xs
xsm
sm
md
lg

เปิดแผลมาฮีลใจ จาก “ติดยา-ท้องวัยเรียน-คิดสั้น” สู่ “ครีเอเตอร์สายธรรม” ยอดหลักแสน [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดเส้นทางพลิกชีวิต จากอดีตเด็กมีปัญหา ไม่เคยอินทางธรรม ใช้ชีวิตสุดโต่ง ตั้งแต่หนีออกจากบ้าน ติดยา ท้องวัยเรียน หนักไปถึงขั้นคิดสั้น ก่อนค้นพบว่าทางออกของชีวิต ไม่ใช่ความตาย แต่คือ “ธรรมะ”





เชื่อว่าธรรมะเป็นเรื่องของคนทุกวัย

สิ่งที่ทําให้เรารู้สึก amazing คําสอนพระพุทธเจ้า มีผลกับนิสัยของเราขนาดนี้เลยเหรอ เราเป็นคนใช้อารมณ์มาทั้งชีวิต อยู่ๆ เราเป็นคนมีเหตุมีผล แล้วทําให้ความสัมพันธ์ในครั้งนั้น แทนที่มันจะทะเลาะกันหนักมากๆ มันกลับเข้าใจกันมากขึ้น เพราะคําสอนพระพุทธเจ้า เราก็เลยรู้สึกศรัทธามากๆ

“วนิ-วนิดา บุญประเสริฐ” อายุ 27 ปี เจ้าของแฟนเพจและช่อง TikTok “วนิเปิดแผล” หรือเป็นที่รู้จักในชื่อเดิมว่า “วนิ อินพุทธ” ที่มีผู้ติดตามหลักแสน

จากเด็กไม่อินธรรมะ เคยใช้ชีวิตสุดโต่งวิ่งตามหาความสุขอยู่ตลอดเวลา สู่การเป็น Content Creatorที่เชื่อว่าธรรมะเป็นเรื่องของคนทุกวัย

ใช้โซเชียลฯ ออกมาเล่าประสบการณ์บาดแผลตัวเอง เล่าแบบย่อยง่าย โดยให้ธรรมะเป็น Topic ให้กลุ่มวัยรุ่นไ ด้พูดคุยกันอย่างมีแง่คิด

จุดเริ่มต้นของการทำช่อง เริ่มจากความตั้งใจที่อยากเผยแพร่คำสอนศาสนา และเอาไปใช้กับตัวเองแล้วเห็นผล จึงอยากมาเล่าต่อ

ปัจจุบันเธอนิยามตัวเองว่า เป็นคนทำงานด้าน “Spiritual Health” หรือที่เรียกว่า “สุขภาพของจิตวิญญาณ” ด้วยการเป็นผู้จัดอบรม วิทยากร และสร้างค่ายพัฒนาจิตใจคน และค่ายปั้น Content Creator สาย Spiritual Health โดยให้คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นพาร์ทนึงในชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต




“ด้วยความที่เราเคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน แล้วพอชีวิตมันพลิกมาเจอทางธรรม มันพลิกมาเจอครูบาอาจารย์ มาเจอผู้ที่ชี้เส้นทางให้กับเราที่จะกลับมาเรียนรู้ตัวเอง

เรื่องของแฟนที่เราเคยมีปัญหากับเขามาตลอดเป็นอะไรไม่รู้ชอบด่ามีความกดข่มแฟน ให้ตัวเองอยู่เหนือกว่าเขา แล้วแฟนต้องยอมเราทุกๆ ครั้ง


เราสั่งสมสันดานเหล่านี้มาเยอะมาก ตลอดทั้งชีวิต 20 กว่าปี ในวันนี้มันก็เป็นปกติมาก ที่เราจะต้องมารับผลของสันดานตัวเอง  ที่เราเคยกระทํามา เราก็เลยต้องมานั่งทุกข์อยู่ ตอนนี้มันก็เลยทําให้เราเห็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่แฟนเรา ที่ทําให้เราทุกข์แต่มันคือตัวเราเอง ที่เราเคยกระทําสันดานเหล่านี้มา


ฉันถูกเสมอมาทั้งชีวิต แต่เขาผิด ทุกคนผิด แม่ผิด เพื่อนผิด ทุกคนผิดหมดเลย แต่วันนั้น เราเห็นว่าเราก็มีส่วน ถ้างั้นเราก็เลยไปคุยกับเขาว่า เราเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทําไม เธอถึงไม่เลือกที่จะพูดกับเราตรงๆ เรารู้แล้วมันมาจากนิสัยเรา ครั้งหน้าเราจะพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขนิสัยตรงนี้ เราจะรับฟังเธอให้มากขึ้น เขาก็เลยอึ้งไปเลยตกใจเราไม่เคยเป็นแบบนี้”


การหันมาใช้ธรรมะบำบัดจิตใจ เธอบอกว่าส่วนนึงมาจากการปลูกฝังจากแม่ตั้งแต่เด็กๆ เริ่มจากแม่พาเดินสายบุญตั้งแต่เด็ก เดินสายสร้างพระองค์ใหญ่ นั่งสมาธิ สวดมนต์ เข้าวัดฟังพระเทศน์ แม้กระทั่งไปรำบวงสรวง ก็เคยทำมาแล้ว

แต่ตอนนั้นรู้สึกว่า ยังไม่อิน แค่ทำตามที่แม่บอก ให้มันจบๆ ไป และตอนนั้นไม่ได้รู้จักคําสอนของพระพุทธเจ้ารู้แค่เรื่องบุญกับเรื่องบาปและไม่รู้ว่าต้องหยิบตรงไหนมาใช้ได้ในชีวิต

“พอเราศรัทธาปุ๊บเราก็รู้สึกว่าคําสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องของคนแก่แล้ว ไม่ใช่เรื่องของผู้สูงอายุ ไม่ต้องรอแก่ แล้วเราค่อยไปเข้าวัดแล้ว มันสามารถเอามาใช้ได้ตั้งแต่วันนี้ ได้กับทุกวัย แล้วถ้าวัยรุ่นได้เอาไปใช้ เขาจะเจอความสัมพันธ์ทั้งครอบครัว ทั้งเรื่องแฟน ทั้งเรื่องเพื่อน ทั้งเรื่องงาน และทุกๆ เรื่องในชีวิตของเขา มันจะดีขึ้นแน่นอน

เพราะตัววนิมองว่า ขนาดตอนนั้นปฏิบัติได้แค่ 3 เดือน ในตอนแรกมันยังเห็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนี้แล้วถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อยๆ ล่ะ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดไหน เราจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองขนาดไหน

เราก็เลยอยากให้วัยรุ่น ได้รับความรู้สึก หรือโมเมนต์นี้ด้วยเหมือนกันก็เลยตั้งปณิธานงั้นฉันจะช่วยให้วัยรุ่นได้เปิดใจ กับคําสอนของพระพุทธเจ้า”


หนีออกจากบ้านไปเร่ร่อน จนติดยา

กว่าจะหันหน้าสู่ทางธรรม และใช้ชีวิตให้ตัวเองมีความสุขได้วันนี้ เธอก็เติบโตมาจาก“บาดแผล”ของตัวเองอย่างเจ็บปวดและทุกแผล ให้การเรียนรู้กับเธอเสมอ

เคยหนีออกจากบ้านทะเลาะกับแม่เรื่องผู้ชาย เพราะอยากหนีออกไปอยู่ข้างนอกกับแฟน แม้ตอนแรกแม่จะไม่ยอม แต่เธอก็แอบปีนกําแพงหนีเที่ยวตอนกลางคืน กลับบ้านตี 5 เกือบทุกวัน

จนแม่ต้องยอม แต่ตกลงกันว่า ถ้าออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว อย่าทิ้งการเรียนแต่พอออกไปจริงๆ ก็ไม่ได้ไปเรียนตามที่สัญญากับแม่ไว้ ขณะเดียวกันแม่ก็พยายามตามหา แต่เธอก็พยายามหลบเลี่ยง เพื่อไม่ให้แม่เจอหนำซ้ำยังติดยา

“เคยเป็นเด็กเรียน เป็นเด็กทุน เป็นเด็กมารยาท เป็นเด็กศิลป์ สอบได้ที่ 1 ของห้อง แล้วอยู่ๆ ก็พลิกผันตัวเอง ไปเป็นเด็กเกเร ไปเป็นเด็กที่ออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 13 ย่าง 14 ออกจากโรงเรียน เพราะว่าตบกับเพื่อนที่โรงเรียน แล้วก็คุณครูจะทําโทษ ก็เลยไม่ไปซะเลย

แล้วก็ไปอยู่กับผู้ชาย เราคบกับผู้ชายได้แค่เดือนเดียว เราก็กลายเป็นเด็กเร่ร่อน นอนข้างถนน กลายเป็นคนที่คอยขอเศษเงินคนอื่นกิน มีแก๊งวัยรุ่น ที่ออกจากบ้านเหมือนกัน ที่อยู่ข้างถนนเหมือนกัน มารวมตัวกัน ช่วยกันหาตังค์ ในรูปแบบของตัวเอง

วนิก็ไปขอเศษเงินเด็กร้านเกม บางคนไปขายบริการพัทยา ได้เงินมา 500 ก็เอาเงินมาซื้อข้าวกิน มาเปิดห้องอยู่ แล้วก็อยู่ด้วยกันเป็นแก๊ง เป็นสิบๆ คน ตอนนั้นเราก็จะมีการเสพยาเสพติด ยาไอซ์ ดมเค กัญชา ยาอี เหล้า บุหรี่ คือทุกอย่าง คือตอนนั้นลองหมดเลยนะคะ”


หนีออกจากบ้าน เพื่อไปลองใช้ชีวิตข้างนอกได้แค่ 4 เดือน ก็ตัดสินใจหันหน้ากลับมาบ้าน เพราะต้องเจอกับ เหตุการณ์ที่เลวร้ายสารพัดอย่าง แม้กระทั่งเคยโดนฉุด ไปล่วงละเมิดทางเพศ

“แล้วผู้หญิงที่อายุ 13-14 ตอนนั้นที่ออกจากบ้าน แน่นอนว่าเราก็จะต้องโดนล่วงละเมิดทางเพศ เพราะว่าเรายังเด็กมากๆ วนิเดินข้างถนนตอนกลางคืน แล้วมีผู้ชายขับมอเตอร์ไซค์มาฉุด แล้วก็เอาไปล่วงละเมิดทางเพศ แล้วก็ชิงทรัพย์ ตอนนั้นเรามีโทรศัพท์แค่เครื่องเดียว


เขาก็เอาโทรศัพท์เราไป แล้วเขาก็ปล่อยเราทิ้งไว้ข้างทางเหมือนเดิม นั่นคือสิ่งที่เคยเจอ รวมถึงเหตุการณ์อื่น เช่น ตอนนั้นเราแค่ 14 ปี แต่มีผู้ชายวัย 30 มาข่มขืนก็มี คือเราโดนเยอะมากๆ ค่ะในตอนนั้น”


พอตัดสินใจออกมาอยู่ข้างนอกได้4เดือนจนรู้สึกว่าไม่ใช่เส้นทางชีวิตที่ดี ที่อยากจะเป็น เธอก็ตัดสินใจกลับเข้าบ้าน แต่กลับเข้าบ้านไปพร้อมกับโรคทางผิวหนังมีตุ่มเต็มตัวพอรักษาตัวหายดี ก็ออกไปทำงานกลางคืนอีกครั้ง

“พอเราเข้าบ้านได้ปุ๊บ เราก็ออกไปทํางานข้างนอก เพราะว่าตอนนั้นออกจากโรงเรียนแล้ว ไปทํางานกลางคืน เป็นโคโยตี้ เป็นพีอาร์ เป็นเด็กเอ็นเตอร์เทน”

และอีกจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำทำให้จากเด็กเรียนเก่ง หันมาเกเร สิ่งนึงที่เป็นปมในใจเลยก็คือน้อยใจแม่ว่าทำดีก็ไม่โดนชม บวกกับอยากไปเรียนรู้โลกกว้างด้วยตัวเอง จนตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ขอไปใช้ชีวิตแบบไม่มีแม่

“ตอนนั้นเราแค่อยากเรียนรู้โลก อยากรู้จักสังคม อยากรู้ว่าโลกข้างนอกมันเป็นยังไง เพราะว่าเราเป็นแบบเด็กเรียนมาก่อน มีความคิดของตัวเองสูง ใครจะมาบังคับฉันไม่ได้ ถ้าฉันจะดี ฉันก็จะดีได้ด้วยตัวฉันเอง

แต่ว่ามันจะมีฟีลน้อยใจครอบครัว ว่าเราดีขนาดนี้แล้ว ทําไมเขาถึงไม่ชมเราเหมือนแม่คนอื่นบ้าง เคยเห็นว่าแม่คนอื่น ลูกได้เกรดดีๆ เดี๋ยวแม่จะซื้อนั่นซื้อนี่ให้นะ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่า เราเคยได้เกรด 4.00 แล้ว เคยได้เกรด 3.70 ทําไมแม่แม้แต่ชมก็ไม่เคย เราก็เลยรู้สึกน้อยใจครอบครัวของเรามากๆ ว่าเราเก่งกว่าเด็กคนอื่น แต่ทําไมเราไม่เคยได้รับในสิ่งเหล่านี้”


จนเธอก็เพิ่งได้คำตอบปมในใจเรื่องนี้ เมื่อเดือนที่แล้วเองที่เปิดใจคุยกับแม่ตรงๆ ซึ่งแม่ก็ตอบว่า ทำแบบนั้นเพราะอยากให้ลูกเข้มแข็งเหมือนตัวเอง

“แม่เป็นคนที่เติบโตมาด้วยการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ได้มีใครมาเชยชมเขา เพราะเขาไม่ได้มีพ่อไม่มีแม่ คือเขาเติบโตมาจากการโดนดุโดนด่า คุณค่าของการที่การโดนดุด่านั่นแหละ ที่ทําให้เขาเข้มแข็ง ซึ่งเขาก็เลยใช้วิธีแบบที่เขาเคยถูกเลี้ยงดูมา มาใช้เลี้ยงดูกับเราเหมือนกัน

ถ้าสมมติว่าเราไม่ได้รับคําชม ไม่ได้รับกําลังใจ เราจะรู้สึกว่าเราไม่มีคุณค่า ก็เลยจะพยายามไปตามหาคุณค่าที่อื่น ข้างนอก กับแฟนของเรา หรือกับเพื่อนของเรา เพื่อให้เรารู้สึกว่าเรามีคุณค่าในสายตาเขานะ

แต่จริงๆ แม่เขาไม่ได้ตั้งใจ จะให้เรารู้สึกแบบนั้น เขาแค่ใช้วิธีการสอนเราแบบนั้นเฉยๆ ก็เข้าใจแม่ ทุกวันนี้ไม่ได้น้อยใจเรื่องนี้ แต่เมื่อก่อนน้อยใจมากค่ะ”


ท้องวัยเรียน ซึมเศร้า ขอจบชีวิตตัวเอง

หลังจากออกไปใช้ชีวิตตามที่ใจต้องการ จนพออายุ 17 เธอก็ตั้งท้องไม่มีพ่อ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกแตกสลายมากๆ เพราะยอมรับว่าช็อก และตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะเลี้ยงลูกได้ดีแค่ไหน เพียงแต่ตั้งใจว่า จะพยายามเลี้ยงเขาให้ดีที่สุดจนตอนนี้เธอก็เลี้ยงลูกสาวตัวเองให้เติบโตมาอย่างดี จนเข้าสู่วัย 8 ขวบแล้ว

“ตอนอายุ 17 ปี เราก็ท้องไม่มีพ่อ เพราะว่าเลิกกับแฟนก็เลยกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวช่วงแรกเราก็อยู่เลี้ยงลูก แต่พออยู่ไปเรื่อยๆเริ่มมีปัญหาเรื่องเงิน เราก็เลยออกไปทํางานกลางคืนอีกรอบนึง

ก็เป็นเด็กเอนเตอร์เทนทําทุกอย่างที่ได้เงินเมื่อก่อนเราหาเงิน เพราะว่าเราเอามาบําเรอตัวเอง แต่พอเรามีลูกเราต้องหาเงินมาเพื่อส่งให้ครอบครัวเป้าหมายมันเลยไม่เหมือนกันความทะเยอทะยานในการหาเงินตอนนั้นเราทําหมดที่ได้เงินเยอะ

มันเลยทําให้เราทุกข์มากๆ เพราะว่าด้วยความเป็นผู้หญิงกลางคืนก็จะเจอทั้งลูกค้าที่ดี และลูกค้าที่พูดจาด้อยค่าเราหรือมีการประพฤติที่ไม่ดีกับเราเราเลยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เราก็ด้อยค่าตัวเอง แล้วเราก็ทุกข์มากๆ

เคยเป็นเด็กเรียนเก่งเคยเป็นตัวท็อปของโรงเรียน เป็นเด็กทุนที่ได้ที่ 5 ของโรงเรียนทําไมวันนี้เราถึงมาอยู่จุดนี้ได้มาแบบเป็นผู้หญิง ที่ให้คนอื่นมาด้อยค่า”

จากเด็กเก่ง ตัวท็อปของโรงเรียนตัดสินใจทำอาชีพผู้หญิงกลางคืน เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว และพร้อมทำทุกอย่างที่ได้เงินจนกลายเป็นคนซึมเศร้า รู้สึกตัวเองไร้ค่า จนคิดอยากจบชีวิตตัวเองลง

“มันก็เลยเกิดภาวะตกหลุมดํา ภาวะอยากฆ่าตัวตาย ภาวะตกหลุมดําคือ คนที่มีภาวะซึมเศร้ามันจะรู้สึกเหมือนโลกมันมืดไปหมดจมอยู่กับอารมณ์รู้สึกว่าใครก็ช่วยฉันไม่ได้ ฉันก็ช่วยตัวเองไม่ได้ และไม่มีใครช่วยฉันได้แล้วโทษทุกอย่าง โทษฟ้า โทษโชคชะตา โทษสังคม รู้สึกว่าตายไปซะดีกว่า

เคยถึงขั้นไปยืนตรงระเบียงจะกระโดด ตอนนั้นเมาด้วย ก็คิดว่าถ้าเราโดดไป มันจะเป็นยังไง แต่คิดถึงหน้าแม่ คิดถึงหน้าลูกผุดขึ้นมา ว่าถ้าเราโดดไปแล้ว เราจะให้แม่มารับผิดชอบลูกของเราเหรอ มันไม่ได้ เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เรากระทําเหมือนกัน มันก็ยังมีสติอยู่ค่ะ”

 [ลูกสาววัย 8 ขวบ]
ตอนที่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ ยอมรับว่าช็อก เพราะตอนนั้นอายุแค่ 17 ปี รู้สึกว่าไม่อยากให้เกิดขึ้นแต่ถึงยังไงก็ยังไม่เคยคิดว่าจะเอาลูกออก

“สิ่งนึงที่หนูรู้สึกคือ ต่อให้เราจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ตาม เราจะไม่ฆ่าชีวิตคนๆนึงจะไม่พรากชีวิตคนนึง ที่เขามาอยู่ในท้องเราแล้ว เพราะมันคือการกระทําของเราเอง

ส่วนแม่เขาก็บอกว่าถ้าแบบมีแล้วก็ช่วยกันเลี้ยงเขาก็เข้าใจ เพราะว่าแม่วนิเขาเป็นแบบเด็กกําพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่เขาก็เติบโตมาด้วยการเผชิญโลกมาเยอะมากย้ายไปบ้านนั้นที ย้ายไปบ้านนี้ที แล้วก็ไปอยู่วัดบ้าง

แล้วพอเขามีลูก 2 คน คือวนิกับพี่สาวเขาก็กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอีก คือเขาเผชิญเรื่องอะไรแบบนี้มาเยอะมาก ฉะนั้นในวันที่วนิเผชิญคล้ายๆกันกับแม่ แม่เขาก็เข้าใจเราค่ะก็อยู่เคียงข้างเรา ซัพพอร์ตเรา ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าต้องทําแท้ง”


สำเร็จแต่ไม่มีความสุข “นิพพาน” คือสุขที่แท้จริง

จนอายุ 19 ย่าง 20 ปี เมื่อรู้สึกว่าชีวิตดำดิ่ง ขอลาออกจากงานกลางคืนสายดาร์กที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เปลี่ยนอาชีพไปเป็นบาริสต้า แม้จะเงินเดือนน้อย แต่ก็รู้สึกสบายหัว

และผันตัวเริ่มทำธุรกิจออนไลน์กับแฟนคนปัจจุบัน ด้วยการเปิดเพจสรุปหนังสือชื่อเพจ“นักอ่านมือสรุป”พร้อมกับคือขายหนังสือด้วย เป็นหนังสือเกี่ยวกับพลังจิตใต้สํานึก กฎแรงดึงดูด

ดูเหมือนว่าธุรกิจออนไลน์ที่ทำกับแฟน จะประสบความสำเร็จ แต่แม้จะประสบความสำเร็จไปได้ดี เธอก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อย

“ทบทวนชีวิตของตัวเองในอดีตที่ผ่านมา เราก็พยายามไขว่คว้ามาตลอด มันก็สำเร็จนะแต่ไอ้จุดที่มันสำเร็จมันก็ทุกข์เหมือนกัน เพราะว่ามันต้องการให้คนอื่นให้ความรัก ให้คนอื่นชื่นชมไปทํางานกลางคืนมันก็ได้เงินเยอะนะ แต่ทําไมมันก็ยังทุกข์อยู่”

เธอบอกว่า ความฝันในวัยเด็กคือ อยากเป็นดาราดัง แต่พอโตขึ้นก็รู้สึกว่า ทุกวันนี้ใครก็เป็นดาราได้ ในแบบของตัวเอง เป็นคนดังในแบบของตัวเองได้

ซึ่งในสายงานของเธอ ก็ต้องยอมรับว่า เธอมีชื่อเสียง และรู้จักในระดับนึงแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกว่า ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ว่าดังไม่ดัง แต่มันอยู่ที่ว่าเราเห็นคุณค่าในตัวเองไหม แค่นั้นมันก็สุขแล้ว

จนเธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วถ้าประสบความสำเร็จ แล้วมันยังไงต่อ จนเกิดคำถามในหัวว่าตายแล้วไปไหน จนมีคำนึงผุดขึ้นมาในหัวว่า “นิพพาน” คือความสุขที่แท้จริง

“มันมีจุดจบไหม ที่ไม่ใช่การตาย จุดจบที่มันไม่ใช่แค่ฆ่าตัวตาย มันก็เลยผุดคําตอบมาว่านิพพาน นิพพานคือทางออก นิพพานคือทางที่จะทําให้เราพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิด มันก็ผุดขึ้นมาแบบนี้เลยนะคะ

ก็เลยตั้งปณิธานขึ้นมาว่า ขอให้ได้เจอครูบาอาจารย์ ที่ชี้เส้นทางนี้ ให้กับเราอย่างถูกต้อง ซึ่งตอนนั้น วนิก็ไม่ได้คิดหรอก ว่าจะต้องเป็นพระ จะต้องเป็นศาสนาพุทธ คือวนิก็ไม่ได้อินอะไรขนาดนั้น มันแค่ว่ามีความเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป”


พอตั้งเป้าหมายว่า นิพพานคือทางออกที่ดีในชีวิต เธอก็เริ่มลองเข้าไปปฏิบัติ ตามค่ายต่างๆ เช่น ลองไปเข้าแก๊งพลังจักรวาลแม้กระทั่งสายพญานาคก็คิดอยากจะลองเข้าไปศึกษาแต่ก็ยังไม่ใช่ทาง

จนกระทั่งมีเพื่อนแนะนำให้รู้จักกับพระอาจารย์ท่านนึง ตอนแรกอาจจะไม่ได้อินมาก แต่พอนำปมในใจเรื่องแม่ ไปปรึกษา ที่ทำให้แม่ลูกไห้มาทั้งชีวิต เพื่อจะได้รู้สึกหลุดพ้นจากความรู้สึกผิดตรงนี้

“เราก็ไปปรึกษาพระอาจารย์ท่านก็สอนว่าเรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้วแต่จิตของเรามันยังดําดิ่งอยู่กับความรู้สึกที่เราเคยกระทําในอดีตแปลว่าอดีต จิตของเรามันเป็นอกุศลจิตของเรามันดํามืด

การกระทำมันถูกขับเคลื่อนด้วยจิตใจของเรา ถ้าจิตใจของเราคิดดี จิตใจของเรารู้สึกดีจิตที่เป็นกุศล มันก็ action คําพูดของเราที่เป็นกุศล การกระทําของเราที่เป็นกุศล ใจของเราที่เป็นอกุศลหมองมัว ขุ่นเคืองเราก็ action วาจาของเรา ด้วยความขุ่นเคืองใจ ด้วยการกระทําที่ขุ่นเคืองใจ หรือไม่ก็เป็นการกระทําที่รู้สึกผิด ด้อยค่าตัวเอง แล้วมันก็ไม่ได้เกิดความมั่นใจในตัวเอง

ก็เลยรู้สึกว่า อ๋อ..ที่ผ่านมาเราแก้ผิดจุดท่านก็เลยมาบอกว่า มาทําจิตให้เป็นกุศลก่อน เดี๋ยวข้างนอกมันจะง่ายเองรู้สึกตราบาปที่เรามีกับแม่มาทั้งชีวิตมันปลดล็อกอดีตก็เป็นเรื่องของอดีต ปัจจุบันฉันจะกระทําตัวให้ดี กระทําจิตให้ดี”


สิ่งที่พระอาจารย์แนะนำคือ ให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย ลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเธอบอกว่าถ้าแปลให้เข้าใจภาษาง่ายๆ ก็คือปัญญา ความจริง และความดี

ปัญญาในตัวเรา ที่พระพุทธเจ้าท่านมีปัญญาในการตรัสรู้ตรงนี้ เราก็มีเหมือนกัน เราก็สามารถสร้างได้เหมือนกัน เพราะถ้าเราไม่สามารถที่จะมีปัญญา ในการรู้ความจริง หรือเข้าใจตัวเองตรงนี้ได้ พระพุทธเจ้าท่านไม่มาสอนเราได้

ส่วนความจริงในที่นี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับกายกับใจของเรา เพราะคําว่าพระธรรม ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือในพระไตรปิฎกเท่านั้นหรือการฟังธรรมเท่านั้นแต่เป็นเพียงกระบวนการนึงของการเรียนรู้ ที่ทําให้เรากลับมาเรียนรู้ตัวเองซึ่งนั่นแปลว่า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราเรียนรู้ตัวเอง นั่นแปลว่าธรรมเกิดขึ้นในใจเราแล้ว

ยกตัวอย่างเคสของเพื่อนเธอเองที่เคยใช้วิธีการระลึกพระรัตนตรัย ที่ล่ามาข้างต้นจนหายจากซึมเศร้าภายใน3เดือนดังนั้นสิ่งสำคัญที่ทำให้เธอหลุดพ้นปมในอดีต สำคัญคือต้องเข้าใจเหตุแห่งทุกข์ว่ามาจากตัวเอง

“สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจ คือเราต้องเข้าใจอริยสัจ4เราต้องเข้าใจเหตุเข้าใจผล เราต้องรู้ว่าเหตุแห่งทุกข์ มันมาจากตรงไหน มันมาจากความไม่รู้ของเราเอง แต่ที่ผ่านมาเราไม่เข้าใจ เราคิดว่าเหตุแห่งทุกข์ของเรา มาจากแม่เรา มาจากพ่อเรา มาจากแฟนเรา มาจากเพื่อน เรามาจากครู มาจากคนรอบตัว มาจากสังคม เลยทําให้ฉันทุกข์

แต่ความจริงแล้ว ความไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักอารมณ์ของตัวเอง ที่มันเกิดขึ้นยึดอารมณ์ ยึดความโกรธ ยึดทุกอย่างเอาไว้เพ่งโทษว่าคนอื่นทําให้ฉันทุกข์นะ

สุดท้ายแล้วเราก็จะสั่งสมนิสัย สั่งสมสันดานของการเพ่งโทษแบบนี้ไปตลอดทั้งชีวิต แล้วคิดว่าเราจะสุขเหรอคะ ที่เราต้องเพ่งโทษคนอื่นว่าคนอื่นทําไม่ดีกับฉัน แล้วเป็นผู้ถูกกระทําทั้งชีวิตเราเป็นคนที่ทําร้ายตัวเอง”


เช่นเดียวกับเธอ ที่พาตัวเองออกมาจากหลุมดำในชีวิตได้ ด้วยเส้นทางเส้นทางพระนิพพาน ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือการรู้จักปล่อยวางทุกอย่าง

“วนิก็เลยรู้ว่าอ๋อ..นี่เหรอเส้นทางแห่งการดับทุกข์ เริ่มแรกมันคือการดับทุกข์ในชีวิตประจําวันของเราก่อนจนถึงวันนึง ที่เราละได้ทุกอย่างแล้ว ละความเป็นตัวของเราได้แล้ว ก็จะถึงพระนิพพาน

มันก็เลยทําให้เห็นโอกาสว่า เส้นทางพระนิพพานเดินแบบนี้นี่เอง มันก็เลยศรัทธาก็เลยรู้สึกว่าวัยรุ่นไม่ได้เชื่ออะไรง่ายๆ หรอก แต่ต้องพิสูจน์ ถ้าไม่พิสูจน์ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง”

ในเส้นทางใช้ชีวิตเธอยึดหลักอยู่ 3 องค์ประกอบ ก็คือ1.คือเพื่อพระนิพพานคือการว่างจากตัณหา ความยึดติด และทุกข์ทั้งปวง 2.คือเพื่อครอบครัวเรา 3.คือเพื่อช่วยเหลือคนบนโลกให้ได้พ้นทุกข์

และสิ่งสำคัญที่เธอยึดมั่นเสมอคือ ไม่ว่าอยู่บนสายงานไหนก็ตาม ยังไงก็ต้องช่วยเหลือคน เพราะเธอบอกว่าถ้าไม่ช่วยเหลือคนรู้สึกว่าไม่มีแรงทํางาน


คลี่ปมในใจ เลิกด้อยค่าบาดแผลตัวเอง

เส้นทางชีวิต ที่เรียกได้ว่า มีบาดแผลในอดีต ที่ทำให้ต้องเจ็บปวดเยอะแยะมากมาย แต่เธอก็ใช้ธรรมะช่วยคลี่คลายปมในใจได้จนสำเร็จ

ค่อยๆ ให้ธรรมะช่วยขัดเกลาตัวเองด้วยการเริ่มฝึกยอมรับ ให้ไม่ต้องยึดติดกับหัวโขนแล้ว เมื่อก่อนเธอจะกลัวว่ามีคนเก่งกว่าแม้กระทั่งตอนเริ่มจัดค่ายธรรมะแล้ว ยังกลัวคนมาแย่งตำแหน่งประธานค่าย ทำให้ตัวเองต้องเป็นทุกข์ เพราะไม่ยอมรับว่าคนอื่น ก็สามารถเก่งกว่าเราได้ จนได้ให้ธรรมะ

“มีสิ่งนึงที่มันหนักมากคือเรื่องการจะต้องเป็นที่ 1 บัลลังก์ต้องอยู่ที่ฉัน มันมีมาตั้งแต่เด็กชอบการแข่งขัน ชอบการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา

คนอื่นจะมาเก่งกว่าฉันไม่ได้ ถ้าคนอื่นเก่งกว่าฉันเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ยอมรับความสามารถของเขา แล้วฉันจะต้องเก่งกว่าเธอจนกระทั่งเราโตมาแม้ตอนที่เราเผยแผ่ศาสนา ก็ยังมีสันดานตรงนี้อยู่

จัดค่ายธรรมะ เป็นสิ่งที่ทําให้ได้ขัดเกลาสันดานตัวเองตรงนี้ ได้ดีมากๆเพราะว่าเราก็จะเจอคนที่เขาเก่งกว่าแล้วบางทีเราเกิดความกลัวว่าจะมาแย่งบัลลังก์ฉันหรือเปล่าจะมาแย่งความรักที่คนอื่นจะให้ฉันหรือเปล่า ซึ่งมันก็เกิดการเปรียบเทียบ

แต่ว่าสุดท้ายแล้ว พอเราปฏิบัติขัดเกลาเรื่อยๆ มันเลยทําให้เราสามารถค่อยๆยอมรับในความสามารถของเขา และยอมรับว่าฉันมีอีโก้ตรงนี้อยู่จริงๆ สุดท้ายมันค่อยๆ ขัดเกลา จนเราไม่เป็นทุกข์กับความสามารถของใคร เราไม่เป็นทุกข์ กับการที่เขาเก่งกว่าเรา

จนเห็นว่าความสําเร็จที่แท้จริง มันไม่ใช่ความสําเร็จข้างนอก แต่มันคือความสําเร็จข้างในทุกขณะที่เรากลับมาเห็นตัวเอง แล้วยืนเคียงข้างตัวเองเนี่ยแหละ ความสําเร็จที่ไม่ต้องรอ ให้รอบนอกมาปรุงแต่งให้เราสุขเลย มันสุขจากตรงนี้นี่เอง

มันก็เลยทําให้เราเห็นว่า สันดาน ความอีโก้ความต้องการเป็นที่ 1 หรืออะไรก็ตาม มันถูกกระเทาะ แล้วมันเห็นชัดมากๆ ในวันที่เราไม่เป็นทุกข์กับความบีบคั้นข้างในยิ่งเห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย ยิ่งเห็นคุณค่าของคําสอนพระพุทธเจ้า มากยิ่งขึ้นไปอีกว่าขัดเกลาได้แล้ว หลังจากนั้นมา มันก็เลยทุกข์กับเรื่องนี้น้อยลงไปเยอะมากๆ ค่ะ”


แม้จะดูเข้าใจในสายธรรมสามารถนำมาปรับใช้ได้ในชีวิต ทำให้ตัวเองคลี่ปมในใจ ให้หายทุกข์ได้ แต่เธอก็ยอมรับว่า ยังมีปมเรื่องความสัมพันธ์กับแฟน ที่ยังรู้สึกว่าธรรมะ ไม่ได้เข้ามาคลี่ปมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จนหมดทุกข์

“สิ่งที่เรารู้สึกว่า เรายังคลี่คลายไม่ได้ เป็นเรื่องแฟนค่ะเพราะเรามีความรู้สึก อยากมีคู่ชีวิตที่ดีอยากเป็นคนสําคัญในคนหมู่มากตรงนี้มันเบาบางลงไป แต่ความอยากเป็นคนสําคัญกับคนรัก คนใกล้ตัว มันยังมีอยู่

เชื่อว่าใครหลายๆ คน ก็อาจจะต้องเจอสภาวะตรงนี้นะคะ ซึ่งมันยากมากๆรู้สึกว่า ทุกครั้งที่เราอยากเป็นคนสําคัญในสายตาเขา เราจะคาดหวังเขา เราอยากให้เขาเป็นแบบที่เราต้องการ”

ก่อนที่ยังไม่ได้รู้จักวิธีใช้ธรรมะมาช่วยบำบัดเรื่องความสัมพันธ์ก่อนหน้านั้นเธอบอกว่า บอกเลิกแฟนบ่อยมากเรียกว่าเป็น toxic relationship เลยก็ว่าได้ ทุกวันนี้ก็ยัง

“บอกเลิกทุกวัน ทุกวันนี้ก็มี คือบอกเลิกทุกวันจริงๆ เมื่อก่อนคือเรียกว่า toxic relationshipเลย เพราะว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ต่างกันสุดขั้ว คนนึงวิ่งหนี คนนึงวิ่งตามคนนึงร้องขอ อีกคนนึงจะมีความรู้สึกว่า ฉันไม่อยากทําในสิ่งที่คุณคาดหวังฉันเป็นตัวฉันแบบนี้

คบกันมา 5 ปีอยู่ด้วยกันได้เพราะว่าความสัมพันธ์ถูกขัดเกลา จากคําสอนของพระพุทธเจ้าไม่งั้นก็คือเลิกกันไปนานแล้วค่ะทุกวันนี้มันก็ยังมีขัดแย้งกันอยู่ แต่แฟนจะเป็นคนที่มีความมั่นคงในความสัมพันธ์ แล้วเขาจะไม่เลิกเขาจะพยายามทําตัวเองให้ดีขึ้นในฐานะแฟน

พื้นฐานเดิมของเขาไม่ใช่คนที่ใส่ใจเขาไม่ใช่คนที่มีภาษารักคําว่ารักจะออกจากปากเขามันยากมากๆแล้วเราจะเป็นคนที่ชอบคําว่ารักมาก ชอบอินเลิฟมากคุณต้องรักฉัน คุณต้องสกินชิพ คุณต้องใส่ใจ คุณต้องเทคแคร์งั้นเราก็ต้องปรับปรุงตัวเอง”

[แฟนที่คบกันมา 5 ปี]
สิ่งที่เธอพยายามคลี่คลายปม เรื่องความสัมพันธ์กับแฟนคือ การรู้จักหันกลับมาเห็นคุณค่าตัวเอง ไม่ยึดติดกับคนอื่นมากเกินไป

“รู้สึกว่ามันคลายความ toxic ไปได้เยอะมากๆ สมมติว่าเต็ม 200 อัป มันก็เหลือสัก 20%-30% จริงๆ เริ่มมองเห็นคุณค่าในตัวเองได้ เพราะว่าเราเริ่มปฏิบัติ ว่าเรายังมีความดียังคงมีปัญญาในตัวเอง

เรายังสามารถยอมรับความจริง ที่มันเกิดขึ้นกับใจเรา กับพฤติกรรมที่ไม่น่ารักของตัวเอง กับสันดานที่เราไม่ชอบตัวเองแต่ว่ามันยังไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งหมดความสัมพันธ์อย่างเรื่องของแฟนมันก็ดีขึ้นจากเมื่อก่อน ดีขึ้นมากที่สุด

แต่เขาขอบคุณเรานะว่าเราคือคนที่ทําให้เขา เห็นทุกข์ในตัวเองได้ชัดที่สุด และขัดเกลาตัวเอง และเป็นคนที่ดีขึ้นในทางโลกคือมันแบบมันไม่แมตช์กันแต่ทางธรรม มันดันเติบโตไปด้วยกันได้”

แฟนเธอก็สายธรรมะปฏิบัติมาพร้อมๆ กันโดยเธอจะเริ่มไปปฏิบัติก่อน 2-3เดือน จากนั้นก็ดึงแฟนมาด้วย จนเกิดความเต็มใจในการปฏิบัติทั้งคู่


ฮีลใจวัยรุ่นด้วยธรรมะ

ตั้งใจเผยแผ่ธรรมะให้ผู้คนรู้เป้าหมายชีวิตกับคำถาม“เกิดมาทำไม”เมื่อต้องหนีทุกข์ ตามหาสุข และทางออกไม่ใช่ความตาย
“เป้าหมายพยายามจะสื่อสารกับวัยรุ่นให้ได้มากที่สุดแต่ว่ามันยากมากเลยนะคะ กับการที่จะต้องสื่อสารกับวัยรุ่น เพราะว่าเป้าหมายของศาสนาคือผู้ใหญ่ในปัจจุบัน

ตอนแรกไม่ได้ทําคลิปนะคะ ทําเป็นแบบโพสต์ให้เพื่อนวาดรูปการ์ตูน วนิก็นั่งคิดคอนเทนต์เป็นเดือนกว่าจะได้ 1โพสต์แต่ว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราได้รับกลับมา ก็คือผู้ใหญ่ 100% เราก็เลยเปลี่ยนวิธีอัดคลิปอัดคลิปยาวหน้าตัวเองเนี่ยแหละลงยูทูบ”

คลิปแรกที่เริ่มทำ คือมาแชร์ ให้คนรู้ความหมายของคำว่า “สาธุ” แต่คลิปนั้นดันไม่ได้ลง เพราะหลังจากอัดคลิปแล้วเกิดปัญหาเยอะมากในการตัดต่อ จนรู้สึกถอดใจ ไม่อยากทำต่อแล้ว

ตอนแรกตั้งเป้าใหญ่ไว้ก่อนว่าอยากให้คอนเทนต์ตัวเอง เข้าถึงวัยรุ่นระดับโลก รวมทั้งคนทั้งประเทศด้วยแต่พอโพสต์ที่ลงไปครั้งแรก ความสนใจก็ยังเป็นวัยผู้ใหญ่ล้วนอยู่ จึงกลับมาคิดใหม่ว่า

ควรเริ่มจากเพื่อนในไอจีก่อน เพราะถ้าเพื่อนในไอจีหันมาสนใจคําสอนพระพุทธเจ้าได้ ก็ถือว่าสำเร็จในระดับนึงแล้วเริ่มจากยกโทรศัพท์ขึ้นมาอัดคลิปคุยภาษาง่ายๆ เหมือนเพื่อนคุยกัน

“เราก็เลยเอาโทรศัพท์มือถือยกขึ้นมาอัดง่ายๆเรารู้ว่าคนในไอจีชอบเที่ยว คนในไอจีกินเหล้า คนในไอจีแต่งตัวสวยแซ่บ เซ็กซี่ เราก็เลยอัดคอนเทนต์ประมาณว่า แต่งตัวโป๊กินเหล้า แล้วปฏิบัติธรรมได้ยังไง

เราก็แต่งตัวโป๊นะเธอ เราก็เที่ยวนะแต่เราเอาสิ่งนี้มาใช้ แล้วเราเกิดผลอย่างไรกับชีวิตของเราทําให้ตัวเราเป็นเปรียบเสมือนเพื่อนที่มานั่งคุยกัน แต่บอกว่าสิ่งนี้ที่เราทํามันเริ่ด ถ้าสมมติมาธรรมะสวัสดีค่ะใส่ชุดขาวมาเลย วัยรุ่นปัดทิ้งแล้ว

แล้วก็ไม่ยัดเยียดเขา แค่บอกว่าเราทําแล้วมันเริ่ด แล้วมันปัง แล้วมันดียังไงประมาณว่ารีวิวตอนนั้นความสัมพันธ์ในเรื่องของแฟนของวนิมันดีขึ้น วนิก็ยกตรงนี้ขึ้นมาพูดด้วยว่าเฮ้ย..มันดีขึ้นยังไง แล้วเราใช้วิธีการอะไร

วัยรุ่นเขาจะรู้สึกว่า ได้รับแรงบันดาลใจ แล้วเขาจะรู้สึกว่าวนิไปศึกษากับใครครูบาอาจารย์เป็นใครนะวนิปฏิบัติยังไงวิธีง่ายๆ มันต้องเริ่มจากตรงไหนเขาก็จะรู้สึกให้ความสนใจมากขึ้นแล้วมันก็ดันแมสดันปัง”


ตอนแรกที่คอนเทนต์แมส ก็ยังไม่แมสถึงกลุ่มวัยรุ่นมากสักเท่าไหร่ แต่จะแมสจากวัยผู้ใหญ่ ที่ชื่นชอบธรรมะอยู่แล้ว แต่เป็นการแมสแบบดราม่า เพราะผู้ใหญ่มองว่าถือศีล5ก็ยังไม่ได้เลยทั้งกินเหล้าแต่งตัวโป๊แล้วจะมาปฏิบัติธรรมได้ยังไง

“แต่ก็มีวัยรุ่นเข้ามาบ้าง ซึ่งวัยรุ่นบางคนทุกวันนี้เป็นเพื่อนสนิทกันเลยนะคะ ช่วยกันทํางานเผยแพร่เลย เพื่อนเขามาจาก TikTok เขาก็ทักมาหาเป็นพารากราฟเลยว่ามันเท่มากเลยแกทําต่อไปนะเราเห็นคอมเมนต์เธอโดนด่าเยอะมาก แต่เราเป็นวัยรุ่น เราฟังแล้วเราชอบ เราขอกําลังใจให้เธอทําต่อไป

เราก็เลยเห็นว่ามันได้ผลก็ทําต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ตั้งไว้เลยว่า วันนึงต้องทําอย่างน้อย วันละ 1คลิปให้ได้เน้นเป็นการแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง เน้นความเข้าใจของตัวเอง”

คอมเมนต์ทั้งตําหนิก็ดี หรือว่าชมก็ดีถ้าเป็นเมื่อก่อน คงด่ากลับไปแล้ว แต่พอได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ในชีวิต ทุกคอมเมนต์มันทําให้เธอได้กลับมาขัดเกลาตัวเอง

“ตอนนี้ก็เลยได้ยินแค่เสียงด่าตัวเอง ด่าเขาในใจ โอเคแล้วก็เรียนรู้ ไม่ได้แปลว่าไม่ด่านะคะได้ยินเสียงในหัว แต่ไม่actionออกมา”

ตั้งเป้าหมายให้ตัวเองไว้ว่า จะไม่ตั้งตนเป็นครูบาร์อาจารย์ หรือไม่ใช่คนสอนธรรมะแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงสะพาน ให้คนได้เห็นว่า ธรรมะช่วยชีวิตได้จริง

“วนิตั้งไว้เลยว่า ตัวเองจะต้องเป็นสะพาน แต่ไม่ใช่ครู ไม่ใช่อาจารย์ ไม่ใช่ผู้สอนธรรม แต่จะเป็นสะพานให้คนได้เห็นว่าธรรมะ มันช่วยชีวิตเราได้ยังไง แล้วเขาจะได้เปิดใจ เพื่อนําไปสู่ครูบาอาจารย์ที่เคยสอนเรา หรือนําไปสู่คําสอนของพระพุทธเจ้าไม่ว่าจะสายไหน ที่เขาจะไปศึกษาต่อก็ตาม รู้สึกแบบอยากเป็นแรงบันดาลใจมากกว่าสอน”


ผ่านกับดักหลุมดำ เพราะรับฟังเสียงตัวเอง

ผ่านช่วงอยู่ในหลุมดำมาได้ เพราะธรรมะบำบัดจิตใจ เริ่มจากการรับฟังตัวเองซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่นําไปสู่การพัฒนาตัวเองได้อย่างมีคุณภาพ

“อย่างแรกคือเราต้องกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดให้กับตัวเองให้ได้ก่อนเพื่อนคนแรกเลยนะในชีวิต ที่เราจะอยู่กับเขาจนวันตาย ที่เราจะรับฟังเขา ซื่อสัตย์กับเขาไม่ว่าเขาจะโกรธยังไง ไม่ว่าเขาจะอารมณ์แย่ ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยที่ไม่ดียังไงก็ตาม

รับฟังคนๆนี้ ที่มีนิสัยที่ไม่ดีเพราะความนิสัยไม่ดี เขาก็มีสิ่งที่ดีอยู่ในตัวเขา แต่เราต้องยอมรับความไม่ดีในตัวเขาคนนี้ให้ได้เขาจะโวยวายเขาจะงอแงงี่เง่า รับฟัง

การรับฟังเป็นจุดเริ่มต้น ที่นําไปสู่การพัฒนาตัวเองได้ดีที่สุด เพราะสุดท้ายพอเรารับฟัง เราจะรู้ปัญหาว่ามันมาจากตรงไหน แล้วเราจะแก้ปัญหาตรงนั้นได้ถูกต้อง แล้วเราจะพัฒนาตัวเองได้อย่างมีคุณภาพค่ะ”


แนะนำใครที่กำลังตกอยู่หลุมดำ หรือหาทางออกในชีวิตไม่เจอ โดยเฉพาะวัยรุ่น ที่ตอนนี้อาจจะหลงผิดอยู่บ้างเหมือนกับเธอในตอนนั้น

“เหมือนเป็นการเหมือนชี้แนะมากกว่าให้เขาได้กลับมาเห็นตัวเอง หรือว่าได้กลับมาซื่อสัตย์กับตัวเองสิ่งที่วนิทําได้ดี จะเป็นเรื่องของการสร้างแรงบันดาลใจคนมากกว่าการสร้างผลลัพธ์ให้เขาเห็นให้เขาไปคิดต่อเราไม่สามารถที่จะบังคับให้ใครมาทําตามได้ แต่รู้สึกว่าการกระตุ้นทางใจเป็นการสร้างแรงบันดาลใจทําให้เขารู้สึกว่าอยากมาทําด้วยตัวของเขาเอง”

นอกจากนี้ เธอยังบอกอีกว่า สื่อสารไปยังวัยรุ่นกลุ่มนี้บ่อยมาก เพราะมีโอกาสไปพูดสร้างแรงบันดาลใจ ในสถานพินิจทั่วประเทศ

สิ่งที่เธอย้ำคือเรื่องของโอกาส ที่เป็นทั้งโอกาสภายนอก และภายในใจของตัวเอง แม้จะเคยผิดพลาดมา นอกจากจะขอโอกาสจากคนอื่นแล้ว อย่าลืมที่จะให้โอกาสตัวเอง ได้เดินหน้าต่อด้วย

“จริงๆ กับเด็กกลุ่มนี้วนิสื่อสารบ่อยมากเลยนะคะ เพราะได้มีไปพูดในสถานพินิจทั่วประเทศเลย ซึ่งจะเป็นแก๊งเด็กที่คล้ายๆ ชีวิตวนิแต่วนิแค่รอด ไม่ได้เข้าไปในสถานพินิจ

สิ่งที่บอกเขาเสมอเลยก็คือ เรื่องของโอกาส มันอยู่ที่ตัวเขามาตลอดเลย เขาไม่ต้องรอให้คนอื่นมาให้โอกาสเขา ตัวเขาสามารถที่จะให้โอกาสตัวเองได้เลยตั้งแต่วันนี้ 

โอกาสนั้นบางที มันอาจจะไม่ใช่รูปธรรม ที่มันจับต้องได้ แต่มันคือภายในจิตใจของเขาเอง ที่เขากลับมาสร้างความเชื่อมั่น หรือความศรัทธาในตัวเองว่าเขาจะสามารถเป็นคนที่ดีขึ้นได้ เขาจะสามารถกลับมามองเห็นคุณค่าในตัวเองได้

ต่อให้สังคมจะประณามเขาสังคมจะเป็นยังไงก็ตามรอบตัวเขา แต่หากเขาหนักแน่นดีแล้ว เขาก็จะยืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง ได้อย่างชัดเจนเหมือนกัน แล้วเขาก็จะเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่ดีขึ้นด้วยเหมือนกัน

หรือแม้แต่ตัวเขา ก็อาจสามารถเป็นจุดเปลี่ยนของสังคม ที่เขาอยู่ได้ด้วยเหมือนกัน เขาสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรอบตัว ให้กับเพื่อนของเขาได้ด้วยเหมือนกัน

ทุกคนที่เคยผิดพลาดคนมันมีทั้งดีและไม่ดีอยู่ในตัวเอง วนิจะมาบอกน้องเสมอเลยว่า ถ้าหากเรายังไม่ตาย เรามีโอกาสในทุกๆ ลมหายใจ”


สะท้อนช่องโหว่ “หากินกับผ้าเหลือง”

ช่วงนี้วงการศาสนามีข่าวฉาวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งเรื่องพระสงฆ์ประพฤติผิดวินัยมีสัมพันธ์กับสีกาหรือแม้กระทั่งการพระยักยอกเงินวัด ก็มีให้เห็นอยู่ตลอด จนทำให้หลายคนเริ่มเสื่อมศรัทธาในฐานะคนที่เป็นส่วนนึงในวงการนี้ เธอก็ช่วยสะท้อนถึง ความเสื่อมศรัทธานี้ว่า

พระที่มีข่าวออกมาเป็นเพียงแค่หนึ่งในสังคม แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของสังคม ดังนั้น จะเหมารวมไม่ได้ และควรโฟกัสที่คำสอนของพระพุทธเจ้า มากว่าตัวบุคคล

“เรื่องข่าวอะไรในศาสนาก็ตาม บางทีเราอาจจะเหมารวมไปเลย ว่าอันนี้คือภาพลักษณ์ของศาสนาบางทีเราไม่สามารถที่จะเหมาไปได้ ว่ามันคือทั้งหมดของศาสนาถูกไหมคะ เพราะว่าแก่นของศาสนาพุทธจริงๆแล้ว มันคือหลักคําสอนของพระพุทธเจ้า

วนิเลยอยากให้ทุกคน กลับมาโฟกัสที่หลักคําสอนของพระพุทธเจ้า ว่าท่านสอนอะไร ส่วนคนจะประพฤติดีหรือประพฤติไม่ดีอย่างไร อันนั้นเป็นเรื่องของบุคคล แต่ไม่ใช่เรื่องของคําสอนแต่ละคนหยิบยกคําสอนพระพุทธเจ้ามาใช้ไม่เท่ากัน

บางคนหยิบยกมาใช้ได้แค่นิดเดียว หรือบางคนไม่หยิบมาใช้เลย แต่อยู่ในศาสนาหรือบางคนหยิบมาใช้ได้อย่างมีคุณภาพ แล้วเอาออกมาเผยแพร่ แต่ละคนสกิลไม่เหมือนกันเราต้องเปลี่ยนการโฟกัสใหม่ คนสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ หรือคนสามารถทําให้เรามองศาสนาในแง่ไม่ดีก็ได้”


แน่นอนว่า พอมีเหตุการณ์อื้อฉาวที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งในรั้ววัดเช่นนี้ ทำให้หลายคนมองว่า พระเป็นอาชีพนึง ที่กำลังหากินกับคำสอนพระพุทธเจ้าหรือเปล่า

เช่นเดียวกับเธอ ที่ก็ขอตอบประเด็น ที่คนบอกว่า หากินกับศาสนานั้น เป็นการขายความสามารถมากกว่า เพราะเธอไม่ใช้แค่นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้อย่างเดียว ยังงัดสกิลทางด้านสุขภาพจิต มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับคนยุคปัจจุบันด้วย

“อันนี้น่าจะแล้วแต่มุมมองของคนนะอย่างเช่นเหมือนจ้างไปเป็นวิทยากรวนิไปด้วยความสามารถมากกว่า หรือว่าสกิลในการสื่อสารซะมากกว่าแล้วก็ไม่ได้ใช้ธรรมะแค่อย่างเดียวด้วย มันก็จะมีการประยุกต์ศาสตร์อื่นๆ ด้วย หรือว่าของนักจิตวิทยาคนอื่นๆ เพื่อที่จะให้มันมีหลากหลายศาสตร์ ที่มันประยุกต์เข้าด้วยกัน ไม่ใช่คําสอนพระพุทธเจ้าเพียวๆ

ส่วนเรื่องค่ายจริงๆ เป็นค่ายของพระอาจารย์ คือทุกคนก็เข้ามาฟรีกันอยู่แล้ว ซึ่งวนิเลยมองว่า ถ้าสมมติว่าใครอยากจะฟังธรรมะฟรีๆ ที่ผ่านมาวนิพูดหรือทําคอนเทนต์ก็ไม่ได้เก็บตังค์คนดูก็ตั้งใจเผยแพร่อยู่แล้วค่ะ

อย่างเช่น มีองค์กรเข้ามาจ้าง องค์กรเขาก็จะบอกว่าตอนนี้มีปัญหาเรื่องนี้นะ อยากให้คนได้ฝึกเรื่องนี้นะเราก็ต้องมีการปรับหลักสูตร ให้มันเข้ากับองค์กรของเขาแล้วก็จัดกิจกรรม

ซึ่งการจัดกิจกรรม พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนการจัดกิจกรรม เราก็ครีเอทกันขึ้นมาเอง ว่าเราจะต้องจัดกิจกรรมยังไง เพื่อให้เขาได้ตกผลึกภายในตัวเอง แล้วอีกอย่างนึง เรื่องของสายการศึกษาภายในจิตใจตัวเอง มันเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกเขาทํากันอยู่แล้ว หรือที่เรียกว่าสาย spiritual health เขามีกันอยู่แล้ว

วนิก็เลยพยายามที่จะทําให้มันเป็นสากลมากขึ้น ไม่ให้มันไปยึดที่ศาสนา แต่ว่ามีธรรมะมาประยุกต์ใช้ มันไม่ใช่ทั้งหมดมันไม่ใช่การขายคําสอนพระพุทธเจ้า เพราะวนิให้ฟรีอยู่แล้วตั้งแต่ในออนไลน์

แต่วนิขายความสามารถ ขายการคิดหลักสูตร ขายการให้คําปรึกษา ขายการเซอร์วิส หรือแม้แต่สิ่งที่กําลังจะทําต่อไปก็อยากจัดแคมป์ของตัวเองด้วยเหมือนกันนะมีเรื่องสุขภาพกายเข้ามาด้วยมีการผสมผสานจิตวิทยาเข้ามาด้วยค่ายแบบแคมป์เกม เอาความสามารถที่พวกเรามีใส่ลงไป”

เธอยอมรับว่า เติบโตมาด้วยคําสอนพระพุทธเจ้า แต่อย่าลืมว่าเธอเองก็มีสกิลด้านอื่นๆ แม้เข้าใจว่าคนมองไปได้ ว่าหากินกับศาสนา แต่หากจะใช้คำว่าหากินกับพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ เพราะหากจะเอาคําสอนพระพุทธเจ้ามาอยู่ในทุกมิติชีวิตเธอเลยไม่ได้ เพราะเธอก็ยังเป็นเพียงมนุษย์คนนึง ที่ยังต้องหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว

“บางทีคนมองแค่ด้านเดียว ด้านแค่ว่าวนิมีคําสอนพระพุทธเจ้า แล้วจะเอาคําสอนพระพุทธเจ้า เป็นทุกอย่างในตัววนิ ในทุกมิติ มันไม่ได้

วนิเติบโตมาด้วยคําสอนพระพุทธเจ้าแต่อย่าลืมว่าวนิมีสกิลอะไรบ้าง การทําคอนเทนต์ การเป็นผู้นําการบริหาร การคิดหลักสูตรการทํากิจกรรมวนิมีความสามารถเยอะมาก ซึ่งถ้าคุณจะบอกว่าวนิไม่สามารถเอาความสามารถนั้น มาทํางานหารายได้ มันก็ไม่สมเหตุสมผลสําหรับวนิ เพราะวนิก็ต้องดูแลครอบครัวเหมือนกัน

แต่ถ้าสมมติวันนึงวนิเป็นแม่ชีเป็นพระพระภิกษุณี หรือรักษาศีลในการที่จะไม่รับเงินมันก็ต้องดูบริบทด้วย ว่าเราคือฆราวาส”


 ขอบวชตลอดชีวิต


 

 “จะบวชกันทั้งคู่ ตลอดชีวิตเลยค่ะ แฟนก็ตั้งใจไว้ว่า 40 ปี ส่วนของวนิก็คิดไว้ว่า 40 ปีเหมือนกัน แต่ว่าใครจะไปก่อน อันนี้ก็ไม่แน่ใจ


แต่คิดว่าเขาน่าจะไปก่อน เพราะว่าตัววนิมีลูก ก็อาจจะต้องทําหน้าที่ของการเป็นแม่ แพลนเรื่องของการเงิน ทําหน้าที่เรื่องครอบครัวตัวเองทางโลก ให้มันเรียบร้อย สําเร็จลุล่วงก่อนค่ะ แล้วก็ค่อยไปบวช


ถ้าสมมติเป็นไปตามสิ่งที่วางไว้ ก็คือ 40 ปี แต่ถ้ามันไม่เป็นไปตามสิ่งที่วางไว้ ก็คือ 40 ขึ้นก็ได้”




นิยามตัวเอง อินฟลูฯ สาย Spiritual Health


 

 “ตอนแรกมันก็มาเด่นชัดเลย คืออินฟลูฯสายธรรมะแต่วันนี้รู้สึกว่าไม่อยากเอาหน้าของตัวเอง ให้มันเท่ากับศาสนาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ซึ่งมันจะต่อยอดได้ยาก หรือว่ามันจะทํางานของตัวเองได้ยากเพราะว่าหนึ่งในองค์ประกอบของเรา คือจะมีเพื่อครอบครัวด้วย


ไม่อยากเอากรอบของคําว่าศาสนาขึ้นมาตีกรอบ แต่อยากให้มันเป็นสากลโดยการที่พยายามศึกษาเรื่องของจิตวิทยามากขึ้นเพื่อที่จะไปเรียนรู้ว่า คนอื่นเขาใช้ศาสตร์ไหน ในการที่เขาเอามาพัฒนาภายในของตัวเอง


วนิก็เลยตั้งนิยามของตัวเองใหม่ว่าจะเป็นสาย Spiritual Healthมากกว่าที่จะพูดว่าสายธรรมะ แต่ว่ามีธรรมะมาประยุกต์ใช้

 

เพราะว่าธรรมะหรือคําสอนพระพุทธเจ้า มันหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกับวนิไปแล้ว มันไม่สามารถเอาออกไปได้ ปัจจุบันก็เลยต้องใช้วิธีการประยุกต์หลายๆ ศาสตร์มากกว่าค่ะ”







ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)






@livestyle.official ...จากเคยใช้ชีวิตสุดโต่ง "หนีบ้าน-ติดยา-ท้องวัยเรียน-คิดสั้น" สู่หน้าที่ "สะพาน" ดึงผู้คนขึ้นจากเหว @waniwounds... . "ด้วยความที่เราเคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน แล้วพอมาเจอทางธรรม ชีวิตมันพลิก... เรารู้สึก amazing คําสอนพระพุทธเจ้า มีผลกับนิสัยของเราขนาดนี้เลยเหรอ เป็นคนใช้อารมณ์ ฉันถูกเสมอมาทั้งชีวิต . ขนาดตอนนั้นปฏิบัติได้แค่ 3 เดือน ยังเห็นการเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ แล้วถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ ล่ะ เราจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองขนาดไหน . ก็เลยอยากให้วัยรุ่น ได้รับโมเมนต์นี้ด้วยเหมือนกัน ตั้งปณิธาน งั้นฉันจะช่วยให้วัยรุ่นได้เปิดใจ กับคําสอนของพระพุทธเจ้า" . #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #ข่าวTikTok #TikTokCommunityTH #วนิเปิดแผล #วนิอินพุทธ #พระพุทธศาสนา #ธรรมะ #นิพพาน #ปฏิบัติธรรม #ซึมเศร้า #โรคซึมเศร้่า #เด็กมีปัญหา #ครอบครัว #ความศรัทธา #อินฟลูเอนเซอร์ #แรงบันดาลใจ #ฮีลใจ ♬ เสียงต้นฉบับ - LIVE Style


สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
คลิป : ชยพัทธ์ พวงพันธ์บุตร
ขอบคุณภาพ : Facebook "วนิ เปิดแผล", "Wanida Boonprasert", TikTok @waniwounds



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น