทำโฟโต้บุ๊ค รวมภาพที่ประทับใจที่ป้าตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นภาพนก หรือภาพสัตว์ต่างๆ แล้วก็อาจมีเรื่องราวของป้ากล้อง เพื่อแบ่งปันให้เพื่อนๆ ที่ศรัทธาในตัวป้ากล้อง เก็บไว้เป็นที่ระลึก และยังขอเป็นช่างภาพวัยเก๋า จนกว่าร่างกายและจิตใจจะไม่ไหว

“ป้ากล้องเห็นนักถ่ายภาพที่อายุ 80 ปีนะคะ เห็นนักถ่ายภาพที่มีความบกพร่องทางการเดิน ไม่สามารถเดินได้ เวลาที่ไปถ่ายภาพ เห็นช่างภาพที่เป็นเด็กตัวเล็กๆ เพราะฉะนั้นป้ากล้องคิดว่า การที่เราจะทำไปถึงไหน มันไม่ได้อยู่ที่ปัจจัยของร่างกายทั้งหมดนะคะ แต่มันอยู่ที่จิตใจที่เราพร้อม ที่จะจะทำมันไหม

ถ้าเรายังมีความรู้สึกในวันนี้ ป้ากล้องตอบอนาคตคงไม่ได้ แต่ตอบได้ว่าวันนี้ ยังมีความมุ่งมั่นในการออกไปถ่ายภาพอยู่ ป้ากล้องยังรักการถ่ายภาพอยู่ ถ้าความรู้สึกนี้ยังอยู่ คงจะทำต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ”


สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : Facebook “ป้ากล้อง”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น