นักวิ่งมาราธอน หัวใจล้มเหลว “เสียชีวิต” ก่อนเข้าเส้นชัยอีก 2 กม. หมอชี้ “ดูแข็งแรง≠ไม่มีโรค” ย้ำ วิ่งมาราธอน อันตรายหากไม่เตรียมตัว เผยตัวเลขน่าตกใจ นักวิ่งดับคางาน เฉลี่ยทั่วโลก “50,000 ต่อ 1คน” แต่ถ้าแผนดี ทีมแพทย์พร้อม ความเสี่ยง “ลดลง 5 เท่า”
** “แข็งแรง” ไม่ได้แปลว่า “ไม่ป่วย” **
กลายเป็นเรื่องน่าเศร้า จากเหตุ “นักวิ่งวัย 45” เสียชีวิตกลางกิจกรรมแข่งวิ่ง “สะออน RUN 2025” จ.นครพนม หลังลงมินิมาราธอนระยะทาง 20 กิโลเมตร
โดยในระหว่างวิ่ง เธอ “ล้มฟุบ” ลง ก่อนถึงเส้นชัยเพียง 2 กม. ถึง “เจ้าหน้าที่กู้ชีพ 1669” ประจำโรงพยาบาลนครพนม จะเข้าช่วยเหลือ “ปั๊มหัวใจ” และรีบนำส่งโรงพยาบาล
แต่สุดท้าย กลับไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้ แพทย์สันนิษฐานว่า เกิดจาก “ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”
ส่งให้สังคมเกิดคำถามว่า คนที่ดูแข็งแรง ถึงขนาดลงรายการวิ่งมาราธอนได้ ทำไมถึง “หัวใจล้มเหลว” จนถึงขั้นเสียชีวิต? แทนที่นักกีฬาควรสุขภาพฟิตปั๋งกว่าคนทั่วไป
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อายุรแพทย์โรคหัวใจ และนายกสมาคมโภชนาการเพื่อกีฬาและสุขภาพ อย่าง “นพ.ฆนัท ครุธกูล" ไขข้อสงสัยเอาไว้ให้ว่า เป็นเพราะ “คนแข็งแรง” ไม่ได้แปลว่า“ไม่มีปัญหาสุขภาพ”
“ปัญหา(สุขภาพ)นั้น อาจจะซ้อนอยู่นะครับ ซึ่งสถิติพบว่า สาเหตุการเสียชีวิตในคนอายุน้อย โดยเฉพาะนักกีฬา ที่เป็นภาวะเสียชีวิตกะทันหันเนี่ยนะครับ ส่วนใหญ่สาเหตุมาจากโรคทางกรรมพันธุ์ คือมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจที่โต”
“ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจโต” คือภาวะที่หัวใจมีขนาดใหญ่ หรือกล้ามเนื้อหัวใจหนากว่าปกติ ซึ่งปกติมักจะ “ไม่แสดงอาการ” คนป่วยส่วนมากจึง “ไม่รู้ตัว” และมันจะแสดงอาการก็ต่อเมื่อ ทำกิจกรรมหรือมีอะไรไปกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนัก
“แต่เมื่อมีการออกกำลังกายหนักๆ หรือหัวใจเต้นเร็วมากๆ จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาเรื่องของ ‘หัวใจเต้นผิดจังหวะ’ หรือ ‘หัวใจล้มเหลว’ เสียชีวิตกะทันหันก็เกิดขึ้นได้”
อย่างในเคสนี้ ครอบครัวผู้ตายบอกว่า เจ้าตัวมีโรคประจำตัวคือ “ไทรอยด์” ซึ่งจริงๆ แล้วมีผลกระทบโดยตรงกับ “หัวใจ” ทำให้เสี่ยงต่อ “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” และอาจนำไปสู่ “ภาวะหัวใจล้มเหลว” ได้เหมือนกัน
** มาราธอน “อันตราย” หากไม่เตรียมตัว **
ถ้าตัดเรื่อง “โรคประจำตัว” ออก หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ “การวิ่งมาราธอน” ก็บอกคล้ายๆ กันว่า มันเป็นอะไรที่ “เสี่ยง” อยู่เหมือนกัน เพราะทำให้ “หัวใจ” ต้อง “ทำงานหนัก”
อายุรแพทย์โรคหัวใจรายเดิม ยืนยันกับเราว่า “จริง” เพราะการวิ่งระยะไกล หรือมาราธอน เสี่ยงทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้ หากนักวิ่ง “ไม่เตรียมตัว”
“ปัญหาของการวิ่งมาราธอน ที่เราเสี่ยงในตัวมากก็คือ ร่างกายมันล้า มีภาวะขาดน้ำ หรือมีปัญหาเรื่องของบาดเจ็บ ในระหว่างที่ออกกำลังกาย”
โดยเมื่อ “ร่างกายขาดน้ำ”จากการขับเหงื่อออกจำนวนมาก ก็อาจกลายเป็น“การกระตุ้น”ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ในระบบประสาทและหัวใจได้เหมือนกัน
{“นพ.ฆนัท" อายุรแพทย์โรคหัวใจ}
อีกเรื่องสำคัญคือ “ความเครียด” เพราะการวิ่งมาราธอนต้องใช้ความอดทนสูง จนทำให้เกิดความเครียดสะสม ไปบีบให้หัวใจ “ทำงานหนักขึ้น”
“เพราะฉะนั้น มันจะมีแรงเค้น ที่ทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น การออกกำลังกาย วิ่งนานๆ เนี่ย ไม่ใช่อัตราหัวใจเต้นเร็ว แต่มันมีความเครียดสะสม อาจทำให้การเต้นของหัวใจผิดจังหวะได้”
ดังนั้น ถ้าใครที่จะลงสนามวิ่งมาราธอน “ต้องเตรียมตัว” เริ่มจาก “ตรวจร่างกาย” ดูว่าตัวเองมีโรคประจำอะไรไหมที่เสี่ยง เช่นพวก “ไทรอยด์” ,“เบาหวาน” และ “โรคความดัน”
ส่วนประเภท “ภาวะหัวใจโต” , “หัวใจเต้นผิดจังหวะ” หรือ “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ” ถ้าตรวจแค่เบื้องต้นอาจไม่พบ แต่ถ้าใครมีญาติพี่-น้อง ที่เป็นโรคเหล่านี้ หรือมีคนใกล้ตัวเสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลว แนะนำให้ไปตรวจร่างกายให้ละเอียด
จากนั้นก็เข้าสู่โหมด “การฝึกซ้อม” ไล่จาก “เบา” ไปหา “หนัก” เพื่อให้ร่างกายปรับตัว คุ้นชินกับการวิ่งนานๆ ในระยะทางไกล
และขั้นตอนสุดท้ายก่อนลงสนามคือ“พักผ่อน” ให้เพียงพอ กินอาหารที่ให้พลังงานสูง คอยดูเรื่องน้ำและเกลือแร่ ระวังอย่าให้ร่างกายเข้าสู่ “ภาวะขาดน้ำ”
คุณหมอรายเดิมย้ำว่า ไม่ใช่แค่วิ่งมาราธอนที่เสี่ยงอันตราย เพราะถ้าไม่เตรียมพร้อมร่างกาย จะวิ่งหรือออกกำลังกายปกติ ก็ก่อเป็นผลร้ายต่อสุขภาพได้ทั้งนั้น ถ้า“หักโหม”เกินไป
ถามว่าแบบไหนถึงจะไม่หักโหม คำตอบคือไม่ควรให้ “อัตราการเต้นของหัวใจ” สูงเกิน80% ของ “อัตราการเต้นสูงสุด (HRmax)”
วิธีคำนวณ HRmax ก็คือ “220-อายุ” ยกตัวอย่าง คนอายุ 20 ปี HRmax คือ 220-20 = “200 ครั้ง/นาที” แต่อัตราการเต้นของหัวใจ “ไม่ควรเกิน 80% ของอัตราสูงสุด”
ดังนั้น 80% ของ 200 ครั้ง/นาที หมายความว่า อัตราการเต้นของหัวใจ ต้องไม่เกิน “160 ครั้ง/นาที” ส่วนระยะเวลาในการออกกำลังกายนั้น แค่ 30 นาที/วัน ก็เพียงพอแล้ว
** วางแผนดี เสี่ยงลด 5 เท่า **
เคสความสูญเสียล่าสุด มีการจัด “ทีมแพทย์” และ “เจ้าหน้าที่กู้ชีพ” เอาไว้ให้นักวิ่งแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังเกิดเหตุสลดขึ้นมาได้ และนี่ก็ไม่ใช่เคสแรก แต่เคยมีนักวิ่งที่เสียชีวิตกลางงานมาราธอนแบบนี้ ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ เกิดในเดือน ส.ค.68 นักวิ่งชายวัย 48 ล้มหมดสติและเสียชีวิต ระหว่างวิ่งขึ้นเขาที่ จ.ลำปาง อีกงานเกิดในปี 63 นักวิ่งดับในงานมินิฮาล์ฟมาราธอน จ.สิงห์บุรี
ถามว่าบรรดาผู้จัดงาน ควรวางระบบป้องกัน ไปจนถึงรับมือระหว่างเกิดเหตุเสี่ยงต่อชีวิตยังไงบ้าง ให้มีมาตรฐานความปลอดภัย และลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด
หนึ่งในผู้จัดงานวิ่งในไทย อย่าง “รัฐ จิโรจน์วณิชชากร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมซ์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด และนายกสมาคมการค้าผู้จัดงานกีฬามวลชนไทย (TMPSA) จึงช่วยอธิบายเอาไว้ให้
โดยย้ำว่า ตามมาตรฐานของ “สหพันธ์กรีฑาโลก” หรือ “World Athletics” แล้ว ปกติจะมีข้อกำหนดเรื่อง “ทีมแพทย์” เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
คือผู้จัดงานวิ่งต้องแต่งตั้ง “Medical Director” หัวหน้างาน คอยดูแลประสานงาน วางแผนการดูแลทางแพทย์ กับนักวิ่งภายในงาน ซึ่งต้องเป็นบุคลากรที่ผ่านการ “อบรม” ตามหลักสูตรของ “สหพันธ์กรีฑาโลก”
และผู้มีคุณสมบัติตรงนี้ ก็ต้องอบรมใหม่ทุกๆ 2 ปี ส่วนภายในงานนั้น ก็ต้องมี “จำนวนเจ้าหน้าที่”ให้เหมาะสมกับจำนวนนักวิ่ง ซึ่งจะมีกำหนดอัตราส่วนเอาไว้
รวมถึง “การคัดกรอง” ก็ต้องระบุเอาไว้ตั้งแต่ “ใบรับสมัคร”ที่ต้องถาม “โรคประจำตัว” ของคนที่มาเข้าร่วมกิจกรรมด้วย ทั้งหมดนี้คือแนวทางคร่าวๆ ที่ “Medical Director” ต้องจัดการ
“บางประเทศอย่าง‘ฝรั่งเศส’ เขามีกฎหมายเลยว่า คุณจะร่วมกิจกรรมนี้ คุณต้องไปหาหมอเพื่อตรวจ ประเมินว่าคุณสามารถร่วมกิจกรรมมาราธอนได้ แล้วก็ออกใบรับรองแพทย์เลย”
{“รัฐ” นายกสมาคมการค้าผู้จัดงานกีฬามวลชนไทย}
ถึงในบ้านเรายังไปไม่ถึงขั้นนั้น แต่สำหรับงานวิ่งขนาดใหญ่ ที่ได้มาตรฐาน “Medical Director”จะแบ่งกลุ่มนักวิ่งตามระดับความเสี่ยงเอาไว้เลย โดยคัดแยกจากประวัติในใบสมัครของนักวิ่ง ดังนี้
1.กลุ่มสีแดง คือนักวิ่งที่ “เสี่ยง” เพราะมี “โรคประจำตัว” อย่าง โรคหัวใจ, ไทรอยด์ และโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งต้องมีอาสาสมัครไปวิ่งคอยประกบ ช่วยดูอาการตลอดการแข่งขัน
“เราจะถามเลยว่า คุณสะดวกไหม เดี๋ยวเราหาอาสาสมัคร วิ่งประกบกับคุณเลย วิ่งตามหลัง ถ้าเขาบอกว่า เฮ้ย..ไม่เอา เขาไม่สะดวกที่จะให้ใครมาวิ่งอยู่ข้างๆ อันนี้ก็แล้วแต่ แต่เราแนะนำว่า อย่างน้อยคุณควรมีพาร์ทเนอร์”
เผื่อเวลาเกิดเหตุ จะได้มีคนเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที แต่จากประสบการณ์ที่จัดงานวิ่งมา กูรูรายนี้บอกว่า กลุ่มสีแดงจริงๆ ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะส่วนใหญ่จะรู้ตัวและระวังตัวเองอยู่แล้ว
2.กลุ่มสีเหลือง คือกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งหลายคนในกลุ่มนี้ ไม่รู้ตัวว่าป่วย เพราะ “ตรวจไม่พบ”โรคใดๆ ในขั้นตอนตรวจสุขภาพเบื้องต้น
แต่อาจมาแจ็คพอตเจออีกที ตอนที่วิ่งในงานเลย ดังนั้น ส่วนที่สำคัญคือ “แผนการรับมือ” ของ “ทีมแพทย์ฉุกเฉิน” ที่ต้องพร้อมตลอดเวลา
“ไอ้ตรงนี้ไม่มีกำหนดเป๊ะๆ ครับ แต่ว่าในอบรม เขามีบอกว่า คุณควรจะวางแผนยังไง หลักการคือคุณต้องเข้าถึงนักวิ่งให้ได้ ภายใน 4 นาที”
เพราะตามหลักการ ในการวางหน่วยแพทย์ หรือทีมช่วยเหลือ ตามเส้นทางวิ่ง กำหนดเอาไว้เลยว่า เมื่อเกิดเหตุต้องเข้าช่วยเหลือนักวิ่งให้ได้ “ภายใน 4 นาที”
เพราะถ้าใช้เวลาเกินกว่านี้“การกู้ชีพ” กลับมาจะถือเป็นเรื่องยากแล้วและสุดท้าย3.กลุ่มสีเขียว คือคนปกติทั่วไป
นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์สำคัญที่งานวิ่งทุกงานต้องมี คือ “เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED)”เอาไว้ใช้กู้ชีพ
จากสถิติของ “สหพันธ์กรีฑาโลก”
บอกไว้ว่า อัตราการตายของนักวิ่งในงานแข่ง คือ “50,000 ต่อ 1 คน”แต่ถ้า “แผนดี-อุปกรณ์มี-บุคลากรพร้อม” อัตราการตายที่ว่า ก็จะเปลี่ยนเป็น “250,000 ต่อ 1 คน” ทันที
“หมายความว่า โอกาสเสียชีวิตน้อยลง 5 เท่านะครับ”
{AEDเครื่องมือสำคัญ ที่งานวิ่งต้องมี}
แต่ต้องยอมรับว่า ในงานวิ่งขนาด “เล็ก” และ “กลาง” เรื่องเหล่านี้ทำยากจริงๆ เพราะต้องใช้ “ทุนสูง” ซึ่งทาง สมาคมการค้าผู้จัดงานกีฬามวลชนไทย (TMPSA), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) พยายามเข้ามาเป็นตัวกลางตรงนี้อยู่
ในการจัดหา “อุปกรณ์และบุคลากร” เพื่อกระจายไปตามงานวิ่งต่างๆ ซึ่งถือเป็นการพยายาม “ยกระดับ” มาตรฐานงานวิ่งไทย เพื่อไม่ให้เกิดเคสสลดแบบเดียวกันนี้ขึ้นอีก
นอกนั้น คุณหมอฆนัท ได้แต่แนะให้ นักวิ่งต้องเรียนรู้เรื่อง “การกู้ชีพฉุกเฉิน” เอาไว้ เวลาเห็นใครล้มฟุบไปต่อหน้า จะได้ช่วยยื้อชีวิตเพื่อนนักวิ่งได้
อย่างน้อยก็สามารถยืดเวลาระหว่าง “รอ” ทีมแพทย์ฉุกเฉิน ได้สัก 1-2 นาที ก็ยังถือเป็นการ “เพิ่มโอกาสรอด” ให้เพื่อนร่วมโลกได้
...
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : trafficthai.com
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **