จากหนูน้อย 5 ขวบ ผู้คลั่งไคล้ความอัศจรรย์ของสัตว์อันตรายไร้ขา สู่ "ตัวพ่อวงการอสรพิษ" จับโชว์เพื่อสร้างความเข้าใจ ให้รู้ว่า "คน" กับ "งู" อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ พร้อมเปิดนาทีชีวิตที่ไม่เคยบอกเล่าที่ไหน แรงผลักสำคัญที่ทำให้ต้องคอยยึดคติ “ห้ามให้สัญชาติญาณจาง”
*** ไร้แขน ไร้ขา ทว่าอัศจรรย์ ***
ถ้าจะพูดถึงสัตว์เลื้อยคลานอย่าง “งู” เชื่อเลยว่าคนส่วนใหญ่คงเลือกที่จะไม่เผชิญหน้ามันดีกว่า ถึงแม้จะเป็นงูไม่มีพิษก็ตาม ไม่ต้องถึงขั้นเจอตัวเป็นๆ บางคนแค่เห็นในรูปก็ขนลุกเกรียวแล้ว
แต่ชายคนนี้ กลับต้องมนต์เสน่ห์ของเจ้าสัตว์ไร้ขาตั้งแต่แรกเห็น และตัดสินใจก้าวเข้าไปทำความรู้จักในโลกของงูอย่างลึกซึ้ง ยาวนานกว่า 20 ปี จนปัจจุบันเรียกได้ว่า เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านงูเบอร์ต้นๆ ของไทยอีกคน
เรากำลังพูดถึง "นิค - นิรุทธ์ ชมงาม" เจ้าของช่อง YouTube “Nick Wildlife” ที่มีผู้ติดตามถึง 2.17 ล้านคน และ Facebook ในชื่อเดียวกัน ก็มีผู้ติดตามกว่า 1.5 คน ที่คอยถ่ายทอดเรื่องราวของงู ให้คนทั่วไปเข้าใจและลุ้นระทึกไปตามๆ กัน
และเขายังเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม “อสรพิษวิทยา” ที่เดินหน้าแบ่งปันความรู้ที่ถูกต้อง สร้างเครือข่าย และช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนจากเจ้าสัตว์ชนิดนี้ เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับงู ให้ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย
แรกเริ่มเดิมที หนุ่มราชบุรีคนนี้ มีโอกาสได้คลุกคลีและถูกปลูกฝังให้รักสัตว์นานาชนิดตั้งแต่วัยเยาว์ แต่สัตว์ที่ทำให้เขาประทับใจที่สุด ก็เห็นจะเป็น “งู” สัตว์ที่หลายคนขยาด มันไม่มีอวัยวะช่วยเดินใดๆ แต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ในช่วงวัยเด็กตั้งแต่จำความได้ ก็น่าจะประมาณ 5-6 ขวบครับ ยายเขาจะชอบเลี้ยงสัตว์ บางทีก็จะเป็นสัตว์ที่บาดเจ็บ ยายเขาก็เอาช่วยเหลือดูแล เคยเจอพวกชะมด นาก นกเงือก นกแก๊ก พวกนี้ครับ ก็เลยมีความผูกพันกับพวกสัตว์
โดยส่วนตัวชอบเพื่อนร่วมโลกของเรา ชอบสิ่งมีชีวิตหลายๆ อย่าง มันก็เป็นในเรื่องของสภาพแวดล้อมปลูกฝังให้เรามีความชอบในด้านนี้ ประกอบกับสมัยก่อน ธรรมชาติมันยังค่อนข้างโอเคกว่านี้ ความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ป่ามันก็จะมีในระดับนึง ก็มีความตื่นเต้นทุกครั้งที่เราได้เห็นตัวอะไรแปลกๆ
ที่พอจะนึกออก บ้านยายมีบ่อปลา ก็ทุบบ่อปลาทิ้งเพื่อจะเอาไปทำอย่างอื่น บังเอิญเห็นงูเลื้อย รู้แค่ว่ายาวๆ ดำๆ ไม่รู้ว่าเป็นงูอะไรเหมือนกัน มันคือความประทับใจแรก มันดูน่าหลงใหล มันดูสวยงาม ในวัยเด็กเรายังไม่ได้มีอคติอะไร
พอเห็นอันดับแรกคือความตื่นเต้น มันคือตัวอะไร ทำไมมันช่างสวยงาม ไม่มีแขน ไม่มีขา แต่ว่ามันเลื้อยไปอย่างเร็ว สำหรับเราในช่วงเวลานั้นมันน่าทึ่ง หลังจากนั้นมาก็อยากเห็นเรื่อยๆ จนวันนึงก็พัฒนากลายเป็นความชอบ”
นิค ยังได้เผยประสบการณ์ “จับงู” ครั้งแรกในชีวิต แถมโดนฝากคมเขี้ยวเอาไว้อีกด้วย โชคยังดีที่เป็นงูไม่มีพิษ
ประสบการณ์ครั้งแรกที่จับ 7-8 ขวบถ้าจำไม่ผิด เจองูตัวนึงเลื้อยเข้ามาในบ้าน จำได้ว่าเห็นคนจับงูเขาใช้ไม้กดหัว เราก็เลยทำตาม เอาไม้กดหัวงูตัวนั้นใส่กล่องคุกกี้แล้วก็เจาะรู ตอนนั้นอยากเลี้ยงก็ไม่ได้บอกใคร เลิกเรียนมาก็จะแอบมาเปิดดู
แต่พอเปิดดู งูเขาก็ต้องการอิสรภาพ เขาเห็นแสงสว่าง เขาก็พุ่งออกมา ด้วยความที่กลัวว่างูมันจะหลุด ไม่อยากให้เขาไป เอามือตะปบเลย โดนกัดเข้าที่นิ้ว ตอนนั้นยังไม่รู้ว่างูอะไร พอโดนกัดก็ไม่กล้าบอกแม่ พยายามดูอาการตัวเอง
ผ่านมาอีกวันทนไม่ไหวก็บอกแม่ แม่ก็ตกใจ ก็ถามลักษณะงู ก็บอกหัวมันเหมือนงูเหลือมแต่ท้องเป็นสีแดง แม่ก็เลยอ๋อ งูงอด ไม่มีพิษ ถ้าเกิดว่าใครดูอยู่ เด็กดูอยู่ ถูกงูกัด ไม่ต้องกลัวโดนตีนะ ต้องรีบบอกพ่อบอกแม่เพราะว่าอันตราย”
ความฝันของนิค คือการได้ทำสารคดีสัตว์ โดยเฉพาะงู เมื่อโตขึ้น เขาได้ศึกษาต่อในด้านสื่อสารมวลชน ไปพร้อมๆ กับการเก็บเกี่ยวความรู้ในศาสตร์ของงูด้วยตัวเองเรื่อยมา และได้มีโอกาสทำงานกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
“สัตว์แต่ละชนิดมันจะมีศาสตร์ของมัน มันจะมีความลึกลับ จำเป็นที่จะต้องเชี่ยวชาญจริงๆ ถึงจะสามารถที่จะพรีเซนต์ออกมาได้ แต่ที่เรารู้จริงก็เป็นเรื่องงู ส่วนสิ่งที่เรียนจะเอามาสร้างความฝัน เราจะสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ป่ายังไง
มีโอกาสมาเจอ ท่านหัวหน้าธนิต (ธนิต นุ่นลอย) คุยไปคุยมาท่านก็ชักชวนมาทำงาน สมัยนั้นก็จะเป็นเรื่องของ TOR (พนักงานจ้างเหมาบริการ) เกี่ยวกับโครงการไข้หวัดนก ได้เงินเดือนประมาณ 3,300 บาท ตอนนั้นมันมีแนวทางที่เราจะได้เงินมากกว่านี้ แต่เราเลือกที่จะเดินตามความฝัน ไปทำงานกับท่าน แล้วใช้โอกาสนั้นในการบันทึกภาพเพื่อที่จะทำสารคดี
[ เมื่อครั้งทำงานกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ ]
มีโอกาสฝึกฝนการเป็นพิธีกร ก็จะมีพี่น้องที่เป็นเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ เข้ามาช่วย ในแง่นึงเราทำด้านการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน อีกด้านนึงก็มี footage เหลือที่เราจะเอามาตามความฝัน
เนื่องจากว่าเรามีความรู้เรื่องงูเยอะ เราก็เลยเป็นที่ปรึกษาในเรื่องงูในระดับนึง ก็มีโอกาสได้เข้าไปช่วยสำรวจความหลากหลาย จำแนกชนิดงู แล้วก็เป็นวิทยากรฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ในเรื่องของการจับงู
อย่างอื่นมันอาจจะได้เงินได้อะไรที่ดีกว่า แต่บางครั้งไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็คิดว่าถ้าเราทำแล้วฝืน เราจะทำได้นานแค่ไหน สุดท้ายแล้วเราก็ต้องกลับมาเส้นนี้อยู่ดี อาจจะยากลำบาก อาจจะไม่ได้มีเงินมากพอ แต่ก็เป็นการดิ้นรนที่มีความสุขมาก
อย่างตัวผม การทำสารคดีมันเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ในมุมมองของหลายๆ คน ในตอนนั้นมันแทบไม่มีโอกาส แต่โชคดีที่เราไม่มีประสบการณ์ พอไม่รู้ มันจะทำไปเรื่อยๆ อาศัยความทรหดอดทน วันนึงโอกาสมันก็มาถึงเราเอง
ร่วมงานกับกรมอุทยานฯ อยู่เกือบ 10 ปีเหมือนกัน ปัจจุบันก็จะเป็นการเข้าไปช่วยบรรยาย ให้คำแนะนำ หรือว่าในบางพื้นที่ที่เขาต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่ของกรมฯ มีศักยภาพด้านการจัดการปัญหา เราก็จะไปเสริมตรงนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ครับ”
*** ไม่หยุดฝัน “คนทำสารคดี” ***
ถึงแม้ในตอนนั้น เส้นทางการทำสารคดีอาจจบลงแค่ในความฝันได้ทุกเมื่อ แต่ความมุ่งมั่นในทางที่เลือกเดินก็ไม่เคยมอดดับลงเลยสักวัน จนในที่สุดก็มีแพลตฟอร์ม YouTube เข้ามา และกลายเป็นพื้นที่ที่ทำให้เขาได้ปล่อยของเสียที
“ผมพยายามที่จะทำสารคดี ถ่ายเก็บ footage ลองฝึกตัดต่อ ใช้เวลาประมาณ 10 ปี เราก็พยายามที่จะนำเสนองานในลักษณะนี้ตามช่องทางต่างๆ ตอนนั้นจะเป็นพวกช่องโทรทัศน์ แต่เนื่องจากว่ามันไม่ได้แมสสำหรับคนไทยมากนัก ส่งไปเท่าไหร่ก็ไม่มีใครสนใจ บางทีก็ท้อ บางทีก็เหนื่อย เหมือนกับว่าเราเป็นนักมวยที่ฝึกซ้อมทุกวัน แต่ไม่มีเวทีให้ขึ้นชกเลย 10 ปี
จังหวะนั้นเหมือนกับว่าแพลตฟอร์ม YouTube เปิดขึ้นมา มันไม่ได้มีการสร้างรายได้ แต่เป็นเหมือนเวทีให้เราเล่น ก็เลยเอาสิ่งที่เราทำ เอามาตัดลงใน YouTube ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่ว่ามันคือสิ่งที่เป็นความฝันเรา บางทีเวทีใหญ่ไม่มีให้ขึ้นชก งานวัดก็ต้องเอา ซ้อมมาแล้วก็อยากที่จะให้คนได้เห็นสิ่งที่เราอยากจะสื่อสาร
งานของเรามันก็เป็นงานที่มีความเป็นจิตอาสา ก็คือไปช่วยคน บางทีค่าใช้จ่ายเราไม่เพียงพอ รวมทั้งเรื่องของความเข้าใจ เคยมีการนำช่างตัดต่อมา แต่ด้วยสไตล์บางทีเขาอาจจะถนัดแบบอื่นมากกว่า พอมาตัดงานลักษณะเรา เขาก็จะทำไม่ได้
หลักๆ ก็คือตัดเองแทบทั้งหมด เป็น creative เอง เป็นพิธีกรเอง มีคนช่วยถ่าย บางครั้งก็ถ่ายเอง เป็นกระบวนการที่เราต้องทำให้จบ เพราะว่าเราก็ไม่ได้มีทรัพยากรอะไรมากนัก แต่มีความสนุกที่จะทำมากกว่า”
ตลอด 1 ทศวรรษของการทำสารคดี นิคยอมรับตรงๆ ว่าเคยท้อจนเกือบหมดไฟ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงเวลานั้น เขาสนุกกับการทำตามฝันเป็นที่สุด
“จริงๆ ท้อ ท้อเยอะมาก มันเหมือนกับว่ามันเป็นความฝัน ทำส่งไปใครก็ไม่สนใจ ส่งไปมันก็ไม่มีการตอบรับ ก๊อกๆ แก๊กๆ สุดท้ายก็กลับมาทำเหมือนเดิม เรารู้สึกว่าเราทำแล้วมีความสุข แม้จะไม่สำเร็จ แต่สุดท้ายมันก็มีความสุข
ผมยังจำได้เลยว่าตอนที่ได้ทำสารคดี ตอนนั้นก็ได้ทำกับทีวีบูรพา ทางพี่เช็ค เขาก็เห็นว่ามันน่าสนใจ ก็ได้เป็นสารคดี แดนอสรพิษ ที่เมื่อก่อนจะมีช่อง NOW26 ก็ลง นอกจากนั้นก็ไปลงในช่อง Discovery Asia ด้วย
พอสำเร็จแล้ว มันมีจุดนึงที่มันเคว้ง แล้วเราจะไปทำอะไรต่อไปดี เราก็ย้อนกลับไปดูว่า ก่อนหน้านั้นที่เราดิ้นรนมา โคตรสนุกเลย โคตรมีความสุขเลย แม้จะไม่สำเร็จนะ ท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่มันก็สนุกดี ที่มันเหมือนเป็นความท้าทาย
มันก็จะมีช่วงที่แบบว่าเราจะทำอะไรดี คิดไม่ออก ใน YouTube เราก็ทำอยู่เรื่อยๆ แต่บางทีมันก็เหมือนกับว่าเป็น passion ของเรา เราอยากจะต้องการเป้าหมายที่เป็นความฝันเพิ่มขึ้นอีก นั่นคือสิ่งที่ยากมากที่เราจะต้องค้นหาต่อไป”
ชื่อของ “นิค นิรุทธ์” กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากการทำสารคดีแดนอสรพิษ และมีช่อง YouTube แบ่งปันความรู้ด้านงู ต่อมาเขาได้รับการร้องขอให้มาช่วยแก้ปัญหาเรื่องงูมากขึ้น
นำมาสู่การก่อตั้ง “ชมรมอสรพิษวิทยา” ที่เป็นการรวมตัวอาสาสมัคร มีเป้าหมายเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างงูกับคน เริ่มต้นขึ้นราวๆ 6 ปีที่แล้ว ปัจจุบันได้ขยายเครือข่ายไปทั่วประเทศ
“ปัญหาเรื่องงู มันเป็นปัญหาระดับชาติ วันนึงไม่รู้จับงูวันละกี่ร้อยกี่พันตัว มันเป็นเรื่องของปัญหากันอยู่ร่วมกัน บางครั้งเราไปสร้างที่อยู่อาศัยที่อาจเป็นที่อยู่ของเขามาก่อน งูต้องปรับตัวมาอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น พอปัญหานี้เกิดขึ้น คนก็จะร้องขอให้ไปช่วย ตอนแรกเราก็วิ่งเอง แต่ปัญหามีอยู่ทุกที่ ก็เลยมีแนวคิดในการทำกลุ่มที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
กลุ่มอสรพิษวิทยา เราก็ทำในเรื่องของการสร้างเครือข่าย สมมติงูอยู่ที่เชียงใหม่ ผมก็จะโทรหาเครือข่าย ตอนนี้งูอยู่ที่นี่นะ ไปได้มั้ย ก็ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ในเพื่อนฝูง แต่พอถึงจุดนึงเกิดปัญหา ก็คือมันเริ่มเยอะขึ้น ไม่ไหว
[ เดินหน้าให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเรื่องงู ]
ก็เลยเกิดแนวคิดที่เราไปแบ่งปันความรู้ดีกว่า ทุกที่ก็จะมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เขาจับงูอยู่แล้ว เราก็ไปอบรมให้ความรู้ แล้วก็เสริมศักยภาพ ให้เขาสามารถจับงูได้อย่างปลอดภัยและถูกต้อง ก็เลยเกิด โครงการอสรพิษวิทยา ขึ้นมา ที่เราไปให้ความรู้ในที่ต่างๆ แล้วคนเหล่านั้นเอาความรู้ไปช่วยเหลือสังคมต่อ จนถึงปัจจุบันก็ยังทำอยู่เรื่อยๆ
จะเป็นในเรื่องของความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับงู วิธีการปฏิบัติตัวเมื่อเจองู ให้เรารู้จักงูมีพิษ งูไม่มีพิษ งูที่มีความสำคัญทางด้านการแพทย์ การฝึกภาคปฏิบัติในการจับ จับยังไงถึงจะปลอดภัยทั้งคนและงู ก็จะมีภาพรวมประมาณนี้
การอบรมคือการให้ความรู้ สร้างเครือข่าย เวลามีคนร้องขอการจับงู ก็จะได้มีเครือข่ายที่เดินทางไปในพื้นที่อย่างรวดเร็ว ผลตอบรับก็ค่อนข้างดีและมีสมาชิกในที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เราก็พยายามที่จะขับเคลื่อนด้วยกำลังของเราเอง
บางจุดก็มีเครือข่าย บางจุดก็ไม่มี ถ้าเกิดว่าเราไม่สามารถไปได้ ก็พยายามเป็นสื่อกลาง เช่น แนะนำให้ติดต่อเจ้าหน้าที่กู้ภัยในพื้นที่ เราก็จะเป็นเพียงหนึ่งในฟันเฟืองที่ร่วมกันแก้ปัญหาเรื่องนี้”
*** เมื่อมือปราบอสรพิษ หวิดต้องเสียนิ้ว!! ***
กูรูเรื่องงูคนนี้ ยังได้แบ่งปันประสบการณ์สุดหวาดเสียว ที่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อนให้กับเราได้ฟัง แม้จะไม่ถึงชีวิต แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้เขาเกือบจะต้องสูญเสียอวัยวะเลยทีเดียว
“ประสบการณ์ที่จะว่าเฉียดตายจริงจัง ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็จะมีบางครั้งที่เหนือการควบคุม จริงๆ เรื่องนี้ยังไม่เคยบอกใครฟัง ก็คือโดนงูกัดในป่า การถูกงูกัดในป่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะกว่าจะเดินทางถึงพื้นที่หรือสถานพยาบาล มันใช้เวลา มันใช้พละกำลังของร่างกายเยอะมาก มันจะทำให้พิษสูบฉีดเร็ว แล้วก็ทำงานเร็ว
ตอนนั้นไปสำรวจ มันเป็นจังหวะทางชัน เราก็จะมีการจับโน่นจับนี่ พยุงตัวเอง แต่ตอนนั้นไม่เห็นจริงๆ เขาซ่อนอยู่ข้างบน พอเอามือไปคว้ากิ่งไม้ปุ๊บ ความรู้สึกก็คือจึ้ก! แล้วก็รู้สึกปวดขึ้นมาทันที พอมาดูที่นิ้วมีเลือดออก เป็นรอยเขี้ยว 2 รอย
ตอนนั้นรู้ตัวแล้วงูกัด แต่ต้องดูว่างูอะไร เพราะในเรื่องของการให้เซรุ่ม การที่เราสามารถระบุชนิดงูได้ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าเกิดหมอไม่รู้ว่างูอะไรกัด ก็จะมีอุปสรรคในการรักษา ผมก็พยายามส่องไฟหา ก็ถือว่าเป็นโชคดีในระดับนึง ที่งูที่กัดเป็น งูเขียวหางไหม้ตาโต ถ้าเป็นพวกงูพิษอันตราย อย่างเช่น งูทับสมิงคลา งูเห่า หรือจงอาง มันจะร้ายแรงมากๆ
พอเห็นปุ๊บ สิ่งที่ทำคือรีบเอาน้ำล้างแผลให้สะอาด แล้วก็พยายามที่จะประคองแขนตัวเอง และอีกอย่าง งูที่พิษอันตราย แต่ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต มันก็มีโอกาสที่จะสูญเสียอวัยวะ ก็เลยประคองไว้แล้วก็เดินลงมา
ต้องคุมเรื่องของความตื่นเต้น คนไม่ว่าเก่งไม่เก่ง โดนงูกัดจะใจเต้น แล้วมันก็จะเริ่มปวด เราก็ต้องพยายามที่จะรักษาจังหวะในการเคลื่อนไหว เพื่อลงจากเขาไปที่สถานพยาบาล ถ้าเกิดยิ่งช้า พิษมันยิ่งทำงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเคลื่อนไหวของเราก็จะลำบากขึ้น แล้วก็แผลก็อาจจะมีผลกระทบมากขึ้น”
[ เข้าป่าสำรวจความหลากหลาย ]
ไม่รู้ว่าวันนั้น นิคก้าวเท้าออกจากบ้านผิดข้างหรือเปล่า เพราะหลังจากที่ตัวเองออกมาจากป่าได้ ทีมงานก็ดันหลงทางอีก ในส่วนการรักษาก็มีปัญหา เพราะถ้าไม่เปลี่ยนโรงพยาบาล ก็อาจมีโอกาสถูกตัดนิ้วเลย
“หลังจากนั้น พอลงจากเขาได้ กำลังจะไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าทีมงานหลงป่าอีก ถ้ารอมันจะช้า ก็ต้องรีบไป ให้บางคนรอคนที่หลง แล้วก็พยายามหาให้เจอ ส่วนเราก็รีบไปโรงพยาบาล สุดท้ายก็คือว่าคนที่หลงเดินออกมาได้พอดี
ช่วงนั้นก็จะมีปัญหาเรื่องของการวินิจฉัย เหมือนกับว่าเราได้รับพิษในปริมาณที่มาก แล้วมือบวมมาก ถ้าเราไม่รักษาให้ถูกวิธี อาจจะต้องถูกตัดอวัยวะที่ถูกกัดได้ เพราะว่างูเขียวหางไหม้ มันจะมีระบบของพิษที่มีการทำลายเนื้อเยื่อ
หมอเขาก็อยากรู้ว่างูอะไร บังเอิญเราก็ถ่ายรูปมา เอาตัวมาด้วย ก็มีการรอดูอาการ แล้วก็มีการเช็กผลเลือด จะมีค่า VCT (Venous clotting time) จะต้องเลย 20 ขึ้นไป เขาถึงจะให้เซรุ่ม มันจะบ่งบอกว่างูที่กัด เป็นงูที่พิษออกฤทธิ์ต่อระบบเลือด
ไปโรงพยาบาลแรก ปรากฏว่าค่าของผมตอนแรกขึ้นแค่ 11 ไม่ต้องให้เซรุ่ม หมอก็ปล่อยกลับบ้าน แล้วให้มาดูอาการ จริงๆ แล้วต้องมีการแอดมิดดูอาการอย่างน้อย 24 ชั่วโมง โรงพยาบาลเตียงอาจจะเต็ม เราก็เลยต้องกลับบ้าน
พอกลับบ้านมา นิ้วบวมมากแล้วก็เริ่มมีสีคล้ำ นี่คืออาการบวม มันจะกดทับหลอดเลือด ถ้าเกิดว่ารักษาไม่ดีพอ กดทับหลอดเลือดมากๆ เนื้อตายจะเยอะ จะต้องตัดนิ้ว พอเช้ามาก็ไปเช็ก VCT คราวนี้ขึ้น 14 ไม่ถึง 20
หมอเขาก็เลยบอกว่าให้กินยาฆ่าเชื้อแล้วก็กลับ ก็เลยตัดสินใจไปอีกโรงพยาบาลนึง เพื่อที่จะให้เขาเช็กอีกที ปรากฏว่าพอเขาเห็นนิ้ว ก็ให้แอดมิดทันที ถ้าเกิดว่าเราดูแลไม่ดี รักษาไม่ดี อาจจะต้องตัดนิ้ว”
โชคดีที่เหตุการณ์นี้เขาไม่ได้สูญเสียนิ้วไป แต่ก็เป็นอุทาหรณ์ให้กับคนที่ถูกสัตว์มีพิษทำร้าย สำคัญที่สุดคือการมีสติและปฐมพยาบาลอย่างถูกต้อง ก่อนถึงมือแพทย์
“ผมมีประสบการณ์ มีความเข้าใจ แล้วก็ประเมินสถานการณ์ได้ แต่ถ้าคนทั่วไปก็มีความเสี่ยง เพราะว่ามันก็มีคนที่ถูกงูเขียวหางไหม้กัดแล้วก็โดนตัดนิ้ว ทั้งที่จริงๆ มันไม่ควรตัด คนที่ไม่มีความรู้ เขาไปปฐมพยาบาลผิดๆ ไปรัดเหนือบาดแผล
ยิ่งรัดมันมีโอกาสเสียนิ้วสูงกว่าเดิม เพราะพิษมันจะทำงานอยู่แค่ตรงนั้น แล้วก็ทำลายเนื้อเยื่อ พอบวมมากๆ เลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงบริเวณปลายนิ้ว ก็จะเกิดอาการเนื้อตาย อาจจะต้องตัดนิ้ว
ตอนนี้ผมก็พยายามทำเรื่องของการอธิบายเรื่องนี้ อย่างเช่น การถ่ายรูปงู อันนี้บอกตรงๆ เลยว่าจำเป็น ถ้าไม่มีงู ก็ไม่ต้องไปรอ แพทย์เขาก็รักษาได้แต่จะช้าหน่อย แต่ถ้ามี แพทย์เขาก็จะมีการวางแผนล่วงหน้า
ถ้าเป็นงูชนิดนี้ มีอาการออกมาก ก็เตรียมเซรุ่มชนิดนี้ไว้เลย แต่ถ้าสมมติว่าไม่มี เขาก็ต้องดูอาการ แล้วอาจจะต้องให้เซรุ่มรวม ซึ่งมันก็จะล่าช้า แล้วประสิทธิภาพก็ไม่ได้ดีเท่าเซรุ่มแต่ละชนิด
ผมเคยทำคลิปอธิบาย ก็มีดราม่า ก็จะมีผู้รู้ทั้งหลาย งูมันจะอยู่ให้ถ่ายเหรอ อะไรอย่างงี้ จริงๆ อยากจะบอกว่า ถ้าอยู่ให้ถ่ายก็ถ่าย ถ้าไม่อยู่ให้ถ่ายก็ไปโรงพยาบาลแค่นั้น แต่ถ้าเกิดคุณมีภาพด้วย มันจะเป็นตัวช่วยคุณได้ดีกว่า”
*** “คน” กับ “งู” อยู่ร่วมกันได้ ***
ปฏิเสธไม่ได้ว่า งู มีผูกผันกับบ้านเรามายาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการเคารพบูชา แต่อีกมุมก็กลายเป็นสัตว์ที่หลายคนเบือนหน้าหนี ด้วยเพราะกลัวรูปร่างและอันตรายของมัน จนอยากกำจัดให้หมดไป
“ต้องบอกว่าสังคมไทยมีความผูกพันกับงูมานาน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพญานาค ความเชื่อเรื่องงูต่างๆ มีเรื่องจริงบ้าง บางทีก็เป็นเรื่องความเข้าใจผิดบ้าง ซึ่งเราก็มีการพยายามที่จะอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์เสมอ
งูไม่ได้อยากเข้ามาอยู่กับเรา แต่การเข้ามามีเหตุผล ถ้ามาบ้านคน มาหาอาหาร เป็นที่อยู่อาศัย หรืออาจจะมาหลบภัย เช่น บ้านเรามีโพรง มีรู หรือว่าหนูขุดรู งูก็จะเข้าไปอยู่ในโพรง หรือบางทีตามไปกินหนู การป้องกันงู คือเรื่องของการจัดการพื้นที่ให้เรียบร้อย ไม่มีโพรง ไม่มีรู ถามว่าป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์มั้ย ไม่ ยังไงก็อาจจะต้องเจออยู่ดี แต่ว่ามันจะน้อยลง
จิตสำนึกของคนเราก็จะมองว่ามีงูอยู่ งูจะต้องกัดเรา แต่จริงๆ แล้ว งูมองว่าเราคือสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า มันมีโอกาสถูกทำร้าย มีโอกาสถูกกิน มันก็พยายามจะหนีเรา คือต่างคนต่างกลัว
เราต้องเข้าใจว่าปัญหาคืออะไร เราต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา บางคนก็บอกว่าฆ่ามันให้หมด ผมอยากบอกว่าตามระบบนิเวศ บ้านคุณที่หนูอยู่ สมมติว่าไปฆ่างูหมด แต่คุณไม่มีการป้องกัน หนูก็จะเป็นตัวที่ดึงดูดงูจากข้างนอกเข้ามาอีกครับ
บางทีเราทำงาน เราจับงู เรามีการปล่อย บางคนเขาก็ไม่ชอบ ปล่อยให้มันออกลูกออกหลาน จริงๆ การปล่อยงูมันเป็นแค่การให้โอกาสมันเฉยๆ ตรงจุดนี้เราเห็นความสำคัญของชีวิต ในเรื่องของการกำจัด จะใช้วิธีคือให้มันไปอยู่ที่อื่นที่เหมาะสม ถ้าเกิดที่อื่นมีอาหาร มีน้ำ มีที่อยู่อาศัย เขาก็ไม่ไปไหนหรอกครับ เพราะเขาไม่อยากอยู่ใกล้เรา”
[ ภารกิจ “ย้ายรังงู” ]
ถามถึงความเชื่อดั้งเดิมที่มักจะบอกว่า “ตีงู ต้องตีให้ตาย” เพราะงูมีความแค้นและจดจำคนที่เคยทำร้ายมันได้ เรื่องนี้กูรูด้านงู มีคำอธิบายในมุมวิทยาศาสตร์ให้ได้เข้าใจกัน
“บางทีงูเขาอยู่ใต้โพรงบ้านเรา หรือมาหาอาหารกิน แล้วบังเอิญคนเห็นงู ก็ไปตี พอตีไม่ตาย งูมันก็หนีไป แต่พอถึงจุดนึง บ้านเขาอยู่ตรงนั้น ยังไงเขาก็ต้องกลับบ้าน พอคนเห็น คนก็เลยใช้ความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง ตีมันไป น่าจะหนีแล้ว ทำไมยังกลับมาอีก มันต้องมาแก้แค้นเราแน่เลย บางทีสาเหตุมันอาจจะเป็นที่อยู่อาศัยของเขา หรือเป็นแหล่งอาหารของเขาเท่านั้นเอง
สมองงู สามารถเรียนรู้ตรงไหนมีอาหาร สัตว์ลักษณะไหนเป็นศัตรู แต่ไม่พัฒนาถึงขั้นว่าเก็บเอามาเป็นความโกรธแค้น มันอาจจะส่งผลในเชิงพฤติกรรมบ้าง เช่น พอเจอคนทำร้าย พอเจอคนปุ๊บ มันชูคอแผ่แม่เบี้ยขึ้นมา ดุกว่าเดิม อันนี้เป็นไปได้ แต่ที่บอกว่ารอจังหวะเพื่อจะไปกัด แก้แค้น อันนี้ไม่มีนะครับ
มีคนเคารพในเรื่องของป่า ในเรื่องของสิ่งลึกลับ เราไม่รู้หรอกว่ามีหรือไม่มี แต่ถ้าเขาทำพิธีกัน เราเข้าไปทำด้วย ขอขมา มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย มันไม่ใช่เรื่องงมงาย บางทีอาจจะไม่ได้ส่งผลจริงๆ จังๆ แต่ว่าอย่างน้อยทำแล้วมันมีความสบายใจ
ผมก็เคยเจอเรื่องลึกลับ เร้นลับ ที่มันเกิดขึ้นในป่า อธิบายไม่ได้หลายอย่าง เราก็ยึดวิทยาศาสตร์เป็นหลัก อาจจะเป็นความบังเอิญหรือว่าอะไรก็ไม่รู้ จะอะไรก็แล้วแต่ หลักปฏิบัติคือให้ความเคารพกับทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือสิ่งที่ควรทำที่สุดครับ”
ส่วนใครที่บังเอิญเจอเข้ากับงูอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็มีแนวทางปฏิบัติตัวตามบรรทัดต่อจากนี้
“ถ้าเกิดว่าเห็นงูอยู่ระยะไกล ประมาณ 5 เมตร 10 เมตร เห็นปุ๊บ เราพยายามที่จะเดินถอยออกมาช้าๆ ไม่จำเป็นต้องนิ่ง เพราะระยะมันห่าง เขาเห็นเราแล้ว เขาจะเลื้อยหนีไปเอง เขาไม่เลื้อยพุ่งเข้าหาเราหรอก
แต่ถ้าเกิดเป็นระยะใกล้ อันนี้สำคัญ เช่น บังเอิญไปรื้อกองไม้แล้วงูโผล่มาที่ขา การที่บอกว่าเจองูให้นิ่ง มันเป็นแค่บางสถานการณ์ งูเขาจะมีการตอบสนองกับการเคลื่อนไหวเป็นอย่างมาก ถ้าเกิดว่ามีการเคลื่อนไหวเยอะๆ เขาอาจจะรู้สึกว่าเราไปคุกคามเขา อาจจะมีการฉกกัดได้ ถ้าเกิดเจองูในระยะประชิด เราต้องนิ่งๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยถอยมาช้าๆ
แต่ถ้าเกิดระยะไกล เราก็เดินออกไปเลย โทร.หาเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญให้ไปจับ ถ้าเกิดไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความชำนาญ อย่าทำเอง เพราะว่ามันเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและสูญเสียทั้งสองฝ่าย
ผมเข้าใจทุกๆ ฝ่ายนะครับ บางคนเขาจะกลัวในเรื่องของความปลอดภัยทางด้านชีวิตและทรัพย์สิน เจ้าตัวไม่อยากทำร้าย แต่ว่าบางทีมีเด็ก มีสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ ทำให้เขาต้องทำแบบนั้น เราทำได้แค่แนะนำว่า ถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงการทำร้ายกันและกันได้ ก็อยากให้หลีกเลี่ยง หรือถ้าเอาไว้ไม่ได้จริงๆ เราประสานคนให้จับเคลื่อนย้ายออกนะครับ”
นอกจากนี้ เขายังเล่าถึงกำลังใจดีๆ จากเหล่าผู้ติดตาม ที่หลายคนนำความรู้จากช่อง “Nick Wildlife” ไปใช้ในชีวิตจริง ซึ่งตัวเขาเองก็ดีใจที่เป็นส่วนหนึ่ง ในการเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมที่มีต่องูได้อีกแรง
“ส่วนตัวเวลาถูกเรียกว่า YouTuber หรือ Influencer รู้สึกไม่ค่อยสนิทใจ มันเหมือนไม่ใช่ตัวเรา แค่คนที่รักที่จะทำงานด้านนี้ แล้วก็มีความสุขที่ได้ทำ ตรงจุดนี้เราก็พยายามที่จะรักษา นิยาม ผมมองว่าน่าจะเป็นนักสื่อสาร หรือเป็นผู้ให้ความรู้ในระดับพื้นฐาน จริงๆ แล้วไม่ได้จบพวกทางสัตววิทยามาโดยตรง แค่เรามีความรู้พอสังเขป
คนที่ทำสื่อ เป้าหมายคือการให้ความรู้ เรามีความสุขที่ได้ทำ แต่การที่จะนำเรื่องราวในเชิงวิชาการมานำเสนอ มันก็ต้องหาประเด็นที่น่าสนใจ ที่น่าตื่นเต้น หรือว่าภารกิจที่เกี่ยวกับเรื่องสัตว์ที่คนทั่วไปไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
ชื่นใจที่บางคนก็บอกว่าเขาหายกลัวงู ได้ความรู้เรื่องงูเพราะว่ามาดูตรงนี้ นั่นคือสิ่งที่มันเป็นความภาคภูมิใจ ว่าอย่างน้อยเราก็สามารถให้ความรู้ บางคนเขาบอกว่าเมื่อก่อนเจองูตีตายอย่างเดียว แต่ตอนนี้ไม่ไม่ดีแล้ว นี่คือเราช่วยเหลือชีวิต
บางคนบอกว่าขอบคุณพี่มาก หนูโดนงูกัด หนูได้วิธีปฐมพยาบาลจากพี่ ก็เลยรอดปลอดภัย นี่คือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ความศรัทธา หรือว่าบางทีเราไปช่วยชีวิตใครสักคนทางอ้อม อันนี้คืออะไรที่รู้สึกดีมาก ก็เป็นกำลังใจให้เราทำต่อไป”
*** อย่าปล่อยให้ "สัญชาตญาณจาง" ***
ด้วยความที่เป็นกูรูเรื่องงู ทำให้ “Nick Wildlife” กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คน แต่สำหรับเจ้าตัวแล้ว ไอดอลของเขาคือ “สตีฟ เออร์วิน” (Steve Irwin) นักอนุรักษ์ธรรมชาติและผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า ชาวออสเตรเลีย
“ก่อนหน้านั้นเวลาถามถึงเรื่องอาชีพ เราก็อยากทำอาชีพที่เกี่ยวกับการคลุกคลีกับพวกสัตว์ป่า ตอนนั้นก็มีนิตยสาร ATG (Advanced Thailand Geographic) ชอบดูมาก ความใฝ่ฝันว่าอยากเข้าไปในป่า ถ่ายภาพสัตว์ป่าแล้วก็เขียนบทความ
เมื่อก่อนจะมีพวก Cable TV ก็ได้โอกาสไปเจอสารคดีเป็นพวกเซ็ต Animal Planet บังเอิญได้ไปเห็น สตีฟ เออร์วิน ที่เขาทำงานด้านนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าเป็นอาชีพที่น่าอิจฉามาก เราอยากเป็นแบบนี้ ต้นทุนที่เราเป็นคนรักสัตว์อยู่แล้ว ก็เลยอยากที่จะทำงานในลักษณะนี้ ได้เข้าไปในป่า ได้ไปเจอสัตว์นู้นสัตว์นี้ เราก็สามารถเอามาสื่อสารให้คนทั่วไปเขาได้เห็น
ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ารายการในลักษณะนี้ ประเทศไทยในช่วงก่อนจะไม่ค่อยมี จะมีแค่รายการส่องโลกที่เคยดู มันก็เป็นไปได้ยาก แต่วันนึงเราก็ฝ่าฟันดิ้นรนและสามารถทำได้ ก็ถือว่าเราได้ทำตามฝันของเราได้
เรียกว่าฝันเป็นจริง ก็คือได้มีโอกาสได้ทำในสิ่งนี้ ในวันนี้ก็คือมันเกินฝัน เวลาเราฝัน เราก็จะฝันว่าอยากจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ สิ่งที่สัมผัสได้ก็คือระยะทางในการเดินทางไปหาความฝัน คือช่วงที่มันมีความสุข มันสนุก มันตื่นเต้นท้าทาย
เราทำสารคดีไปเรื่อยๆ แต่พอถึงจุดนั้นขึ้นมา เราถึงฝันแล้ว เราต้องฝันต่อ ผมเชื่อว่ามันเป็นลักษณะของบุคคลบางประเภท ที่จะต้องมีอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
สำหรับตัวผม อาจจะเป็นในเรื่องของการสร้างความท้าทายใหม่ๆ ถ้าเกิดสิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์กับสังคมหรือช่วยเหลือคนได้ ก็จะเป็นอะไรที่ถือว่ามันยิ่งใหญ่ แล้วก็ทำให้ชีวิตเราขับเคลื่อนไปได้อย่างมีความสุขในทุกวัน”
อย่างที่เราทราบกันดีว่า สตีฟ นักอนุรักษ์ชื่อก้องโลก จากโลกนี้ไป เพราะถูกปลากระเบนหางสั้นแทงด้วยเงี่ยงเข้าที่หน้าอกของเขา ระหว่างถ่ายทำสารคดี ในฐานะที่นิคต้องทำงานในลักษณะใกล้เคียงกันแบบนี้ ก็นำบทเรียนครั้งใหญ่นั้นมาใช้ บวกกับประสบการณ์ที่ผ่าน ก็สอนให้เขาห้ามประมาทในทุกวินาทีที่เผชิญหน้ากับงู
“เป็นการรักษาระยะ แล้วก็การไม่ไว้ใจ อย่างผมในการจับงู บางคนเขาก็มองว่าเราประมาท โดนกัดครั้งนึงไม่คุ้มหรอก บางทีการจับมือเปล่า เราประเมินแล้วว่าถ้าแบบนี้เราจับได้ เราปลอดภัย เราก็ทำ
บางครั้งสถานการณ์ที่คับขัน ผมก็บอกทีมงาน ถ้าเกิดว่าเสี่ยง ปล่อยไปเลย ไม่ต้องเอาตัวไว้ เพราะว่ามันก็มีโอกาสที่มันจะกัดได้ แล้วบางทีการกัดครั้งเดียว มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เราก็ใช้บทเรียนจากคนอื่นๆ
การทำงานด้านนี้ พอถึงจุดนึงมันจะเกิดความคุ้นเคย เกิดความชะล่าใจ ระยะมันจะใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ถ้างูเลื้อยใกล้ถึงตัว แล้วเราไม่รู้สึกตอบสนอง ตกใจ หรือว่าตื่นเต้น ความคุ้นเคยมันทำให้สัญชาตญาณเราเริ่มจางลง ก็ต้องปรับสัญชาตญาณใหม่ ผมก็จะพักการจับงูไปเป็นเดือนสองเดือน แล้วก็มาจับอีกที มันก็จะได้มีความระมัดระวังมากกว่าเดิม
ฝากคนทำงานด้านนี้ทุกคนเลย คนที่ถูกกัดส่วนใหญ่จะเป็นคนเก่ง ถ้าเกิดว่าเรายังกลัวอยู่ อันนี้มันจะปลอดภัย เพราะมีอะไรขึ้นมา ร่างกายก็พร้อมตอบสนองตลอดเวลา แต่ถ้าไม่กลัว จิตใต้สำนึกรู้สึกว่ามันไม่ใช่ภัยคุกคาม เราจะปล่อยให้เขาถึงตัวเราได้ เพราะฉะนั้น บทเรียนต่างๆ มันทำให้เราต้องใช้ความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ”
แม้จะเจอวันที่เหนื่อยและท้อ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ในเส้นทางสายอสรพิษของชายคนนี้ ก็มีความสุข ความท้าทาย และมิตรภาพใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน และนั่นก็คือแรงขับเคลื่อน ให้เขาตั้งใจจะทำงานด้านนี้ต่อไป
“คิดว่าเรื่องนี้ผมก็คงจะทำไปเรื่อยๆ เพราะมันยังเป็นความสุข แต่บางอย่างพอเราเจอความกดดัน ความเครียด ความสนุกมันจะน้อยลง ปัจจุบันเราทำด้วย passion ถ้ารู้สึกมันทำแล้วได้ประโยชน์ ทำแล้วดี เราจะมี passion กับมันสูงมากเลย
โชคดีที่ผมยังมีพี่น้องในชมรมอสรพิษวิทยา เขาก็ยังรักกันอยู่ มันทำให้รู้สึกว่าเราไม่สามารถทิ้งพวกเขาไปได้ แต่ในเรื่องของการบริหารจัดการ อาจจะต้องปล่อยน้องๆ ดู เราก็เป็นที่ปรึกษา เราเองก็มีแนวคิดว่าอยากทำสารคดีสัตว์ป่า
ตอนนี้เป็นจุดที่เราพยายามจัดการเรื่องของค่าใช้จ่าย คลิปแนวนี้มันไม่ใช่แนวที่มันแมส บางทีการมีผู้สนับสนุนมันยาก แต่ถ้าเกิดรักมัน จะทำยังไงเราจะเดินบนเส้นทางนี้ได้ต่อ มันก็ต้องมีอะไรต่างๆ ที่มันจะช่วยแบ่งเบา เช่น ในเรื่องของการอบรม หรืออาจจะทำของจำหน่าย ที่เราได้อยู่บนเส้นทางที่เรามีความสุขต่อ
แล้วก็อาจจะมีสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ขึ้นมา เพราะว่าสุดท้าย ถ้าเคยมีความสุขกับการที่ได้รับรอยยิ้ม ได้รับคำขอบคุณจากคน มันเป็นสิ่งที่วิเศษจริงๆ เราก็อยากทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ ครับ”
ต้องมนต์ “บองหลา” พญาจงอางแดนใต้ “งูที่ถือว่าเป็นงูที่ประทับใจที่สุด ก็จะเป็นจงอาง โดยเฉพาะ บองหลา หรือจงอางใต้นั่นเอง จงอางขึ้นชื่อว่าเป็นราชาแห่งงู ในช่วงต้นปีเขาจะลงจากเขามาผสมพันธุ์ มาหาอาหารกิน ซึ่งจะเป็นช่วงที่เราได้เจอเยอะมาก ที่ผมประทับใจเพราะความสง่างาม ส่วนตัวนะครับ คิดว่าเป็นงูที่อาจจะมีกระบวนการคิดเยอะกว่าชนิดอื่นๆ มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง มันเป็นแค่ความรู้สึกที่เรามอง เพราะว่าเราทำงานกับมันบ่อย แรกๆ เจอก็เพราะความใฝ่ฝัน มันก็มีความกลัวอยู่ในตัว แต่ว่าพอทำงานแบบนี้เป็นระยะเวลานานๆ ความกลัวกลายเป็นความสงสาร ผมจะบอกให้คนสงสารมันไม่ได้หรอก มันต้องมาเจอ มาเห็นแววตาที่หวาดกลัวเวลาคนไปจับ ความกังวล ความต้องการหนี มันเป็นความรู้สึกสงสาร ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่แล้วก็บอบบาง ในเวลาเดียวกัน เราก็จะรู้สึกตื่นเต้น เพราะมันเป็นงูใหญ่ ยิ่งเจอตัวใหญ่ยิ่งรู้สึกฟินกับมันมาก มีความสุขที่ได้อยู่กับมัน แล้วก็รู้สึกว่ามีความผูกพัน แต่ไม่ถึงขนาดไปจับเล่น ผูกพันก็คือรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิตเรา แต่ว่าในกรณีที่คนจำเป็นต้องตีหรือว่าต้องอะไรเพื่อความปลอดภัย ก็เข้าใจ เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา บางคนก็กลัวจริงๆ เขาจับไม่ได้เหมือนเรา บางคนเขาบอกว่าขยะแขยง ก็ต้องเข้าใจเขา ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ผมก็จะเคารพทุกแนวความคิด แต่ก็เข้าใจว่านี่คือสังคม คนมักจะคิดในประสบการณ์ของแต่ละคน” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพ : Facebook “Nick Chomngam” และ “Nick Wildlife”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


