ผ่ากระแส“เจนนี่ฟีเวอร์” ไลฟ์ขายของทำยอดถล่มทลาย กลยุทธ์ทางการตลาด“ชอปปิง+ความบันเทิง”พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ผสาน“หลักจิตวิทยา” แบบ“เพื่อนบอกเพื่อน” ผลักให้ยอดขายทะลุ“500 ล้าน” ภายใน 6 วัน
แต่อีกมุมกลับเต็มไปด้วย“ความฉาบฉวย” จนผู้คนที่หลงเอฟด้วยอารมณ์ พร้อม“ยกเลิกคำสั่งซื้อ” เป็นขบวน เมื่อรู้ตัวว่า ตกเป็น“ทาสการตลาด” เข้าให้แล้ว!!
** ขึ้นขบวนกระแส “เจนนี่ฟีเวอร์” **
สะเทือนวงการ “ไลฟ์สด”ขายของ เพียงแค่ 4 วัน แต่ยอดขายกลับทะลุ “200 ล้าน”ผ่านไปรวม6วัน กลายเป็น “500ล้าน” และคาดไว้ว่าพอเดินทางไปถึงวันที่10 อาจทะลุ “1,000ล้าน”!!
อย่างที่ล่าสุด เจ้าของปรากฏการณ์ และสถิติการไลฟ์อลังการในครั้งนี้ อย่าง “รัชนก สุวรรณเกตุ”นักร้องและอินฟลูฯ ที่ผู้คนรู้จักกันในนาม “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” โพสต์ผ่านแฟนเพจเอาไว้ว่า...“ถ้า 10วัน ได้ 1,000ล้าน 11.11นี้แจกบ้าน 1หลัง”
{“เจนนี่” ผู้สร้างปรากฏการณ์}
ส่วนเหตุผลที่จู่ๆ ผู้คนก็เข้ามาสนใจ เพราะเจนนี่มานั่งไลฟ์สด เคลียร์ประเด็นดรามาในครอบครัว จากปมปัญหาเรื่อง “เงิน”ที่มีมาหลายปีซึ่งคู่กรณีก็คือ “คุณแม่” ของตัวเอง อย่าง “แม่เกตุ-สุริวรรณ์เหล็มปาน”
เธอไลฟ์ทั้งน้ำตา ถึงสาเหตุที่เกือบเลิกกับสามีเพราะเรื่อง “เงิน”ที่ตัวนักร้องสาวต้องคอยตามใช้ “หนี้”ที่คุณแม่สร้างไว้มากมาย ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที พร้อมกับขายของไปด้วย ทำให้แฟนๆ แห่เข้ามาส่งกำลังใจ ด้วยการอุดหนุนรัวๆ
กระทั่งกลายเป็น “ปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลาย” อย่างไม่ได้วางแผนไว้ คือมียอดทะลุ 24 ล้านภายใน 24 ชั่วโมง จนดึงดูดให้เหล่าอินฟลูฯ คนดัง ตบเท้าเข้ามาร่วมแจมในไลฟ์มากมาย
ได้แก่ กาละแมร์,เชน-ธนา, ณวัฒน์ อิสรไกรศีล, ต้นหอม-ศกุนตลา, แจ็ค แฟนฉัน, อั้ม-พัชราภา, เชียร์-ฑิฆัมพร, ป๋อ-ณัฐวุฒิ, เอ๋-พรทิพย์ รวมถึง โดม-ปกรณ์ ลัมซึ่งวันที่ปิดยอดขายได้สูงสุดต่อวันตอนนี้ คือยอด “148 ล้าน”
ลองให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การตลาด ช่วยไขปรากฏการณ์นี้ว่า กลายมาเป็น “ไลฟ์สดฟีเวอร์” ที่ได้ผลโดนใจผู้คนในวงกว้างแบบนี้ได้ยังไง “ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย” มองว่า หลักๆ เป็นเพราะสารตั้งต้นอย่าง “ไลฟ์สดเคลียร์ใจ”
เพราะแน่นอนว่า ตัวเจนนี่เอง มีทั้งคนรักและคนเกลียด ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ มีจุดร่วมเดียวกันก็คือ ต่างอยากเข้ามาดูไลฟ์สดของเธอ อยากรู้เจนนี่ว่าจะพูดอะไร
“อันนี้เป็นตัวอย่าง พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสไง คือเจนนี่ก็ไม่รู้หรอกว่า ถ้าขายของไปด้วยเนี่ย จะปังหรือเปล่า”
แต่สุดท้ายมันกลับปัง จากการไลฟ์สดวันแรก แล้วผู้คนเข้ามาหนุนด้วย “ความเห็นใจ” โดยเฉพาะการส่งกำลังใจจากฐานแฟนคลับ ผลักให้ยอดขายช่วงแรก ไหลจากหลักล้าน ไปเตะหลักสิบล้านได้ในที่สุด
และพอกระแสเริ่มซาลง ก็มีการชวน “ดารา-อินฟลูฯ” คนอื่นๆ มาร่วมในไลฟ์ เพื่อดึง “ฐานแฟนคลับ” ของแต่ละคน ให้มาดูไลฟ์เดียวกันนี้ไปเรื่อยๆ และนี่คือการเล่นกับ “อัลกอริทึม” ของแพลตฟอร์มที่ได้ผลอย่างมาก
ถ้าทางการตลาด เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Snowball Effect” คือจากไลฟ์เคลียร์ดรามา กลายมาเป็นไลฟ์ขายของ แล้วพอเริ่มมีดาราดังมาร่วมแจม ยิ่งผลักให้ยอดขายทะลุหลักหลายล้าน ตามมาด้วยสำนักข่าวหยิบไปเล่น จนกลายเป็น “กระแส”
และเมื่อกระแสเจนนี่มาแรงแบบนี้ ก็จะผลักให้เกิดอีกปรากฏการณ์ขึ้นมา คือ “FOMO” คือ “Fear of Missing Out” ในฐานะกลุ่มคนนิยมเสพกระแส นั่นก็คืออาการกลัวว่าจะพลาดสิ่งสำคัญ หรือกลัวจะ “ตกขบวน” นั่นเอง
สุดท้าย “แบรนด์สินค้า” น้อยใหญ่ รวมถึง “ดารา-เซเลบดัง” จึงพากันวิ่งเข้าหาเจนนี่ คือต่อให้ขายของไม่ได้ แต่อย่างน้อยทำให้แบรนด์ “ติดตลาด”ได้จากกระแสนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
“เขามีวางกลยุทธ์อยู่แล้ว เขารู้อัลกอริทึมไอ้ตัว TikTok อยู่แล้ว อัลกอริทึม TikTok เนี่ย จับจากหน้าตา จับจากน้ำเสียง แล้วดูว่าคนไหนขายของดี มันก็ยิ่งส่งให้ใหญ่เลยทีนี้ พูดง่ายๆ ต่อยอดไปเรื่อยๆ เพื่อให้ลอยอยู่ได้ไง
ส่วนไอ้คนซื้อก็โห.. ถ้าไม่มาซื้อของเจนนี่ ก็กลัวตกขบวนสร้างประวัติศาสตร์ไง ต้องการเป็นหนึ่งในคนสร้างประวัติศาสตร์ อยู่ในปรากฏการณ์ของเจนนี่”
{“ธันยวัชร์”กูรูด้านการตลาด}
** รู้สึกเหมือน “เพื่อน” จนอยากหนุน **
จุดสำคัญอีกจุดที่ทำให้เจนนี่ สามารถสร้างปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้ในแบบที่ “ยอดขายถล่มทลาย” นั้น กูรูการตลาดรายเดิมรายนี้มองว่า คือ “เทคนิคการไลฟ์” ที่ต่างจากการไลฟ์ขายของทั่วไป
“กรณีของเจนนี่เนี่ย มันเหมือนกับเป็นซิตคอม เรียลลิตี้โชว์ ใช่ปะ ซิตคอมคือดูแล้วมันสนุก”
ถ้าเป็นศัพท์ทางการตลาดจะเรียกว่า “Shoppertainment” คือกลยุทธ์ทางการตลาด ที่ผสานการ “ชอปปิง” เข้ากับ “ความบันเทิง” โดยใช้ความสนุกสนาน ดึงคนดูอยู่ในไลฟ์อยู่กับสินค้าให้ได้นานที่สุด
“แล้วคนบอกสนุกดีว่ะ กดซื้อกันใหญ่ กดเอฟกันใหญ่”
แต่เทคนิคที่ว่านี้ ก็ถือว่ามี “ความเสี่ยง” เพราะคนกว่า 20% มักจะ “ยกเลิก” หลังจากกดเอฟของไปแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เลือกวิธี “เก็บเงินปลายทาง” เนื่องจากในตอนที่เอฟ “คนซื้อด้วยอารมณ์”
“แต่พอเราออกมาจากไลฟ์แล้วเนี่ย อ้าวตายห่า กูไม่ได้ต้องการนี่หว่า เลิก คนซื้อจ่ายเงินปลายทาง ยกเลิกไง”
ลองมองในมุมจิตวิทยาดูบ้าง “ดร.รพินท์ภัทร์ ยอดหล่อชัย” อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ที่ทำให้ไลฟ์นี้ติดตลาด น่าจะเพราะความเป็นกันเองแนว “เพื่อนบอกเพื่อน” มากกว่า
บวกกับคอนเทนต์ต่างๆ ที่เจนนี่เคยทำ เช่น การเล่าประวัติส่วนตัว ทั้งเรื่องบวกและเรื่องลบ มันทำให้ผู้คนรู้สึกได้ “สนิทกัน” มากขึ้นจนก่อให้เกิด “ความเชื่อใจ” จนสร้างปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “Parasocial Relationship”
คือความสัมพันธ์แบบที่เราคิดเอาเองว่า มีความผูกพันส่วนตัวกับเหล่าไอดอลคนดัง ทำให้อยากช่วย อยากอุดหนุน เหมือน “เพื่อน” ที่ต้องการ “ซัพพอร์ตเพื่อน”
สุดท้าย ช่องว่างระหว่าง “คนธรรมดา” กับ “ดารา” ก็ลดลง จนรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างได้ “ใกล้ชิดกัน” มากขึ้น เพราะเมื่อก่อนคนจะคิดว่า ดารารวยขนาดนั้น ไม่มีทางใช้สินค้าถูกๆ แบบที่ตัวเองโฆษณาในทีวีหรอก แต่ในโซเชียลฯ เดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่
แล้วพอมันเกิดภาพ “ยอดขาย” ทะลุหลักหลายร้อยล้าน มันก็ยิ่งไปกระตุ้นอาการ “ไม่อยากตกเทรนด์” ผลักให้ผู้คนรู้สึกว่า ของมันดี เราเองก็ต้องมีบ้าง ทั้งที่ความจริงแล้ว มันอาจ “ไม่จำเป็น” ต้องมีในตอนนี้เลยก็ได้
“การพูดคุยกับเพื่อนที่เข้ามาไลฟ์ด้วยกัน บรรยากาศมันเหมือน เพื่อนมาบอกต่อเพื่อน มันก็จะยิ่งทำให้คนรู้สึกว่า เขาจริงใจ เราจึงอยากจะช่วย อยากจะซัพพอร์ตเขา มันจะมีอารมณ์นี้มากขึ้น
มันใกล้กันมากขึ้น เช่น ฉันเป็นเหมือนเขาเลย ถ้าฉันใช้ของแบบเขา ฉันก็มีโอกาสที่จะสวยแบบเขา
เฮ้ย..เขาขายได้เยอะขนาดนี้ มันแปลว่าของเขาดีจริง เราต้องมีบ้าง มันกลับไปเรื่อง Fear of Missing Out เลยค่ะ ยอดขายมันสะท้อนจำนวนสินค้าถูกไหมคะ ก็ยิ่งรู้สึกว่า เฮ้ย..ฉันต้องมี แปลว่ามันดีขนาดนั้น”
{“ดร.รพินท์ภัทร์”นักจิตวิทยา จุฬาฯ}
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Instagram @janey_suwannaket, Facebook “รัชนก สุวรรณเกตุ”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **