เมื่อ AWC เปลี่ยนพื้นที่ริมเจ้าพระยา ให้กลายเป็นห้องเรียนของโลก ที่ความรู้ ความสนุก และความตระหนักรู้ เติบโตไปพร้อมกัน
ริมเจ้าพระยา อาคารทรงโดมของเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ตั้งอยู่ท่ามกลางเสียงเรือที่แล่นผ่านและสายลมจากแม่น้ำ ภายนอกดูนิ่งสงบดุจประติมากรรมร่วมสมัย ทว่าเมื่อก้าวเข้าสู่ภายใน กลับพบพื้นที่ที่มีชีวิต เต็มไปด้วยแสง เสียง และพลังของการเรียนรู้เรื่องโลกและความยั่งยืน
Hatch Dome คือ อาคารจัดแสดงแบบอินเทอร์แอคทีฟรูปทรงโดมอันเป็นเอกลักษณ์แห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC ผู้พัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรตั้งใจสร้างขึ้นมา
โดยต่อยอดความสนุกสนานของ Jurassic World: The Experience ซึ่ง AWC ร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Neon และ Universal เปิดตัวไปก่อนหน้านี้จนกลายเป็น Talk of the town สู่รูปแบบ ประสบการณ์การเรียนรู้แบบ Edutainment เพื่อให้ผู้คนได้เข้าใจความหมายของ “ความยั่งยืน” ผ่านประสบการณ์
AWC เชื่อว่าการเรียนรู้ไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงในตำรา จึงสร้างพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นรูปแบบของEdutainmentที่ผสมผสานทั้งความรู้ ความสนุก และการมีส่วนร่วม
Hatch Dome จึงเป็นมากกว่านิทรรศการ แต่คือพื้นที่ของการทดลอง เข้าใจ และตั้งคำถามกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่กับโลกของเรา โดยพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตรแห่งนี้ออกแบบภายใต้แนวคิด “Building Better Future for All” เพื่อให้ทุกคนได้มองเห็นว่า ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือทางรอดของโลกทั้งใบ
โลกใหม่ที่เราเลือกได้การเดินทางผ่าน Better WorldBetter Future
หัวใจสำคัญของ Hatch Dome อยู่ที่โซน Better World Better Future ประสบการณ์ 4D แบบอิมเมอร์ซีฟเสมือนจริง ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยจาก Liminal Space ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย พื้นที่แห่งนี้ใช้เทคโนโลยีแสง เสียง และจอ LED รอบทิศทาง สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก
การเดินทางเริ่มต้นในห้อง “Last Human Hope” ที่จำลองภาพโลกในวันที่ทุกอย่างใกล้ถึงวันล่มสลาย จากภัยพิบัติและความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลก แสงสีแดงระยิบสะท้อนบนผิวน้ำที่กำลังสูงขึ้นทีละน้อย เมืองทั้งเมืองค่อยๆ จมหายไปใต้ผืนน้ำ เสียงไฟไหม้แผ่วๆ เหมือนเสียงหายใจของโลกที่อ่อนแรง เรายืนนิ่งอยู่ท่ามกลางภาพเหล่านั้น ไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา มีเพียงความรู้สึกว่า หากนี่คือบทสุดท้ายของมนุษย์ เราคงอยากเขียนมันใหม่อีกครั้ง
เมื่อเสียงคลื่นและไฟป่าค่อยๆ จางหาย ภาพบนจอจะพาเราย้อนเวลากลับสู่ “Impact Horizon’s Journey” จำลองการเดินทางผ่านยานอวกาศ ย้อนเวลากลับไปยังช่วงการสูญพันธุ์ ทั้ง 5 ยุคในประวัติศาสตร์ รวมถึงยุคไดโนเสาร์เมื่อ 66 ล้านปีก่อน วันที่ไดโนเสาร์ตัวสุดท้ายล้มลงใต้เถ้าภูเขาไฟ ย้ำเตือนว่าธรรมชาติอยู่รอดได้เสมอ แต่สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรับตัวต่างหากที่หายไป
ก่อนเข้าสู่เส้นทาง “Make Our Choice” ที่เราจะได้เลือกเส้นทางของตนเอง ระหว่างโลกที่เสื่อมโทรมและโลกที่ผู้คนร่วมกันสร้างใหม่ ทุกการเลือกของเราส่งผลต่ออนาคตของโลกจริงๆ และการไม่เลือก ก็คือการเลือกเช่นกัน
ประตูห้อง Our Future ค่อยๆ เปิดออก ท่ามกลางเสียงดนตรีเบาๆ คล้ายเสียงลมหายใจของธรรมชาติ จอภาพขนาดใหญ่เปล่งแสงเป็นบับเบิลใสๆ ลอยอยู่กลางอากาศ แต่ละฟองคือ “ทางเลือก” ที่เราต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับโลกใบนี้
เรายื่นมือไปแตะหน้าจอ บับเบิลหนึ่งมีภาพของหลอดไฟที่เปิดทิ้งไว้ อีกฟองคือการปลูกต้นไม้ บางฟองเป็นขยะพลาสติกลอยกลางทะเล ถ้าเราแตะสิ่งที่ “ถูกต้องเพื่อโลก” บับเบิลนั้นจะเปลี่ยนเป็นดอกไม้ ที่เบ่งบานกลางอากาศ แต่ถ้าเราเลือกสิ่งที่ทำลายสิ่งแวดล้อม บับเบิลจะแตกสลายหายไป
เกมที่ดูเรียบง่ายนี้ ทำให้ทุกคนได้เห็นผลของการเลือกในทันที เสียงหัวเราะ เสียงอุทาน และภาพของดอกไม้ที่ผลิบานเต็มห้องทำให้ห้องนี้อบอวลด้วยความหวัง พร้อมถ่ายทอดแนวคิด กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 เสาหลักคือ 3 Betters ของ AWC อย่างชัดเจน ทั้ง Better Planet การดูแลสิ่งแวดล้อม และสร้างสมดุลให้ระบบนิเวศ ผ่านภาพของโลกที่ฟื้นคืนจากมือของเรา, Better People สะท้อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน ผ่านการเรียนรู้ การร่วมมือ และการแบ่งปัน
และ Better Prosperity การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริงไม่ได้หมายถึงการเติบโตของตัวเลข แต่คือการเติบโตที่สร้างคุณค่าให้ผู้คน ชุมชน และโลกไปพร้อมกัน
ก่อนสิ้นสุดการเดินทาง เราพบ “Trees of Lives” ต้นไม้แห่งความหวังกลางห้อง ที่จะค่อย ๆ ส่องแสงขึ้นจากคำสัญญาเล็ก ๆ เมื่อมีผู้ร่วมเขียน“คำมั่น”ว่าจะช่วยดูแลโลก และปิดท้ายด้วย “Rebirth” ที่นำความสงบมาสู่จิตใจอีกครั้ง
“Better World Better Future” จึงไม่ได้เป็นเพียงความตื่นตาตื่นใจทางเทคโนโลยี แต่คือพื้นที่ของการสร้างความตระหนักรู้ ว่าอนาคตของโลก ไม่ได้ถูกกำหนดโดยใครอื่น นอกจากเรา
เรียนรู้จากสิ่งที่เคยสูญพันธุ์ Fossil Park
Fossil Park คือความร่วมมือของ AWC กับกรมทรัพยากรธรณี และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้สัมผัสร่องรอยของชีวิต ที่เคยครองโลกมาก่อนมนุษย์
โดยจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ของจริง ควบคู่กับความรู้ด้านธรณีวิทยา และคุณค่าของสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ พืชป่า และสัตว์ป่าของไทยที่เคยอุดมสมบูรณ์ พร้อมพบกันไดโนเสาร์และสัตว์เลื้อยคลานบินได้ร่วมยุคกว่า14สายพันธุ์ที่พบได้ในประเทศไทยเท่านั้น
อาทิ Phuwiangosaurus sirindhornae แบบจำลองความยาว 15 เมตร, สยามโมไทรันนัส อีสานเอนซิส นักล่าแห่งแดนอีสาน, การูแดปเทอรัส บุฟโตติ สัตว์เลื้อยคลานบินได้ชนิดแรก ที่ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการในประเทศไทย และเพิ่งมีการค้นพบใหม่ล่าสุด
เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ทำให้ผู้ชมสามารถสแกนรหัสเพื่อดูไดโนเสาร์เคลื่อนไหวได้จริง ภาพของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้งในรูปแบบสามมิติ การเคลื่อนไหวตรงหน้า ทำให้เรารู้สึกถึงการมีอยู่ของอีกครั้ง พร้อมคำเตือนในใจว่า การสูญพันธุ์ไม่ใช่เพียงเรื่องของอดีต หากอาจเป็นอนาคตของเรา หากมนุษย์ยังไม่เรียนรู้ที่จะปรับตัว
The Gallery ศิลปะแห่งการให้ คืนคุณค่าสู่หัวใจของชุมชน
อีกมุมหนึ่งของ Hatch Dome คือ The Gallery: Art of Giving, Giving Art Community Project พื้นที่เล็ก ๆ ที่เปี่ยมด้วยความหมายใหญ่ของคำว่า “ยั่งยืน” ที่นี่คือร้านค้าวิสาหกิจเพื่อสังคม โดย AWC เพื่อส่งเสริมชุมชนท้องถิ่น ให้สร้างรายได้จากภูมิปัญญาและศิลปะของตนเอง
สินค้าที่นี่ มีคอลเลกชั่นพิเศษเกี่ยวกับไดโนเสาร์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ From The Earth Before Time ทั้งพวงกุญแจ ถุงผ้า ตุ๊กตาไดโนเสาร์ลายผ้าขาวม้าแก้วน่ารักๆจาก 2 ชุมชนในจังหวัดกาฬสินธุ์ คือบ้านดงน้อยและชุมชนดีไดโนสินธุ์ ผลงานที่ถักทอด้วยแรงใจและความภูมิใจของคนในท้องถิ่น โดยรายได้กลับคืนสู่ชุมชน เพื่อใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างคุณค่าให้ผู้คนได้เติบโตไปด้วยกัน
ทุกโซนของ Hatch Dome คือบทเรียนที่ต่อเนื่องกันจากอดีตถึงอนาคต ในวันที่ข่าวการสูญพันธุ์ และภัยพิบัติกลายเป็นเรื่องคุ้นตา สถานที่เล็กๆ ริมแม่น้ำแห่งนี้ กำลังบอกเราด้วยถ้อยคำเรียบง่ายว่า “อนาคตของโลก อยู่ในมือของเรา”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


