ขึ้นชื่อว่า “องค์กรไม่แสวงกำไร” แต่ความจริงกลับ “ไม่ใสสะอาด” ล่าสุด ข้อมูลชี้ชัดกว่า 700 แห่ง คือ “มูลนิธิปลอม” ถูกตั้งมาเพื่อ “ฟอกเงิน”!! แถมบางแห่งพัวพันธุรกิจ “จีนเทา” น่าตกใจ “คนวงใน” รู้กันดีว่ามีเยอะขนาดไหน แต่กลับไม่มีใครพูดถึง
** 2 วัดดัง เสี่ยงเข้าข่าย “ยักยอก-ฟอกเงิน” **
จากกรณี “วัดนาป่าพง”และ “พระคึกฤทธิ์”เจ้าอาวาสวัด “ถูกกล่าวหา” ว่า โอนเงินวัดราว 12.2 ล้านบาท ผ่านบัญชี “สีกาคนสนิท” ไปเยอรมนี
โดยถูกตั้งข้อสงสัยหนักว่า อาจเข้าข่าย “ยักยอก-ฟอกเงิน” จากการวิเคราะห์ของตัวสีกาเอง เพราะหลังโอนเงินเข้าบัญชีขององค์กร เธอก็ถูกพระกลุ่มนึง บังคับให้ย้ายเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของพระรูปนี้ที่เยอรมัน
ส่งผลให้สีการายดังกล่าว โดนทางการเยอรมันกล่าวหาว่า เป็นผู้ต้องสงสัย “ฟอกเงิน” ร่วมกับพระดังรูปนี้
ล่าสุด ทางวัดออกชี้แจงแล้วว่า คือการโอนเงินเพื่อ “จัดตั้งมูลนิธิ” ในประเทศเยอรมัน ไม่ใช่กระบวนการฟอกขาว อย่างที่ถูกกล่าวหา
ส่วนจะจริงเท็จแค่ไหนนั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวน คาดว่าไม่เกิน 30 วัน ตามกรอบพิจารณาคดี น่าจะได้คำตอบที่ชัดเจน
ที่น่าสนใจคือ ข้อครหาเรื่องการเปิด “มูลนิธิ” หรือ “สมาคม” เพื่อใช้ “ยักยอก-ฟอกเงิน” ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น ย้อนกลับไปเคสก่อนหน้า อย่างคดี “วัดพระบาทน้ำพุ” ก็ต้องสงสัยเหมือนกันว่า “วัด” และ “มูลนิธิ” อีก 5 แห่ง ที่ถูกเปิดในนามของ “ทิดอลงกต” เสี่ยงเข้าข่าย “นิติกรรมอำพราง” เพื่อโยกเงิน
{“พระคึกฤทธิ์” ถูกกล่าวหา ฟอกเงิน-ยักยอกทรัพย์}
** “ปลอม” จนหมุนเงินได้ “หมื่นล้าน” **
สอดคล้องกับข้อมูลจากการประชุมหารือ การดำเนินการเรื่อง “การประชุมหารือแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับสมาคม มูลนิธิ การพนันออนไลน์ และการถือครองกรรมสิทธ์ในที่ดินของคนต่างด้าว” ของ “กระทรวงมหาดไทย” เมื่อปี 66
ได้แชร์ข้อมูลน่าตกใจเอาไว้ว่า จากจำนวน “มูลนิธิ” ทั้งหมด 5,985 แห่ง มีองค์กรที่ “ไม่ได้รับอนุญาตจดทะเบียนอย่างถูกต้อง” แต่กลับมาเรี่ยไร ใช้เป็น“แหล่งฟอกเงิน”และ “อาจเข้าข่ายกระทำความผิด” ถึง 764 แห่ง
โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีข้อมูลอัปเดตว่า มูลนิธิเหล่านี้ชื่ออะไร, ทำผิดกฎหมายข้อไหน และถูกปิดไปบ้างแล้วหรือยัง?
มีเพียงบางเคสที่เป็นข่าว อย่าง “มูลนิธิเป็นต่อ กรุ๊ป” องค์กรจิตอาสาช่วยเหลือสังคม ที่ถูกตั้งโดย “สารวัตรซัว” (พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล)อดีตตำรวจนอกแถว ที่พัวพันคดีฟอกเงินและพนันออนไลน์ และยังคงหลบหนีอยู่ถึงตอนนี้
หลังการออกมาแฉของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์”ว่า มูลนิธิแห่งนี้ คือมูลนิธิที่จัดตั้งโดยไม่ถูกกฎหมาย และถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน จากธุรกิจสีเทาของสารวัตรซัว ทาง “กรมการปกครอง” จึงแจ้งความดำเนินคดี
ถือว่าเข้าข่ายความผิด 3 ข้อหาหลักๆ คือ
1.ใช้คำว่า “มูลนิธิ” โดยไม่ได้จดทะเบียนถูกต้อง
2.เปิดรับบริจาคจากประชาชนโดยไม่มีสิทธิ์
และ 3.นำไปโฆษณาชักชวน เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน
แต่กลับไม่เห็นความผิดฐาน “ฟอกเงิน” ตามที่ถูกแฉเอาไว้
{“สารวัตรซัว” ตำรวจนอกแถว ที่พัวพันคดีฟอกเงินและพนันออนไลน์}
อีกเคสที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ “มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง”ของ “วัดธรรมกาย” ที่ถูกยื่นฟ้องและสั่งยุบ หลังรับเงินบริจาคกว่า1,200 ล้านบาทจาก “สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น”
ทั้งยังพัวพันกับ “การฟอกเงิน” และ “ยักยอกทรัพย์”นับหมื่นล้านบาทโดยคณะทำงานของ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)” เชื่อว่า กรรมการและผู้บริหารมูลนิธิ มีส่วนรู้เห็น และมีความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งขั้นตอนยังอยู่ในชั้นศาล ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด
{“มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง”พัวพันฟอกเงิน}
** มูลนิธิแอบอ้าง-ข้าราชการงบปลอม **
มูลนิธิกรีนเอิร์ธ, มูลนิธิปรานต์ฮั่นอวี่, มูลนิธิรักษ์ภาษา, มูลนิธิครีเอทิ่ง บาลานซ์ และมูลนิธิผลแผ่นดิน
ถ้าใครเคยโอนเงิน บริจาคให้มูลนิธิที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้ ให้รู้ไว้เลยว่า ได้กลายเป็น “เหยื่อธุรกิจจีนเทา” ไปโดยไม่รู้ตัวเรียบร้อยแล้ว
เพราะมูลนิธิทั้ง 5 แห่งนี้ คือกลุ่มแอบอ้างตัวเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่กลับเอาไว้ใช้ “ต่อวีซ่า” และ “พาคนเข้าประเทศ” ซึ่งล่าสุด ถูกสั่งปิดไปแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) อย่าง “ดร.มานะ นิมิตรมงคล"ให้ข้อมูลกับทีมข่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่รู้กันดีว่า มูลนิธิในไทยจำนวนไม่น้อย ถูกใช้ในทางมิชอบ
“มูลนิธิจำนวนมากเนี่ย ถูกใช้เป็นข้ออ้างเรียกความเห็นใจ และสร้างความน่าเชื่อถือจากคน ในการบริจาคเงินเข้ามา อันนี้เราจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ครับ”
{ตำรวจบุกค้น“มูลนิธิปรานต์ฮั่นอวี่” เอี่ยวจีนเทา}
แถมมูลนิธิที่ตั้งโดยชาวต่างชาติบางแห่ง ยังถูกใช้เป็นข้ออ้างในการลักลอบพาคนเข้าประเทศด้วย โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่องค์กร
หรือถ้าไปดูในหน่วยงานราชการที่มี “งบฝึกอบรม”เยอะๆ ก็จะมีข้าราชการบางคนที่เปิดมูลนิธิ เพื่อรับงานกินงบการฝึกอบรมเหล่านี้เสียเอง
“พวกข้าราชการเกษียณ และใกล้เกษียณเนี่ย ก็จะตั้งมูลนิธิสมาคมขึ้น แล้วก็เข้ามารับงานของตัวเอง เพราะฉะนั้น ไอ้พวกนี้ก็จะได้งานเยอะกว่าคนอื่น เพราะว่าพวกราชการมันจะเกรงใจ มีทุกกระทรวง”
กูรูรายนี้ย้ำว่า การนำชื่อมูลนิธิมาบังหน้า แล้วใช้ในทางมิชอบ มีอยู่เยอะมากในบ้านเมืองเรา แต่กลับไม่ค่อยได้รับความสนใจ หรือนำมาพูดถึงในวงวิชาการเลย โดยเฉพาะประเด็นอย่าง “การฟอกเงินผ่านมูลนิธิ”
{“ดร.มานะ"เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ}
ลองมองผ่านเลนส์ตานักกฎหมายดูบ้าง “ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา” รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม บอกไว้ว่า การฟอกเงิน หรือยักยอกทรัพย์ กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะบรรดาวัดต่างๆ ที่มีเงินบริจาคไหลเวียนเข้ามาจำนวนมาก
“ถ้าใช้ไม่ถูกวัตถุประสงค์ เงินจำนวนมากที่เข้ามานั้น อาจจะคณะกรรมการครึ่ง แล้วเอาไปเข้ามูลนิธิแค่ครึ่งเดียว แล้วเขาจะมีกระบวนการที่จะยักย้าย ถ่ายเททรัพย์ เพื่อไปใช้ในการอื่น ไอ้ตรงนี้เป็นการฟอกเงิน”
ถึงแม้ว่า การจดแจ้งเป็น “สมาคม” หรือ “มูลนิธิ” จะต้องระบุ “ข้อบังคับและวัตถุประสงค์” เอาไว้ให้ชัดเจนว่า ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร แต่ก็ยังมีช่องโหว่ เลี่ยงข้อกฎหมายได้
เช่น คนบริจาคเงิน 1 ล้านบาท เพื่อให้ไปช่วยเด็กยากไร้ แต่เงินกลับถูกเอาไปใช้จริงแค่ครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือก็อาจเอาไปซื้อของที่สอดคล้องกับจุดประสงค์มูลนิธิ หรือจริงๆ แล้วแค่เอาเงินไปแบ่งกัน
หรืออีกกลวิธีการฟอกเงินคือ สมมติ นาย ก. เอาเงินเทามาบริจาคให้มูลนิธิ จากนั้นมูลนิธิก็ไปซื้อที่ดินเพื่อสร้างศูนย์พักพิง แต่ที่ดินนั้นกลับเป็นของนอมินีของนาย ก.
โดยกลเม็ดส่วนมากที่นักกฎหมายรายนี้เจอคือ “การพร่องถ่ายทรัพย์สิน”โดยเปลี่ยนเงินบริจาค ไปเป็นทรัพย์สินอย่าง“ที่ดิน”จากนั้นก็นำไปขายให้กับบริษัทเอกชน
“มันได้ทั้งหมดเลย เพราะการตรวจสอบมันไม่ได้เข้มข้นขนาดนั้น จนกระทั่งว่า กรมการปกครองก็เริ่มจะไหวตัวทันว่า ระยะหลังเนี่ย มีการฟอกเงินผ่านมูลนิธิ-สมาคมจำนวนมาก”
ตอนนี้ “กรมการปกครอง”ภายใต้ “กระทรวงมหาดไทย”กำลังแก้กฎหมาย ให้มีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบมูลนิธิมากขึ้น เพราะทุกวันนี้ ถ้ายังไม่มีหลักฐานทุจริตที่ชัดเจน จะยังไม่สามารถเข้าไป “สั่งยุบ” มูลนิธิลวงโลกได้
{“ดร.ประยุทธ” รองประธาน มูลนิธิทนายกองทัพธรรม}
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : bangkokfocusnews.com, ritta.co.th
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **