xs
xsm
sm
md
lg

“เกลียด-กลัว-ภูมิใจ-ท้าทาย" เจาะ “ที่สุดของวู้ดดี้” พิธีกร-ผู้จัดอีเวนต์ใหญ่ระดับเอเชีย!! [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจาะเบื้องหลังพิธีกรเบอร์ต้นของไทย ผ่านเรื่องราว “ที่สุดของชีวิต” ที่พาให้ อิ่มใจ-ตื่นเต้น-เศร้า-กลัว ครบทุกรสชาติ พ่วงหน้าที่ “1 ใน 3 ผู้จัดอีเวนต์ใหญ่ระดับเอเชีย” ที่บอกเลยว่านี่คือเรื่อง “ท้าทายที่สุด” ของเขาแล้ว!!






*** ที่สุดของหัวใจ ***

ถ้าจะให้เอ่ยถึงชื่อพิธีกรฝีปากกล้าของเมืองไทยมาสักคน เชื่อเลยว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ "วู้ดดี้ - วุฒิธร มิลินทจินดา" ด้วยอย่างแน่นอน

ด้วยความสามารถรอบด้าน ทั้ง พิธีกร, DJ, นักแสดง, นักธุรกิจ และคอนเทนครีเอเตอร์ แถมยังเคยสัมภาษณ์คนดัง ทั้งของไทยและระดับโลกมาแล้วมากมาย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่คือเพชรน้ำงามที่ประดับวงการบันเทิงบ้านเราอีกคน

แน่นอนว่าส่วนใหญ่ เราจะได้เห็นเขาเป็นฝ่ายยิงคำถามใส่ผู้คนมาตลอด วันนี้... ก็ถึงคราวสลับบทบาท ที่เขาต้องเป็นกลายคนตอบคำถามสุด exclusive ล้วงถึงก้นบึ้งหัวใจ กับสารพัดเรื่องราว “ที่สุดของวู้ดดี้”


[ คุณพ่อและคุณแม่ ผู้ยอมรับทุกอย่างในตัวลูกชายคนนี้ ]

ประเดิมกันที่เรื่องที่ “ดีใจที่สุด” ก็คือวันที่ตัดสินใจบอกกับครอบครัวว่า ตัวเองเป็นเกย์ หลังจากปิดบังมานับสิบปี

“ตอนที่บอกพ่อว่าตัวเองเป็นเกย์ แล้วพ่อก็ยอมรับได้ เพราะมันเป็นปมมาตลอดชีวิตว่าเราต้องไม่เป็น เพราะไม่อยากให้พ่อผิดหวัง แล้ววันที่พ่อยอมรับ พ่อก็พูดว่า ทำไมยูไม่บอกไอตั้งแต่แรก กลัวอะไร พ่อยอมรับทุกอย่างที่ยูเป็น

เด็กที่โตมา มารู้ตัวตอนประมาณ 14-15 แล้วก็คิดว่าตื่นมาทุกเช้า พ่อแม่กูจะรับได้ไหม คนที่เป็นเกย์ แล้วถ้าเกิดพ่อแม่ยอมรับไม่ได้ล่ะ ผมทุกข์อยู่ประมาณ 10 กว่าปีในชีวิต แล้ววันที่พ่อบอกผมว่า อยอมรับและไอรักยูมาก โห… เหมือนยกภูเขาออกจากอก นี่คือความสุขที่สุดในชีวิต

รักที่สุด ... สามีครับ ประคับประคองกันมา 18 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกอย่างมาด้วยกันจนเป็นคู่ชีวิต แล้ววันนี้ก็เห็นว่าหลังจากแต่งงานกันเสร็จแล้ว มันไม่ได้จบแค่นั้น มันประคับประคองกันต่อ มันจูนกันต่อ รักมากเพราะอะไร เพราะเราเคยพูดเสมอว่า ต่างคนต่างเป็นก้อนกรรมของกันและกัน ที่เกิดมาก็เกลาซึ่งกันและกัน เลยรักมาก กรรมก้อนนี้”


[ “โอ๊ต” คู่ชีวิตที่รักที่สุด ]

และเรื่องที่ “ภูมิใจที่สุด” ของเขา คือการเป็นหนึ่งกระบอกเสียงใหญ่ ที่นำมาซึ่งความสุขให้กับชาว LGBTQIAN+ ในไทยทุกคน กับการผลักดัน “กฎหมายสมรสเท่าเทียม”

“สิ่งที่มันชัดมาก คงเป็นการที่เราได้ช่วยเหลือ ส่งเสริม ผลักดันให้กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่าน ในรอบ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา ในรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย

ในวันที่ผู้ใหญ่ที่สุดในประเทศ เรียกผมเข้าไปแล้วบอกว่า กฎหมายนี้ เกย์จะเอาไปทำไม คุณจะได้อะไรจากกฎหมายนี้ ผมก็ต้องเข้าไปอธิบายให้ท่านฟังว่ามันคือความเท่าเทียม แล้วใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ ต้องไปอธิบาย ในแต่ละยุค

เกือบ 20% ของข้าราชการไทย ตอนนี้สวัสดิการได้เท่าเทียมกับคนอื่นแล้ว จากคู่ชีวิตเขาเพศสภาพไหนก็ตาม เขาไม่เคยได้ เขาแต่งงานไม่ได้ วันนี้ถ้าเขาแต่งงานกับเพศไหนก็ตาม เขาได้สิทธิตรงนั้น

แล้วภูมิใจตรงที่ว่าวันนึง ทุกคนตกผลึกพร้อมกันทั้งประเทศ ก็เลยภูมิใจ ไม่ใช่ตัวเราเอง ภูมิใจแทนพี่น้องชาวไทย ภูมิใจแทนทุกๆ คน ที่เห็นว่ามนุษย์ทุกคนจะต้องเท่ากัน วันที่กฎหมายผ่านมันรู้สึกเหมือนกับ เห้อ… ยกภูเขาออกจากอก ภารกิจมันสำเร็จ ภูมิใจในการที่กฎหมายนี้ผ่าน”

*** ที่สุดของความคอมพลีท ***

สำหรับเรื่องที่คิดว่า “โชคดีที่สุด” ก็คือการใช้สกิลการพูดที่ตัวเองถนัดมาต่อยอด จนกลายเป็นใบเบิกทางในเส้นทางพิธีกร ที่พาให้เขาได้ไปเจอกันแรงบันดาลใจใหม่ๆ มากมาย

“ผมได้ทำในสิ่งที่ผมรัก ผมหาเงินเลี้ยงชีพได้โดยการใช้ปาก แม้มิติของการคุยมันจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ในวันนึงก็คุยเรื่องของเพลง เพราะผมเป็น DJ ในวันนึงก็คุยเรื่องของ Music Video เพราะผมเป็น DJ

และในวันนึงก็คุยเรื่องกระแสเพราะเกิดมาคุย แล้วพอวันนึงก็เลิก อยากจะมาคุยเรื่องที่มันลึกขึ้น ก็เป็น Woody FM ณ วันนี้ผมก็ยังคุยอยู่ ผมก็เลยคิดว่า โชคดีที่สุด มีปากที่สามารถสื่อสารกับคนได้

ชอบคุยกับคนเก่ง ที่ให้แรงบันดาลใจกับเรา ฟังเขาพูดแล้วเรารู้สึกว่าจิตวิญญาณเรา สติเรา ปัญญามันกำลังพองขึ้น ชอบมากเวลาพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความเข้าใจโลก ความเข้าใจการเมือง ความเข้าใจประวัติศาสตร์ ความเข้าใจเทคโนโลยี ผมอินมาก ผมชอบมาก ฟังแล้วมันเหมือนเราโตไปด้วย”



วู้ดดี้ ยังได้เล่าเรื่องที่ทำให้เขา “ตื่นเต้นที่สุด” ก็คือการได้สัมภาษณ์ “David Beckham” อดีตซุป’ตาร์ลูกหนัง ขวัญใจคนทั้งโลก แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ความรู้สึกในวันนั้น ก็ยังชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

“คุยกับ David Beckham เพราะว่าเขาหล่อมาก ถ้านึกถึงผู้ชายเท่ๆ หล่อๆ ก็ต้องมี David Beckham ตอนไปนั่งสัมภาษณ์ตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นจนตัวเกร็ง ปากสั่น หายใจไม่ทั่วท้อง จนพี่หนูแหม่มส่งข้อความมาว่า ‘ยูเป็นอะไร ยูตื่นเต้นเหรอ’

ผมจินตนาการเกี่ยวกับคนคนนี้มาตลอดชีวิต จินตนาการเหมือนใฝ่ฝัน ระหว่างที่คุยอยู่นี้ก็ตื่นเต้นนะ เขาน่าจะชอบกูแน่ๆ อย่างนั้นเลยนะ เพราะว่าตาเขาจ้องผมตลอด เขาสบตากับผู้สัมภาษณ์ไม่ละ จ้องไปที่ตาผม ละลายเลย แล้วกลิ่น ผมคิดว่าน่าจะเป็นน้ำหอม CREED ที่หอมมาก กลิ่นยังติดจมูกผมอยู่เลยตอนนี้

ผมยังไม่รู้ตัวเลยว่าผมเอาตัวรอดมาได้ยังไง ชั่วโมงนึงอะ ไลฟ์ด้วยนะครับ ที่ Facebook live ในช่อง David Beckham แล้วผมก็สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ผมก็แสร้งๆ ไป ดูมั่นใจ ดูไม่ตื่นเต้น เพื่อนๆ ในวงการทุกคนก็ messages มาว่า ‘มึงดูตื่นเต้นมาก’ ถ้าเสิร์จ Woody - David Beckham คุณจะเห็น ใส่เสื้อสเวตเตอร์สีเทาๆ หัวเกรียนๆ นั่งสัมภาษณ์


[ ที่สุดของความประทับใจ กระทบไหล่ “David Beckham” ]

ผมว่าเขาเป็นฮีโร่ของหลายคน ผมไม่เคยเจอมนุษย์คนไหนที่ nice ขนาดนี้ เขาเดินเข้ามาในกองถ่าย เขากราบไหว้ตั้งแต่ทุกคน ช่างหน้า ตากล้อง ช่างไฟ 1 ช่างไฟ 2 คนในห้องประมาณ 10 กว่าคน เขาใช้เวลาทักทายแต่ละคน คนละนาทีกว่า เขาทำการบ้านมาหมด ผมก็เลยได้แรงบันดาลใจจากเขาเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิตครับ”

และเรื่องที่ “ประทับใจที่สุด” ก็คือการได้ใกล้ชิดกับ ซุป’ตาร์ ตลอดกาลของเมืองไทย วู้ดดี้ ได้ยกให้คนคนนี้เป็น Idol และหวังว่าสักวันตัวเองจะโด่งดังแบบเขาให้ได้

“ประทับใจที่สุด คือ พี่เบิร์ด ธงไชย ส่งคลิปอวยพรวันเกิดของคนที่เรารัก มาให้กับทางทีมงาน แล้วเราก็เปิดคลิปนั้นให้ครอบครัวดู ผมโตมากับพี่เบิร์ด ในหัวคือพายายไปดูคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด บัตร 500 บาท ในวันนั้นหาเอง และไปดูกัน 2 คน ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพลงหมอกและควัน จำได้ วันนั้นคือ กูจะเป็นธงไชย จะเป็นนักร้อง

แล้ววันนึงได้มีโอกาสรับคลิปจากพี่เบิร์ด ที่ตั้งใจอวยพรให้ มันประทับใจมาก จนถึงวันนี้ผมก็ยังประทับใจ แล้วก็รักพี่เบิร์ด พี่นกน้อย แล้วก็ความเป็นธงไชย”

*** ที่สุดของความเศร้า ***

สำหรับเรื่องที่ “เสียใจที่สุด” คือการสูญเสีย “คุณยายณฐิณี บุญชูช่วย” บุคคลที่เป็นดั่งแม่คนที่ 2 ของวู้ดดี้ ท่านจากไปอย่างสงบเมื่อปี 62 ด้วยวัย 93 ปี

“การจากไปของคุณยาย คุณยายเป็นเหมือนแม่ผม เพราะคุณยายเลี้ยงผมมา แล้วทุกสุดสัปดาห์ ผมก็จะไปเล่าให้ยายฟังว่า ยาย ผมมีรายการใหม่ชื่อ ตื่นมาคุย เช้าดูวู้ดดี้ ยาย ตอนนี้ขายกระทะนะ เล่าความสำเร็จ

ตอนนี้ยายไม่อยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าเสียใจมาก คนที่เราไปแชร์เรื่องชีวิตทั้งหมดก็คือเขา ทุกวันเสาร์ผมก็จะไปบอกเขา แล้วก็ไปเล่าให้เขาฟังที่บ้านเขาในวัย 90 กว่าของคุณยาย เล่าทุกอย่างเลย เกี่ยวกับความสุขของผม แล้วเมื่อเขาจากไป เราก็ไม่มีคนเล่าความสุขของเรา ก็เลยกลายเป็นว่าเราเศร้าที่สุด เพราะเราขาดคนที่เรารักที่สุดหายไปจากชีวิต

วันนึงผมบอกเขาว่า ‘ยาย ผมมีปัญหากับแฟน’ ‘แล้วผู้ชายเขาว่ายังไง’ ‘ยายรู้ได้ไงผมเป็นเกย์’ ‘ก็ยายเลี้ยงเรามา ทำไมยายจะไม่รู้ ไม่เป็นไรเลย ปกติธรรมชาติ’ ยายผม cool มาก ยายผมยอมรับทุกอย่างที่ผมเป็น

แล้วยายผมเป็นผู้หญิงที่สวย ยายผมเป็นผู้หญิงที่โก้ ยายผมเป็นผู้หญิงที่ติดดิน ยายผมเป็นนักธุรกิจ ในวัย 90 เขายังไปทำงานนะ นั่งรถไปทุกวัน ไปนับแบงก์ เพราะว่าบ้านเป็นสายส่งหนังสือพิมพ์ แล้วตอนคุณพ่อที่เป็นนักการทูต เดินทางไปข้าราชการต่างประเทศ ในช่วงนึงผมก็ไม่ได้ตาม ก็เลยอยู่กับยาย

ยายคือพลังงานอันยิ่งใหญ่ของผม เวลาท่านไป ผมก็รู้สึกเศร้า เศร้าจนซึมเศร้า ซึมเศร้าถึงขั้นที่ว่าป่วยทางจิต เป็นแพนิค มาครบทุกโรค ที่มนุษย์จะหาได้ แล้วพอวันนึงก็นั่งคิดว่าท่านไปแล้ว เราเอาเวลามารักตัวเองดีกว่า

เราไม่ต้องหาความรักจากใคร แล้วก็ชื่นชมตัวเอง ไม่ต้องหาใครเพื่อจะได้ถ่ายทอดความรู้สึก ทุกวันนี้ก็เลยคุยกับตัวเอง ก็เลยชื่นชมตัวเองในกระจก (หัวเราะร่วน) ผมเชื่อว่าบรรพบุรุษเราทุกคนอยู่ในสายเลือดเราหมด ไม่ได้ไปไหน”


[ คุณยายผู้เป็นทุกอย่างในชีวิต ]

ส่วนสิ่งที่ “เสียดายที่สุด” คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหัน จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนเส้นทางชีวิตครั้งใหญ่

“(นิ่งคิด) เสียดายที่ไม่ได้อยู่ที่อเมริกาต่อในวัย 16 ปี ตอนนั้นกำลังจะเล่นละครเวทีที่ Broadway ผม audition เรียบร้อยทุกอย่างแล้ว กำลังจะไปเป็นนักแสดงเอเชียใน musical ที่โน่น

คุณพ่อก็โทร.มาตาม มาอยู่เมืองไทย ตอนนั้นไม่อยากกลับเมืองไทย คิดว่าอยากไปเป็นนักแสดง ความฝันของผมคือผมอยากเป็นนักแสดงละคร Broadway เสียดายว่าไม่ได้สานต่อ ก็เลยกลับมา นี่คือที่สุดของชีวิต

ได้มีโอกาสโฉบไปเล่นละครเวทีบ้าง ก็มีของหม่อมน้อย ของพี่บอย ถกลเกียรติ ละครเวทีเรื่องแรกของเขา เรื่อง วิมานเมือง นานมาก ก็ยังมีความรู้สึกหลงใหล คลั่งไคล้ แล้วก็ชอบในละครเวที ซึ่งเสียดายที่ไม่ได้เป็นนักแสดงที่ Broadway

เสียดายก็เสียดาย แต่รู้สึกว่าชีวิตมันจัดมาอย่างนี้ มันคงไม่ย้อนกลับไปเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น แล้วก็มีความสุขกับวันนี้มากเลย ก็แฮปปี้กับปัจจุบัน”

*** ที่สุดของความกลัว ***

จากที่ได้เห็นพิธีกรคนเก่งคนนี้ มีความกล้า มั่นใจ และพลังงานล้นเหลือ แต่เขาก็ได้เผยสิ่งที่ “กลัวที่สุด” ให้เราได้ฟัง เป็นความกลัวขนาดที่ว่า ขอเจอผียังดีกว่า!

“กลัวเครื่องบินตก ผมไม่รู้ อยู่ดีๆ มันก็มา พ่วงมาจากตอนที่ผมเป็นแพนิคและวิตกกังวล มันไม่มีอะไรแน่นอน ทั้งๆ ที่เราอยากจะเป็นกัปตันตั้งแต่เด็ก มีกัปตัน นักแสดง Broadway และพี่เบิร์ด อยากจะเป็น 3 อย่างนี้

ตอนที่เครื่องมันวิ่ง take off ตอนลงผมไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้พอเครื่องขึ้นปุ๊บมันมาแล้ว บางทีบิน low cost จะเครียดที่สุด ในหัวผมคือมันคิดไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเหมือนกัน เวลามันจะขึ้น มันจะมีช่วงที่เหมือนกับว่าเขาถอยคันเร่ง

หัวใจมันจะหล่นตุ๊บ แล้วตอนที่มันอยู่บนอากาศ เอาแล้วๆๆ ตั้งจิตอธิษฐานตลอดเลย พุทโธๆ หายใจเข้า หายใจออก เปิดคลิปบ้าง ไม่เวิร์ก ในหัวผมคือมึงจะตายวันนี้แล้ววู้ดดี้

ผมบินไม่ได้ ต้องนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ หลีกเลี่ยงในการบินอยู่ช่วงนึง แล้วพอวันนึง ช่างแม่ง บินให้มันทุกวันเลยให้รู้แล้วรู้รอด ทุกวันนี้ยังกลัวอยู่นะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

เรามีเพื่อนเป็นนักบินเยอะ สัมภาษณ์ตลอด ต้องคิดยังไง เขาบอกว่า ยูจำไว้เลย ไอเป็นนักบินอันดับ 1 ของสายการบิน มันไม่เคยมีเครื่องบินตกจาก turbulence (หลุมอากาศ) มันคือเหมือนวิ่งผ่านลูกรัง ยูกลัวเหรอ รถที่มันผ่านลูกรัง แล้วมันก็จบ ผมก็เลยคิดว่านี่แหละ ไอกลัวที่สุดก็เรื่องนี้แหละ แทบจะหลีกเลี่ยงที่สุดแล้ว

ระหว่างเจอผีเปรตกับขึ้นเครื่อง ผมขอเจอผี ผีเปรต แม่นาค กระสือ จัดเรียงมาเลย ผมไม่สนใจนะ เครื่องบินไม่ได้ ยิ่งบินตอนกลางคืนผมจะกลัวที่สุด ตอนที่มัน turbulence ผ่านเมฆมืดๆ ขมุกขมัว หัวใจเต้นตุบๆๆ นี่แหละกลัวที่สุด แต่ถ้าเครื่องบินมันลำใหญ่หน่อย มันรู้สึกอุ่นใจ ยิ่ง A380 ที่ไม่ค่อยมีแล้วตอนนี้ มันจะเหมือนกับยกเครื่องลำใหญ่ขึ้นไปทีเดียว”



ส่วนเรื่องที่เขา “เกลียดที่สุด” ก็คือการทะเลาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทะเลาะกับตัวเอง

“เกลียดที่สุด เวลาคนเราทะเลาะกัน ผมเลยหลีกเลี่ยง จนบางทีมันก็ทำให้ทุกข์ไปด้วย เพราะว่าเราไม่อยากมี conflict กับใครเลย เราไม่อยากมี conflict กับคนที่เรารัก เราไม่อยากทะเลาะกับครอบครัว

เราไม่อยากทะเลาะกันกับลูกน้อง กับทีมงาน กับใครก็ตามในโลกนี้ เราไม่อยากเป็นข่าวกับใคร เพราะว่ามันทุกข์เกินไปที่เราจะรับได้ จนถึงวันนี้ก็ยังเกลียดที่สุด แล้วผมก็จะยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ไม่ต้องไปทะเลาะกับใคร ผิดใจกับใคร

เราไม่จำเป็นต้องไปต่อล้อต่อเถียงทุกอย่าง เท่ากับว่าเราต้องปล่อยบางอย่าง เท่ากับว่าเราก็ต้องไม่ไปยุ่งกับบางอย่าง แล้วมันก็จะค่อยๆ ลดลง แต่ตราบใดที่เป็นคน มันต้องเจออยู่แล้ว การทะเลาะเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าผมจะไม่อยากเจอ แต่ผมก็เจอ

วันนึงก็คิดว่า ต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะว่ามันก็ต้องมีเรื่องทะเลาะไปจนตาย เว้นแต่คุณปลีกวิเวกอยู่ในป่าหรือเข้าไปอยู่ในถ้ำ แต่ไม่แน่ คุณอาจจะทะเลาะกับตัวเองในถ้ำก็ได้

และยิ่งที่โคตรเกลียดที่สุด ตอนที่ทะเลาะกับตัวเองในหัว เราทะเลาะกับตัวเอง ยังดีไม่พอ มึงต้องทำอีก กูพอแล้ว มึงต้องตั้งใจกว่านี้ มันเกิดความขัดแย้งในหัว อันนั้นคือโคตรเกลียด ดังนั้น การทะเลาะ เป็นสิ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้มากที่สุด

ทุกวันนี้ผมจะมี 3 บทบาท มี วอ 1 มี วอ 2 แล้วก็จะมี วอ 3 เป็นกรรมการ มีอยู่ 3 วอในหัว บางทีก็ไม่ได้ ก็ร้องไห้ไป หรือบางทีก็ช่างแม่งแล้ว คุยกันเอง ไปอาบน้ำแล้ว บางทีก็บอกว่า ไปคุยไกลๆ ก็อยู่กับมัน (ยิ้ม) เพราะ 3 คนนี้ไม่ไปไหน”



และด้วยความที่ยุคสมัยนี้มีรายการต่างๆ ผุดขึ้นมาทุกแพลตฟอร์มราวกับดอกเห็ด การวิ่งไล่ตามให้ทันทุกกระแส ก็เป็นเรื่องที่ทำให้พิธีกรคนนี้ “เหนื่อยที่สุด” เช่นกัน

“เหนื่อยที่สุด คือทำรายการเพื่อแข่งกับ rating ในวันนั้นที่เราจะต้องเอาแขกที่เป็นกระแสที่สุด เหนื่อยมาก มันทำงานกันแบบวันต่อวัน มันต้องแย่งแขก จากเดิมที่สนุก กลายเป็นทุกข์ใจ จากเดิมที่ enjoy กลายเป็น อีกแล้วเหรอ

เหนื่อยใจ เหนื่อยสมอง เครียด ไม่อยากได้ feeling แบบนั้นอีกแล้ว ช่วงไหนก็ตามที่ต้องทำอะไรที่มันแข่งกับ rating ถ้าต้องเอาตัวเลขมาผูก จะเหนื่อยมาก จนวันนี้มันคือยอดแชร์ ยอดเซฟ ยอด engage เหนื่อยที่สุดคือทำงานกับตัวเลข”



เมื่อถามถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ “ตื่นรู้ที่สุด” พิธีกรคนดังยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้น แต่ถ้านับทุกความตื่นของร่างกาย นาทีนี้ขอยกให้ “มัทฉะ” เครื่องดื่มสุดฮิต ทำช่วยให้เขารู้สึกตื่นได้จริงๆ

“ผมไม่มีคำตอบเลย ผมยังไม่มี feeling นี้เลยในชีวิต ในความตื่นรู้ ผมไม่มีในหัวเลยว่ามันมีเมื่อไหร่ ยังไง รู้แต่ว่าหลายครั้งหลายคราว ผมเห็นตัวเองหลับซะส่วนมาก ไม่มีความรู้สึกตื่น โดยเฉพาะตื่นเต็มตัว ในอดีตมีบางครั้งที่ เอ๊ะ.. ใช่ไหม ถ้าตอบในวันนี้ ผมคิดว่าผมยังไม่ได้สัมผัสความรู้สึกตื่นที่สุด

ยกเว้นอาจจะเป็นทางกายภาพ ที่ตอนนี้หันมาดื่มมัทฉะแทนกาแฟ ก็จะตื่นกว่า เพราะว่าที่ผ่านมาดื่มกาแฟเป็นสิ่งแรกหลังจากตื่น ติดกาแฟมาก จนปีนี้เลิก 2-3 อย่าง เลิกแอลกอฮอล์ เลิกกาแฟ แล้วก็หันมาดื่มมัทฉะ แล้วก็ต้องชงทุกเช้า

เชื่อไหมว่ามัทฉะตื่นมาก ตื่นแบบนิ่งๆ แล้วก็ไม่คิดว่าจะเป็นทางเลือกที่ดี อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับตื่นที่ถามหน่อยนะ แต่ผมขอโยงนิดนึงว่า มันไม่เคยรู้สึกตื่นได้เฟรชขนาดนี้มาก่อน ขออนุญาตเป็นสาวกมัทฉะหน่อย (หัวเราะ)

แล้วผมก็ไปเข้า breathework คือการฝึกหายใจ 15 นาที หลังจากดื่มมัทฉะ แล้วก็อั้นหายใจประมาณ 3 นาที เพื่อจะเข้าสมาธิ ในนั้นไม่ได้คิดว่าตื่นหรือเปล่า รู้แต่ว่ามันเงียบมาก แล้วเราก็เห็นเลย เห็นสัมผัส เห็นร่าง เห็นความคิด เห็นการปรุงแต่ง เห็นการเปลี่ยนแปลง อายตนะ เห็นทุกอย่าง ถ้าถามว่าตื่นรู้ที่สุด คำตอบผมเป็นมัทฉะครับ”

*** ที่สุดของความท้าทาย ***

และแล้วก็มาถึงเรื่องที่ “ท้าทายที่สุด” ของชายคนนี้ ก็คือการเป็น 1 ใน 3 หัวเรือใหญ่ผู้ก่อตั้ง Dragonfly 360 ร่วมกับ "แพม-ประนัปดา พรประภา" และ "ซินดี้-สิรินยา บิชอพ"

กับการจัดงาน “Dragonfly Summit 2025” งานสัมมนาด้านภาวะผู้นำที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ที่คว้าตัวกูรูชั้นนำของโลกหลากหลายศาสตร์ มาร่วมปลุกพลังทางกาย จิตใจ และจิตวิญญาณในตัวทุกคน

ในปีนี้มาในธีม “FLOW” ที่เน้นการฝึกสร้างความสุขและสภาวะจิตใจที่ดี จากภายในสู่ภายนอก สู่ความสมดุลในชีวิตแบบองค์รวม นี่คืออีเวนต์ใหญ่แห่งปีที่จัดอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว

และครั้งล่าสุดก็กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 27-28 ก.ย.68 ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ


[ “แพม-วู้ดดี้-ซินดี้” นำทัพ “Dragonfly Summit 2025” ]

“ท้าทายที่สุด ก็หนีไม่พ้น Dragonfly Summit มันมาในหัวเลย ต้องบอกก่อน ด้วยความที่สมาธิสั้นตั้งแต่เด็ก แล้วพอมาถึงวันนึง ความเป็นไฮเปอร์ สมาธิสั้น ทุกอย่างมันรวมตัว มันระเบิด พอระเบิดปุ๊บ แล้วรู้สึก อ้าว… ซวยแล้ว เราจะทำยังไงดีกับชีวิต ที่ผ่านมาทำเทศกาลดนตรีอย่าง S2O ปาร์ตี้ๆ ก็ไปฟังเพลง แต่มันไม่หายอะ ข้างในมันปะทุไง

มันคือหมดพลัง มันคือไปต่อกับชีวิตไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจว่า แล้วเราจะเอางานระดับประเทศหรือโลก ที่เอา speaker avengers ที่มันเป็นที่สุดแล้ว ของแต่ละศาสตร์เยียวยา เพราะบางทีฟังธรรมะ ปฏิบัติทั่วไป มันอาจจะยังเข้าไม่ถึง

เมื่อปีที่แล้ว งั้นก็ลองเอา speaker ลองเอาธรรมะสายอย่างอื่น พระญี่ปุ่นที่อาจจะมาร้องเพลง Heart Sutra พระ Kanho (Kanho Yakushiji) มางานนี้ แล้วไม่ใช่แค่นั้น เราเอาเจ้าแม่ Roxie Nafousi มา Sadhguru มาจากอินเดีย ที่พูดเรื่องปรัชญาชีวิต ถ้าเด็กวัยรุ่นชอบมาก ก็เชิญมาทั้งหมดทั้งโลก


[ งานใหญ่ระดับเอเชีย ที่วู้ดดี้เป็นหนึ่งในผู้จัด ]

แต่ด้วยความที่เอามาทุกศาสตร์มาคละรวมกัน แล้วมันเหนื่อยมากตรงที่ว่าคอนเซปต์มันไม่ง่าย ความรู้สึกมันก็หลากหลาย เป็นภาษาอังกฤษอีก ถึงแม้จะมีล่ามแปลเป็นภาษาไทยก็ตาม แล้วในเวลาเดียวกัน ผมมีทุกศาสตร์มารวมตัวกันหมด เหมือนเอา Avengers มา แต่ว่าปีนี้ทำอีก เพราะว่ามันได้เห็นผล แต่มันเหนื่อยมาก”

ถึงแม้จะเป็นงานที่เหนื่อยมาก แต่ความสำเร็จในปีก่อนที่สะท้อนออกมา ก็คุ้มค่าที่จะไปกันต่อกับ Dragonfly Summit 2025 ในปีนี้ แถมยังขนบรรดาวิทยากรระดับโลกในศาสตร์ต่างๆ มากันแน่นเวทีไม่แพ้กันเลยทีเดียว

“ปีนี้ที่เอามา Mo Gawdat ที่สุดของ AI ในวันนี้ จากคนที่เคยทำงานอยู่ Google ที่ตอนนี้ไวรัลที่สุด ผมก็เลยเชิญมา อีกคนนึงคือ Matthew Walker ซึ่งเป็นปรมาจารย์เรื่องการนอนหลับ ผมก็เอามาด้วย

ไม่พอ ด้วยความที่เป็นสายลองปฏิบัติ ชอบเวลาพระระดับโลกอย่าง Mingyur Rinpoche ที่เทศน์เรื่องของวิตกกังวล โดยเฉพาะใครที่เป็นแพนิค ซึมเศร้า ผมก็ชวนมาด้วยเหมือนกัน



นอกจากนั้น ก็ยังมีศิลปินระดับโลกอย่าง Maejor ที่เป็น hip hop artist เป็นมะเร็ง รักษาตัวเองยังไงรู้ไหม แต่งเพลงใน frequency คลื่นความถี่ที่มันสามารถผ่านเข้าไปจัดการร่างกาย เปลี่ยนพลังงานในเซลล์

จนวันนี้พาร์ทเนอร์กับ องค์ Dalai Lama ในการแต่ง sound frequency เพื่อช่วยเหลือพลังงานของเด็กๆ ในโรงเรียน สำนักงาน บ้าน เขาก็จะมารังสรรค์ sound มันไม่ใช่แค่เคาะกิ๊งก่องๆ แต่มันคือการแต่ง sound ให้เรา connect กับตัวเอง

ผมบอกกับซินดี้กับแพมผู้จัดว่า พอเราจัดงานที่ Self Love มันพิเศษมาก แล้วหลังจากนี้ไป คงจะได้มีโอกาสเอางานนี้ไปประเทศอื่นๆ ที่เขาเห็นค่าของงานนี้ มันท้าทายมาก มันเหนื่อยมาก แต่สุดท้ายก็ทำให้เราเติมเต็ม จัดเพื่อฮีลตัวเอง ฮีลใจ เติมเต็มพลังงาน ห้ามพลาด”



สุดท้ายนี้ ในฐานะที่ วู้ดดี้ ก็เป็นอีกคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาครบทุกรสชาติ เขามีสิ่งที่ “อยากบอกออกไปที่สุด” ก็คือคำว่า “ช่างแม่ง” คำสั้นๆ ที่จะพาเราปล่อยวางจากทุกปัญหาในชีวิตได้

“อยากให้ทุกคนอินกับคำคำนี้ เวลาเจอกับอะไรก็ตามในชีวิตที่มันหนักหนาสาหัส เวลามันไปไม่ถูกเนี่ย 2 พยางค์ ท่องไว้ขึ้นใจ ‘ช่าง-แม่ง’ เพราะว่าถ้าเกิดคุณมัวแต่รออย่างอื่น ที่อาจจะใช้เวลามากขึ้น ในการเห็นไตรลักษณ์ต่างๆ ช่างแม่งไว้ก่อน ทุกวันนี้สติปัฏฐาน ไตรลักษณ์ ขันธ์ต่างๆ มันไปไม่ทัน ช่างแม่งไว้ก่อน

ผมอยากให้คำนี้เป็นคำที่งดงาม ไม่อยากให้มองเป็นคำที่ negative คนอาจจะคิดว่าคำนี้มันไม่สุภาพ ‘ช่าง’ มันไม่สุภาพยังไง ‘แม่ง’ มันไพเราะ ช่างแม่ง มันเป็นคาถาวิเศษ ท่องขึ้นใจไว้ แล้วคุณก็จะอยู่ได้ไปอีก 1 นาทีของชีวิต”












สัมภาษณ์ : YouTube "พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร"
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
คลิป : ชยพัทธ์ พวงพันธ์บุตร
ขอบคุณภาพ : Facebook "Woody", IG @Woodytalk และ Dragonfly360.co



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น