ไม่ใช่แค่“ป้ายบอกทาง” ไป“เซ็นทรัล เวสต์เกต” เท่านั้น ที่ชวนงง จนพาไปหลงไกลถึง“เมืองกาญจน์” จนกลายเป็นไวรัลว่อนโซเชียลฯ แต่ยังมีถึง“4 จุด” ใหญ่ๆ ที่คนใช้รถใช้ถนน พูดเป็นเสียงเดียวว่า ทำหน้าที่“ป้ายหลงทาง”มากกว่า“ป้ายบอกทาง” จนต้องหยิบมาเป็น“พิกัดสะท้อนปัญหา” การวางป้ายอินไทยแลนด์
** ถนนปราบเซียน เลี้ยวผิด-ชีวิตเปลี่ยน **
เป็นที่รู้กันดีว่า ถนนกรุงเทพฯ “ขับยาก”ถ้าไม่ชิน มีสิทธิ์ “หลง”สูง ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจาก “ป้ายบอกทาง”ไม่ชัดเจนและนี่คือ “เส้นทางปราบเซียน” ที่หลายบอกตรงกันว่า ถ้าไม่ตั้งสติ ก่อนสตาร์ท แล้วขับผ่านจุดนี้ รับรอง มีหลงแน่นอน!!
จุดที่ 1 “ถ.รัตนาธิเบศร์” บริเวณบางใหญ่ ตรงข้าม “เซ็นทรัล เวสต์เกต”
นี่คือถนนที่เพิ่งกลายเป็นดรามาไปหมาดๆ เมื่ออินฟลูฯ ดัง อย่าง “เฉียง” วรฉัตร ธำรงวรางกูร แอดมินเพจ “เฉียง ไปอยู่ไหนมา” เลี้ยวผิด
จากตั้งใจจะไป “เซ็นทรัล เวสต์เกต”เขาเลยต้องรับบท“คนหลงทาง” เพราะ Google Maps พาขึ้นทางด่วน “M81” จนไปโผล่ “กาญจนบุรี”
{“ถ.รัตนาธิเบศร์” ตรงข้าม “เซ็นทรัลเวสต์เกต” พาหลงขึ้น “M81”}
ส่วนปัญหาของจุดนี้ก็คือตัวป้ายที่บอก “จุดกลับรถ”เอาไว้ไม่ชัดเจน บวกกับปัญหาจากตัวแอปฯ นำทางที่ “ไม่อัปเดต” จนบอกทางผิด แนะให้วิ่ง “เลนขวา” ซึ่งเป็นทางขึ้นไป “มอเตอร์เวย์สาย M81” รู้ตัวอีกทีก็อยู่บนทางด่วนแล้ว
ซึ่งล่าสุด ทาง “กรมทางหลวง” ได้ลุกขึ้นมาแก้ไข โดยการเพิ่ม“ป้ายจุดกลับรถ”เพื่อให้คนที่ต้องการไป "เซ็นทรัล เวสต์เกต" ไม่ต้อง “เลี้ยวผิด”อีก
{กรมทางหลวง เพิ่ม "ป้ายกลับรถ" กันคนหลงขึ้น M81}
จุดที่ 2“5 แยกลาดพร้าว”
ถนนที่คนขับขี่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคือ “แยกปราบเซียน” เพราะมีถนนถึง “5 เส้น” มาตัดกัน คือ ถ.พหลโยธิน ขาเข้าเมือง,ถ.พหลโยธิน ขาออกเมือง, ถ.ลาดพร้าว, ถ.วิภาวดีรังสิตและถ.เชื่อมทางด่วนนอกจากนั้น ยังมี “ทางขึ้น”และ “ทางลง” ของ “ทางด่วน”อีกหลายสาย
ทำให้ถนนทุกสาย มารวมตัวเพื่อพันกันยุ่งในจุดเดียว ส่วนสาเหตุที่ทำให้จุดนี้มีปัญหา เป็นเพราะตัวป้ายเองที่สร้างความงง ทั้ง “ป้ายถนนหลัก-ทางด่วน”และ “ป้ายยูเทิร์น”
แถมตัวป้ายบางอันอยู่บนสะพาน บางอันอยู่ใต้สะพาน ทำให้คนขับขี่ส่วนใหญ่ “มองไม่เห็น” แล้วเข้าผิดเลน-เลี้ยวผิดทางกันตลอด
ซ้ำเติมด้วยการที่ตัวถนนเอง มีการ “ตีเส้นทึบ” ในบางจุด หมายความว่าถ้าเข้า “ผิดเลน” แล้วพยายามเลี้ยวเปลี่ยนเลน ตัดเส้นทึบที่วาดไว้ ก็เตรียมเงินไว้จ่ายค่าปรับได้เลย
จุดที่ 3 “วงเวียนคู้บอน”
สุดยอดวงเวียนสุดแปลก ที่แม้แต่คนพื้นที่เองยังขับหลง เพราะ “วงเวียนคดเคี้ยว” ไม่ต่างจากงู แถมยังเชื่อมต่อถนนหลายสายมากๆ
ทั้ง ถ.คู้บอน, ถ.จตุโชติ, ถ.เลียบคลอง 2, ถ.หทัยราษฎร์ และ ถ.พระยาสุเรนทร์ แต่สุดท้าย “ป้ายบอกทาง”กลับไม่ชัดเจน ทำให้เวลาขับรถ ถ้าไม่มองป้ายเอาไว้ดีๆ รับรองว่าหาทางออกไม่เจอแน่นอน
{“วงเวียนคู้บอน” คดเคี้ยวมาก ไม่ต่างจากงู}
และ จุดที่ 4 “ถนนวิภาวดี-รังสิต” ตรงข้าม ม.เกษตร ก่อนถึง “ทางเบี่ยงไปแคราย”
จุดนี้ถึงไม่ได้ทำให้ใครหลง แต่ทำให้ต้อง “เสียตังค์” คือไม่ว่าใครที่จะไป ม.เกษตร แต่ไม่ชินทาง วิ่งเกาะเลนซ้ายไปตลอดทาง เป็นต้องโดนทุกรายไป
เพราะจู่ๆ เลนซ้ายจะกลายเป็น “เส้นทึบ” พร้อมป้ายที่เขียนให้เห็นจากระยะไกลๆ ว่า “ซ้ายเข้าไปแคราย” และ “ม.เกษตร ไปเลนกลาง”
แต่กว่าจะถึงจุดที่อ่านแล้วจับใจความได้ ก็เจอเข้ากับ “เส้นทึบ”ห้ามเปลี่ยนเลน ไม่อย่างนั้นก็เตรียมถูกใบสั่ง จากเจ้าหน้าที่ “ตำรวจ”ที่รอโบกอยู่ใกล้ๆ ได้เลย
{“ถ.วิภาวดี-รังสิต” ทางเบี่ยงเข้าแคราย ต้องอ่านป้ายดีๆ}
จริงๆ แล้วยังมีถนนอีกหลายเส้นในกรุงเทพฯ ที่ป้ายพางง ถนนชวนสับสน และบางครั้งก็สร้างเรื่องราวใหญ่โต ที่ไม่ใช่แค่ทำให้เสียเวลา หรือเสียเงินอย่างเดียว
เพราะบางครั้งก็หนักไปถึงขั้น “เสียชีวิต” อย่างกรณีเมื่อปีที่แล้ว ที่ “ทางด่วนฉลองรัช” เกิดเคสรถยนต์ “ตกทางด่วน” มีผู้เสียชีวิต 1 ราย
เหตุเพราะรถยนต์คันนั้น เร่งเครื่อง “แซง” รถคันหน้า โดยไม่รู้ว่าด้านหน้าเป็น “ทางแยกตัววาย” เนื่องจากป้ายบอกทาง “อยู่ไกลเกินไป” ทำให้รถคันดังกล่าวชนที่กั้นทางแยก แล้วเหินตกลงมาด้านล่างทางด่วน
** ป้ายบอก “กระชั้นชิด” จนไม่เหลือ “โอกาสแก้ตัว” **
ต้องยอมรับอย่างนึงว่า “ป้ายบอกทาง” มันไม่เคยทำให้ชีวิตบนท้องถนนของคนไทยง่ายขึ้นเลย แถมหลายครั้งยังเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุด้วยซ้ำ เพราะป้ายที่แจ้งกระชั้นชิด จนทำให้คนขับขี่ต้องเปลี่ยนเลนกะทันหัน
กูรูด้านความปลอดภัยบนท้องถนน อย่าง “นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์” ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย (ศวปถ.) วิเคราะห์ปัญหานี้ให้ฟัง
โดยเน้นไปที่ประเด็นที่ว่า เป็นเพราะถนนในตัวเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซับซ้อน จนทำป้ายบอกล่วงหน้าได้ไม่เพียงพอเท่าที่ควร
เพราะตามหลักการของ “ถนนที่ดี” แล้ว ต้องเป็น “Self Explaining Roads” หรือ “ถนนที่อธิบายตัวเองได้” คือมีทั้ง “ป้ายบอกทาง”, “สัญลักษณ์” และ “มาร์คกิ้ง” บนพื้นถนนต่าง ทำหน้าที่สื่อสารให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
ที่สำคัญ ป้ายต่างๆ ต้อง “แจ้งตั้งแต่เนิ่นๆ” เป็นสเต็ปไล่เลียงกันไป ตามระยะทางที่ควรจะเป็น เช่น ถ้าป้ายบอกว่า ด้านหน้าไป “กรุงเทพฯ” วิ่งสักระยะ ก็จะมีป้ายแจ้งต่อว่า กรุงเทพฯ ให้เบี่ยงไปเลนซ้าย พอใกล้ทางเลี้ยว ก็แจ้งอีกทีว่า กรุงเทพฯ ไปทางซ้าย
นี่คือตัวอย่างคอนเฟิร์มว่า ป้ายบอกทางต้อง “แจ้งเป็นระยะ” อาจจะทุก 1 กม.ก่อนถึงจุดเลี้ยว, ถัดมาคือ 500 ม. และ 200 ม.ก่อนถึงจุดเลี้ยว เพราะคนเราเวลาขับรถ ต้องการสิ่งที่เรียกว่า “Reaction Time” หรือระยะเวลาในการตัดสินใจ
“เวลาเราอยู่บนถนนเนี่ย สิ่งที่เราต้องการรู้ หรือการคาดการณ์ ถ้าเราจะไปข้างหน้า หรืออาจจะเลี้ยวซ้ายเข้าไป หรือจะเลี้ยวขวา เราต้องเข้าช่องไหน
สมมติเราไม่ได้อ่านป้ายแรก มันก็จะมีป้ายที่ 2 ให้รู้นะว่า เราต้องเข้าซ้าย คือมันต้องแจ้งเนิ่นๆ แล้วก็แจ้งเป็นขั้นเป็นตอน มันต้องทำให้คนรู้ว่า จังหวะนี้ต้องลดความเร็ว ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เขาจะตัดสินใจยังไง”
ส่วนปัญหาป้ายบอกทางกระชั้นชิด หรือแจ้งไม่กี่ครั้ง จนทำให้เกิดปัญหาอย่างที่เป็นข่าว กลายเป็นประเด็นร้อนวิจารณ์ในวงกว้างนั้น กูรูวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะถนนในเมืองอย่าง “กรุงเทพฯ”มีความซับซ้อน
พื้นที่ถนนหนาแน่น และตัดถนนทับกันไปมา จนไม่เหลือพื้นที่พอ ที่จะทำป้ายบอกทางเป็นระยะๆ ได้ ทำให้คนขับขี่ได้เห็นป้ายบอกทางแค่ 1-2 จุด แล้วสักพักก็ถึงจุด “บังคับเปลี่ยนเลน” เลย
ส่งผลให้ป้ายบอกทางส่วนใหญ่ แทบไม่เหลือพื้นที่สำหรับ “ความผิดพลาด” ดังนั้น ต่อให้ออกแบบถนนดีแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมี “คนหลง” เพราะป้ายบอกทางที่มีน้อยเกินไป
ต่างจาก “ถนนนอกเมือง” หรือ “ถนนวิ่งข้ามจังหวัด”ที่จะไม่ค่อยเจอปัญหาเหล่านี้ เพราะเหลือพื้นที่ถนนมากพอ ที่จะติดป้ายบอกทางเป็นระยะๆ ตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
“คีย์สำคัญมันคือ ต้องยอมรับก่อนว่า คนผิดพลาดได้ คือเราออกแบบดียังไง คนก็ผิดพลาดได้”
{“นพ.ธนะพงศ์” ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน}
ประเด็นคือพอขับรถหลงแล้ว จะออกแบบ “จุดกลับรถ” ให้เขาแก้ตัวได้ยังไงให้เหมาะสม แต่อย่างที่บอก พื้นที่ในกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่หนาแน่นมากๆ
ดังนั้น การทำจุดกลับรถจึงทำได้ยาก จนกลายเป็นเมืองที่ไม่เหมาะกับ “คนไม่ชินทาง” เพราะเลี้ยวผิดนิดเดียวชีวิตจะเปลี่ยนแบบหาทางกลับไม่เจอ ต้องวิ่งไปอีกยาว
สุดท้าย พอ “ป้ายบอกทาง” พึ่งพาได้ไม่ดีพอ ผู้คนเลยหันหน้ามาพึ่ง “GPS นำทาง” บนแอปฯ ต่างๆ เป็นหลัก แต่ก็ดันมาเจอกับปัญหาแบบไทยๆ อีกสารพัด ทั้ง “ซ่อมแซม-ก่อสร้าง-ปิดถนน” ทำให้เส้นทางถูกเปลี่ยนตลอดเวลา
จนกลายเป็นจุดบอดเพิ่มอีกจุดคือ มีคนประสบอุบัติเหตุ เพราะขับรถตาม GPS ทั้งที่ไม่รู้ว่าทางข้างหน้ามีการเปลี่ยนแปลง
นี่คือประเด็นสำคัญ ที่ต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง “กรมทางหลวง” “กรมทางหลวงชนบท” และ “องค์กรปกครองท้องถิ่น” ต้องเข้ามาดูว่า จะทำยังไงให้การก่อสร้าง หรือเปลี่ยนแปลงถนนทุกครั้ง มีการอัปเดตในแอปฯ นำทางได้ด้วย
“ผมว่าข้อเสนอก็คือ ทำยังไงให้คนที่ดูแลถนน ไม่ว่าทางหลวง ทางหลวงชนบท หรือท้องถิ่น เมื่อไหร่ก็ตามที่มันมีการเปลี่ยนแปลง เช่น คุณกำลังก่อสร้าง คุณกำลังเปลี่ยนช่องทาง คุณกำลังปิดเส้นทาง
มันควรจะเป็นการแจ้งให้แพลตฟอร์มรับรู้ เพราะทุกวันนี้ ประชาชนเขาเดินทางด้วยแพลตฟอร์ม ด้วย GPS”
ดูโพสต์นี้บน Instagram
...ยังมีถึง "4 จุด" ใหญ่ๆ ที่คนใช้รถใช้ถนน พูดเป็นเสียงเดียวว่า ทำหน้าที่ "ป้ายหลงทาง" มากกว่า "ป้ายบอกทาง" จนต้องหยิบมาเป็น "พิกัดสะท้อนปัญหา" การวางป้ายอินไทยแลนด์...
.#ป้ายบอกทาง #กรมทางหลวง #CentralWestgate
.
ไม่ใช่แค่ "ป้ายบอกทาง" ไป "เซ็นทรัล เวสต์เกต" เท่านั้น ที่ชวนงง… pic.twitter.com/kNpGpPkU5M— LIVE Style (@livestyletweet) October 11, 2025
@livestyle.official ...ยังมีถึง "4 จุด" ใหญ่ๆ ที่คนใช้รถใช้ถนน พูดเป็นเสียงเดียวว่า ทำหน้าที่ "ป้ายหลงทาง" มากกว่า "ป้ายบอกทาง" จนต้องหยิบมาเป็น "พิกัดสะท้อนปัญหา" การวางป้ายอินไทยแลนด์ @roadsafetyth @paiyoonaima... . ไม่ใช่แค่ "ป้ายบอกทาง" ไป "เซ็นทรัล เวสต์เกต" เท่านั้น ที่ชวนงง จนพาไปหลงไกลถึง "เมืองกาญจน์" จนกลายเป็นไวรัลว่อนโซเชียลฯ . #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #ข่าวTikTok #TikTokCommunityTH #ป้ายบอกทาง #ป้ายสัญญาณจราจร #ป้ายจราจร #เลี้ยวผิดชีวิตเปลี่ยน #เลี้ยวผิด #หลงทาง #ป้ายผิด #กรมทางหลวง #กรมทางหลวงชนบท #ทางด่วน #ขับขี่ปลอดภัย #GoogleMap #CentralWestgate #เซ็นทรัลเวสต์เกต #บางใหญ่ #GPS ♬ เสียงต้นฉบับ - LIVE Style
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “ตะลอน ทั่วกรุง”, “Poom Hongfa”, “Audchariya Aud Issaranuwat”, X @prdoh1, YouTube “ป้อม ประนอม”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **