xs
xsm
sm
md
lg

15 นาทีชีวิต ไร้แผน-ไร้คนช่วย!! ชี้ “มาตรการสวนสัตว์” เข้มงวด “ดูแลสัตว์ดุร้าย” แค่ใน “กระดาษ” [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดัง โดนสิงโตขย้ำจนตาย เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งใหญ่ ผลักให้ต้องลุกขึ้นมากางมาตรการรับมือ เทียบ “ไทย-ต่างชาติ” ชี้ชัดแผนรับมือบ้านเรามี อุปกรณ์ก็พร้อม แต่ไม่มีใครเอาไปปฏิบัติ!!?






** ถึงเวลายกระดับ “มาตรฐานสวนสัตว์” **


กลายเป็นเหตุสลด ณ สวนสัตว์เปิดชื่อดังกลางกรุง อย่าง “ซาฟารีเวิลด์” เมื่อเกิดเหตุ “ฝูงสิงโต” รุมขย้ำเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ ที่ทำงานมากว่า 26 ปี ขณะ “ลงจากรถ” จน “เสียชีวิต” ภายในพื้นที่โซนสวนสัตว์เปิดซาฟารีปาร์ค ท่ามกลางสายตานักท่องเที่ยว ที่กำลังขับรถชมสิงโตอยู่

โดยผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ ปกติแล้วมีหน้าที่ดูแลทั่วไป เน้นตระเวนตรวจตราในพื้นที่ ไม่ใช่คนให้อาหาร และช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง ก็ยังไม่ใช่เวลาให้อาหารสิงโต แต่เขาคือคนที่คุ้นเคยกับสัตว์เป็นอย่างดี

จนไม่มีใครคาดคิดว่า เหตุการณ์ถูกรุมขย้ำจากสิงโต 6-7 ตัว จะเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่คนนี้ ที่น่าตกใจคือผู้อยู่ในเหตุการณ์ต้องทนเห็นภาพเหล่านั้นนานถึง 15 นาที กว่าจะมีเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์เข้ามาช่วยเหลือ


                                                        {เหตุสลด เจ้าหน้าที่สวนสัตว์โดนสิงโตขย้ำ}

สิ่งที่ผู้คนพอจะช่วยกันทำได้ในขณะนั้นก็คือ การบีบแตรรถเสียงดังและตะโกนช่วย เพื่อไล่เหล่าสิงโตที่กำลังรุมขย้ำ แต่กลับไม่สามารถห้ามพฤติกรรมของสัตว์นักล่าได้

สุดท้ายก็ไม่อาจยื้อชีวิตเหยื่อเอาไว้ เพราะตอนไปถึงโรงพยาบาลก็ตรวจไม่พบชีพจร และการกู้ชีพก็ไม่เป็นผล
นักท่องเที่ยวผู้อยู่ในเหตุการณ์ อย่าง “พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์”อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

 
เล่าในรายการ “โหนกระแส”เอาไว้ว่า เจ้าหน้าที่รายนี้ยืนอยู่นอกตัวรถอยู่สักพัก จากนั้นก็มีสิงโตตัวนึงค่อยๆ ย่องเข้าหา และกระโจนใส่จากทางด้านหลัง

“ตอนแรก เราคิดว่าเขาคุ้นเคยนะ แต่พอมันเข้าไป แล้วมันก็ไปประกบเข้าทางด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง แล้วก็ลงกับพื้น ก็ดูลักษณะไม่เหมือนกับจะอะไรนะ แต่ตอนหลัง เห็นมันชักจะไม่ปล่อย แล้วก็มีตัวอื่นเข้ามา ก็เลยคิดว่ามันไม่ใช่หยอกล้อแล้ว”


                                          {“พ.อ.นพ.ธวัชชัย” อดีตศัลยแพทย์ ผู้อยู่ในเหตุกาณณ์}

เกี่ยวกับเคสนี้ “เต้ย” อุปนายกสมาคมผู้นิยมสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ บอกข้อมูลในรายการเอาไว้ให้เพิ่มว่า พฤติกรรมสิงโตในคลิป คือ “พฤติกรรมการล่าเหยื่อ” ที่จะย่องเข้าไปทางด้านหลัง จากนั้นก็จะกระโจนเข้าหา ซึ่งด้วยน้ำหนักตัวที่มาก แค่คนเราโดนกระโดดใส่ บางทีอาจถึงขั้นพิการได้เลย

“เวลาเขากระโจนใส่เราทีเดียว เหมือนรถชนอะครับ ขนาดว่าเขากระโจนเล่น เพราะว่าเขาเล่นตั้งแต่เด็กๆ อย่างนี้ เขาก็กระโจนเล่นใส่เราอย่างนี้ แต่พอน้ำหนักเขาเยอะขึ้น เขาไม่รู้แรงตัวเอง เขากระโจนใส่เราทีเดียว พิการก็มีครับ”


                                                  {“เต้ย” อุปนายกสมาคมผู้นิยมสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ}

สิ่งที่หลายคนสงสัยก็คือ อะไรทำให้เจ้าหน้าที่รายนี้ “ลงจากรถ” กลางดงสิงโตในโซนสวนสัตว์เปิด รวมถึงตั้งคำถามกับ “มาตรการการดูแลสัตว์ดุร้าย” ในลักษณะนี้ว่า มีการควบคุมจริงจังแค่ไหน

รวมถึงทางสวนสัตว์มีระบบการทำงานยังไง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “อุปกรณ์ป้องกันตัว” ที่ต้องมี และควรเซ็ตระบบให้ “ทำงานเป็นคู่” หรือเปล่า จะได้ช่วยกันเฝ้าระวัง อุดช่องโหว่การทำงานให้กันและกันได้



เกี่ยวกับเรื่องนี้ “รศ.น.สพ.ปานเทพ รัตนากร”อุปนายกสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย บอกเอาไว้ว่า ตามหลักแล้ว เจ้าหน้าที่น่าจะรู้ว่า “ห้ามลงจากรถ” และที่น่าสงสัยคือ ทำไมทำงานคนเดียว “ไม่มีคู่หู”

“กติกาเรื่องต้องใช้ ‘Buddy System (ระบบคู่หู)’ หมายความว่าต้องมีคู่หู แล้วมีคนเดียว เพราะอะไร การมีคู่หูเพื่อใช้ในการช่วยเตือนกัน ในข้อปฏิบัติ อันที่ 2 ก็ช่วยเตือนภัย เช่น ช่วยระวัง นี่คือสำคัญที่สุด”


                                       {“รศ.น.สพ.ปานเทพ” อุปนายก สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ฯ}

ส่วน “เฉลิม พุ่มไม้” ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มองว่า ต้องหันกลับมาทบทวน “ระบบการจัดการของสวนสัตว์” ให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยมากขึ้น

ต้องมีแผนจัดการเวลาเกิดเหตุแบบนี้ ไล่จากเบาไปหาหนัก และเจ้าหน้าที่เองก็ต้องมี “อุปกรณ์ป้องกันตัว”เอาไว้ช่วยเหลือตัวเอง รวมถึงดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

“ตั้งแต่อาจจะมีสเปรย์พริกไทย หรือกระบองไฟฟ้า หรือหนักที่สุดก็คืออาวุธปืน เพื่อจะยับยั้งให้สามารถทันเหตุการณ์ กรณีที่เกิดทำร้ายเจ้าหน้าที่ เช่นกรณีนี้ครับ”


                                                 {“เฉลิม” ผอ.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ}

** มาตรการมี แต่อยู่แค่ “หน้ากระดาษ” **

เทียบกับมาตรการในต่างประเทศแล้ว “สำนักงานบริหารความปลอดภัยและอาชีวอนามัย (OSHA)” ของอเมริกา กำหนดเอาไว้ชัดเจนเลยว่า อุปกรณ์ที่เจ้าหน้าที่ต้องมีติดตัว เมื่อเข้าไปดูแลสัตว์ดุร้าย ต้องมีอะไรบ้าง?

อย่างแรกเลยคือ “เสาจับสัตว์” เอาไว้จัดการสัตว์โดยไม่ต้องเข้าใกล้ นอกนั้นคือ “อุปกรณ์ฉุกเฉิน”เอาไว้ใช้เวลาจวนตัว เช่น “สเปรย์พริกไทยสำหรับสัตว์”, “สัญญาณเตือนภัย”และ “โทรศัพท์วิทยุสื่อสาร” ฯลฯ

                                       {“เสาจับสัตว์ (Animal Catch Pole)” คุมสัตว์โดยไม่ต้องเข้าใกล้}

ส่วน “สมาคมสวนสัตว์และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (AZA)”ในอเมริกา ระบุเอาใน “ข้อกำหนดพื้นฐานเวลาทำงาน” เอาไว้เลยว่า เจ้าหน้าที่ที่ทำงานดูแลสัตว์ดุร้าย “ต้องมี 2 คน” เพื่อให้คอยระวังหลังให้กัน “ห้ามทำงานคนเดียวเด็ดขาด”

และเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ต้อง “ฝึกซ้อมจำลองสถานการณ์” เช่น สัตว์หลุดจากกรง, เจ้าหน้าที่ถูกทำร้าย, ภัยธรรมชาติ ฯลฯ ให้เกิดความชำนาญ


                                                    {“สเปรย์พริกไทยสำหรับสัตว์” เอาไว้ใช้เวลาจวนตัว}

อีกทั้งยังออก “แนวทางปฏิบัติฉุกเฉิน (Emergency SOP)” ที่กำหนดขั้นตอนเมื่อเกิดเหตุคร่าวๆ ไม่ว่าจะเป็น การประกาศรหัสฉุกเฉิน, เรียกทีมตอบโต้, เบี่ยงเบนสัตว์, ให้การปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ ฯลฯ 

ส่วนรายละเอียดว่าแต่ละขั้นตอนจะทำยังไง ใช้เวลาเท่าไหร่ อยู่ที่สวนสัตว์เป็นคนเขียนแผนขึ้นมา หันกลับมามองที่ประเทศไทย ถามว่าบ้านเรามีระบบความปลอดภัย หรือแผนปฏิบัติงานที่ชัดเจนอย่างนี้บ้างหรือเปล่า?

ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดสวัสดิภาพสัตว์และมาตรฐานสวนสัตว์ อย่าง “ดร.สาธิต ปรัชญาอริยะกุล” เลขาธิการและผู้อำนวยการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) บอกกับทีมข่าวไว้ว่า ไทยเองก็มีกฎระเบียบระบุเอาไว้เหมือนกัน



ทั้ง ระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการประกอบกิจการสวนสัตว์และสวนสัตว์ ที่หน่วยงานของรัฐจัดตั้งตามหน้าที่ พ.ศ. 2567

ระบุชัดเอาไว้ในประเด็น “มาตรฐานด้านความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย” ที่ว่า สวนสัตว์ต้อง “จัดทำแผน” ทั้งการควบคุมสัตว์, การปฐมพยาบาล และเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บโดยละเอียด

รวมถึงต้องมีเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ที่ “ชำนาญในการควบคุมสัตว์” และ “อุปกรณ์จับบังคับสัตว์” ในพื้นที่จัดแสดง หรือในจุดที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น ปืนยิงยาสลบ, เครื่องช็อตไฟฟ้า, ไม้กระบองตาข่าย, สวิงควบคุมสัตว์ เป็นต้น



“ระเบียบเนี่ย เพิ่งประกาศเมื่อปลายปี 2567 เท่าที่ผมทราบเนี่ย ในการบังคับกับสวนสัตว์เอกชน หรือสวนสัตว์ต่างๆ เหล่านี้ ก็ยังไม่สามารถที่จะดำเนินการ ให้มันครบตามกฎหมายได้อะครับ”

แผนปฏิบัติทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ “สวนสัตว์” ต้องทำส่ง “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” อยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ แผนมาตรการความปลอดภัยที่ส่งไป กลับไม่เคยถูกเอาไปใช้ หรือเอามาปฏิบัติอย่างจริงจัง

“อาจจะมีแผนในกระดาษครับ ผมว่าอย่างนั้นนะ แต่แผนที่ปฏิบัติจริงๆ หรือว่าการฝึกซ้อมจริงๆ จนเกิดความเชี่ยวชาญ หรือชำนาญ ผมว่ายังไม่มี”

สุดท้ายแล้ว พอเกิดเรื่องก็บอกว่า ทำตามขั้นตอนทุกอย่างแล้ว มีมาตรการความปลอดภัยอย่างชัดเจน ทั้งที่สิ่งที่อ้างมาทั้งหมดนั้น มันเป็นแค่ “ข้อความบนหน้ากระดาษ” ที่ไม่เคยถูกหยิบมาปฏิบัติอย่างจริงๆ จังๆ สักที


                                                       {“ดร.สาธิต” สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ฯ}

** เกิดขึ้นตลอด แต่ถูก “ปิดข่าว” **

เคส “สัตว์ทำร้ายคน” ทั้งคนเลี้ยง เจ้าหน้าที่ดูแล หรือแม้แต่นักท่องเที่ยว คือสิ่งที่พบเห็นอยู่เรื่อยๆ ทั่วโลก ส่วนถ้าเป็นในประเทศไทย เคยเกิดกับเคสสวนเสือทางภาคเหนือ ตั้งแต่ปี 52

คือเหตุการณ์ “นักท่องเที่ยวชาวนิวซีแลนด์” ถูกเสือกัดจนต้อง “เย็บถึง 54 เข็ม” เพราะเจ้าตัวเข้าไปถ่ายรูปในกรงเสือ ซึ่งตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วย และเสือตัวนั้นก็เป็นแค่ “ลูกเสือ” ด้วยซ้ำ

กับอีกเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี 60 ณ สวนสัตว์ทางภาคเหนือ จากเหตุ “ควาญช้างถูกทำร้าย” จนเสียชีวิต ในตอนเข้าไปให้อาหารช้างตัวที่กำลังตกมัน



แม้แต่ในประเทศที่มีกฎเรื่องความปลอดภัยเข้มข้นมากๆ อย่างอเมริกา ก็ยังเคยมีเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ถูกทำร้าย อย่างเคสในปี 55 ที่เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย “ถูกหมีขย้ำ” จนเสียชีวิต ขณะกำลังให้อาหารภายในกรง

ส่วนถ้าเป็นเคส “สิงโตทำร้ายเจ้าหน้าที่” เหมือนกัน เคยเกิดขึ้นในปี 60 ณ สวนสัตว์ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่สัตว์นักล่าพันธุ์นี้ทำร้ายเจ้าหน้าที่หญิงจนเสียชีวิต ขณะกำลังทำความสะอาดกรง



นี่ยังไม่นับรวมเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เป็นข่าวอีก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดกับเคส “สวนสัตว์เปิด” เนื่องจากลักษณะการจัดแสดง “เน้นให้คนและสัตว์อยู่ใกล้กันมาก” ทำให้ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงได้ง่ายกว่า

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “สวนสัตว์ปิด” ที่เห็นสัตว์จัดแสดงอยู่ในกรง จะไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะบางครั้งก็ต้องมีพี่เลี้ยง เข้าไปแสดงโชว์หรือให้อาหารสัตว์เหมือนกัน แต่อาจมีความเสี่ยงต่ำกว่า เพราะสัตว์พวกนั้นถูกคนเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก จนแทบจะคุ้นชินกับมนุษย์ไปแล้ว



อย่างไรก็ตาม การเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่คาดคิด ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะสัญชาตญาณสัตว์ป่า คือสิ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด และไม่มีทางที่จะหมดไป

ยกตัวอย่าง เสือที่เราเห็นเลี้ยงจนเชื่องเหมือนแมว แต่ถ้าเขาได้กลิ่นเลือด หรือมีอะไรไปกระตุ้น สัญชาตญาณดิบก็อาจถูกปลุก แล้วกระโจนเข้าทำร้ายผู้คนได้



ดังนั้น เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ ต้องมีแผนรับมือ และปฏิบัติอย่างจริงจังได้แล้ว อย่างที่ ดร.สาธิต เลขาธิการและผู้อำนวยการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย เตือนทิ้งท้ายเอาไว้

“มันเคยเกิดแหละ แต่ว่ามันไม่เคยเป็นข่าว แล้วมันก็เงียบๆ ไป รู้กันแค่ในวงจำกัด เคสสัตว์ทำร้ายคน ไม่เคยเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจมากขนาดนี้ เพราะว่าเขาปิดข่าวไง


มันต้องหันกลับมาดูนะครับ ในเรื่องมาตรฐานเหล่านี้ ควรไม่ใช่อยู่แต่ในตำรา อยู่แต่ในข้างฝาผนัง แต่ต้องนำมาใช้ เอามาฝึกฝนจริงๆ อบรมพนักงาน เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ ต้องมีความรับผิดชอบ มีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นครับ”







ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)






...

สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : X @lolitascak3, www.cattales.org, www.dailymail.co.uk, Facebook “Thailand Exotic Pet keepers Association”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น