xs
xsm
sm
md
lg

ฉีกกฎ “นางฟ้า” แอร์ฯ สายการบินใหญ่ที่สุดในโลก!! “ไม่สูง-ไม่ผอม-ไม่จำกัดอายุ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไม่ต้องสูง ไม่ต้องผอม ไม่ต้องจบ ป.ตรี ก็เป็นแอร์โฮสเตสได้ สาวสุรินทร์ในอเมริกา ฉีกกฎแอร์ฯ ไทย ลบภาพจำเก่าๆ สารพัดคำดูถูกจากโซเชียลฯ ไทย สุดภูมิใจได้ทำงานสายการบินใหญ่สุดในโลก เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือสมอง และการบริการที่ดี ไม่ใช่ขนาดเอว

สารพัดคำบูลลี่จากคนไทย

“อ้วนจัง อ้วนขนาดนี้ เป็นแอร์ได้ยังไง”

นี่เป็นสารพัดคำบูลลี่ ที่เธอบอกว่ามักจะโดนอยู่บ่อยๆ จากชาวโซเชียลฯ “เบนซ์-ธัญญาพร กริสแฮม” อายุ 29 ปี สาวไทยที่ทำอาชีพแอร์โฮสเตสในอเมริกา ในสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ซึ่งเป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เธอเป็นเจ้าของเพจ “เบนซ์ แอร์สาวท่านหนึ่ง” ที่เปิดเพจออกมาแชร์ประสบการณ์ อาชีพแอร์โฮสเตสในอเมริกา ที่เรียกได้ว่า ฉีกกฎบิวตี้สแตนดาร์ดแอร์ฯ ไทย

เพราะอาชีพแอร์ฯ ในอเมริกา เปิดกว้างสุดๆ ไม่จบ ป.ตรี ก็ทำได้ แถมยังไม่จำกัดรูปร่างหน้าตา ไม่ได้วัดเรื่องน้ำหนัก ส่วนสูง อายุ หรือสีผิว เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือสมอง และการบริการที่ดี ไม่ใช่ขนาดเอว

แม้ในอเมริกาจะเปิดกว้างแค่ไหน แต่เธอก็มักจะโดนบูลลี่เรื่องรูปร่างหน้าตา จากโลกโซเชียลฯ อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะจากคนไทยด้วยกันเอง ว่าไม่เหมาะสมที่จะทำอาชีพนี้

“ในโลกโซเชียลมีเดีย มันจะมีคนทั่วทุกมุมโลก เพจเบนซ์ มันเป็นเพจที่คนไทยติดตามยอะมากๆ คนที่บูลลี่ก็มักจะเป็นคนที่อยู่ที่ประเทศไทยมากกว่า


ถ้าในอเมริกาไม่มี หรือคนไทยในอเมริกาเองก็ตาม ไม่เคยมีใครมาบูลลี่เบนซ์ เวลาเราบิน เราก็เลยไม่เคยรู้สึกว่า เธอมาเหยียดฉัน ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย


แต่ว่าคือเราเข้าใจได้ ด้วยความที่วัฒนธรรมฝั่งอเมริกา กับวัฒนธรรมฝั่งประเทศไทย แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยความที่เราโตมา เราเห็นสแตนดาร์ดของแอร์โฮสเตส ในรูปร่างแบบนั้น เราก็ต้องคิดแบบนั้น 


ถ้าเบนซ์อยู่เมืองไทย ก็จะไม่รู้เหมือนกัน ว่าที่อเมริกาเขาเปิดกว้างขนาดนี้เลยเหรอ คุณสามารถสูงแค่นี้ก็ได้เหรอ ดูท้วมมากเลย เธอยังเป็นแอร์ฯ ได้เหรอ

คือถ้าเบนซ์อยู่ไทยก็เชื่อว่า เบนซ์ไม่รู้เรื่องราวพวกนี้แน่นอน แต่ว่าด้วยความที่เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว โลกเราเปิดกว้างมากขึ้น เราเข้าใจมากขึ้น วัฒนธรรมมันแตกต่างกัน”




เธอบอกว่า ไม่เคยเก็บคำพูดเหล่านั้น มาทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ หรือลดคุณค่าตัวเองลงไป กลับใช้เป็นแรงผลักดัน จนกลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้หลายคนอยากเดินรอยตาม

“เป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจ ไม่ได้เก็บมาคิดด้วย เราก็เลยไม่ได้รู้สึกว่า มันบูลลี่ขนาดนั้น คือมันเป็นความเข้าใจมากกว่า เราไม่ใช่คนที่จะไปด่าใคร เราจะเป็นแนวให้ความรู้มากกว่า เพราะว่าเราเข้าใจ ว่าเขาเกิดและเติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมแบบไหน อยากจะคอมเมนต์ว่าอะไร คือคอมเมนต์ไปเลย เราไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ไม่ได้เก็บมาทําให้เรารู้สึกแย่”

ที่ไม่ได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ จะเรียกว่าชินแล้วก็ได้ เพราะเธอบอกว่า ด้วยความที่เกิดและโตมาในชีวิตชนบท จ.สุรินทร์ พื้นฐานชีวิต ก็คือเป็นเด็กผิวดำมาก และอ้วนมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว จึงทำให้แข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็ก

“เราเกิดและโตมาด้วยชนบทสุดๆ เราเป็นเด็กดํามาก เราอ้วนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วเราไม่มีดั้ง คือแหมบสุดๆ เราก็จะโดนคนพูดถึงเรื่องเราดั้งแหมบมาก แบบตาจะไหลมารวมกันแล้วมั้ง

เราก็เลยโตมาด้วยคําพูดพวกนี้ มาตั้งแต่เด็กมาเลย เหมือนสร้างเกราะให้เรา เราก็เลยแข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็เลยไม่เคยใส่ใจเลยจริงๆ เรื่องอ้วนจัง เรื่องดํา เรื่องแหมบ คือโดนมาตั้งแต่เด็ก

มันก็เลยทําให้รู้สึกว่า เราเก่งขึ้น เราสามารถสู้รบกับคําพวกนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องไปตอบโต้ใคร พอเราเริ่มปล่อย คนที่พูดบ่อยๆ เขาก็จะไม่พูดแล้ว เพราะเราไม่โต้ตอบ เขาพูดไม่สนุกปากเขาแล้ว”


เธอเชื่อว่า วัฒนธรรมธรรม ที่คนชอบทักทายกันว่า อ้วนจัง ผอมจัง ขาวจัง ดำจัง โดยเฉพาะคนไทย เชื่อว่าทุกวันนี้ อาจจะเบาบางลงไปบ้างแล้ว

“เบนซ์ว่ายุคสมัยนี้มันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ว่ามันก็ยังมีบ้างใช่ไหม คนไทยที่ชอบทักกันว่าอ้วนขึ้นจัง ทําไมดูโทรมจัง ฝั่งที่อเมริกาเบนซ์ไม่เคยเจอเลย คําทักทายที่เราเจอกันก็คือ ว้าว i like your style, i like your makeup มันเป็นการชมกันมากกว่า เบนซ์ไม่เคยเจอใคร ที่มาทักทายกันในด้านลบเลย ไม่เคยมี

พอเขาชม เขาทักทายเราในทางที่บวกใช่ไหม เราก็จะรู้สึกดี รู้สึกได้พลังบวกมาจากเธอ ขอบคุณนะ เดี๋ยวเราส่งพลังบวกให้เธอกลับ เราก็จะแบบว่าว้าว i like your style, i like your bag มันทำให้การเริ่มต้นวัน หรือว่าการเริ่มต้นบทสนทนาดีขึ้น มีความสุข”

อยากให้คนไทยที่ยังไม่เข้าใจ เริ่มสร้างวัฒนธรรมการทักทายใหม่ เพราะมันอาจจะทําให้คนที่กําลังเศร้าหมองอยู่ กลับมามีชีวิตชีวาได้เลย เพราะฉะนั้นเธอจึงอยากให้หยุดทักทายด้วยคำพูดบูลลี่ เพราะไม่มีใครรู้ว่า มันจะทำร้ายจิตใจคนฟังมากมายขนาดไหน

ที่สำคัญ เธอเชื่ออีกว่า ปลูกฝังวัฒนธรรมตั้งแต่เด็กในโรงเรียน ที่ไม่จำเป็นต้องทักทายกัน ผ่านคำบูลลี่เหล่านั้น จะช่วยให้สังคมน่าอยู่ขึ้น

“การปลูกฝังวัฒนธรรม เบนซ์รู้สึกว่า ถ้าในโรงเรียนสอนเรื่องนี้มากขึ้น การชมกันให้มันเป็นเรื่องปกตินะ สามารถชมกันได้เลย มันก็ดีนะ เจอกันครั้งแรก ทําไมแต่งหน้าสวยจัง เบนซ์ว่ามันก็ธรรมชาติดีนะ มันสามารถพูดในชีวิตประจําวันได้เลย การชมกันวันละคํา 2 คํา มันอาจจะทําให้คนที่กําลังเศร้าหมองอยู่ กลับมามีชีวิตชีวาได้เลย

บางทีเราอาจจะผ่านเรื่องราวมาเมื่อคืน ที่ทําให้เราเศร้า แต่พอเราเจอผู้โดยสาร ที่เดินมายิ้มให้เรา เราก็ต้องยิ้มให้เขากลับบ้าง เรารู้สึกขอบคุณนะที่ยิ้มให้ เราก็จะยิ้มกลับ เหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นกับเบนซ์บ่อยมาก

อาจจะเป็นเพราะว่าเราเหนื่อย มันอ่อนล้า พอเริ่มต้นวันใหม่ มีผู้โดยสารมายิ้มให้เรา มันทําให้ใจเรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น มันเป็นการเติมพลังชีวิตที่ดีอย่างนึง”


ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปเรื่อยๆ จนมาเจออาชีพที่สนุก และรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเอง แต่ก็ไม่คิดเลยว่า สิ่งที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้ มันจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้ด้วย

“เขาเห็นเราเป็นแรงบันดาลใจ อยากที่จะมาเป็นแอร์ฯ อีกครั้ง เคยฝัน แต่ว่าทําไม่ได้ เห็นน้องเบนซ์ ก็เลยคิดว่า พี่น่าจะทําได้ ถ้าคนที่อยู่อเมริกา เบนซ์ก็จะสนับสนุนให้สมัครเลย แต่คนที่อยู่ไทย เขาก็ต้องหาวิธีมาอเมริกาก่อน

มีเยอะมากเลย คนทักแชตมาถามส่วนตัว หรือว่าคอมเมนต์ใต้วิดีโอ คือเยอะมาก ชอบถามว่า อย่างพี่ทําได้ไหม อย่างพี่เป็นได้ไหม หนูน้ำหนักเท่านี้ หนูทําได้ไหม เราก็จะบอกเสมอว่า ทําได้ เอาเลย ลองเลย เราก็จะบอกว่า มีอะไรถามได้เลย”

[ชีวิตฟรีสไตล์ ที่อาชีพนางฟ้ามอบให้]
ไม่ต้องสูง ไม่ต้องผอม ไม่ต้องจบ ป.ตรี ก็เป็นแอร์ฯ ได้

สำหรับคุณสมบัติ คนที่สนใจอยากจะเป็นแอร์ฯ แบบเธอ คือไม่ต้องจบป.ตรี ก็ใช้วุฒิเทียบเท่า ม.6 สามารถยื่นสมัครได้เลย เพราะคุณสมบัติ ในเว็บไซต์ของสายการบิน ระบุหลักๆ มาแค่ว่า จะต้องสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ว่ายน้ำได้ ซึ่งการว่ายน้ำ ก็ไม่ได้บังคับ เพราะว่าไม่มีเกณฑ์ไปสอบว่ายน้ำ

แล้วก็มีเกณฑ์การเอื้อมแตะทั้งแนวตั้งแนวนอน 76 นิ้ว ที่สำคัญต้องมีใบอนุญาตสามารถทํางานในอเมริกาได้ อย่างเช่น green card lottery หรือ U.S. Citizen หรือว่าเป็นใบทํางานเฉยๆ ก็ได้ ส่วนเรื่องรอยสักมีได้ ไม่บังคับ แต่ต้องไม่ใหญ่เกินขนาดบัตรพนักงาน ที่สำคัญ ต้องมีทักษะการบริการลูกค้า รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

“ในส่วนของเรื่องน้ำหนัก เรื่องรูปร่างหน้าตา หรือว่าความสูง มันไม่ได้มีในเว็บไซต์ของบริษัท นั่นหมายความว่า เขาไม่ได้สนใจไง เขาไม่ซีเรียสเรื่องนี้เลย คุณจะมาด้วยรูปร่างแบบไหน คุณมาเลย

วันที่เราไปเทรน คือคลาสของเราใหญ่มาก ครั้งละประมาณ 100 กว่าคน มีทั้งคนที่อายุประมาณ 50-60 ปี คนที่แบบว่าท้วมกว่าเรา คนที่เตี้ยกว่าเราก็มี เราอยู่ในระดับกลางๆ ด้วยซ้ำ”

ส่วนเรื่องอายุบางสายการบิน ก็สามารถสมัครได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป แต่ว่าสายการบินที่เธอทำอยู่ จะต้องอายุ 21 ปีขึ้นไปไม่จำกัด เนื่องจากเป็นสายการบินขนาดใหญ่

“สายการบินเบนซ์ 21 ปีขึ้นไปค่ะ บวกๆ ได้เลย ไม่มีกําหนดเพดานอายุ เบนซ์บินกับแอร์ฯ คนนึง คือเราเทรนด์มาด้วยกัน จบมาด้วยกัน บินกับเขาเมื่อเดือนที่แล้ว อายุ 70 ปี แต่ว่าเขาดูไม่ 70 นะ เขาดูแข็งแรง เขาดูว่องไวมากๆ คือปกติแล้วเวลาเราขึ้นเครื่อง แล้วเราจะได้แอร์ฯ ที่คนหน้าใหม่เสมอ เราจะไม่ค่อยได้บินกับคนเดิม”


นอกจากไม่จำเป็นต้องสูง ต้องผอมแล้ว สิ่งที่เธอเห็นอีกอย่างคือ สายการบินที่ทำอยู่ พนักงานแทบจะไม่แต่งหน้ามาทำงานกันด้วยซ้ำ ต่างกับที่ไทยคือผมต้องเป๊ะ หน้าต้องเริ่ด

“นี่คือสิ่งที่เราแบบเซอร์ไพรส์มาก ตอนที่เราเข้ามาอเมริกาใหม่ๆ เราจะเห็นว่าคนอเมริกาส่วนใหญ่ เขาไม่ค่อยแต่งหน้ากัน แล้วยิ่งเรามาเป็นแอร์ฯ นะ คือเวลาเราไปเทรนนิ่งทุกวัน น้อยมากที่จะแต่งหน้าไปเทรนนิ่ง

พอเราเริ่มบิน เราก็จะเห็นว่าทําไมเขาไม่แต่งหน้ากันเลย เรารู้สึกว่าสบายดีเนอะ เราก็เลยคิดว่า ฉันไม่แต่งหน้าบ้างดีกว่า แล้วก็ไม่แต่งหน้าไป ไม่มีใครทักเลยนะ ไม่มีใครว่าอะไรเราเลย ก็ใช้ชีวิตได้ปกติ

แต่ด้วยความที่แบบว่าเรามันคนไทย แล้วมันติดแกรม เราก็แต่งหน้าของเราไปนิดนึง แต่ว่าคนที่บินด้วยส่วนใหญ่ 90% เลย ไม่แต่งหน้ากัน ส่วนน้อยที่จะแต่งหน้าไปบิน”

ดีใจที่ได้แชร์อีกมุมของโลก ให้หลายคนได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ อย่างที่ไทยเราไม่เคยรู้มาก่อน ว่ามันมีที่อื่น ที่เหมาะสมกับเราอยู่บนโลกนี้

“เบนซ์แค่รู้สึกว่า อเมริกามันเป็นดินแดนเสรีภาพ มันเป็นดินแดนให้โอกาสคนมากๆ นั่นคือสิ่งที่คนไทยหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินมา ซึ่งเขาอาจจะคิดแค่ว่า ก็แค่โอกาส แต่เขาอาจจะไม่ได้รู้จริงๆ ด้วยซ้ำ ว่าโอกาสนั้น มันคือโอกาสอะไรบ้าง

คือที่นี่เขามีกฎหมายออกมา ถ้าคุณเลือกปฏิบัติ สัญชาติ สีผิว รูปลักษณ์หน้าตา มันผิดกฎหมาย คุณอาจจะโดนจับ โดนปรับ มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ นะ

แต่ว่าที่ประเทศไทย ถ้าจะไปเปลี่ยนในสแตนดาร์ดตรงนี้ มันค่อนข้างยากนะ ถามว่ามันไม่ดีเหรอ ที่เขามีสแตนดาร์ดแบบนั้น แอร์ฯ จะต้องสวย หุ่นดี มันดีมากเลย คือเรามองเห็นพวกเขา เรายังรู้สึกว่า ทําไมสวยจังเลย

ภาพลักษณ์บริษัทเขา ก็คือสวยดูดี ใครๆ ก็อยากบินด้วย มันดีสําหรับผู้โดยสาร มันก็คืออาหารตาอย่างหนึ่งด้วยนะ ที่เห็นแอร์ฯ สวยๆ มาเสิร์ฟเรา แต่ว่าจุดด้อย คือปิดโอกาสให้คนที่ไม่ถึงสแตนดาร์ดนั้น ไปทํางานในจุดจุดนั้นไม่ได้”


เธอบอกถึงขั้นตอนการสมัครแอร์ฯ สำหรับคนที่สนใจให้ฟังว่า เริ่มจากส่งเรซูเม่ ยื่นใบสมัครออนไลน์เข้าไป จากนั้นจะมีแบบประเมินมาให้ทำ เป็นแบบประเมินเกี่ยวกับจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ว่าบุคลิกเราเหมาะกับการเป็นแอร์ฯ หรือไม่ ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ ก็จะมีคนนั่งสัมภาษณ์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์

จากนั้นขั้นตอนต่อไป ก็จะได้ไปสัมภาษณ์ในสถานที่จริง ซึ่งจะมีแอร์ฯ ประมาณ 10-20 คน ที่ผ่านการเข้ารอบไปด้วยกัน และอาจจะมีทั้งสัมภาษณ์เดี่ยว และสัมภาษณ์กลุ่ม

คำถามสัมภาษณ์เดี่ยว ส่วนใหญ่เธอบอกว่า จะเป็นคำถามพื้นฐานมากๆ เช่นถามว่าทําไมคุณถึงเลือกสายการบินนี้ ส่วนการสัมภาษณ์ให้ทํากิจกรรมกลุ่ม ขั้นตอนนี้ทางสายการบิน จะดูว่าบุคลิกเราเหมาะกับการทํางานกับคนอื่นไหม ถ้าสามารถเข้ากับคนอื่นได้ ก็ผ่านเข้าสู่ขั้นการเทรนต่อไป ซึ่งการเทรนก็ใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์

“เขาก็จะเทรนเกี่ยวกับเครื่องบินต่างๆ การอพยพทั้งบนบกในน้ำ ข้อมูลที่ควรรู้ เกี่ยวกับการทํางานบริการ คือในระยะเวลา 6 อาทิตย์ครึ่งนั้น เราอยู่ที่ฮิวสตัน รัฐเท็กซัส อยู่ที่นั่นไปเลย

แล้วเขาก็จะมีโรงแรมให้ มีอาหารให้วันละ 2 มื้อ เสร็จแล้วถ้าเราอยากจะกินอย่างอื่น เราก็ต้องไปหากินเอง แต่เขาเตรียมสิ่งเหล่านั้นให้ เรามีหน้าที่แค่ว่าตื่น แล้วก็ไปเทรนนิ่ง”


และกว่าจะได้ติดปีกบิน ในระหว่างเทรน ก็จะมีการสอบทุกอาทิตย์ ซึ่งเธอก็สอบผ่านทั้งหมดทุกรอบ

“ทุกอาทิตย์ มันจะมีการสอบ อาจจะเป็นการสอบปฏิบัติ แล้วก็สอบข้อเขียน ทําผ่านคอมพิวเตอร์ ถ้าสอบไม่ผ่าน คุณสามารถแก้ได้หนึ่งครั้ง ถ้าแก้แล้วยังไม่ผ่านอีก โดนส่งกลับบ้าน มันค่อนข้างโหด สอบทุกอาทิตย์เลย

คือผ่านไปถึงขั้นตอนสุดท้าย หมายถึงว่าวีคสุดท้ายแล้ว นั่นแหละคุณจะได้ติดปีก คุณจะได้เป็นแอร์ฯ คือมันดูเหมือนยากนะ แต่ว่าถ้าเราทําไปตามกระบวนการ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ต้องเครียด มันง่าย มันไม่ได้ยากขนาดนั้น”


อาชีพแอร์ฯ ไม่เคยอยู่ในฝัน

อาชีพแอร์ฯ ไม่ได้เป็นอาชีพในฝันของเธอเลยเพราะคิดว่ามันเป็นความฝันที่สูงเกินไปด้วยความที่เกิดและโตที่ไทย ทำให้ภาพจำเกี่ยวกับแอร์ฯ ไม่น่าจะเป็นได้แต่ตอนนี้รู้สึกภูมิใจมาก ที่ตลอด 3 ปี ได้ทำงานสายการบินที่ใหญ่สุดในโลก

เริ่มจากเรียนจบจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วตัดสินใจออกไป work and travel กับเพื่อนสนิท จากนั้นก็ได้เจอแฟนที่อเมริกา จนได้แต่งงานกัน ก่อนที่ต่อมาจะแยกทางกัน
[จบจาก ม.ธรรมศาสตร์ บินลัดฟ้าหาโอกาสให้ตัวเอง]

ก่อนจะมาติดปีก เป็นนางฟ้าการบิน เธอทำงานจากการเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารไทยในอเมริกามาก่อน 3-4 ปี

“ด้วยความที่เราเกิด แล้วก็โตมาจากเมืองไทย เราจะมีสแตนดาร์ดของแอร์ฯ ที่เมืองไทยอยู่แล้ว ว่าเธอจะต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น คําว่าแอร์ฯ จะไม่เคยอยู่ในหัวเรา ไม่เคยอยากเป็นแอร์ฯ เลย เพราะว่าเรารู้ว่าเราเป็นไม่ได้ มันไม่ใช่สายเรา

แต่พอเรามาอยู่อเมริกา เราเริ่มจากการทํางานร้านอาหาร มันมีความจําเจอยู่ตรงที่ว่า ลูกค้าเข้ามาสั่งอาหาร สั่งแบบเดิมๆ เมนูเรามันมีแบบเดิมๆ มันก็เลยเกิดความเบื่อหน่าย รู้สึกว่าทํามาได้ 3-4 ปีแล้ว อยากจะเปลี่ยนไปทําอาชีพอื่น

ก็เลยมองหาหนทาง ว่าจะทํางานอะไรดี ที่ยังได้เงินดีอยู่ แล้วก็ได้สวัสดิการด้วย เพราะว่าทําร้านอาหารเราไม่ได้สวัสดิการลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน”




พอเริ่มรู้สึกเบื่ออาชีพเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร ก็เริ่มมองหาอาชีพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครู เพราะด้วยความที่ชอบเด็ก แต่เงินเดือนน้อยไม่ตอบโจทย์ แม้กระทั่งอาชีพพยาบาล เธอก็อยากลองไปทำ แต่พอสมัครไปเรียนแล้ว รู้สึกว่ามันยาก และไปต่อไม่ไหว จึงถอยออกมา

จนกระทั่งเพื่อนสนิทคนไทย ที่อยู่ในอเมริกา ที่เขาเรียนจบการบินมา แนะนำว่า ให้ลองไปสมัครแอร์ฯ ยอมรับว่าความคิดในหัวตอนนั้น มีแต่คำว่าเป็นไปไม่ได้ แต่พอได้ศึกษาข้อมูล ก็ตัดสินใจลองสมัคร จนได้ในที่สุด

“เป็นไม่ได้ ดูสภาพด้วย บอกเพื่อนไปอย่างนี้ มันมีความมันเป็นไปไม่ได้ เราคิดอย่างนี้ เพื่อนก็บอกว่า ไปลองดูก่อน อ่านหาข้อมูล ก็เลยคิดว่าลองดู สรุปก็คือผ่านทั้ง 2 สายการบิน แต่ว่าเราเลือกที่จะไปกับยูไนเต็ด เพราะว่าเงินดีกว่า และเขาบินอินเตอร์เนชั่นแนลด้วย บินแบบกว้างขวาง มากกว่าอีกสายการบินนึงที่บินแคบเราก็เลยโอเคได้มาเป็นแอร์”


คนไทย 50 คน บนสายการบินใหญ่ที่สุดในโลก

ที่ทำเอาเซอร์ไพรส์คือ เธอบอกว่า ไม่ใช่คนไทยคนเดียว ที่ทำงานอยู่บนสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ เพราะมีพี่ๆ คนไทยที่ทำงานบนสายการบินเดียวกันประมาณ 40-50 คน

“สายการบินเรา คนไทยเยอะมาก คือฝั่งเดนเวอร์ที่เบนซ์อยู่ อาจจะไม่ได้เยอะ แต่ว่าฝั่งซานฟรานซิสโก ฝั่งแอลเอเยอะมาก คือเราจะมีกลุ่มสําหรับสายการบินที่เป็นคนไทย เยอะแบบ 40-50 คนเลย

แต่ว่าเยอะที่สุด ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ฝั่งแอลเอ ฝั่งซานฟรานซิสโก เพราะเขาบินอินเตอร์ฉ่ำมาก ฝั่งเราก็คือว่า เรายังเป็นจูเนียร์มากๆ เงินเดือนเราไม่ได้เท่าพี่เขา เราไม่สามารถไปอยู่ตรงค่าครองชีพที่มันสูงๆ ได้ เราก็อยู่ตรงนี้ไปก่อน”

คนไทยที่ทำงานบนสายการบินนี้ ก็มีทั้งตำแหน่งแอร์ฯ เหมือนกับเธอ มีทั้งพนักงานภาคพื้น ไปจนถึงพนักงานทำความสะอาดเครื่องบิน หรือแม้กระทั่งแอร์ฯ คนไทยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ที่เธอเคยเจอกันบนเครื่องบิน

“คนไทยมีพี่คนนึง เราไม่เคยบินกับเขานะ แต่ว่าเราเคยอยู่ในไฟลต์ของเขา เขาเป็นแอร์ฯ เราเป็นผู้โดยสาร บินจากซานฟรานซิสโกไปฮ่องกง

พี่คนนี้เบนซ์บินกับเขาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นพี่เขาอายุ 55 ตอนนี้ก็น่าจะ 58 แล้ว ใกล้ 60 แล้ว นางสวยมาก นางสวย แบบว่าดูไม่เหมือนเป็นคนอายุ 50 ดูเหมือนคนอายุ 30 มากกว่า

แล้วเป็นพี่คนไทยที่ซีเนียร์มากๆ คืออายุการทํางานตอนนั้นน่าจะ 30 ปีนิดๆ ตอนนี้ก็น่าจะแบบว่า 35 ปี คืออายุการทํางานยิ่งเยอะ เขาก็จะมีสิทธิ์ต่างๆ นานามากกว่าคนอื่น”

[เพื่อนแอร์ฯ ในวัย 54 ปี ที่เริ่มสมัครมาตอนอายุ 51 ปี]
ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ทำงานบนเครื่องบิน เธอเล่าถึงเคสประทับใจให้ฟังว่า รู้สึกขอบคุณมาก ที่ผู้โดยสารมักจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาให้อยู่เสมอ

“เขาก็จะมีขนมมาให้เรา เป็นช็อกโกแลต หรือว่าอาจจะเป็นการ์ดเขียนข้อความมาให้พวกเรา ตรงนั้นแหละ มันก็ทําให้เรารู้สึกขอบคุณเขามากเลยนะ ที่เขามาบินกับเรา แถมยังมีของเล็กๆ น้อยๆ มาให้เราอีก ตรงนั้นคือทําให้เรามีความสุขประทับใจ

คนที่จะชอบเขียนการ์ดให้เรายาวๆ เยอะๆ จะเป็นไฟลต์ที่บินครั้งแรก เป็นเด็กน้อย เขาก็จะบอกว่า บินครั้งแรกนะ เขาเป็นคนกลัว เป็นแพนิก เขาจะเขียนให้เรารู้ โอเคเรามีผู้โดยสารท่านนี้นะ ที่เราจะต้องดูแลเป็นพิเศษหน่อย เดินไปทักทายบ่อยๆ ให้เขารู้สึกไม่กลัว ให้รู้สึกผ่อนคลาย”

[ประทับใจผู้โดยสารเขียนการ์ดขอบคุณ]


ส่วนที่เป็นปัญหา ที่เธอเจอบ่อยๆ คือ ผู้โดยสารขอให้ยกกระเป๋าเก็บให้ เพราะแทบจะทุกสายการบิน มีกฎบอกไว้ว่า ไม่ให้แอร์ฯ ต้องยกกระเป๋าให้ผู้โดยสาร เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ ยิ่งถ้าเกิดอุบัติเหตุระหว่างยกกระเป๋าให้ผู้โดยสาร บริษัทจะไม่รับผิดชอบใดๆ แต่ด้วยความเป็นคนไทย มีน้ำใจอยู่บ้าง ก็จะช่วยเท่าที่ทำได้เท่านั้น เพราะต้องทำตามกฎที่บอกไว้

“เราสามารถช่วยเธอยกได้นะ หมายความว่ายก 2 คน ช่วยกันยก แต่ให้ฉันยกให้เธอไม่ได้นะ เขาก็จะบอกว่า แต่ถ้าเธอยกให้ฉันมันจะดีกว่านะ เราคิดในใจก็คือถ้ากระเป๋าคุณหนัก มันหนักสําหรับคุณ มันก็หนักสําหรับฉันเหมือนกัน

ถ้าฉันเกิดเหตุอะไรขึ้นมา บริษัทไม่รับผิดชอบนะจ๊ะ มันเป็นความผิดของฉันเต็มๆ เธอจะรับผิดชอบให้ฉันไหม นี่แค่คิดในใจแล้วเราไม่ได้พูด แต่สุดท้ายคือมีแอร์ฯ ที่เป็นซีเนียร์กว่าเรา เขามาอธิบายให้

บริษัทเขาบอกมาว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่คุณไปช่วยยกกระเป๋าผู้โดยสาร เกิดเจ็บปวดขึ้นมา บริษัทไม่รับผิดชอบ คือมันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเราล้วนๆ

จะบอกผู้โดยสารของเราเสมอว่า ถ้าคุณไม่สามารถยกกระเป๋าขึ้นข้างบนได้ เรายินดีที่จะเช็กให้คุณ แล้วไปโหลดใต้เครื่อง ถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยเหมือนกัน

“ก็จะมีผู้โดยสารที่แบบว่าไม่เป็นไร เขายกเองได้ แต่ว่าคือด้วยความที่เราเป็นคนไทย เรามีน้ำใจไหม เรามีนะ แต่เราไม่สามารถยกให้ทุกคนได้ เรายกให้คุณหรือคนอื่นเห็น เขาก็อยากให้เรายกให้อีก

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนอเมริกา เขาจะรู้อยู่แล้วว่า ยกกระเป๋าเป็นหน้าที่ของคุณเอง ไม่ใช่หน้าที่ของเรา มันจะมีแค่ผู้สูงอายุเขาไม่สามารถยกเองได้ คือเข้าใจ”


รายได้เกือบ 2 แสนบาท แลกทำงาน 130 ชั่วโมง/เดือน

สำหรับเรื่องรายได้ของเธอ ตกอยู่ที่เดือนละเกือบ 2 แสนบาท โดยคิดจากชั่วโมงบิน 120-130 ชั่วโมงต่อเดือน

“ปกติเงินเดือนที่ได้รับนะคะ ถ้าเป็นก่อนหักภาษี จะอยู่ที่ประมาณ 6,000 USD แต่ถ้าโดนหักภาษีไปแล้ว จะอยู่ที่ประมาณ 4,000-4,500 USD

ต้องบินประมาณ 120-130 ชั่วโมง ถ้าเราไม่ได้อยากจะบินเยอะขนาดนั้น อยู่ที่ประมาณ 100 ชั่วโมง ก็จะอยู่ที่ประมาณ 3,000 ยูเอสดอลลาร์ หลังหักภาษีไปแล้วนะ

ถ้าเป็นแอร์ฯ รุ่นใหม่ ที่เพิ่งเริ่มทํางานปีที่ 1 ปีที่ 2 เงินอาจจะไม่พอใช้เลย คืออาจจะต้องบินเยอะมากๆ หรือไม่ก็มีเงินเก็บอยู่แล้ว หรือไม่ก็ทํางาน 2 ควบคู่ แต่ว่าถ้าผ่านเข้าไปถึงปีที่ 5 แล้ว ก็คือจะสบายมาก เงินจะได้เยอะมากๆ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์”

ปีหน้าเรื่องของรายได้ เธอบอกอีกว่า ก็จะเพิ่มขึ้นเยอะกว่านี้ เพราะทาง AFA ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของอาชีพแอร์ฯ กำลังร่างสัญญาจ้างใหม่ให้

“เรากําลังยื่นสัญญาจ้างอันใหม่ปีหน้า เขาเรียกว่า AFA เป็นเหมือนองค์กรองค์กร ที่ดูแลผลประโยชน์ของแอร์ฯ คือองค์กรเรา จ่ายเงินให้เดือนละ 50 USD เขาจะยื่นเรื่องไปหาบริษัท แล้วบริษัทเราก็จะพิจารณา ว่าอันไหนให้ได้ อันไหนให้ไม่ได้

เพราะว่าแอร์ฯ เยอะมากๆ คือสายการบินเรามีตั้งกี่หมื่นคน ไม่สามารถทําสัญญาจ้างให้คนต่อคนได้ นั่นหมายความว่า เราเลยต้องมีองค์กรหนึ่ง ที่ยื่นเรื่องทําสัญญาจ้างให้พวกเรา”


เธอบอกอีกว่า มีความสุขกับอาชีพในตอนนี้มาก โดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการในการบินฟรี ถ้าทำครบ 10 ถึงจะลาออกไปแล้ว สวัสดิการนี้ก็ยังใช้ได้อยู่

“ถ้าเป็นพ่อแม่ สามี ลูก บินกับเบนซ์ได้เลยไม่จํากัดฟรีๆ แต่ถ้าไปต่างประเทศ มันก็จะมีการเสียภาษีระหว่างประเทศนิดหน่อย เพื่อนเบนซ์บินด้วยได้ เวลาที่เบนซ์ไปบิน จะเลือกวันหยุดของเพื่อนด้วย ไปเที่ยวด้วยกัน จะมีที่ไหนให้ผลประโยชน์เราแบบนี้ใช่ไหม

ถ้าสมมติเราบินครบ 10 ปีแล้ว เราอยากจะหยุดตรงนั้น เราจะไม่ทําต่อแล้ว เราสามารถลาออกได้ แต่ว่าเรายังมีสิทธิ์ในการบินฟรีอยู่ แล้วคือเราก็ทําให้ครบ 10 ปี

เราสามารถจัดตารางบินเองได้ เบนซ์สามารถเลือกได้เลยว่า วันนี้เบนซ์อยากบินกี่ชั่วโมง เบนซ์อยากบินไปไหนบ้าง เบนซ์อยากจะมีวันหยุดติดกันสัก 10 วัน แฮปปี้มาก ไปหาของกินใหม่ๆ ไปเดินดูเมืองใหม่ๆ บางทีก็ออกไปเดินเล่นกับแอร์ฯ ด้วยกันเอง”

ส่วนเรื่องสวัสดิการหลังจากเกษียณ เธอบอกว่า จะได้รับเงินแบ่งเป็น 2 ทาง คือจากเงินจากรัฐบาลกลาง แบบที่ไทยได้ และเงินมีเงินสมทบ ที่จะถูกหักออกจากเงินเดือนก่อนหักภาษี ในแต่ละรอบการจ่ายเงิน ที่เรียกว่า 401(k)

“บริษัทใส่ 401(k) ให้เราอยู่แล้ว เรามีเงินเข้าบัญชีเกษียณของเราทุกเดือนอยู่แล้ว อันนั้นคือได้แน่นอน แล้วก็มีเกษียณของตัวเราเองอีก ที่เราโดนหักภาษีทุกเดือน อันนั้นมันจะไปอยู่ในเงินเกษียณเหมือนกัน

ตอนนี้เราได้ 2 ทาง คือจากบริษัทที่ใส่เงินให้เราทุกเดือน แล้วก็มีเกษียณแบบที่ไทย มันจะเป็นเงินของรัฐบาลกลาง เงินที่เราโดนหักภาษีทุกเดือน ที่เราควรจะได้ช่วงอายุ 55 หรือ 60 ปี มันมีหลักเกณฑ์ค่อนข้างเยอะ แล้วก็ซับซ้อน

แต่ถ้าเป็นเงินของบริษัท 401(k) ที่บริษัทใส่ให้เราเงินเกษียณ อันนั้นเราถอนเมื่อไหร่ก็ได้ เราจะเอาออกมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ คือเบนซ์เข้าไปดูได้เหมือนกัน ว่าตอนนี้เบนซ์มีเงินเท่าไหร่ อยากจะถอนเงินเกษียณตรงนั้นออกมาเลยก็ได้ แต่ว่าคือเราอยากจะเก็บไว้จนเราอายุ 60-70 ปีเลยก็ได้”


ชีวิตแฮปปี้ หาเงินง่าย ได้บินทั่วโลก

ตอนนี้เรียกได้ว่าอาชีพแอร์ฯ ในอเมริกา ตอบโจทย์ชีวิตมาก ชีวิตมีความสุข ได้ใช้ชีวิตที่ต้องการ ยังไม่ได้คิดว่าอยากจะเปลี่ยนไปไหน

“ดีมาก เรารู้สึกว่าเรามีความสุขมากตอนนี้ ใครจะไปคิดว่า เด็กผู้หญิงบ้านนอกคนนึง จะได้มาบินทั่วโลกขนาดนี้ได้ แล้วเราเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปลงไอจี คือไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ไม่มีอะไรเลยก็ตาม อย่างน้อยต้องมีรูป รู้ว่าฉันได้มาเมืองนี้แล้ว เก็บไว้เป็นความทรงจํา คือมันเป็นความรู้สึกที่มีความสุข”

สำหรับตารางบินของเธอ ปกติถ้าบิน 1 ทริป ไป 3 วัน กลับมาอย่างน้อยก็ต้องหยุดอยู่บ้าน 1-2 วัน เพื่อที่จะเตรียมกระเป๋าใหม่ เตรียมอาหารใหม่ จากนั้นค่อยไปบินใหม่

“เราได้เที่ยว ได้ลาหยุด ได้ลาป่วย ได้ลาพักร้อน เราได้เงิน ความรู้สึกคือ ฉันจะไปหาชีวิตจากนี้มาจากไหนเนี่ย บางทีเดินยิ้มอยู่คนเดียว ยิ้มแบบว่ามีความสุข”

[แม่และน้องสาวมีชีวิตที่ดีขึ้น]
เทียบกับตอนอยู่ที่ไทย เธอบอกว่าอเมริกาหาเงินง่าย และสุขสบายกว่าไทย อยู่ไทยพออยู่พอกิน แต่ตอนนี้อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากซื้ออะไรก็ได้ซื้อ

“คือเรายังไม่ได้ผ่านชีวิตการทํางานโดยสมบูรณ์ที่ประเทศไทย เพราะว่าเราเรียนจบปุ๊บ เราย้ายมาอเมริกาเลย ดังนั้นชีวิตการทํางานของเรา มันเริ่มที่อเมริกา เทียบเป็นชีวิตของแม่แล้วกัน ตอนนี้เบนซ์อยู่กับแม่กับน้อง อยู่ด้วยกันที่อเมริกา

คือแม่กับน้อง ได้วีซ่า green card lottery มา คือตอนนั้นแม่กับน้องก็อยู่ที่สุรินทร์ อยู่บ้านนอกเราจะทําอะไร เลี้ยงควาย ทำนา มันมีอยู่แค่นั้น ทํางานโรงงาน คือเงินมันพอใช้สําหรับชีวิตคนชนบท ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหรา ก็คืออยู่พอกินพอใช้ปกติ แต่ว่าไม่ได้ลําบากอะไร

แต่พอแม่กับน้องย้ายมาอยู่อเมริกาด้วยกันกับเบนซ์ คือชีวิตเขาสบายขึ้นมาในระดับหนึ่งเลย เพราะว่าเงินมันหาง่ายมาก ทํางานหนึ่งวัน แทบจะเงินเดือนหนึ่งเดือนของคนที่ไทย มันขนาดนั้นเลย มันก็เลยใช้ง่าย

อยากกินอะไรก็ได้กิน ไม่เคยต้องมากินซูชิทุกอาทิตย์ แต่กลับได้กินทุกอาทิตย์ มันก็เป็นชีวิตที่แบบสบายขึ้นมา อยากทําอะไรก็ได้ทําจริงๆ คือมันคือมันง่ายมาก อยากมีรถใช่ไหม ไปซื้อรถ ผ่อน คือเงินมันหาง่ายมาก”

.





 ฝันให้ไกล ไปให้ถึง


 

 “จากเด็กบ้านนอกคนนึง ที่ออกมาจากชนบทสุรินทร์ แล้วตอนนี้เราอยู่ในอเมริกา เราไม่หยุดอยู่กับที่ เราผลักตัวเองออกไปให้ไกล จากจุดที่เราอยู่ เราจน คนจนส่วนใหญ่ ก็พยายามที่อยากมี อยากได้เหมือนคนอื่น


เบนซ์พยายามเอาตัวเอง ไปอยู่ในจุด ที่ทําให้เรามีโอกาสมากขึ้น เอาตัวเองออกมาจากสุรินทร์ ไปอยู่ในธรรมศาสตร์ ได้โอกาสมากมายจากธรรมศาสตร์ ได้รู้จักเพื่อน เพื่อนพามา work and travel มีโอกาสอยู่ที่อเมริกา


เปิดโอกาสให้ตัวเองเรื่อยๆ มันไม่ใช่ว่าจะมีใครมาหยิบยื่นโอกาสใส่มือให้เรานะ เราต้องขวนขวายหาเอาเอง ต้องผลักดันตัวเอง ฝันให้ไกลไปให้ถึง คือคําพูดที่ไม่เกินจริง คือฝันไปเลย ฝันไปก่อน แล้วเราค่อยๆ ไป ตามกําลังที่เราไปได้ อย่าหยุดฝัน”



สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : Facebook “เบนซ์ แอร์สาวท่านหนึ่ง”, TikTok @benzlissima



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น