“สิงโตหลุด” กัดเด็กเจ็บสาหัส เผยข้อมูลน่าตกใจ “สิงโตเลี้ยง” ในไทยมี “เกือบ 500 ตัว” ย้อนเหตุสลดก่อนหน้า “สิงโตซาฟารีเวิลด์” ขย้ำเจ้าหน้าที่ จนทนพิษบาดแผลไม่ไหว พบความบกพร่องหลายจุด จนผุดคำถามใหญ่ “มาตรฐานความปลอดภัย” เคยตรวจกันบ้างไหม ทั้งก่อนและหลังให้ใบอนุญาตเลี้ยง “สัตว์ดุร้าย”?
** ก่อเหตุแล้ว ต้องลงดาบ!! **
เพิ่งผ่านเหตุ “สิงโต ซาฟารีเวิลด์” รุมขย้ำเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสวนสัตว์ จนเสียชีวิตมาหมาดๆ ก็มาเกิดเหตุระทึกขวัญกลางดึก กับชาวบ้านที่ จ.กาญจนบุรีอีกครั้ง
หลังเกิดเรื่อง “สิงโตหลุด”ออกจากกรง แล้วเข้าทำร้ายเด็กวัย 11 ขวบ จนบาดเจ็บสาหัส ส่วนชาวบ้านที่เข้าไปช่วยเหลือ ก็โดนข่วนที่ขาอีก 1 ราย
สืบที่มาที่ไปได้ความว่า เจ้าสิงโตตัวนี้ชื่อ “มเหสี”สิงโตเพศเมียของ “ปริญญา ภาคภูมิ”อินฟลูฯ คนดังที่ชอบโพสต์คลิป กิจวัตรที่ทำร่วมกับสิงโตอยู่บ่อยๆ
{“มเหสี” สิงโตตัวก่อเหตุ}
โดยในวันเกิดเหตุ “กรง” ของราชาสัตว์ตัวนี้ อยู่ระหว่าง “ปรับปรุง” เขาจึง “ล่ามโซ่” มันเอาไว้ “นอกกรง”เพื่อมาพบภายหลังว่า “โซ่หลุด”จนเกิดเหตุอย่างที่เห็น
เจ้าของสิงโตตัวก่อเหตุยืนยันว่า นี่คือ “อุบัติเหตุ” และย้ำว่าเจ้ามเหสีไม่มีนิสัยดุร้าย ล่าสุด เจ้าตัวได้ไปขอโทษครอบครัวผู้บาดเจ็บ และยินดี “รับผิดชอบ” ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด
พอลองตรวจสอบการแจ้งขอครอบครองสิงโตตัวนี้ กลับพบเอกสารระบุเพียงแค่ว่าคือ “ใบรับแจ้งครอบครองสัตว์ป่าควบคุม หรือซากสัตว์ป่าควบคุม(ชั่วคราว)”
{“ปริญญา” อินฟลูฯ ดัง เจ้าของสิงโต}
ล่าสุด “อรรถพล เจริญชันษา” อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงได้สั่ง “ดำเนินคดี”กับเจ้าของสิงโต ตาม “พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562”
ในมาตรา 15 ที่ระบุไว้ว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทิ้ง หรือปล่อยเป็นอิสระ ซึ่งสัตว์ป่าควบคุม หรือกระทำการใดๆ ให้สัตว์ป่าพ้นจากการดูแล”
พร้อมกับ “ยึด”สิงโตตัวนี้ ไปดูแลที่ ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า “บึงฉวาก”เพื่อประเมินพฤติกรรม ความปลอดภัย และความเหมาะสมในการอนุญาตให้เลี้ยงต่อไป
{เจ้าหน้าที่เข้ายึดสิงโต ส่งต่อ “บึงฉวาก”}
** มีมาตรฐาน แต่ไม่ลงรายละเอียด **
จากประเด็นเดือดนี้เอง ยิ่งตอกย้ำ “ความอันตราย” ของ “สิงโต” เป็นครั้งที่ 2 ต่อจากเคส “ซาฟารีเวิลด์” ว่านี่คือ “สัตว์ป่าดุร้าย” ดังนั้น การขออนุญาตต้องตรวจสอบ “คนเลี้ยง” อย่างเข้มข้น เพื่อรับประกันว่า สัตว์ชนิดนี้จะไม่หลุดไปทำร้ายคน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง “หนู-อภิญญา ใจแท้” ผู้อำนวยการส่วนจัดการสัตว์ป่าต่างประเทศ กองคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา (CITES) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ช่วยชี้แจงกับทีมข่าวเอาไว้
โดยอธิบายว่า “สิงโต” ตาม “ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า” เป็นสัตว์ป่าควบคุม “ประเภท ก.” ที่เป็นสัตว์ป่าดุร้าย การขออนุญาตเลี้ยงจึงต้องเป็นไปตามกฎหมายกำหนด
“ถ้าคุณจะเลี้ยงสัตว์พวกนี้เนี่ย มันจะต้องมีการตรวจสอบสถานที่เลี้ยงก่อน ซึ่งมันแตกต่างกับ ‘ประเภท ข.’ ก็คือพวกนกสวยงามทั้งหลาย”
ขั้นตอนคือ เมื่อมีคนต้องการแจ้งครอบครองสิงโต เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ก็จะออก “ใบแจ้งครอบครองชั่วคราว” ให้ก่อน หลังจากนั้นก็จะลงตรวจสอบ “สถานที่เลี้ยง”ถ้ามีความเหมาะสม ปลอดภัย และสิงโตมาจากฟาร์มที่ถูกต้อง ถึงจะออกใบจริงให้ ซึ่งการเซ็นอนุญาต เป็นอำนาจในการใช้ “ดุลพินิจ”ของเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ในแต่ละเขตพื้นที่
แต่กฎหมายบ้านเรา กำหนดเรื่อง “ความปลอดภัย”เอาไว้กว้างๆ แค่ว่า 1.ต้องจัดสวัสดิภาพสัตว์ให้ดี 2.ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และ 3.ต้องไม่มีผลกระทบต่อชุมชน
เพราะกฎหมายตัวนี้ใช้ควบคุมสัตว์หลายชนิด จึงไม่สามารถลงรายละเอียดได้ ทางกรมอุทยานฯ จึงออก “ระเบียบ” ให้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนแทน
เช่น เคสการเลี้ยงสิงโต “กรง” ต้องมีความเหมาะกับขนาดสัตว์, “ประตูกรง” ต้องเป็นประตู 2 ชั้น และ “รั้ว” ต้องมีความสูงพอ ที่จะป้องกันไม่ให้สิงโตหลุดออกมา
{“อภิญญา”ผอ.ส่วนจัดการสัตว์ป่าต่างประเทศ กรมอุทยานฯ}
ส่วนเรื่อง “ชุมชน” นั้นมีรายละเอียดแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ บางเคสต้องเอา “กฎหมายผังเมือง” มากางดูว่า สามารถเลี้ยงได้ไหม
หรืออย่างกรณีของ จ.เชียงใหม่ ก็จัดประชุมชุมชน, องค์ปกครองท้องถิ่น ถามเลยว่า พวกเขาอนุญาตให้มีการเลี้ยงสิงโตในพื้นที่ไหม ถ้าชาวบ้านไม่โอเค เจ้าหน้าที่ก็จะไม่อนุญาต
“ซึ่งกรมเนี่ย มีการทำเป็นแนวทางออกมา ซึ่งเป็นรายละเอียดอีกทีนึง สำหรับเคสสิงโต เพราะตัวกฎหมายมันเป็นภาพรวม ก็เลยมีการกำหนดมาในชั้นของกรมเอง”
ผอ.หนู ยอมรับกับเราว่า ตอนนี้ทางรัฐกำลัง “แก้ไข” ระเบียบในการเลี้ยง ให้มีความ “ชัดเจน” มากขึ้นอยู่ เพื่ออุดช่องโหว่เรื่องมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ ซึ่งทำมาสักระยะแล้ว แต่ดันเกิดเรื่องนี้เสียก่อน
ย้อนกลับไปที่จุดประสงค์แรกของตัวกฎหมาย ไม่ใช่เพื่อเปิดให้คนมาขอเลี้ยงสิงโต แต่เพื่อควบคุมเป็นหลัก เพราะไทยมีการเลี้ยงสิงโตกันก่อนหน้านี้แล้ว แต่รัฐไม่มีอำนาจในการควบคุม เพราะไม่มีกฎหมาย
ในปี 65 จึงมีการประกาศผ่าน “กฎกระทรวง” ให้คนเลี้ยงเข้ามา “แจ้งครอบครอง” หมายความว่า กฎหมายมาทีหลังการเลี้ยง ทำให้รายละเอียดต่างๆ ต้องค่อยๆ ปรับแก้เพื่ออุดช่องโหว่
** “ความปลอดภัย” เคยกลับไปตรวจไหม? **
มีข้อมูลนึงที่น่าตกใจ จาก “กรมอุทยานฯ” ที่ระบุเอาไว้ว่า ตัวเลข “สิงโต” ในไทยมีคนเลี้ยงสูงมาก คือปัจจุบันมีถึง “620 ตัว” แบ่งเป็น “สวนสัตว์” 10 แห่ง และ “เอกชน” 75 แห่ง ถือว่าจำนวน “สิงโตเลี้ยง” เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากต้นปี 67 ที่ทั้งประเทศมีเพียง “153 ตัว” เท่านั้น
เมื่อทีมข่าวนำข้อมูลนี้ มาให้ผู้เชี่ยวชาญรายเดิมช่วยวิเคราะห์ จึงได้คำตอบว่า แท้จริงแล้วตัวเลขสิงโตเลี้ยงในไทย “620 ตัว” อย่างที่อ้างไว้ คือตัวเลขที่ผิดพลาด เป็นเหตุมาจาก ทางระบบมีการนับซ้ำ แต่ข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆ คือ มี “ไม่ถึง 500 ตัว”
“หลังจากรีเช็กกันดีๆ กับทางพื้นที่แล้ว เรารู้ตัวเลขที่ถูกต้อง อยู่ประมาณไม่เกิน 500 ตัว 484 ตัว ก็คือไม่ได้มีทุกจังหวัด มีแค่ไม่เกิน 20 จังหวัด เท่าที่ดูคร่าวๆ”
แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะอยู่ดี และจากเคสที่เกิดขึ้น การที่สิงโตหลุดออกมา ก็เป็นความผิดพลาดของคนเลี้ยง สังคมจึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า…
หลังให้ใบอนุญาตไปแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เคยกลับไปตรวจสอบ “มาตรฐานความปลอดภัย” บ้างไหม?
เพราะถ้ายกเคส “ซาฟารีเวิลด์” ที่เพิ่งเกิดเหตุสลด สิงโตขย้ำคนดูแลไปก่อนหน้านี้ หลังเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ลงไปตรวจก็พบว่า มีความบกพร่อง “หลายจุด”
ไม่ว่าจะเป็น 1.“กรง” ทั้งเสือและสิงโต มีถึง 5 กรง ที่ต้องเพิ่มความแข็งแรงของประตู
2.“รั้วกั้น 2 ชั้น” พบว่าหลายจุดชำรุด
3.“กล้องวงจรปิด”ไม่มีติดตั้งตามจุดอับสายตา
4.“ป้อม” เปิด-ปิดประตู ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าประจำตลอดเวลา
คิดดูว่า ขนาดขึ้นชื่อว่า “สวนสัตว์” ยังพบข้อบกพร่องขนาดนี้ แล้วคนธรรมดาที่รับเลี้ยงสิงโต จะมั่นใจได้ยังไงว่า จะไม่เกิดความผิดพลาด จนทำสิงโตหลุดออกมาทำร้ายคนแบบนี้อีก
ผอ.ส่วนจัดการสัตว์ป่าต่างประเทศ รายเดิมบอกว่า หลังเกิดเคส “ซาฟารีเวิลด์” ทางกรมอุทยานฯ ก็ได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบ และแก้ไขรายละเอียดระเบียบมาตรฐานความปลอดภัยอย่างจริงจัง
และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่กลับไปตรวจมาตรฐาน ในพื้นที่เลี้ยงสิงโตอย่างสม่ำเสมอ แต่ด้วยจำนวนคนเลี้ยงที่มีเกือบ 100 ราย เมื่อเทียบกับจำนวนเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่น้อย จึงต้องเป็น “การสุ่มตรวจ” แทน
ส่วนเคสล่าสุด ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า มีการกลับไปตรวจสอบซ้ำ เพราะเหตุผลที่อินฟลูฯ รายนี้ต้องลุกขึ้นมา “ปรับปรุง” กรงสิงโต มาจากเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ เข้าไปตรวจสอบ เมื่อพบว่ากรงไม่มีความเหมาะกับตัวสิงโต จึงสั่งให้มีการแก้ไข แต่กลับเกิดเหตุอย่างที่เห็น
“กรง ณ ตอนนี้ มันไม่เหมาะสมกับสิงโตที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้ว เขาก็เลยมีหนังสือสั่งการ ว่าให้คุณปรับปรุงกรงให้มันเหมาะกับสิงโตที่มันใหญ่ขึ้นในวันนี้ แต่ว่าเขายังทำไม่ทันเสร็จ มันก็เลยเกิดเหตุมาก่อน”
โดยความผิดพลาด อาจมาจากการ “ไม่วางแผน” เพราะจริงๆ ควรย้ายสิงโตไปในพื้นที่ปลอดภัยก่อน ระหว่างทำกรงใหม่ เช่น ฟาร์มที่เพาะพันธุ์ ซึ่งทางกรมอุทยานฯ ก็อนุญาต แค่ต้องทำหนังสือขอเคลื่อนย้ายสัตว์เข้ามา
แต่ต้องยอมรับว่า ทางเจ้าหน้าที่เองก็ไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่า การปรับปรุงกรงสิงโตควรทำยังไงบ้าง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด
จากเหตุครั้งนี้จึงทำให้เห็นว่า ยังมีอีกหลายจุดเกี่ยวกับ “ระเบียบการเลี้ยงสัตว์ป่าดุร้าย” ที่ต้องแก้ไขให้แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งตอนนี้กำลังแก้ไขกันอยู่ จะน่าจะออกมาในเร็วๆ นี้
“มันต้องพิจารณาความเหมาะสมด้วยว่า การที่เขาขยับสัตว์ออกไป จากกรงที่เคยเลี้ยง มันจะปลอดภัยไหม จริงๆ มันต้องเป็นข้อพิจารณา ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าหน้าที่เองก็บอกให้เขาทำเนอะ วิธีการทำ ก็ไม่แนใจ ว่าเขาจะทำยังไงเนอะ
ต่อไปพอเรามีแนวทางตัวนี้ทุกที่ มองเห็นภาพเหมือนกัน การปฏิบัติมันก็จะสอดคล้อง แล้วเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้นค่ะ สิงโตมันก็เป็นงานใหม่ ที่ยังต้องพิจารณากันต่อไป”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช”, “Parinya Parkpoom”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **