เปิดชีวิต "วีรบุรุษเก็บกู้ระเบิดชายแดนใต้" สู้ต่อแม้สูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง จนยืนได้ด้วยตัวเองอีกครั้งนึง ตอนนี้ขอเป็นกระบอกเสียงเพื่อ "ตำรวจ-ทหารผู้กล้า" ทุกคนในพื้นที่เสี่ยง วอนเยียวยาอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่แค่เคส "ไทย-กัมพูชา" ย้ำชัดจากใจ "อย่าลืมวีรบุรุษทุกคน"
*** วอน “เยียวยา” ให้เท่าเทียม ***
เป็นประเด็นที่พูดถึงกันไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เคาะเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ จากเหตุกัมพูชาโจมตีประเทศไทย จนมีทหารและชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไปหลายราย ทรัพย์สินเสียหายอีกนับไม่ถ้วน
สำหรับกรอบวงเงินเยียวยา แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ (ทหาร, ทหารพราน, ตำรวจ ตชด.) เสียชีวิตและทุพพลภาพ 10 ล้านบาท, บาดเจ็บสาหัส 1 ล้านบาท และบาดเจ็บมาก 5 แสนบาท
ส่วนประชาชน เสียชีวิตและทุพพลภาพ 8 ล้านบาท, บาดเจ็บสาหัส 8 แสนบาท และบาดเจ็บมาก 4 แสนบาท
นี่เลยทำให้ “จ.ส.ต.วรวิทย์ ณะรัตนะ” อดีตเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด หรือเจ้าหน้าที่ EOD (Explosive Ordnance Disposal) กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส หรือที่โลกโซเชียลฯ รู้จักเขาในชื่อ “จ่าปืน EOD” อีกหนึ่งวีรบุรุษชายแดนใต้ ที่ถูกลอบวางระเบิด จนเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง
สะท้อนผ่านเฟซบุ๊กว่า “แล้วเหล่าทหารตำรวจเจ้าหน้าที่ที่เคยเสียชีวิต ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ บุคคลเหล่านี้ก็เคยเสียเลือดเสียเนื้อ เสียชีวิต เพื่อชายแดนใต้ เขาก็เคยปกป้องอธิปไตยประเทศไทยด้วยนะครับ #อย่าลืมเลือนวีรบุรุษ”
ท่ามกลางเสียงของชาวโซเชียลฯ ที่เห็นด้วยกับจ่าปืน และเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาการเยียวยาทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียม เพราะไม่ว่าจะชายแดนด้านใด เจ้าหน้าที่ทุกนาย ก็ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยเหมือนกัน
ทีมข่าว MGR Live ได้พูดคุยกับวีรบุรุษชายแดนใต้คนนี้ เขาบอกว่า ที่ต้องออกมาเคลื่อนไหว เพราะอยากเป็นกระบอกเสียงให้กับทุกคนในพื้นที่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเสี่ยงอันตรายทุกครั้งที่ออกปฏิบัติงาน
[ สุดภูมิใจ ในฐานะเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ]
“เขาทำเพื่อชาติ เขาเสียสละจริงๆ เราเข้าใจอยู่ แต่ที่ออกมาโพสต์ ก็คือไม่เคยว่าฝั่งโน้นนะครับ ผมใช้คำว่าลองย้อนมาดูฝั่งนี้บ้าง ฝั่งโน้น มันเป็นสงครามที่ชัดเจน เปิดตัว เปิดหน้า
สิทธิต่างๆ ที่เราเห็นออกมาในสื่อ เคส 3 จังหวัด จะได้ประมาณ 3 - 3.8 ล้าน แล้วแต่เคส ผมพูดแค่ว่ามันเป็นระเบียบ 10 กว่าปีแล้ว ระบบเยียวยามันยังเหมือนเดิม
คนที่เจ็บป่วยหรือพิการ บางคนเขาไม่กล้าเหมือนผม ไม่ได้กลับมาเหมือนผม จิตใจเขายังเป็นซึมเศร้า ไม่พบผู้คน แล้วเงินที่ได้บอกไว้ 3 ล้าน ปีนึงก็หมด เพราะว่าการดูแลคนพิการมันจะสูงกว่าคนปกติอยู่แล้ว ค่าใช้จ่าย ลองตามแต่ละเคสดู เขายังลำบากอยู่ พ่อแม่ต้องหยุดงานมาดูแล
เมื่อก่อนถามว่าโอเคมั้ย ไม่มีใครกล้าพูดหรอกครับว่าไม่โอเค ถามว่าคุ้มมั้ย ไม่มีใครตอบว่าคุ้มหรอก มันแลกกันไม่ได้ และยิ่งบางคนต้องนอนติดเตียงตลอดชีวิต พอผมเป็นข่าว มีคนโทร.มาเล่าเยอะมาก พี่ๆ ที่โดนไปก่อนผม โทร.มาขอคำปรึกษา จะไปยังไง ผมก็บอกว่าอย่าหวังแค่เงินเยียวยา อยากให้หาอะไรทำ ไม่งั้นเราจะอยู่ระยะยาวไม่ได้
บอกตรงๆ ว่าผมโชคดีกว่าคนอื่น ผมได้ขายของ ผมได้มีฐานแฟนคลับ แต่หลายคนเขาลำบากเยอะครับ แล้วมันมีเคสตัวอย่าง ห่างกันเยอะ 3 ล้านกับ 10 ล้าน มันกระโดดไปเยอะเกิน ถามว่าอยากได้มั้ย ผมไม่อยากได้ตรงนั้นหรอก แต่ว่าถ้าเขาคิดพิจารณาใหม่ให้หน่อย มันก็ดีสำหรับทุกคนที่เคยพบผลกระทบครับ”
[ สมัยปฏิบัติหน้าที่ตำรวจ EOD ดูแลผืนแผ่นดินไทย ]
แม้ในตอนนี้จะไม่มีเหตุปะทะเกิดขึ้นอีก แต่สถานการณ์ก็ยังไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งก่อนหน้านี้ทหารไทยได้เหยียบทุ่นระเบิดจนขาขาดไป 6 ท่านแล้ว ในฐานะแนวหน้าผู้ผ่านสมรภูมิจริง ก็อยากให้เรื่องนี้จบลงอย่างโดยเร็ว
“อยากให้จบเร็วครับ เพราะว่ามันไม่คุ้มหรอก ไม่มีฝ่ายไหนคุ้ม ยิ่งยืดยาวมันก็ยิ่งเสียหายทั้ง 2 ฝั่ง อยากให้จบแบบสมบูรณ์แบบนะครับ ไม่ใช่จบแบบคาใจ เหมือน 3 จังหวัด มันเป็นปัญหายาวนาน จบยากแล้วครับ ฝั่ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มันเป็นแบบกองโจร เป็นผู้ก่อการร้าย รบด้วยกันในประเทศ
ผมพูดแทนอีกหลายๆ ท่านที่เขายังปฎิบัติหน้าที่อยู่ เขาจะได้มีกำลังใจสู้ต่อ อย่างน้อยให้ใกล้เคียงกันหน่อยก็ยังดี เป็นแรงผลักดันให้เขาได้สู้ต่อ ทำงานต่อ รักษาธิปไตยเหมือนกัน แต่ทำไมการเยียวยามันต่างกันเยอะเกินครับ
ใช้ใจเยอะมาก ยิ่งพวกผม พวก EOD พวกเราจะใช้ความเสี่ยงเยอะหน่อย คนอื่นเห็นระเบิดเขาวิ่งออก แต่พวกเราต้องวิ่งเข้าหา ต้องให้คนอื่นรอด ทหารในพื้นที่เสี่ยง เขาก็ใช้ใจเยอะเหมือนกัน แต่ถ้าได้สวัสดิการดีๆ ผมว่าเขาก็มีกำลังใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อแน่นอนครับ”
*** "ลูก" ดึงสติ ในนาทีชีวิต!! ***
สำหรับเส้นทางสายราชการของชายผู้นี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “อาชีพตำรวจ” ไม่ใช่ความฝันที่อยากเป็นตั้งแต่แรก แต่เมื่อสอบได้แล้ว เลยมุ่งมั่นมาทางนี้อย่างเต็มที่
“ความฝันจริงๆ ตอนนั้นก็เรียนเกี่ยวกับเกษตร ก็อยากจะทำงานเกี่ยวกับเกษตรมากกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับอาชีพตำรวจเลย แต่ว่าด้วยโชคชะตาก็ไปลองสอบ พอสอบติดก็เอาเพราะเสียดาย ก็เลยเข้าไปอบรมฝึกเป็นตำรวจครับ ที่บ้าน คุณพ่อเป็นอดีตทหาร เขาไม่ได้บังคับอะไร แต่พอเราสอบได้เขาก็เชียร์เต็มที่ครับ
เป็น นปพ. (หน่วยปฏิบัติการพิเศษ) ครับ เมื่อก่อนจะอยู่ฐานบ้านพักครู จะอยู่ชุดคุ้มกันคุณครูไทยพุทธ ที่สุไหงปาดี นราธิวาส ตอนนั้นเขายุบฐาน ก็มาอยู่ในเมือง ก็มีโอกาสได้ไปอยู่ชุดคุ้มกัน เมื่อก่อน EOD จะมีชุดคุ้มกัน ชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษมา Cover ให้ EOD
เพราะว่าเวลา EOD ทำงาน เราจะไม่มีเวลามาป้องกันภัยรอบนอก ชุดคุ้มกันภัยรอบนอก กันคนบ้าง ป้องกันเหตุที่มาจากด้านนอก อยู่ชุดนั้นประมาณ 5-6 ปี ก็ ส่งชื่ออบรมสอบอบรม EOD แล้วก็ได้บรรจุตอนปี 60 ครับ”
วีรบุรุษ EOD คนนี้ ยังได้เล่าถึงวันที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล นั่นก็คือ 20 พ.ค.67
“วันนั้นมีเคสแจ้งเข้ามาว่ามีระเบิดชุดคุ้มครองครู อส. (อาสารักษาดินแดน) เคสที่เจาะไอร้อง กับเคสที่สุคิริน มีระเบิดแล้วก็ยิงซ้ำใส่ชุด อส. ตอนแรกทางเจ้านายบอกว่ารอให้พื้นที่มันปลอดภัยก่อน รอเช็กข่าวว่ามันจะมีจุดซุ่มยิงอะไรมั้ย
ก็มีคำสั่งมาให้ไปเข้าพื้นที่สุคิริน เพราะชุด EOD อยู่ที่อำเภอเมืองเป็นหลัก แต่ว่ารับผิดชอบทำงานทั้งจังหวัด ออกจากในเมืองประมาณเกือบเที่ยงนิดๆ ก็ไม่ได้แจ้งอะไร เพราะการออกของเราจะเป็นความลับ ออกจากเมืองนราฯ ไปสุคิริน ไกลมาก
พอไปถึงก็ไปรวมตัวที่โรงพักสุคิริน มีทั้งทหาร ตชด. ทหาร K9 สุนัขที่ดมหาวัตถุระเบิด ก็วางแผนแบ่งพื้นที่กันว่าชุดของผมรับผิดชอบตรงนี้ ชุดนี้รับผิดชอบตรงไหน ประชุมประมาณครึ่งชั่วโมง ก็แบ่งพื้นที่เสร็จก็ออกทำงานเลย
แบ่งกำลังกันตรวจสอบถนน จากหน้าโรงเรียนไปถึงจุดระเบิดลูกแรก แล้วก็จากระเบิดลูกแรกไปต่อจุดที่ อส. โดนยิงเสียชีวิต พอไปถึงไปเคลียร์หลุมแรกเสร็จ ก็เดินต่อกันไป
บังเอิญผมไปเจอจุดซุ่มยิง เป็นลักษณะคล้ายว่าน่าจะมีคนแอบซุ่มยิง มีปลอกกระสุนเต็มไปหมด แต่มันเป็นปลอกกระสุนเก่าๆ ทั้งนั้นเลย สงสัยว่ามันแปลกๆ ลงจากถนนไปดูกัน คิดว่ามันไม่ปกติ เพราะว่ามันเด่นเกิน เป็นจุดที่ตั้งใจให้เห็น
พี่อีกคนนึงก็บอกให้ไปเอาเครื่องตรวจวัดวัตถุโลหะ มาตรวจสอบตรงนี้หน่อย มันน่าสงสัย ผมก็ครับ ก็หันตัวกลับเข้าหาถนน พอหันก็บึ้มเลยครับ เพราะผมยืนอยู่บนระเบิดเลย ณ ตอนนั้น ไปยืนอยู่แล้วมันจะมีสวิตช์ พอหันตัวปั๊บ รองเท้าไปแตะสวิตช์ โชคดีที่มันโดนจังหวะที่ผมหันหน้ากลับพอดี ก็เลยโดนแค่ขา”
จ่าปืน เหยียบถูกระเบิดที่คนร้ายลอบวางจนขาขาดทั้ง 2 ข้าง แม้จะรอดมาได้แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ความเจ็บปวดในวันนั้น ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
“พอบึ้ม ก็กระเด็นขึ้นข้างบน แล้วก็ลงข้างล่างที่เดิม ก็สำรวจตัวเองว่าเป็นยังไงบ้าง ผมก้มดู เสียขา 2 ข้าง ก็เรียกเพื่อนมาช่วย กว่าเพื่อนจะเข้ามาถึงก็ต้องเช็กอีก ประมาณ 3-4 นาที เพื่อนก็เข้ามายกผมออกจากหลุม แล้วก็ไปห้ามเลือดบนถนน โชคดีว่าพี่อีกคนที่ยืนห่างกันไม่เยอะ ไม่โดน ลูกนี้มันพุ่งขึ้นข้างบนอย่างเดียว มันไม่ได้กระจายออกข้าง
ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะไม่รอด เพราะมันเจ็บมาก ถอดเสื้อเกราะ ถอดหมวกเองได้หมด ช่วงบนผมยังใช้ได้ปกติ ด้วยอาการที่เจ็บ แล้วก็เสียเลือดเยอะ มันเริ่มเพ้อ ก็บอกว่าไม่ไหว ไม่อยากจะทนเจ็บ อยากขอหลับไปเลย ผมไม่ไหวแล้ว
ผมขอไปนะ ฝากลูกผมด้วย ก็ฝากลูก ฝากครอบครัวไว้กับเพื่อน ลูกผมตอนนั้นประมาณ 2 ขวบกว่า แต่เพื่อนบอกว่า ‘ไม่ได้ ลูกตัวเองต้องกลับมาเลี้ยงเอง’ เหมือนในหนังแต่ว่าเป็นเรื่องจริงเลยครับ ก็เลยกลับมากัดฟันสู้ต่อ
แล้วก็ส่งตัวไปโรงพยาบาล รอเรียกเฮลิคอปเตอร์ ส่งต่อไปโรงพยาบาล ที่ ม.อ.หาดใหญ่ ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นผมเสียเลือดเยอะ ความดันผมต่ำ ขึ้นไปแล้วเปลี่ยนแผน ลงจากเฮลิคอปเตอร์ ไปรถ Ambulance
ไปโรงพยาบาลใกล้เคียงที่พอจะสามารถรักษาได้ตอนนั้นก่อน ก็ไปที่สุไหงโกลก รักษา 1 คืน ตอนเช้าก็แอดมิดมาที่ ม.อ. หาดใหญ่ รักษาตัว 7 เดือน ผ่าตัด 14 ครั้ง เมื่อ ธ.ค.ที่แล้ว ก็ได้ออกมาพักฟื้นต่อที่บ้านจนถึงปัจจุบันนี้”
*** เลิก "เสียดาย" มองให้เห็น "ความโชคดี" ***
เมื่อโชคชะตากำหนดให้เขาต้องสู้ต่อ หลังจากที่รอดชีวิตมาได้ วีรบุรุษแนวหน้าคนนี้ยังต้องต่อสู้กับความเจ็บปวด งทางร่างกายและจิตใจ แถมยังต้องเผชิญกับ “ภาวะปวดหลอน” ที่แม้จะผ่านมาปีกว่าแต่ก็ยังไม่หายไป
“มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว คนที่สูญเสียขาไปมันจะมีมีความรู้สึกที่ดิ่ง แต่ผมจะไม่อยู่กับมันนาน เรามีเป้าหมายชัดเจนตอนที่ฟื้นมาแล้วเราต้องอยู่ให้ได้ ต้องอยู่เพื่อลูก ไม่ว่าจะอยู่ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้
ระยะแรก เขาจะส่งจิตแพทย์มาประเมินจิตใจเรา เพราะหลายเคสส่วนใหญ่คนจะภาวะจิตใจย่ำแย่ ผมได้คุยกับหมอ หมอบอกเห็นแววตา เขาบอกว่า ‘โอเค จ่าปืนไม่เป็นอะไรแล้ว จ่าปืนเข้มแข็งมาก’
พอเริ่มดีขึ้น มันจะมีขาหลอน เกิดจากการสูญเสียอวัยวะอย่างฉับพลัน ทำให้สมองกับเส้นประสาทยังจดจำว่ายังมีขาอยู่ ช่วงแรกทรมานมากครับ เจ็บแผล เราสามารถลูบแผลให้มันผ่อนคลายได้ แต่การเจ็บขาหลอนมันทรมาน มันหงุดหงิด มันนอนไม่หลับ รู้สึกว่าโดนบีบขาตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เราไม่มีขา
หมอบอกว่า บางคนเขาก็ 6 เดือนหาย บางคนเป็นปีก็หาย แต่ผมปีกว่าแล้วยังไม่หาย มันเหมือนกับเราเริ่มรู้สึกชินกับมันมากกว่า ช่วงแรกๆ ทรมานมากครับ มันจะปวดขาแต่ไม่มีขาให้จับ มีอาการคันบ้างอะไรบ้าง เยอะไปหมด กินยาจนผมบอกว่าไม่กินแล้วยา กินแล้วมันไม่ดีขึ้น เพราะมันเป็นอาการทางประสาท”
[ ตั้งใจดูแลตัวเอง เพราะชีวิตต้องไปต่อ ]
ตลอดเวลาที่พักรักษาตัวอยู่นั้น จ่าปืนก็มีครอบครัวอยู่เคียงข้างเสมอ และได้กำลังใจจากผู้คนบนโลกโซเชียลฯ ที่ทำให้จิตใจของเขาเริ่มเข้มแข็งขึ้นมาได้
“ต้องย้อนกลับไป 3-4 วันแรก ผมไม่แตะโทรศัพท์เลยเพราะว่าเจ็บ แล้วตอนนั้นกระจกตามันถลอกด้วย เห็นเป็นลางๆ หมอกๆ เพราะนอนไม่หลับ มันจะเจ็บมาก ผมหลับประมาณ 20 นาที ก็ตื่น ทั้งคืนเวียนอยู่อย่างนั้น ก็เลยขอโทรศัพท์ภรรยา เพื่อไปดูในแอปฯ TikTok ก็ไปเห็นที่ภรรยาลงคลิปเกี่ยวกับเรื่องราวของผม
ตอนแรกผมไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องที่เขาแชร์กันเยอะมาก เพราะตอนนั้นมันยังเจ็บ ยังไม่พร้อมที่จะรับข่าวสารข้อมูล มาดูตอนหลังที่ภรรยาโพสต์ลงใน TikTok ก็ไปอ่านคอมเมนต์ 6,000 คอมเมนต์อ่านครบเลย คนเข้ามาให้กำลังใจ มันแปลกดีนะ เราไม่เคยรู้จักกันเลย คนทั่วประเทศมาคอมเมนต์ให้กำลังใจเราว่า ‘สู้ๆ นะ’ ทำให้จิตใจมันแข็งขึ้น เราทำอะไร เพื่ออะไร
เคยแนะนำให้น้องทหารอีกคนนึงที่โดนหลังผม ลองไปดูนะ คอมเมนต์แบบนี้ มันมีเชิงบวกเยอะ ช่วยให้เราภูมิใจ มันเหมือนกับเยียวยาจิตใจได้ด้วยครับ จริงๆ เลยสำหรับผมนะ
ครอบครัวจะรู้ดีว่าผมเข้มแข็ง เขาจะไม่พูดอะไรเยอะ ก็จะบอก โอเคนะ ไม่ต้องคิดเยอะ เพราะผมถามหาแต่ลูก ผมกลัวลูกไม่สบายใจเพราะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ภรรยาก็มาเฝ้าผม ลูกก็ต้องอยู่กับคุณย่าและคุณอา ลูกชายเดี๋ยวสักวันเขาก็เข้าใจ”
[ ภรรยาและลูก แรงผลักหลักให้หยัดยืนต่อ ]
แม้ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่สิ่งที่เจอมาก็เรียกได้ว่าหนักหนาสาหัส ยิ่งนึกถึงสมัยวันวาน ก็ทำให้ชายชาตินักรบคนนี้ท้อแท้อยู่ในใจ แต่เมื่อปัจจุบันเป็นอย่างนี้ ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้และทำทุกวันให้ดีที่สุด
“ตอนแรกๆ ที่ผมท้อ ไปดูรูปเก่าๆ ใน Facebook ขึ้นเตือนมา เคยพาลูกไปเที่ยวทะเล ไปกับภรรยา มันมีครับ ทำไมต้องเป็นเรา มันเข้ามาในหัว เมื่อก่อนผมคิดเยอะไป อีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้าจะอยู่ยังไง ภรรยากับลูกจะอยู่ยังไง
ตอนที่ทำกายภาพบำบัด อยู่ศูนย์ฟื้นฟูของ ม.อ. ผมได้เจอคนเยอะมากช่วงที่อยู่โรงพยาบาล ได้พูดคุยกับผู้ป่วยด้วยกัน มีน้องผู้หญิงคนนึงเขาสูญเสียเส้นประสาทด้านล่าง เขาบอกว่า จ่าโชคดีกว่าหนู หนูมีแต่หนูไม่มีโอกาสได้กลับมาเดินอีกแล้ว แต่จ่ายังได้มีโอกาสได้ใช้ขากลับมาเดินได้ ผมก็เปลี่ยนความคิด มีคนที่หนักกว่าเราเยอะ เขายังสู้ ยังปรับตัวให้ไปต่อได้
ผมเลยเปลี่ยนตัวเองใหม่ ต้องไม่คิดเยอะ คิดว่าวันนี้ฝึกเดินนะ ฝึกเข้าห้องน้ำด้วยตัวเองนะ เจ็บหรือทำไม่ได้ก็หยุด จะไม่ฝืน ถ้าฝืนมันจะทำให้เราหงุดหงิด เพราะงั้นแค่นั้นพอวันนี้ พักผ่อนนอนดูทีวี พรุ่งนี้มีแรงลองฝึกใหม่ ลองขยับตัวใหม่
ผมจะไม่คิดว่า 10 ปีข้างหน้าจะอยู่ยังไง ผมคิดว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีความสุขกับลูก เจอภรรยา ใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพราะเราเคยผ่านตรงนั้นมาแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะไปทางไหนก็ได้ ก็พยายามคิดอย่างนั้นมาตลอดครับ หลังจากวันนั้น
มีพี่ที่เป็นแฟนของเจ้าหน้าที่ด้วยกันที่เขาเสียชีวิตไป แกมาเยี่ยมผม แกบอกว่า ปืนโชคดีแล้ว ยังได้กลับมาพูดคุยกัน ของพี่ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา ผมพูดตลอดว่าผมไม่ได้โชคดีหรอก แต่โชคดีกว่าอีกหลายคน เรามีโอกาสได้กลับมา ถึงจะไม่ครบ 32 ไม่ครบ 100% ผมจะไม่ย้อนกลับไป สิ่งที่เสียไปแล้วจะไม่คิดถึงมัน เอาสิ่งที่ยังอยู่และจะไปต่อยังไงครับ
มีลูกคนเดียว ตอนนี้ 4 ขวบครับ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็คิดว่า ความสุขของผม คือได้เห็นรอยยิ้มของลูกกับคนในครอบครัวมากกว่า นั่นคือความสุขของผมแล้ว แค่ได้เห็นคนในครอบครัวแฮปปี้ ผมก็จะแฮปปี้แล้วครับ”
[ สู้กันใหม่ ในฐานะ “พ่อค้าปลาส้มออนไลน์” ]
ในส่วนของการดูแลที่ตำรวจผู้นี้ได้รับ นอกจากเงินเยียวยาและขาเทียมของ Ottobock มาตรฐานระดับสากลแล้ว เขาตัดสินใจว่าจะทำเรื่องปลดพิการทุพพลภาพ เพราะชอบทำงานภาคสนาม มากกว่างานนั่งโต๊ะ
“ใส่ Dynion ของบริษัท Ottobock เป็นบริษัทเอกชน นำเข้าจากเยอรมัน เป็นเคสแรกๆ ให้เจ้าหน้าที่ได้รับ ใช้ขาเทียมที่ดีที่สุดที่มีในประเทศไทยตอนนั้น โรงพยาบาลตำรวจกับผู้บังคับบัญชาผมประสานงานกันขอ เสนอเรื่องจนอนุมัติ รวมทั้งดูแลตัวฝึกเดิน และตัวที่ใช้ปัจจุบันนี้ ตอนนี้ก็ยังมีการเซอร์วิสอยู่ งบ 1,200,000 ครับ ขา 2 ข้าง รวมตัวฝึกเดิน
เยียวยาตามสิทธิ รอบแรกก็ประมาณ 1,300,000 รับมาแล้วยอดแรก แล้วมีอีกยอดนึง สามารถขอความอนุเคราะห์อยู่ต่อได้ ทำงานต่อได้ในสายงานธุรการ โรงพักใกล้บ้านอะไรได้หมด
ตอนนี้กำลังดำเนินการทำเรื่องปลดทุพพลภาพ แต่ผมตัดสินใจทำปลดครับ แล้วก็เก็บสิทธิไว้ให้ลูกชาย สิทธิทายาทมันจะมีอยู่ สามารถบรรจุภรรยาหรือบุตรเข้าทำงานในตำรวจได้ ถ้าผมขออยู่ต่อ สิทธิตรงนี้โดนตัดไปครับ ใช้ได้ครั้งเดียว
เขาจะอธิบายให้ฟังตั้งแต่ผมเริ่มพักฟื้นแล้วครับ เขาให้เราคิดก่อน เขาก็บอกถ้าผมอยู่ต่อจะมีประมาณนี้ ผมปลดจะมีประมาณนี้ ลองคำนวณดู ถ้าปลดผมจะได้บำนาญเหมือนทหารตำรวจที่เกษียณ เออรี่ ถ้าเราขออนุเคราะห์อยู่ต่อ เราก็ต้องเสียสิทธิทายาทนะ ถ้าปลดปั๊บ ผมสามารถไปทำเรื่องทหารผ่านศึกได้อีก มีเงินอีกก้อนนึงเป็นรายเดือนทุกเดือนๆ
ผมเป็นตำรวจที่อยู่ภาคสนามตลอด ไม่เคยนั่งโรงพักหรือนั่งธุรการเลย ตอนแรกที่เจ้านายมาเยี่ยม เขาบอกว่าอยากให้ทำงานต่อนะ กลัวว่าผมจะซึมเศร้าเพราะว่าเรามาอยู่บ้าน แต่ถ้าให้ผมอยู่ธุรการ ผมไปนั่งเฉยๆ ผมซึมเศร้ามากกว่า (หัวเราะ) ขอทำปลดเพราะว่าผมชอบภาคสนามมากกว่า ด้วยจังหวะดี มาขายของออนไลน์ ก็ตัดสินใจได้ว่าขอปลดครับ”
*** พ่อค้าปลาส้มหน้านิ่ง ขวัญใจ FC ***
เมื่อชีวิตต้องไปต่อ หลังจากที่จ่าปืนพักรักษาตัวอยู่ ก็ต้องคิดไปด้วยว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ ซึ่งในสมัยที่ยังประจำการอยู่ 3 จังหวัด เขาเคยหิ้วสินค้าท้องถิ่นของบ้านเกิดไปขาย ประกอบกับเสียงเรียกร้องจาก FC ก็เลยปิ๊งไอเดีย ผันตัวมาเป็นพ่อค้าออนไลน์ในที่สุด
“เริ่มตั้งแต่ที่อยู่โรงพยาบาล อยู่ห้องพิเศษ ช่วงแรกๆ ผมจะไลฟ์สดฝึกเดินก่อน คนมาดูเยอะมาก 3,000-4,000 หลายคนก็พิมพ์มาบอกว่า จ่าปืนขายของเลย พร้อมอุดหนุน ได้คุยกับภรรยา เริ่มวางแผนกันแล้วตอนนั้น พอออกมาปั๊บก็เริ่มทำเลย ก็ได้รับการตอบรับดีมากๆ ครับ
ย้อนกลับไป ผมเป็นหนี้สหกรณ์ตำรวจ กู้ยืมเงินมาซื้อรถ ซื้อบ้าน สร้างครอบครัว เงินเดือนก็จะเหลือไม่เยอะอยู่แล้ว เมื่อก่อนก็จะรับหิ้วของ เพราะว่าแม่ภรรยากับภรรยาขายของปลาส้มพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว ผมก็จะโพสต์รับหิ้ว
เมื่อก่อนผมก็จะทำงาน 20 วัน กลับบ้าน 10 วัน เดือนชนเดือน ก็ต้องหาอะไรมาเสริม เพราะไปกลับพัทลุง-นราธิวาสก็ 300 กว่ากิโล น้ำมันไปกลับรอบนึงก็ 1,000-2,000 ถ้าเอาตรงนั้นมาก็จะไม่พอกิน ก็เลยตัดสินใจว่ารับหิ้วของ จากนราฯ ก็จะมีข้าวเกรียบ มาส่งพัทลุง วันที่กลับจากพัทลุงไปนราฯ ก็จะหิ้วปลาส้ม ปลาดุกร้าไปส่งลูกค้า พอได้ค่าน้ำมัน”
พอคิดได้แบบนั้น จ่าปืนและภรรยา จึงเปิดเพจเฟซบุ๊ก และช่อง TikTok ในชื่อเดียวกันว่า “ปลาส้มจ่าปืน EOD” ขายสินค้าท้องถิ่นของพัทลุง ไม่ว่าจะเป็น ปลาส้ม, ปลาดุกร้า, ปลาแคลเซี่ยมสูง, ป๊อบคอร์นคอนเฟลก, สาคูต้น และ มะม่วงหิมพานต์เคลือบน้ำตาลโตนด ซึ่งสินค้าแต่ละตัวจะสดใหม่ทุกวัน
[ จ่าปืนและน้องกวินท์ ลูกชายสุดที่รัก ]
เมื่อต้องมาเป็นพ่อค้าออนไลน์ที่ต้องไลฟ์ขายของ บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับชายผู้เงียบขรึมและคุยไม่เก่งคนนี้
“มีคนแนะนำ ลองไลฟ์พูดคุยกับ FC คนที่อยากให้กำลังใจ เมื่อก่อนเขาก็ขอให้ไลฟ์คุยกันบ้าง ไลฟ์แล้วมันก็ได้ของขวัญด้วย ผมก็ไม่รู้เรื่องโลกโซเชียลฯ เท่าไหร่ ไลฟ์แล้วก็มีของขวัญ ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร มาดูตอนหลังว่ามันสามารถแลกเป็นเงินได้ บางทีก็สัปดาห์ละ 3 วัน พอได้ค่าขนม ค่าข้าว ตอนที่ไลฟ์สดเฉยๆ ไม่ได้ขายของ ไลฟ์พูดคุยตอบคำถาม
เมื่อก่อนพูดน้อยครับ ทำงานทุกคนจะว่าไม่กล้าคุยด้วย หน้าผมจะนิ่งๆ ถ้าสนิทก็จะคุย แต่มาเริ่มพูดเก่งก็ตอนไลฟ์ เริ่มตอบคำถาม ช่วงแรกๆ ก็เขินๆ แข็งๆ อยู่ ยังไม่เป็น แต่ว่าได้ FC แนะนำ เขาก็มีคำถามเป็นเหมือนไกด์ไลน์เรา ถามให้เราตอบ เราก็จะได้รู้ว่า อ๋อ… คนชอบฟังแนวนี้ ผมก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไลฟ์ขายทุกวันในช่อง TikTok
ลูกค้ายังบอกเลยว่าเมื่อก่อนจ่านั่งยิ้มอย่างเดียว แนะนำแต่สินค้า ตอนนี้บางทีก็มีเรื่องเล่า โชคดีว่า FC น่ารักมาก จะตั้งคำถามให้ผมตอบ จ่าตอนที่อยู่ 3 จังหวัดเป็นยังไง อะไรที่เล่าได้ก็เล่า คนชอบฟังแบบนั้น แล้วก็ปักตะกร้าให้ลูกค้ากดสั่ง
(ผู้ติดตาม) เพิ่มรวดเร็วมากครับ เมื่อก่อนไม่ถึง 4,000 แต่ว่าพอไลฟ์ทุกวันมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ไปทำเพจด้วย ขายของมันจะมีข้อความอัตโนมัติง่ายกว่า เพจก็เกือบแสน TikTok ก็เกือบแสนเหมือนกัน ก็เยอะขึ้นครับ แล้วก็ได้รับการตอบรับที่ดี”
[ สินค้าจากท้องถิ่นพัทลุง สดใหม่ทุกวัน ]
การเริ่มต้นใหม่นี้ก็ดูท่าจะไปได้สวย แม้จะไม่ได้ถึงขั้นออเดอร์เข้าถล่มทลาย แต่ก็ทำให้จ่าปืนอยู่ได้อย่างมีความสุข
“แล้วแต่จังหวะ ถ้ามีกระแสข่าวออกมาก็จะเยอะหน่อย ถ้าผมไลฟ์สดอย่างน้อยวันนึง 60 กล่องได้ครับ ถ้าไลฟ์สดจะมีคนมาสั่งเยอะ (รายได้) มันไม่แน่นอนครับ บางเดือนก็ได้เยอะ ผมจะทำแยก 3 บัญชี เก็บไว้ให้ลูก 1 บัญชี ถอนไม่ได้
มองอนาคตไม่อยากให้เหมือนผม ไม่อยากให้ติดลบ ก็เลยจะมีต้นทุนให้เขานับ 2 นับ 3 ไว้เลย จะเก็บไว้ให้เขาส่วนตัว 1 บัญชี จากยอดที่ทำรายได้ ลบหักภาษีแล้ว อย่างน้อยเดือนนึงเข้าบัญชีลูก 5,000 มีอยู่แล้ว
แล้วก็เข้าผมกับภรรยา เพราะว่าภรรยาเป็นหลังบ้าน ทำคลิป ลงโพสต์ ทำโปรดักส์ เป็นคนวางแผนหมด พอมีพื้นฐานทางด้านกราฟฟิคดีไซน์ ผมจะทำหน้าที่ไลฟ์สด ช่วยแพ็กของด้วย ปกติแล้วไม่ใช่ช่วงพีค เดือนนึง 20,000-30,000 กำไรนะครับ
ตอนเช้าผมตื่นปั๊บ พาลูกชายเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแต่งตัวให้ ภรรยาก็จะเตรียมรีดผ้า รีดชุดนักเรียนสำหรับลูก ตอนเช้าก็จะอยู่กับลูก จนส่งรถ พอภรรยาไปทำงาน ผมก็รับออเดอร์ที่มันตกค้างใน TikTok ตอบเมนต์ ตอบแชทในเพจ
เสร็จตรงนี้ผมก็ไปแพ็กของต่อจนถึงเที่ยง เพราะว่าบ่ายโมงขนส่งจะมารับพัสดุไปส่ง ช่วงเย็นก็จะนอนก่อน 1 ตื่น ผมจะฝึกเดิน แล้วก็เล่นกับลูก เดินเสร็จก็ทำกับข้าว ผมทำครัวสำหรับคนพิการไว้ ขาเทียมมันไม่สะดวก สามารถใช้วีลแชร์ทำกับข้าวได้ เสร็จก็ขึ้นไลฟ์กับภรรยา ไลฟ์เสร็จก็มาช่วยแพ็กของต่อ ถ้าไม่มีกิจกรรมอะไรด้านนอก ก็จะมีประมาณนี้
ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์ อย่างน้อยเดือนนึง 2 ครั้ง จะชวนภรรยา ลูก แล้วก็แม่ผมไปหาอะไรทานด้านนอก เหมือนกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ เราพอจะมีโอกาสได้ขายของก็จะมีเงินกำไรบ้าง”
*** ส่งต่อประสบการณ์ "ประเมินเสี่ยง" ไม่ประมาท ***
ตำรวจ EOD ผู้นี้ ได้สะท้อนถึงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เคยประจำการว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น นับวันเจ้าหน้าที่แนวหน้ายิ่งมีความเสี่ยง เขาจึงฝากคำแนะนำถึงว่า อย่าให้ความเคยชิน มาทำให้เราประมาทเด็ดขาด
“คนทั่วไปอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ด้วยว่ามันเกิดมา 20 กว่าปีแล้ว เหตุการณ์มันลากยาว จริงๆ แล้วมันมีเคสทุกวันครับ ยิ่งช่วงนี้พวกที่ไม่หวังดี มันก้าวทันความทันสมัยขึ้นมาเยอะ มันก็มีสื่อของมัน สะดวกกว่าเมื่อก่อน
เมื่อก่อนจะก่อเหตุสักครั้ง ก็ต้องใช้จดหมายหรือเดินไปบอก แต่ปัจจุบันแค่กดพิมพ์ครั้งเดียว เห็นเจ้าหน้าที่ออกจากที่ทำงาน มันรู้แล้ว ส่งต่อแป๊บเดียว ด้วยยุค 4G/5G เป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ใน 3 จังหวัดเสี่ยงมากครับ
ประสบการณ์รุ่นพี่จะส่งต่อให้น้อง ประเมินให้สูงไว้ก่อนดีที่สุดครับ ส่วนมากที่พลาด ทั้งตัวผมด้วย เกิดจากการคิดว่าไม่มีอะไร เหมือนผมเคยชินเกินไป ทำงานบ่อยจนคิดว่ามันปกติ ก็เลยมองข้ามตรงนั้น มันเลยเกิดความประมาท พลาดได้ครับ เคยพูดหลายรายการแล้ว อยากให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ 3 จังหวัด ประเมินให้สูง ให้มันเสี่ยงไว้ก่อน เราจะได้ไม่ประมาทครับ”
[ รับรางวัลข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น "สาขาวีรบุรุษชายแดนใต้"จากสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย]
ถึงแม้ว่าตอนนี้จ่าปืนจะไม่ได้อยู่พื้นที่แล้ว แต่ก็ยังมีความห่วงใยถึงพี่น้องที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ เขาจึงทำโครงการร่วมระดมทุน จัดซื้อ ‘Tourniquet’ หรือ ชุดสายรัดห้ามเลือด ที่มีประโยชน์มากในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งตัวเขาเองก็ได้อุปกรณ์นี้ช่วยชีวิตเอาไว้ ในวันที่เหยียบกับระเบิดอีกด้วย
“ตอนนี้ผมก็ทำโครงการ จัดทำ Tourniquet ร่วมกับเพจ “ร่วมด้วยช่วย 3 จว.ชายแดนใต้” ไปบริจาคฝั่งกัมพูชา 500 ชุด ตอนนี้ก็ส่งไปแล้ว แล้วลงไปมอบทางใต้อีก 100 กว่าชุดครับ เป็น Tourniquet นำเข้าชั้นดี ที่ผมได้ใช้ในตอนที่โดนระเบิด
เมื่อก่อนไม่รู้จักกันหรอก จะใช้ขันชะเนาะไส้ไก่ ผมไม่ได้พูดเข้าข้างใครนะ จริงๆ แล้วเจ้าหน้าที่ที่ 3 จังหวัดชายแดน ที่สูญเสียเยอะเมื่อก่อน เพราะห้ามเลือดไม่เป็น ห้ามเลือดไม่อยู่ เสียเลือดเยอะ Tourniquet มันมีมานานแล้ว แต่มันไม่มีแจกจ่ายในหน่วย เพราะต้นทุนมันสูงด้วย ชุดนึง 1 ชิ้น 2,400 บาท
ที่ผมได้ใช้ ไม่ใช่ของตำรวจด้วย ทหารให้ เขาใช้เป็นของดี เป็นของที่รับรองใช้ในกองทัพสหรัฐ มันจะขันอยู่เลย แต่ถ้าเป็นสายยางหรือว่าไส้ไก่ เลือดกับยางมาเจอกัน เลือดเรามันมีความมัน ยังไงก็ไม่อยู่ แต่ตัวนี้ขันยังไงก็หยุดเลือดได้ 100% ครับ
ผมเคยสอบถามตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ขอเบิกใช้ให้ในหน่วยได้พกไว้ใช้เผื่อเคสฉุกเฉิน เขาบอกไม่มีเบิกครับ ผมกำลังผลักดันอยู่ อยากให้มีติดตัวไว้อย่างน้อยคนละ 1 ชิ้น มีไว้ไม่ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มีครับ นอกจากเสื้อเกราะ หมวกเหล็ก ก็ตัวนี้แหละครับมาอันดับแรกเลย”
อดไม่ได้ที่จะถามถึง “น้องกวินท์” ลูกชายวัย 4 ขวบ ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อปืนและแม่กวาง ว่าได้วางอนาคตไว้ให้กับเขายังไงบ้าง ซึ่งตอนนี้หนูน้อยก็อยู่ในวัยกำลังน่ารัก และยังมาช่วยคุณพ่อคุณแม่ขายของอีกแรง
“เมื่อก่อนตอนแรกๆ ผมบอกเลย ผมห้าม ไม่อยากให้เป็น เพราะผมกลัวว่าจะซ้ำรอยเหมือนผม ความคิด ณ ตอนนั้น ตอนนี้ผมก็ไม่ห้ามแล้วครับ แต่เราก็ไม่ได้ป้อนข้อมูลเยอะว่าลูกต้องเป็นนะ ให้อิสระในการเลือกของเขาเลย
เมื่อก่อนผมจะไม่ซื้อปืนให้ลูกเล่น ผมไม่อยากปลูกฝังให้ลูกเป็นทหาร ตำรวจ เพราะปู่ก็เป็นทหารแล้ว พ่อก็เป็นตำรวจแล้ว แต่ก็ไม่บังคับครับ ถ้าเขาจะชอบเป็นก็ไม่ห้าม แต่พอตอนหลังๆ เหมือนเขาซึมซับ เพราะเขาไปอยู่โรงพยาบาล แล้วเห็นตำรวจ ทหารเข้ามาเยี่ยมผมเยอะ เขาก็พูดมาว่าอยากเป็นทหาร ผมก็ว่าแล้วแต่ลูกเลย
ไม่รู้ได้มาจากไหน ยืนตะเบ๊ะอยู่ครับ ผมว่าน่าจะโรงเรียน กระแสรักชาติ เด็กเขาทำกันเยอะ แต่ก็แกล้งถามว่าอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อมั้ย เขาก็บอกว่าอยากเป็นเหมือนพ่อ พอเห็นใครใส่ชุดก็เป็นตำรวจเหมือนพ่อ พูดบ่อยอยู่ช่วงนี้”
สำหรับชีวิตที่เข้าใกล้ความตายมาแล้ว ก็ได้มาเปลี่ยนมุมมองของชายคนนี้ เขากดดันตัวเองน้อยลง และหันมามีความสุขกับสิ่งเล็กน้อยมากขึ้น และในฐานะนักรบ EOD ก็ขอฝากกำลังใจ ถึงทุกคนที่กำลังต่อสู้อยู่ไม่ว่าสถานการณ์ใดก็ตาม ถ้าเหนื่อยก็พัก ทำเท่าที่ไหว เพราะยังไงชีวิตก็มีพรุ่งนี้เสมอ...
“เปลี่ยนเยอะมากครับ เมื่อก่อนผมจะใช้ตัวเองเป็นหลักเกณฑ์ทุกอย่างของชีวิต เมื่อก่อนความสุขผมคิดว่าเราต้องมีเงินเยอะๆ ต้องพาลูกไปเที่ยวที่สบาย สวยๆ ต้องพาภรรยาไปทานอาหารดีๆ ความคิดก่อนจะโดนระเบิด
พอผ่านช่วงนั้นมาได้ ชีวิตเรามันสั้น ก็เลยไม่ต้องอะไรเยอะ เราทานข้าวที่บ้านก็ได้ แต่เรามีความสุขกับตรงนั้น เก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุด แม้ว่าสิ่งเล็กน้อย เราก็จะยินดีกับมัน มีความสุขกับตรงนั้นให้มากที่สุด เพราะเราจะไปตอนไหนเราก็ไม่รู้
เผื่อว่าวันนึงเราไปแล้ว เราจะได้ไม่เสียใจเหมือนครั้งก่อน ถ้าผมไปซะวันนั้น ผมเสียใจมากแน่ๆ เพราะผมยังไม่ได้เก็บเกี่ยวความสุขกับลูกกับภรรยาเลย วันนี้ก็เลยเปลี่ยน เรื่องเล็กน้อยก็จริง แต่ผมจะทำให้มันมีความสุขมากที่สุดในแต่ละวันครับ
ความคิดผมนะ ถ้าเราเหนื่อยหรือท้อวันนี้ เราพักผ่อน เรานอน เราอย่าไปฝืน เก็บแรง พรุ่งนี้ตื่น สู้ใหม่ สู้ต่อ แล้วอย่าให้อุปสรรคมันเป็นบทสุดท้ายของชีวิต ผมใช้มันเป็นแรงผลักดันในการเดินต่อไปอย่างระหว่างในแนวทางของเรา
ไม่ต้องมองคนอื่น มองตัวเอง สู้ในแบบตัวเอง ต้องเหมือนคนนี้ ต้องเหมือนคนโน้น ไม่ต้อง ไม่ไหวก็พักผ่อน เพราะยังมีคนที่อาจจะลำบากกว่าเราอีก เขายังสู้ทุกวัน สู้ในแบบของเขาที่เราไม่เคยเห็น”
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพ : Facebook “วรวิทย์ ณะรัตตะ จ่าปืน” และ “ปลาส้มจ่าปืน EOD”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **