xs
xsm
sm
md
lg

ถึงเวลาแก้ไขก้าวพลาด “นายกฯ หนู” โควิดกระจอก-กัญชาเสรี-พัวพันคดีต้องสงสัย [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ขึ้นแท่น “นายกฯ คนที่ 32” พร้อมข้อกังขา “บริหารสถานการณ์โควิดแย่” ติดเชื้อนับล้าน คนตายนับหมื่น “ปล่อยฟรีกัญชา” จนเป็นปัญหาสังคม มีเอี่ยว “ฮั้ว สว.” พัวพัน “คดีเขากระโดง” แล้วจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้อีกไหม? ด้วยหลากแผลเหวอะกลางหลังของ “นายกฯ หนู” ที่ประชาชนยังคงติดค้างในใจ






** ย้อนรอยก้าวพลาด “โควิดกระจอก” **


พอเป็นนายกฯ ราศีก็จับทันที กับ “นายกฯ หนู” อนุทิน ชาญวีรกูลผู้บริหารประเทศคนที่ 32 จาก “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งกูรูทางการเมืองหลายคนมองว่า การได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้นำประเทศของคนคนนี้ ถือว่าน่าสนใจ

เพราะเขาคือนักการเมือง ผู้ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมากว่า 29 ปี ทั้งยังถือเป็นหัวหน้าพรรคคนสำคัญ ที่ทำให้พรรคเติบโต
ยิ่งล่าสุด ที่เจ้าตัวได้รับเสียงโหวตจากพรรคประชาชน จนหนุนให้ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ ยิ่งสะท้อนทักษะการประสานมือสิบทิศ เด่นเรื่องการเจรจาได้กับทุกฝ่าย ซึ่งถือว่าเป็น “ผู้นำที่เก่งกาจ” และน่าจับตามองมากที่สุดคนนึงในตอนนี้


                                                                    {“อนุทิน” นายกรัฐมนตรีคนที่ 32}

แต่พอย้อนกลับไปดูผลงานเก่าๆ ที่เคยทำไว้ จะพบจุดขัดแย้งกับคำว่า “ผู้นำที่เก่งกาจ” อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะปัญหาระดับชาติในนาทีวิกฤต“โควิด-19” ปี 63-65 ซึ่งขณะนั้น 

เขาดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข” อยู่ในตอนนั้น เขานี่แหละคือต้นกำเนิด “วาทกรรมดูถูก” โรคที่รุนแรงที่สุดในขณะนั้นว่าคือ “โรคหวัดโรคนึง” แทนที่จะแนะพี่น้องประชาชนให้รับมือ ด้วยมาตรการที่เข้มงวดที่สุด

“คือผมไม่ใช่หมอ ก็ประคองตัวเองมาได้ 50 กว่าปีแล้วนี่นะครับ มองว่ามันคือโรคหวัดโรคหนึ่ง”

เกิดกลายเป็นภาวะวิกฤตการแก้ปัญหาที่ล่าช้าอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ ทั้งที่ “วัคซีน” ในขณะนั้น คือความหวังหนึ่งเดียว ที่จะทำให้ประชาชนรอดพ้นจากความตายได้



แต่กระทรวงสาธารณสุข ที่อนุทินเป็น “หัวเรือ” อยู่ กลับคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ไม่ได้ มีแค่คำแก้ตัวที่ให้ไว้กับคนไทยว่า ยังเอาอยู่ รับมือไหว ทั้งๆ ที่กว่าจะจัดการ “นำเข้าวัคซีน” มาให้พี่น้องชาวไทยได้ ก็ล่าช้าไป 1 ปี คือเพิ่งได้วัคซีนจากจีน อย่าง “ซิโนแวค (Sinovac)” ในปี 64

“เวลานี้ ความพร้อมของเรามีเต็มที่ ยังไงก็สามารถควบคุมได้ อีก 6 เดือนก็มีวัคซีนออกมา จึงขอให้มั่นใจ ไม่จำเป็นต้องปิดจังหวัด เพราะโควิดกระจอก ถ้าเราเข้าใจและมีอาวุธพร้อม สามารถรับมือได้”

ไม่รู้ว่า “โควิดกระจอก” ยังไง ในสายตาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อย่าง “อนุทิน” ในยุคนั้น ถึงได้ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมในปี 65 พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง “กว่า 4 ล้านราย”

หนักกว่านั้นคือภาวะวิกฤตหนัก จนระบบสาธารณสุขแทบล่มสลาย คนป่วยหลายคนต้องนอนรอความตาย เพราะวัคซีนยังไม่เดินทางมาถึง เตียงโรงพยาบาลก็มีไม่พอ คุณหมอทุกที่งานล้นมือ ผลักให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงไปถึง “กว่า 30,000 ราย”


ไหนจะการทำสัญญา “ซื้อวัคซีนจำนวนมาก” จากผู้ผลิตเจ้าเดียว คือ “แอสตร้าเซนเนก้า” ทั้งที่ขณะนั้นวิจารณ์กันในวงกว้างว่า คุณภาพของวัคซีนยี่ห้อนี้ สู้อีก 2 รายอย่าง “ไฟเซอร์ (Pfizer)” และ “โมเดอร์นา (Moderna)” ไม่ได้

ในขณะที่หลายประเทศเริ่มเข้าคิวจอง ขอทยอยฉีด “วัคซีนคุณภาพ” กันไป ประชาชนไทยที่อยากเสี่ยงน้อยลง และต้องการเพิ่มแนวโน้มรอดชีวิตให้ตัวเองมากขึ้น ก็เลยต้องตัดสินใจ “จองวัคซีน” กับโรงพยาบาลเอกชนที่นำเข้ามาด้วยตัวเอง บางคนถึงกับต้องบินไปต่างประเทศ เพื่อรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้



** “กัญชาเสรี” กระแสนิยม ทำร้ายสังคม **

นอกจาก “วิกฤตโควิด-19” ภายใต้การบริหารงานด้านสาธารณสุขของ “อนุทิน”แล้ว ยังมีปัญหาใหญ่ระดับชาติอย่าง “กัญชาเสรี” จากนโยบายเรือธงของ “พรรคภูมิใจไทย”ที่ถูกผลักดันออกมา ในสมัยรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในปี 65

ผลักให้เกิดภาพร้านกัญชา ผุดขึ้นทั่วทุกมุมถนน แฝงอยู่ในผลิตภัณฑ์และสินค้าต่างๆ อย่างแนบเนียน จนหลายครั้งเข้าถึงเด็กๆ และเยาวชนอย่างง่ายดายเกินไป กลายมาเป็นปัญหาสังคมครั้งใหญ่ จากช่องโหว่การเร่งออกนโยบายมาใช้ “โดยไม่มีมาตรการควบคุม”

พอมีการเลือกตั้งใหม่ปี 66 หลัง “พรรคเพื่อไทย”จับมือ “พรรคภูมิใจไทย” จัดตั้งรัฐบาล แล้วความคิดเห็นช่วงหลังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สุดท้าย “อนุทิน” ก็ชวนสมาชิกพรรค กระโดดออกมาเป็น “ฝ่ายค้าน”

ส่งผลให้ “เพื่อไทย” ตัดสินใจยุตินโยบาย “กัญชาเสรี” และดึงกลับมาเป็น “ยาเสพติด” ในทันที ส่งผลกระทบหนักต่อนักธุรกิจและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายที่ลงทุนหลาย 10 ล้านเพื่อปลูกกัญชาในระยะยาว จนกลายเป็น “ภาพจำ” เจ้าของนโยบายเล่นขายของ ปรับเปลี่ยนไปมาจนเดือดร้อนประชาชน



ยังไม่รวมคดีหนักๆ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนสอบสวนของ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)” อย่าง “คดีฮั้ว สว.” ที่ “นายกฯ หนู” ถูกพาดพิงว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นการฮั้วการเลือกตั้งของ “สมาชิกวุฒิสภา (สว.)”

กับอีกคดีใหญ่อย่าง “ที่ดินเขากระโดง” ที่มีการฟ้องว่า “เนวิน ชิดชอบ” ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคภูมิใจไทย มีส่วนร่วมในการบุกรุก ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย

ด้วย “ประวัติศาสตร์ความผิดพลาด” จากการทำงานที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ ยิ่งสะท้อน “ภาพลบ” ของ “นายกฯ คนที่ 32” รายนี้ให้ชัดขึ้นไปอีก จนหลายฝ่ายห่วงว่า อาจกระทบต่อ “ความเชื่อมั่น” ในการบริหารประเทศ ภายใต้กรอบเวลา 4 เดือนที่ได้ให้คำมั่นไว้



** นโยบายต้องชัด ลบ “ภาพจำแย่ๆ” **

ลองให้ผู้คร่ำหวอดด้านการเมือง อย่าง “ปุ้ม” สุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ช่วยวิเคราะห์ให้ว่า จะมีความเป็นไปได้แค่ไหน ที่รัฐบาลนายกฯ หนู จะเรียกความเชื่อมั่น จากภาพลบๆ เดิม ให้กลับมาทำงานด้านบวกอีกครั้ง

เขามองว่าประเด็นเรื่อง“โควิด-19” ถือเป็นสถานการณ์พิเศษ ที่รับมือได้อย่างลำบากเหมือนกันทั่วโลก การบริหารงานในสมัยนั้นจึงถือว่าทำดีที่สุดแล้ว

แต่คำวิจารณ์เรื่อง “ความล่าช้า” ในการเลือกบริหารแบบ “แทงม้าตัวเดียว”ผ่านการซื้อวัคซีนมาจากเจ้าเดียว หรือแม้แต่การก้าวพลาด ไม่เข้าร่วม “โครงการ COVAX” ของ “องค์การอนามัยโลก (WHO)” ที่จัดหาวัคซีนโควิด-19ให้แก่ประเทศต่างๆ อย่างเท่าเทียม



สะท้อนให้เห็นว่า อนุทินต้องถอดบทเรียน แล้วผันมาเป็นนโยบายให้ชัด ไม่ต่างจากปัญหาเรื่อง “กัญชาเสรี” ที่ถึงจะเป็นนโยบายที่ผลักให้พรรคภูมิใจไทย ได้รับคะแนนนิยมสูง

แต่สุดท้ายเพราะไม่มีความชัดเจนเรื่องการควบคุม เลยกลายเป็น “นโยบายตัวประกันทางการเมือง” ที่เดี๋ยวเสรี เดี๋ยวผิดกฎหมาย จนแทบไม่เหลือความน่าเชื่อถือ

“ถ้าคุณอนุทินสรุปบทเรียน ตรงนั้นมีอะไรที่เป็นข้ออ่อน ข้อด้อย มีอะไรที่ประชาชนตั้งคำถาม แล้วมีอะไรที่เป็นสิ่งที่ดี ก็เอามาพัฒนา เป็นนโยบายที่จะป้องกันภัยในอนาคตดีกว่า”


                                                            {“ปุ้ม-สุรนันทน์” อดีตรัฐมนตรี ช่วยวิเคราะห์}

นอกนั้น ในส่วนที่มองว่าควรจะรับมือด้วย “ความนิ่ง” คือ “คดีฮั้ว สว.” และ “เขากระโดง” เพราะถ้านายกฯ ไปมีดีลลับ หรือล้วงลูกไปยุ่งกับคดี จะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทยตกต่ำลงไปอีก เพราะยังไง “โลกทุกวันนี้ก็ไม่มีความลับ”

ถึงแม้ว่าตัวนายกฯ อนุทินเอง จะออกมาบอกแล้วว่า จะ “ไม่ยุ่ง” ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าจะเรียกความมั่นใจให้ประชาชนได้จริงๆ ก็ควรตั้ง “รัฐมนตรียุติธรรมคนนอก”ซึ่งเป็นคนที่ประชาชนมั่นใจ

ท้ายที่สุด แนะให้มองเรื่องเร่งด่วน ที่ต้องทำให้เห็นผ่านนโยบาย 4 เดือน ก่อนยุบสภาให้ได้ก็คือ “ปัญหาเศรษฐกิจ” ซึ่งตอนนี้ถึงจะมีการหยิบ “นโยบายคนละครึ่ง” กลับมาปรับใช้ใหม่ แต่ก็ยังถือเป็นเพียงการแก้ไขแบบ “ระยะสั้น” เท่านั้นเอง



ถ้าจะให้ดี นายกฯ ควรโชว์วิสัยทัศน์ด้วยว่า จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวยังไง เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนและนักลงทุนให้กลับมาได้ หลังต้องทนอยู่กับ “ภาวะเศรษฐกิจดิ่งเหว” มานานกว่า 2 ปี

รวมถึงแนวทางการหยุดยั้งความขัดแย้ง “ไทย-กัมพูชา” ที่ไม่ควรเพิกเฉย เพราะเรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่พี่น้องตามแนวชายแดนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการตัดสินใจของเหล่านักลงทุนด้วย

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องทำ เพื่อแสดงถึงศักยภาพความเป็นนายกฯ ที่มีความสามารถมากพอในการบริหารประเทศ ซึ่งอาจช่วยลบภาพจำแย่ๆ ในอดีตออกไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

“มันต้องแก้ตั้งแต่วันนี้ ไปรอรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งไม่ได้ บางอย่างต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่วันนี้ แล้วถ้าเกิดทำได้ดี เป็นนโยบายที่ดี รัฐบาลหน้าก็เข้ามาทำต่อได้นะครับ”










@livestyle.official ...แล้วจะเรียก "ความเชื่อมั่น" กลับมาได้อีกมั้ย? ถ้าแผลกลางหลังจะเหวอะขนาดนี้ และนี่คือการวิเคราะห์ของ "อดีตรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" ที่ชี้ช่องโหว่เอาไว้ให้ @nandopoom... . ขึ้นแท่น "นายกฯ คนที่ 32" พร้อมข้อกังขา บริหารสถานการณ์ "โควิด" แย่เป็นประวัติศาสตร์ ติดเชื้อนับล้าน คนตายนับหมื่น!! . ไหนจะปล่อย "ฟรีกัญชา" จนเป็นปัญหาสังคม แถมอาจมีเอี่ยว "ฮั้ว สว." พัวพัน "คดีเขากระโดง" . #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #ข่าวTikTok #TikTokCommunityTH #นายกหนู #อนุทิน #อนุทินชาญวีรกูล #โควิด #โควิด19 #เขากระโดง #ไทยกัมพูชา #ไทยกับกัมพูชา #คนละครึ่ง ♬ เสียงต้นฉบับ - LIVE Style


สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “FC Anutin”




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น