เลือกจบชีวิตตัวเองมากกว่า 10 ครั้ง!! แต่ผ่านมาได้เพราะ “คุก” จากเจ้าของธุรกิจรายได้ปีละพันล้านสู่ชีวิตที่แทบไม่เหลืออะไรต้องเริ่มใหม่แต่หายซึมเศร้าและใจสุขดี
จากยอดขายพันล้านสู่ชีวิตในคุก
“ทุกครั้งที่มีสติ เราก็ไม่อยากอยู่ เราทําร้ายตัวเอง หาอะไรก็ได้ที่สามารถทําร้ายตัวเองได้ กุญแจล็อกเกอร์กรีดข้อมือตัวเอง กัดตัวเอง ทํายังไงก็ได้ ให้ความเจ็บปวดทั้งร่างกาย มาทดแทนความเจ็บปวดที่อยู่ที่ใจ”
“ปูนิ่ม-ศิรินทราเส็งสิน” อดีตแม่ค้าออนไลน์เจ้าของแบรนด์สินค้ายาลดน้ำหนัก “OHO ByPunim (โอ้โหบายปูนิ่ม)”
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ธุรกิจของเธอกำลังไปได้สวย กระทั่งวันหนึ่งเธอถูก อย. เข้าตรวจสอบสินค้า และนำไปสู่การมีคดีความในชั้นศาล ทำให้ชีวิตดำดิ่ง จากสูงสุด สู่ต่ำสุด
เธอเล่าว่าจากเด็กบ้านนอก จ.พิษณุโลก ช่วยแม่ขายปลาแดดเดียวตามตลาดในวัด ตั้งแต่ 8 ขวบ พอเริ่มโตขึ้นเริ่มเห็นว่าเฟซบุ๊กน่าจะเป็นช่องทางขายของได้ ก็เลยโพสต์ขายสินค้าเสื้อผ้ามือ 2 ของตัวเอง ตอนนั้นยังไม่มีการยิงแอด จนลูกค้ามีเยอะขึ้น
เริ่มเห็นการเติบโตของตลาดออนไลน์ จึงหันมาสร้างแบรนด์ลดน้ำหนัก โดยใช้ตัวเองรีวิวสินค้า กินเอง เห็นผลเองขายตรงถึงลูกค้าไม่มีนายหน้าหรือตัวแทนใดๆ จนเริ่มมีลูกค้าสนใจ ทำให้แบรนด์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เติบโตขนาดที่ว่าล็อตแรกขายได้ถึง 3 ล้าน พอเข้าสู่เดือนที่ 3 ยอดขายค่อยๆโตเป็น 10 เท่า และทำยอดถึง 100-200 ล้านต่อเดือนติดกันมา 3 ปี จนสามาารถฟันรายได้ปีละพันล้าน
“ก็หลายล้านอยู่ค่ะ 3 ล้าน 5 ล้านพอเดือนที่ 3 ปุ๊บเราก็ขยับยิงโฆษณายิงเป็นแสนต่อวันพอครบ 3 เดือนแรกก็คุยกันว่าโอเคเราจะเริ่มโตขึ้นแล้วแสนต่อวันยอดขายเราก็ขึ้นเป็น 10 เท่าเลยค่ะเพราะตอนนั้นไม่มีคู่แข่งยิงแทบจะครองตลาดเลื่อนหน้าฟีดมาก็เจอหน้าปูนิ่มตลอด”
เส้นทางชีวิต ที่ดูเหมือนจะไปได้ดี ขายของก็ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเหมือนความหวังพังทลาย เมื่อปี 2558 มีผู้ร้องเรียนว่า จำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักที่ไม่ได้มาตรฐาน และจากการตรวจสอบพบว่ามีสารไซบูทรามีน ซึ่งเป็นสารต้องห้ามที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปะปนอยู่ในผลิตภัณฑ์บางรายการ เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการตามกฎหมาย จนบริษัทปิดกิจการในที่สุด
“เมื่อวันที่ 28 พ.ย.58 ก็มีทางเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ อย. เจ้าหน้าที่ที่เขาดูแล ขอเข้าตรวจสอบ ตอนแรกทหารมาประมาณ 100 กว่านาย มีอาวุธครบมือ มีปืนยาว ตอนแรกเราเข้าใจว่า มีการจับบ่อนอะไรกันหรือเปล่า เราก็ยังเดินไปถามว่าจับอะไรกันเหรอคะ เขาบอกมาจับเธอนั่นแหละ เราก็งงสตั๊นไปแป๊บนึง
สมัยนั้นเขายังไม่มีการยอมรับว่าการขายออนไลน์ได้เป็นพันชิ้น โดยสินค้าแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น เป็นสินค้าผิดกฎหมายหรือเปล่า เป็นยาเสพติด หรือเป็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง
เราก็ให้เขาตรวจสอบทุกอย่าง เขาก็มีการเอาสินค้าไปตรวจสอบที่ อย. ปรากฏว่าเจอสารอันตรายไซบูทรามีน เราก็งงค่ะ เพราะว่าในใบที่โรงงานให้ เราไม่มีสารไซบูทรามีนเลย
แต่พอเขาบอกว่าเจอ ก็ให้พนักงานโทรหาลูกค้าทุกคน ที่เราขายไป ให้ส่งคืนเรา เราก็คืนเงินลูกค้าไปประมาณ 45 ล้าน ก็เป็นการดำเนินคดี ให้เราไปเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด ประมาณเกือบ 5 คดี
ในส่วนของตรวจพบสารอันตราย ทางบริษัทเราก็บอกว่า เราไม่ได้เป็นคนผลิต ในเมื่อสินค้าที่มาถึงเรา ใส่ซองปิดผนึกเรียบร้อยหมดเลย
โชคดีที่ว่าคนที่เป็นพนักงานบริษัทของโรงงานในตอนนั้น ที่เขาคิดสูตร เขาเป็นพยานในศาลให้เรา ว่าเราไม่ใช่คนใส่ โรงงานเป็นคนสั่งให้เขาใส่ ศาลเลยยกฟ้องเราด้วย แต่ก็จะโดนคดีเรื่องจําหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์”
[แบรนด์สินค้าในอดีต]
จากสูงสุดลงมาต่ำสุดเกิดคำถามในหัวมากมาย เมื่อศาลศาลฎีกา ตัดสินให้เธอต้องติดคุก 27 เดือน ทำตัวไม่ถูก เพราะด้วยความที่ไม่คิดว่าตัวเองจะติดคุก
“วันที่เราขึ้นศาลฎีกาเขาก็บอกเราบอกว่าไม่ต้องห่วงทุกอย่างเคลียร์ไว้หมดแล้วเขาบอกเดี๋ยวกลับมากินหมูกระทะได้เลยสบายๆแต่มื้อแรกที่เราไปกินคือผัดฟักทองในเรือนจํา
ตอนนั้นมันหูอื้อไปหมดเลยค่ะ คุมอารมณ์ไม่อยู่ ร้องไห้อย่างเดียว ตั้งสติไม่ได้ แต่ก่อนที่จะนําตัวส่งเรือนจำ เราก็มีการขอกินยาทางจิตเวช แล้วก็หลับไป จนถึงประมาณ 6 โมงเย็น เขาก็นําตัวเข้าสู่เรือนจำ
รู้สึกเคว้งมากค่ะอันนี้ชีวิตเราจริงๆ เหรอ เราต้องมาอยู่ตรงนี้จริงๆ เหรอเราต้องขึ้นรถแบบนี้จริงๆ เหรอเราจะก้าวเท้าเข้าสู่เรือนจํา มันคงน่ากลัวมาก เราจะไปอยู่ได้เหรอ กลัวไปหมดทุกอย่าง
เราเคยลําบากก็จริงนะคะ แต่เราก็ใช้ชีวิตสบายมาเป็น 10 กว่าปี มันก็ยากที่จะทําใจมากๆ ที่ต้องเข้าไปแบบนั้นต่อให้เราแบบมีการเผื่อใจไว้นิดๆ หน่อยๆ มันเทียบไม่ได้เลยกับที่เราเจอตอนนั้น”
กลัวหนัก ร้องไห้จนไม่มีสติ
เธอยอมรับว่าวินาทีแรกที่เข้าไปกลัวมาก ร้องไห้ไม่ได้สติเหมือนคนบ้า แต่ได้เพื่อนในเรือนจำช่วยปลอบ จนสงบลงได้
“กลัวมากค่ะตกใจวันนั้นประมาณ 10 กว่าคนที่ต้องเดินแถวเข้าไปพร้อมกับเรา ก็จะมีหลายๆ คดีเขาก็จะมีการดุเสียงดังซึ่งเราเป็นแพนิกอยู่แล้วเราก็กลัวร้องไห้ทําอะไรไม่ถูก
ก็จะมีผู้คุมบางคนที่เขาดูแล้วว่าเราไม่ปกติเขาเดินมาถามเราเลยว่าเป็นจิตเวชหรือเปล่าป่วยหรือเปล่าเขาก็ให้เราสงบสติอารมณ์ก่อน
มีการปั๊มลายนิ้วมือ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ให้เราขึ้นไปข้างบน ไปห้องกักโรค ตอนนั้นยังมีโควิดอยู่ ก็จะเป็นการกักตัวเราไปอยู่ในห้องนั้นประมาณ 20 กว่าคนร้องไห้ไปเลยค่ะไม่มีสติ
ไปถึงปุ๊บ มีน้องที่เป็นทอมเดินเข้ามาถาม ว่าพี่ตั้งสตินะ พี่ใจเย็นๆ ตอนนั้นเราร้องไห้ เราโวยวายเ ราไม่ได้กินยาเรารู้ว่าฉันนอนไม่ได้ แล้วตอนนั้นคือกลัวมาก ทรมานมาก ก็โวยวายจะเอายา
เขาก็บอกพี่ใจเย็นนะพี่ตั้งสตินะพี่ชื่ออะไรพี่โดนโทษเท่าไหร่เราก็บอก 27 เดือนเขาบอกพี่ยังดีนะโดน 27 เดือนผมโดนตลอดชีวิตเขาก็ปลอบใจเราเราก็นิ่งไปนิดนึงก็ร้องไห้จนหลับแต่มาหลับช่วงเช้า”
ทุกข์ทรมานใจ 8 วันแรกกินข้าวไม่ได้เพราะทั้งห่วงครอบครัวที่อยู่ข้างนอกเพราะกลัวว่าถ้าไม่มีเธอแล้วพวกเขาจะอยู่กันยังไง
“ก็กินข้าวเช้าไม่ได้กินอะไรไม่ได้เลยน้ำก็ไม่อยากกินมันรู้สึกตัวเองเป็นห่วงมากเป็นห่วงลูกห่วงที่บ้านห่วงพ่อแม่ทรมานสุดๆไม่อยากมีชีวิตอยู่ไม่คุยกับใครเหมือนไม่เหลืออะไรแล้ว
ช่วง 8 วันแรกกินข้าวไม่ลงจนวันที่ 9 ที่กักตัวใช่ไหมคะ ก็ติดต่อทางบ้านได้ วิดีโอคอลคุยกับลูกชาย เพราะเราเป็นห่วงลูกชายมาก กลัวว่าเขาจะไม่ได้กลับมาเรียน เพราะตอนนั้นเขาอยู่เกรด 12 เพราะเขาเรียนที่เชียงใหม่
แต่เขาบอกโอเค กลับมาเรียนแล้วนะ เขาจะจบปีสุดท้ายแล้ว ก็โอเคดีขึ้น จนวันที่ 9 เป็นวันแรกที่เริ่มกินได้ แต่ก็ยังกินได้น้อยอยู่”
ด้วยความที่ป่วยเป็นซึมเศร้า เธอได้รับการแยกไปขังกับเพื่อนๆ ที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชเหมือนกัน แต่ก็ยังต้องทำตามกฎระเบียบของเรือนจำทุกอย่าง
“เราเป็นผู้ป่วยจิตเวชมีอาการทางจิตเวชค่อนข้างรุนแรงเขาก็เลยให้อยู่ห้องที่เกี่ยวกับผู้ป่วยจิตเวชค่ะแล้วก็มีการปรับยาให้เรากินเพราะว่ายาจากข้างนอกที่บ้านเราฝากมาบางตัวกินไม่ได้เพราะว่ามันสามารถเป็นยาเสพติดได้ก็จะเป็นยาจากเรือนจํา
ซึ่งยาของเรือนจําส่วนใหญ่ เขาจะกินแล้วให้สงบนิ่ง นอนอย่างเดียว นั่งเหม่อไม่มีสติ ทําอะไรไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็ยังคงต้องทําไว เพราะว่าอาบน้ำ 10 ขัน คือต้องให้จบ สระผมแปรงฟันล้างหน้า ทุกอย่างให้จบ เราทําไม่ทันก็มีก็โดนไล่ไป
แต่ผู้คุมแดนที่เราอยู่ เขาก็มองแล้วว่า เราไม่ไม่ปกติเยอะ เขาก็มีการให้เราอาบน้ำรุ่นแรกๆ เพราะว่าเราเป็นคนป่วยค่ะ”
เธอเล่าชีวิตในเรือนจำให้ฟังว่า จะตื่นนอนประมาณตี 4 กว่าๆ จากนั้นจะเริ่มปล่อยขังประมาณตี 5 ครึ่ง ให้ไปอาบน้ำ แต่งตัวไปกินข้าวแล้วก็กลับมาเข้าแถวที่เรือนนอน
ส่วนคนที่ป่วย เช่นเดียวกับเธอก็จะไม่ได้ถูกจําแนกให้ไปทํางาน โชคดีที่ผู้คุมค่อนข้างเข้าใจคนป่วยคนแก่มาก จึงอนุญาตให้นอนพักผ่อนในพื้นน้อยๆ โดยไม่ต้องออกไปทำงานเหมือนคนอื่น
บวกกับเรือนจำที่เธออยู่เป็นทัณฑสถานเปิดก็จะมีคนเข้ามาศึกษาดูงานมีคนมาบริจาคทุกอย่างก็ค่อนข้างที่จะสะอาดเรียบร้อย เป็นระเบียบมาก ทำให้ไม่น่ากลัวเหมือนที่ดูในหนังว่ามีการตบตีกันซึ่งเธอไม่ค่อยไม่เจออะไรแบบนั้นเลย
มีโอกาสเจอครอบครัวเดือนละ 1-2 ครั้ง เพราะการมาเยี่ยมแต่ละที พ่อกับแม่ต้องเดินทางไกลจากพิษณุโลก ส่วนใหญ่จึงฝากเงินไว้ซื้อของกินของใช้ที่จำเป็นดีกว่า
แม้ในใจจะแตกสลายเพียงใดก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เจอญาติมาเยี่ยม เธอก็จะพยายามยิ้ม หัวเราะ ให้คนข้างนอกได้รับรู้ว่าเธอสามารถอยู่ได้ คนทางบ้านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
“เราจะยิ้ม เราจะหัวเราะ เราจะไม่ร้องไห้ จะไม่อ่อนแอให้เขาเห็น เพราะเขารู้เราอ่อนแอมาก เขารู้ว่าเราใช้ชีวิตไม่ได้หรอก แต่เราพอเยี่ยมญาติเสร็จ เราหันหลังกลับปุ๊บใ จมันหวิว ร้องไห้มันทรมานปนความสุข ได้รับความสุขที่เขามาเยี่ยม แต่พอเขากลับไป มันสุขปนเศร้าอยู่อย่างนั้นตลอด”
ใช้ชีวิตประมาท จนซึมเศร้า-ไบโพลาร์-แพนิก
ด้วยความที่มาจากฐานะยากจนมาก่อน พอวันนึงมีเงินหลักล้านต่อวัน ช่วงนั้นก็รู้สึกสนุกในการหาเงิน จนไม่มีเวลาพักผ่อน
ทำงานหนักขนาดที่ว่า ทำงานแบบไม่หลับไม่นอน เธอเล่าว่าช่วงประมาณกลางคืนหลัง 4 ทุ่มจะรอยิงโฆษณาจนถึง 6 โมงเช้าเป็นพันแคมเปญคนเดียว แล้วก็มีผู้ช่วยแค่ 1 คน
จากนั้นประมาณ 7 โมงไปจนถึงประมาณบ่ายโมงก็จะเข้าที่บริษัทไปสอนแอดมินต่อ ประมาณหลัง 11 โมงไปจนถึงบ่ายเราก็ไลฟ์สดสักประมาณบ่าย 3 เราเข้าโรงงานผลิตทองคิดไลน์สินค้าใหม่ออกแบบสินค้าเอง
และแล้วความสนุกในการทำงานช่วงนั้น ก็สะสมความเครียดมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้กลายเป็นผู้ป่วยโรคทางจิตเวช ทั้งโรคซึมเศร้า,ไบโพลาร์,แพนิก,ไมเกรนเรื้อรัง
“เริ่มจากอาการไบโพลาร์ก่อนอารมณ์เราสวิงเหวี่ยงเวลาอยู่กับครอบครัวจะมีเหวี่ยงมีไม่พอใจแต่พอเวลาเราทํางานอยู่กับแอดมินอยู่กับงานเราแฮปปี้เรามีความสุข
แต่พอกลับบ้านไป บางทีเราไม่มีความสุข เราไม่คุยกับคนในบ้าน เราอยู่แต่กับโทรศัพท์ อยู่กับแต่คอมฯ ที่เรายิงโฆษณาอย่างเดียว
เป็นไมเกรนเรื้อรัง เหมือนเราเป็นเยอะ จนมันสะสม จนร่างกายมันจําอาการปวดหัว ก็มีการต้องฉีดยาแก้ปวด ไปจนถึงนอนไม่หลับ ร่างกายตื่นตลอดเวลา หลับเองไม่ได้ ทุกวินาทีคือมีแต่คอนเทนต์ยิงแอด ไปสู่การนอนไม่หลับค่ะ
ต้องไปฉีดยาโดมิคุม (Dormicum)ทุกวันบางครั้งวันนึงฉีด 3 เข็มหมอบอกว่าถ้าฉีดเกินเข็มที่ 2 ต้องไปรอดูอาการที่ห้องไอซียูนะก็อาจจะเกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติหรือหลับแบบไม่ตื่นต้องไปดูอาการ
เส้นเลือดปูนิ่มไม่ขึ้นเลยเวลาไปที่โรงพยาบาลต้องเอาเครื่องอัลตราซาวด์เจาะเพื่อหาเส้นเราฉีดทุกวันเพื่อให้หลับเพื่อให้หายปวด”
ป่วยหนักขนาดที่ตอนนั้น กินข้าวไม่ได้ อาเจียน ร่างพัง ซึ่งเธอไม่คิดเลยว่า รายได้และหน้าที่การงานที่กำลังไปได้ดี จะทำให้ตัวเองต้องป่วยหลายโรครุมเร้า
“ตอนแรกคุณหมอคิดว่าเป็น SLE แพ้ภูมิตัวเองหรือเปล่า ก็เป็นหนักเลยค่ะตอนนั้นเราก็ว่าเราก็ไม่เครียดนะมีความสุขกับการทํางานมากเราไม่มีแรงเดินไม่ได้มือเท้าไม่มีแรงชาไปหมดอาบน้ำก็ยกแขนหนึ่งข้างไม่ได้
หนักไปจนถึงอาเจียนตลอดเวลากินไม่ได้นอนไม่หลับคุณหมอก็เลยมีการคุยกันปรึกษากันแล้วให้เราลองไปพบจิตแพทย์ให้ย้ายมารักษาที่กรุงเทพฯก็พบจิตแพทย์คุณหมอก็บอกว่าเราเป็นซึมเศร้าเป็นไบโพลาร์เป็นแพนิกเป็นครบเลยค่ะ”
แม้หมอจะบอกให้เธอหยุดพักผ่อนบ้างแต่ด้วยความที่ชอบทำงานบวกกับความเครียดสะสมก็แอบดื้อทำงานอยู่ตลอด
“เราก็ทํางานอยู่ดีก็ไม่ได้หยุด 100 เปอร์เซ็นต์ช่วงที่ทานยาแรกๆก็มีอาการช้าง่วงแต่เราก็จะนอนแค่แป๊บเดียวเราก็จะสะดุ้งตัวตื่นตลอดเวลาว่านอนไปนานหรือเปล่า”
ประมาทเพราะคิดว่าอายุยังน้อยไม่ป่วยหรอก แต่เธอลืมไปว่า สุขภาพมันไม่ได้เลือกอายุสุดท้ายต้องขายทุกอย่างที่มีเพื่อรักษาตัวเอง
“ตอนแรกเราประมาทมากค่ะเราเริ่มทํางานตั้งแต่ 20 ต้นๆ ที่ประสบผลสําเร็จจนถึง 30ต้นๆเราก็คิดว่ากว่าจะเจ็บป่วยกว่าจะเป็นโรคอะไรแบบนี้โน่น 40-50 ปีเรายังไม่เป็นง่ายๆหรอก
แต่พอเราป่วยปุ๊บทุกอย่างมันดําเนินต่อไม่ได้เลยเงินที่มีก็ต้องเอามารักษาตัวเองซึ่งค่ารักษาทางจิตเวชแพงมาก เราก็ไปหาหมอที่เก่งที่สุดก็แพงมากจนเราต้องเอาเงินเก่าต้องขายทรัพย์สินขายรถขายเครื่องประดับขายกระเป๋าอะไรที่เราซื้อมาขายเพื่อรักษาตัวเอง”
นอกจากนี้ เธอยังยืนยันอีกว่า ไม่ได้ป่วยเพราะว่าการเงินลดหายไป หรือป่วยเพราะเศร้ากับคดีความ ตอนที่โดนตอนนั้นแต่อย่างใด
ส่วนวิธีรักษาในตอนนั้นคือ หมอให้กินยาปรับอารมณ์ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ซึ่งเธอก็ไม่คิดเลยว่า รายได้และหน้าที่การงานที่กำลังไปได้ดี จะทำให้ตัวเองต้องป่วยหลายโรครุมเร้า
“กินยารักษาปรับอารมณ์ แพทย์ก็ให้มีการปรับยา กินยาไปเรื่อยๆ เรารู้ว่าเราป่วยประมาณปี 64 ก็รักษาต่อเนื่องไปเรื่อยๆก็ยังไม่ได้หายจนตอนเข้าไป(คุก”)
อยากจบชีวิตตัวเองมากกว่า 10 ครั้ง
แม้จะฟังดูว่าก่อนหน้านั้นจะมีรายได้เยอะจากการขายสินค้าเป็นพันล้านแต่เธอก็บอกว่าพอไม่ได้ขายของรายได้ก็ไม่มีต้องใช้เงินเก็บเก่าๆซึ่งก็ค่อยๆ หดหายไป
ต่อสู้กับโรคนี้ที่เป็นอยู่ตั้งแต่ยังไม่เข้าเรือนจำ แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นสักที จนคิดหาวิธีทำร้ายตัวเองอยู่หลายครั้ง เพื่อหลีกหนีกับความเจ็บปวดนี้
“ช่วงแรกก็มีดีขึ้นบ้างแต่ก็จะมีดาวน์ลงไปอีกไม่อยากมีชีวิตอยู่รู้สึกเจ็บปวดที่ใจโทษตัวเองว่าทําไมเราถึงมาพาตัวเองมาอยู่จุดนี้พาครอบครัวมาอยู่จุดที่ต่ำลงเราก็โทษตัวเองทุกครั้ง
มีการทําให้ตัวเองเจ็บปวดภายนอก เพื่อทดแทนอาการเจ็บปวดในใจ ที่บ้านจะเก็บของมีคมทุกอย่าง แต่ในห้องนอนเรามีที่กดสิว
ปูนิ่มเอาที่กดสิวปักที่เท้าแล้วก็ตอกๆ มันลงไป มันก็เจ็บนะคะ แต่มันรู้สึกว่า ในช่วงที่เราทําให้มันเจ็บตัว มันไม่รู้สึกเจ็บท้อแท้ในใจ ไม่รู้สึกแย่ในใจมัน ไปรู้สึกแย่กับแผลเรา
ก็มีการป้องกันทุกอย่างทั้งลูกเราทั้งแม่เราจะคอยดูตลอดเวลาจนเราหลับก็คือทิ้งไม่ได้เพราะว่าเดี๋ยวเราตื่นมากลางดึกเขาไม่รู้ว่าเราจะทําอะไร”
แม้ในตอนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว เธอยังบอกอีกว่า ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา เธออยากจบชีวิต แต่การจบชีวิตตัวเองในนั้น ก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เพราะมีเจ้าหน้าที่คุมขัง คอยจำตาอยู่ตลอดเวลา
“ทุกครั้งที่มีสติเราก็ไม่อยากอยู่เราทําร้ายตัวเองหาอะไรก็ได้ที่สามารถทําร้ายตัวเองได้กุญแจล็อกเกอร์แล้วก็กรีดข้อมือตัวเองกัดตัวเองทํายังไงก็ได้ให้ความเจ็บปวดทั้งร่างกายมาทดแทนความเจ็บปวดที่อยู่ที่ใจ
อยากจบชีวิตตัวเองมากกว่า 10 ครั้งทําตลอดแต่เขาก็จะมีคนคอยดูเราส่งเราไปปรับยาที่โรงพยาบาลกลาง”
ที่อยากจบชีวิตตัวเองทุกครั้งที่มีสถติ ไม่ใช่ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่เธอรู้สึกเจ็บปวด จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
เธอบอกอีกว่า ก็พยายามค่อยๆ ปรับตัวให้อยู่ได้ กับชีวิตไร้อิสรภาพ พยายามกินยาตามที่หมอสั่ง แต่ยอมรับว่า สภาพแวดล้อมในคุก ก็ไม่ได้เอื้อ
“เราไม่ได้อยากทําเพื่อเรียกร้องความสนใจนะ แต่เราอยู่ไม่ได้จริงๆในตอนนั้น ก็มีการค่อยๆปรับตัวมาเรื่อยๆยาก็ยังคงกินแบบเดิม
คือเราชินกับการไปหาจิตแพทย์แล้วจิตแพทย์คือนั่งคุยแต่อันนี้คือเราไปเขาบอกโอเคกินยาเหมือนเดิมค่ะ 3 วินาทีเลยค่ะแทบไม่ได้นั่งเลยค่ะก็ให้กลับแล้วแต่เขาก็มีนักจิตบําบัดให้คุยนะคะแต่สภาพแวดล้อมมันไม่ได้เอื้อให้เราหายได้”
รอดมาได้ เพราะเพื่อนช่วยฮีลใจ
สภาพร่างกายและจิตใจก่อนเข้าไปคือแย่มาก หาความสุขไม่ได้เลย เพราะโรครุมเร้าหลายโรคต้องกินยารักษาเยอะมากชีวิตทุกอย่างวนลูปอยู่อย่างนี้เรื่อยๆอยู่ทุกวัน แต่สุดท้ายก็ดีขึ้นได้ เพราะกำลังใจจากเพื่อนๆ
“ก่อนเข้าไปแย่มากนะคะเข้าไปช่วงแรกก็แย่มากดาวน์มาเรื่อยๆแต่เหมือนเราก็ตั้งสติโอเคเรามีความหวังว่าเดี๋ยวเราจะได้กลับนะเรามีความหวังในทุกวันว่าจะมีข่าวดีมีอภัยโทษไหมฮึดสู้ขึ้นมา
แล้วกําลังใจจากเพื่อนจากคนที่อยู่ในนั้นที่รักเรามันก็เลยทําให้อาการป่วยเราดีขึ้นกินยาน้อยลงจนหายป่วยไม่ได้ต้องกินยาจิตเวชก่อนจะกลับมาเนี่ยคือหยุดยาเกือบทุกตัวเพราะว่าเราไปเลือกเอาความสุขอย่างอื่นทดแทน
เงินเราไม่มีแล้วความสุขทุกคนเริ่มเท่ากันเรามองคนที่ไม่มีญาติเขาลําบากกว่าเรานะเขาไม่มีใครเลยไม่มีแม้กระทั่งจดหมายที่จะให้อ่านมีความสุขเขาไม่มีข่าวของบ้านเขาลูกเขาไม่มีเลย
แต่เรายังมีข่าวลูกเราเรายังได้เยี่ยมญาติใกล้ชิดเรายังได้เยี่ยมญาติทุกเดือนเราโชคดีกว่านะเรายังกินข้าวไม่ได้ลําบากมากกว่าคนอื่นเราไม่ต้องไปทํางานหนักตากแดดเหมือนคนที่เขาอยู่โทษนานโทษสูงเพราะในนั้นมีไปถึงโทษตลอดชีวิตไม่มีกําหนดออกประหารชีวิต”
พอเริ่มชินกับสภาพแวดล้อมในนั้น ก็เริ่มเปลี่ยนความคิดตัวเอง พาตัวเองออกไปหาความสุข ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมแทบจะทุกอย่าง ที่เรือนจำจัดสรรมาให้ เข้าห้องสมุด เรียนจัดดอกไม้ ใช้ธรรมะเยียวยาจิตใจ หรือแม้กระทั่ง นำความรู้ที่ตัวเองมี ในด้านการขายออนไลน์ ไปสอนเพื่อนๆ
“ไปหาความสุขกับการเข้าห้องสมุดไปหาความสุขกับการที่เราไปสอนคนที่อยากรู้ออนไลน์สอนขายออนไลน์ในนั้นเราก็เป็นคนเอาความรู้ที่เรามีไปสอนในนั้นมีความสุขกับการเล่นเกมการร้องเพลง
เขาก็จะมีกิจกรรมให้ทํามีการเรียนการสอนจากหน่วยงานรัฐฯมาสอนจัดดอกไม้บ้างมาสอนโยคะ สอนธรรมะเราก็ไปทุกอย่าง
ปรากฏว่าเราค่อยๆดีขึ้นเวลามันก็สั้นลงๆในแต่ละวันเพราะเรามีกิจกรรมทำเพื่อนดีมากที่อยู่กับเราเป็นผู้ป่วยด้วยกันดีมากเขาก็ซัพพอร์ตเราเขารู้ว่าอันไหนเราทําไม่ได้เขาก็ช่วยเหลือ”
และแล้ววันนี้ที่รอคอยก็มาถึงกับชีวิตที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นจนกระทั่งวันสุดท้ายในเรือนจำ ที่ได้รู้ว่าพ้นโทษ จะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว เธอดีใจร้องไห้หนักมาก
“ตอนกลับปูนิ่มร้องไห้หนักร้องไห้ทั้งดีใจว่าจะได้กลับแต่ก็เสียใจที่เพื่อนๆที่เราสนิทอยู่ในนั้นคนที่เรารักอยู่ในนั้นอะไรหลายๆอย่างอยู่ในนั้นก็มีร้องไห้มีใจหายบ้างเพราะเราอยู่กับเขามา 20 เดือนแต่ชีวิตมันก็ต้องเดินต่อเราขอกลับเข้าไปอยู่ไม่ได้”
คุกช่วยเปลี่ยนอีกอย่างในชีวิตเธอ ไปในทางที่ดีขึ้นคือ ทำให้อาการป่วยทางจิตเวชดีขึ้น ไม่ต้องกินยาเยอะๆ แบบเมื่อก่อนแล้ว
“แม่กับลูกร้องไห้แล้วสิ่งที่แม่รู้สึกดีขึ้นคือเราไม่ต้องไปฉีดยาเราไม่ต้องไปทํางานจนไม่มีเวลากินข้าวเรามีเวลากินข้าวเราจับโทรศัพท์น้อยลงเพราะเราชินกับการที่ไม่ต้องมีโทรศัพท์
เขาเห็นเรามีความสุขขึ้นกับตอนที่เราอยู่ข้างนอกเราไม่มีความสุขเลยเรากลับมาเราไปหาหมอหมอถอนยาแทบหมดเหลือแค่กินเป็นตัวช่วยทําให้หลับขึ้นแต่ไม่ใช่ยานอนหลับนะคะทําให้หลับได้นานขึ้นเรากินแค่ตัวนี้อย่างเดียว
แม่บอกว่าถ้าปูนิ่มไม่เข้าไปน่าจะตายไปแล้วเพราะด้วยหลายๆ อย่างสังคมภายนอกมันถูกกดดันเยอะมากแต่พอเราไปอยู่ในนั้นโรคมันถูกสต๊าฟไว้แล้วเราก็ดีขึ้นถ้าไม่ได้เข้าไปปูนิ่มไม่น่ารอด
พ่อแม่ทําใจหลายครั้งแล้วนะคะก่อนเราจะเข้าไป เพราะเขาเห็นเราทําร้ายร่างกายตัวเองคิดแล้วว่าน่าจะมีสักวันนึงแหละที่ต้องเสียเราไป”
แม้จะดีใจที่ได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก แต่อุปสรรคที่ต้องเจอ กลายเป็นว่า ช่วงแรกใช้ชีวิตลำบากมาก เพราะกลัวโลกภายนอก
“เรากลัวโลกภายนอกมากเพราะอยู่ตรงนั้นมันเหมือนอยู่ในเซฟโซนเราไม่มีแก่งแย่งชิงดีไม่มีการอวดอะไรกันมากมายแต่พอออกมาเรากลับกลัวโลกภายนอก
ช่วงแรกที่กลับมาก็ใช้ชีวิตลําบากเหมือนกันแต่ปูนิ่มไม่ได้อายนะคะว่าตัวเองเคยไปอยู่ในนั้นคือตอนเราหายไปเขาไม่รู้เขาก็คิดว่าเราป่วยแล้วเราก็ยังรักษาอยู่
พอเรากลับมาเราก็โพสต์ในโซเชียลฯ ว่าเราไปติดคุกมา เราต้องโทษมานะ ทุกคนก็ตกใจ กําลังใจก็มีมาเยอะ ก็ไม่ได้ไปโฟกัสเลย ว่าคนที่จะสมน้ำหน้าเราเลย”
หลังจากนี้ เธอขอเริ่มต้นบาลานซ์ชีวิตตัวเองใหม่ ตั้งเป้าหมายว่าครอบครัว และสุขภาพที่ดีต้องมาก่อน จะไม่อดหลับอดนอน ทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“ปูนิ่มตั้งเป้าหมายตั้งแต่แรกเลยว่าเรากลับมาแล้วสุขภาพเราดีขึ้นสิ่งที่เราจะไม่ทําอีกคือการไม่นอนเราจะห่วงเรื่องการนอนเราต้องพักผ่อนฉันต้องกินฉันจะไม่อดอาหาร
แล้วก็ตั้งเป้าเลยว่าจะต้องหาเงินไปไถ่บ้านให้แม่ให้ได้จนตอนนี้กลับมาได้ 3เดือนเริ่มกลับมารับงานออนไลน์งานที่เราถนัดเราเป็นแม่ค้าที่ขายของกินมาเราก็กลับมารับงานที่เราขายของออนไลน์คิดคอนเทนต์แต่เราไม่มีทุนเราก็จะทําในส่วนอยู่เบื้องหลังค่ะ
ถ้าคุณมีสินค้าอยู่คุณขายไม่ได้หรือยอดที่คุณเสียค่ายิงแอดเสียค่าทําคอนเทนต์ต่างๆแล้วมันไม่ประสบความสําเร็จ ถ้ามีเราเราจะไปช่วยทําให้ยอดโตขึ้นได้จากที่คุณตอบลูกค้าแล้วปิดลูกค้าไม่ได้ประสบการณ์แอดมินคุณไม่มี
แต่ปูนิ่มมีประสบการณ์ขายโดยการใช้แอดมิน 100 เปอร์เซ็นต์แทบไม่มีตัวแทนตัวแทนคือจะเป็นญาติๆกันทั้งหมดเลยเมื่อก่อน
เราสามารถขายให้ได้เราคิดคอนเทนต์ได้เรารู้ว่าต้องปิดลูกค้ายังไงในสินค้าทุกอย่างเพราะปูนิ่มเองก็ขายมาทุกอย่างเลยไปจนถึงของกินไปจนถึงไลฟ์สดก็คือทําทุกอย่าง”
สัมภาษณ์ : YouTube “พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร”
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : Facebook “Sirintra Sengsin”, TikTok@punimoho
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **