xs
xsm
sm
md
lg

ลงดาบ!! 400 เคส “อินฟลูฯ คุณหมอ” อ้างวิชาชีพ แฝงปักตะกร้า-ลวงโฆษณา-หนุนซื้อออนไลน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คุณหมอสายอินฟลูฯ ระวัง!! แพทยสภาเอาจริง ประกาศห้ามหมอ“โฆษณาสินค้า” ชี้“ผิดจรรยาบรรณ” ใช้ภาพลักษณ์มาขายของ ไม่มีแล้วตักเตือนก่อน สอบเจอผิดจริง โทษขั้นต่ำ“พักใบอนุญาต 3 เดือน” บอกเลยตั้งใจลงดาบ พวกทำผิดซ้ำซาก

** ตักเตือนไม่เข็ด เลยต้องลงดาบ **


ประกาศชัด ต่อไปนี้คุณหมอรายไหน “โฆษณาสินค้า-ปักตะกร้า” ขายของออนไลน์ เตรียมถูกสั่ง “พักใบอนุญาต” ได้เลย
เหตุเพราะ “แพทยสภา” ได้รับ “คำร้องเรียน” จากผู้คนในสังคม จากเคสคุณหมอโฆษณาขายของบนสื่อออนไลน์ ตลอดทั้งปี 67 สูงถึง “476 เคส”

โดยส่วนมากพบว่า คุณหมอมักจะให้คำแนะนำ หรือเปรียบเทียบสินค้าโดย “ไม่ได้ขออนุญาต” และถึงอาจไม่ได้ปักตะกร้า หรือโฆษณาสินค้าโดยตรง ก็ถือว่าเข้าข่าย “ชี้นำ” อยู่ดี ซึ่งถือว่าทั้ง “ผิดกฎหมาย” และ “ผิดจรรยาบรรณ”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางแพทยสภาบอกว่า “ไม่ได้ห้าม” คุณหมอโฆษณาสินค้าโดยตรง แต่การโฆษณาต้อง “ได้รับอนุญาต” และทำตามกฎหมาย

เริ่มตั้งแต่ “พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม”, “ข้อบังคับแพทยสภา” , “กฎหมายของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.)” และ “กฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)”คุณหมอคนไหนละเมิด จะมีโทษขั้นต่ำจากแพทยสภาคือ “พักใช้” ใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพอย่างน้อย “3 เดือน”



นอกนั้น ยังมีการกำหนด “ความผิดทางจริยธรรม” เอาไว้ 4 แบบหลักๆ โดยถ้าใครมีพฤติกรรมเข้าข่ายตามนี้ จะตัดสินทันที โดยไม่มีการตักเตือน หรือภาคทัณฑ์ไว้ก่อน ต่อให้เป็นความผิดครั้งแรกก็ตาม ดังนี้

1.“หมอแขวนป้าย” คือพฤติกรรมของคุณหมอ ที่เอา “ใบประกอบโรคศิลป์” ไปให้คนอื่นจดทะเบียน เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล แต่ไม่ได้อยู่ควบคุมจริงตามกฎหมาย

2.“หมอเถื่อน” คือการที่คุณหมอรู้เห็นเป็นใจ ปล่อยให้คนที่ไม่ใช่หมอ มาทำงานแทนหมอ

3.“โฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ” ทำตัวเป็นอินฟลูฯ โฆษณายาและอาหารเสริม ด้วยคำพูดโอ้อวดเกินจริง

และ 4.“โฆษณาอวดอ้างวุฒิ” คืออวดอ้างความเชี่ยวชาญและคุณวุฒิ ทั้งที่แพทยสภาไม่เคยให้การรับรอง



ส่วนเหตุผลเบื้องหลังของการหันมา “ลงดาบ” อย่างจริงจังนั้น “พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์”อนุกรรมการสอบสวน แพทยสภา บอกไว้ว่า เป็นเพราะเคสที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามามีจำนวนมาก จนไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

และจริงๆ แล้ว ทางแพทยสภาเคยประกาศเตือนเหล่าหมอๆ สายอินฟลูฯ แนวนี้แล้วว่า จะใช้มาตรการนี้ตั้งแต่ปี 67 แต่เพิ่งนำมาใช้จริงๆ เมื่อเดือน ก.พ.68 ที่ผ่านมานี้เอง

“ในปี 2567 นี่แหละครับ คณะกรรมการแพทยสภา ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนมากๆ ก็เลยคิดว่า ถ้าจะไม่ให้เกิดการกระทำซ้ำซ้อนแบบนี้ ตักเตือนแล้วทำอีก ก็มาภาคทัณฑ์เนี่ย เริ่มต้นด้วยการพักใช้ใบอนุญาตเลยครับ

อันที่ 1 นะครับ โอ้อวดเกินจริง ข้อ 2 ชักจูงใจ พูดแล้วจูงใจให้เราไปซื้อของ หรือจูงใจให้เราไปหาหมอคนนี้นะครับ กับ 3 โฆษณาแล้วไม่ถูกต้อง คือหมอพูดโดยไม่มีหลักฐานประกอบ แล้วหมอที่ชำนาญกว่า เขามาโต้แย้งไงครับ”


                             {“พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์” อนุกรรมการสอบสวน แพทยสภา}

** ให้มา “รักษา” ไม่ใช่ “โฆษณา” **

การที่แพทย์จะโฆษณาสินค้า หรือทำตัวเป็นอินฟลูฯ บนสื่อออนไลน์ เพื่อรีวิวสินค้ามันผิดตรงไหน? นี่คือ คำถามที่ผุดขึ้นมาให้เห็นประปรายบนโลกออนไลน์

อนุกรรมการสอบสวน แพทยสภา รายเดิม จึงช่วยอธิบายให้เข้าใจชัดเจนมากขึ้นว่า แพทย์ไม่ควรโฆษณา โดยเฉพาะสินค้าประเภท “ยา” “อาหารเสริม” หรือที่เกี่ยวกับ “เวชภัณฑ์”

เพราะตัวตนของแพทย์ที่โฆษณา ย่อมได้รับความน่าเชื่อถือจากผู้ฟัง มากกว่าคนที่ไม่ใช่แพทย์

“ความน่าเชื่อถือเนี่ย ก็อาจจะทำให้สินค้านั้น ที่ถูกโฆษณาโดยแพทย์ ขายดีกว่าสินค้าอื่นไงครับ มันก็จะเกิดเป็นเชิงพาณิชย์ไงครับ”

และเมื่อแพทย์ใช้ “ความน่าเชื่อถือ” ที่ติดมากับอาชีพของตัวเอง มารีวิวสินค้า โฆษณา หรือแม้แต่ปักตะกร้า แนะนำสินค้าทางออนไลน์ ผลที่ได้คือ “ผู้บริโภค” ส่วนใหญ่ จะ “เชื่อ” โดยอัตโนมัติว่า “สินค้า” ตัวนั้น “ดี” ในทันที เพราะคนที่รีวิวคือ “คุณหมอ”



ทั้งที่ความจริงแล้ว บางครั้งสินค้านั้นๆ อาจไม่ได้คุณภาพอย่างที่โฆษณาเอาไว้ก็ได้ สุดท้ายจึงสะท้อนภาพปัญหานี้ ออกมาเป็น “คำร้องเรียน” ที่ส่งมายังแพทยสภาแบบล้นทะลักอย่างที่เห็น

ดังนั้น ต่อให้ไม่มีเจตนาโฆษณา ก็ต้องระวังมากๆ โดยเฉพาะข้อจำกัดเรื่อง “ห้ามพูดชื่อสินค้า”เด็ดขาด หรือแม้แต่การยกสินค้ามาเปรียบเทียบว่า ตัวไหนดีกว่ากัน ก็ทำไมได้

สิ่งที่คุณหมอทำได้ผ่านสื่อเพียงอย่างเดียวคือ พูดให้ความรู้ “เชิงวิชาการ” โดยยึดตามหลักฐาน และเอกสารทางการแพทย์
เพราะถ้าทำเกินขอบเขตไปกว่านั้น ด้วยการใช้วิชาชีพแพทย์ มาสร้างความน่าเชื่อถือ ใน “เชิงพาณิชย์” จะถือว่าผิด 

“พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525” ใน “มาตรา 4” ที่บอกเอาไว้ว่า ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม มีหน้าที่ “วินิจฉัย” “รักษา” “บำบัด” หรือ “ป้องกันโรค” รวมถึง “ให้คำปรึกษา”  ด้านสุขภาพ แต่ไม่มีสักบรรทัดที่ระบุหน้าที่ไว้ว่า “ให้โฆษณา” ได้ตามใจชอบ



“หมอพูดได้ว่า รักษาโรคนี้ ยามี 3 ตัว ยาตัวที่ 1 มีฤทธิ์อย่างนี้ ตามหลักตำราการแพทย์ ได้ผลประมาณ 70% ยาตัวที่ 2 ได้ผลประมาณ 65% ยาตัวที่ 3 ได้ผลประมาณ 55%

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันไม่ได้เป็นไปตามนี้ตลอด เพราะคนไข้แต่ละคน ตอบสนองต่อยาไม่เท่ากัน
แพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเนี่ย เรียนมาเพื่อประกอบวิชาชีพคือ ตรวจโรค วินิจฉัยโรค รักษาโรค ก็เป็นวิชาชีพที่เพียงพอแล้ว

ไม่สมควร ที่จะมาทำหน้าที่อื่น ที่ทำแล้วอาจจะมีลักษณะที่ ทำให้การบริโภคสินค้านั้น ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้”



สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น