เจาะทริกกูรู ผู้ฝึกน้องหมามือฉมัง ผ่านประสบการณ์ยาวนานเกือบ 3 ทศวรรษ ปรับแก้ได้ทุกพฤติกรรม ไปจนถึงขั้นปั้นน้องหมาให้เป็นซุป’ตาร์ ลบความเข้าใจผิดเรื่อง “ต้องทำโทษถึงเชื่อง” พิสูจน์ให้ดู ฝึกด้วยความรัก ยังไงสัตว์ก็เชื่อฟัง แถมแฮปปี้อีกต่างหาก
*** เริ่มหัด "น้องหมา" เพราะ "นกยูง" นำทาง ***
ชายเจ้าของใบหน้าสุดใจดี ที่กำลังหยอกล้อกับน้องหมาอยู่นี้ คือ “วันไชย เจียมภักดี” โค้ชฝึกสุนัขและเจ้าของ “ศูนย์ฝึกสุนัขไชยภักดิ์” ศูนย์ฝึกสุนัขเบอร์ต้นๆ ของไทย ที่ก่อตั้งมายาวนานถึง 27 ปี
นอกจากจะเปิดศูนย์ฝึก เพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้การเลี้ยงดูสุนัขอย่างถูกวิธีแล้ว โค้ชวันไชย ยังอยู่เบื้องหลังเหล่าซุป’ตาร์ 4 ขา ที่ฝากผลงานในวงการบันเทิงมาแล้วมากมาย ทั้งงานหนัง งานละคร และงานโฆษณา
อย่างแก๊งหมาจรจากภาพยนตร์เรื่อง “มะหมา 4 ขาครับ” หรือจะเป็น “น้องฮังเล” พันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ก็เคยประกบคู่กับนักแสดงตัวท็อปอย่าง “แอฟ - ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ” ในโฆษณาน้ำยาซักผ้าชื่อดัง
ล่าสุด “น้องชิฟู” พันธุ์ชิวาว่าแสนรู้ ผู้รับบท “น้องตอม่อ” จากภาพยนตร์ “ซองแดงแต่งผี” และยังมีน้องหมาดาราในสังกัดอีกเพียบ
ชายคนนี้ได้ทุ่มเทชีวิตเกือบทั้งชีวิตไปกับการฝึกสุนัข จนส่งให้ที่นี่กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการ และได้รับการขนานนามว่า ศูนย์ฝึกสุนัขแห่งแรกของไทย ที่ฝึกน้องหมาด้วยใจ ไม่ใช้ความรุนแรง
สำหรับจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามุ่งหน้าเอาดีด้านนี้ ก็มาจากความรักสัตว์เป็นทุนเดิม บวกกับพรสวรรค์ ที่สามารถสื่อสารกับสัตว์ และทำให้พวกมันเชื่อฟังคำสั่งได้ จะบอกแบบนั้นก็ไม่เกินจริง
“ที่มาที่ไปของการที่เรารู้สึกดีกับสัตว์ เริ่มมาจากตั้งแต่เด็กๆ ที่บ้านก็จะมีสารพัดสัตว์ที่เลี้ยงอยู่ คุณแม่จะชอบสุนัขมาก ส่วนคุณพ่อก็จะมีทั้งนกเขา นกพิราบที่มาเองแต่ก็เชื่อง แล้วก็มีแมว
ช่วงที่ยังไม่ถึงวัยรุ่นดี ก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวสวนสัตว์ เรารู้สึกที่นี่มีสัตว์หลากหลายมากมายกว่าที่บ้าน คือเป็นคนที่เวลาดูอะไรก็ตาม เราจะชอบดูอย่างละเอียด พยายามไปนั่งมองแล้วเห็นความน่ารักต่างๆ ของเขา
[ “น้องชิฟู” เจ้าของบท “น้องตอม่อ” จากหนัง “ซองแดงแต่งผี” ]
เราไปสวนสัตว์ สมัยก่อนเขาจะเรียกเขาดิน อย่างคนที่ไปเที่ยวก็จะมีทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ บังเอิญโชคดีมากเดินไปที่กรงของสัตว์ต่างๆ อย่างลิง เราก็จะเห็นความซนของเขา เห็นว่าเขามีวิธีการแกล้งเพื่อนยังไง แกล้งแม้กระทั่งคนที่มาเที่ยว
เด็กๆ ก็จะมีขนม ลิงก็จะยื่นมือมาขอขนม เด็กทีแรกก็ให้ แล้วก็เหมือนไปหลอก ไปล่อ ให้บ้าง ไม่ให้บ้าง ไปแกล้งเขา เขาจำแล้วเขาก็มอง เขามีการแกล้งคนกลับ เราดูก็ขำๆ ก็ยังไม่ได้คิดอะไรด้วยความเป็นเด็ก”
เมื่อเดินมาถึงกรงนกยูง ในจังหวะที่มันกำลังรำแพนหางพอดี ความงดงามนั้น ได้สะกดสายตาเด็กน้อยเอาไว้อยู่หมัด เขาอยากเห็นนกยูงรำแพนหางอีกครั้ง จึงเฝ้าสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรม จนนกยูงตัวนั้นทำตามมนุษย์ในที่สุด
“ผ่านกรงนั้นกรงนี้ ก็ไปเจอกรงของนกยูง ก็ไปเห็นเขากำลังสะบัดตัวแล้วก็แพนหางขึ้นมา เป็นอะไรที่สวยมาก เราชอบ ก็เลยนั่งดูเขาอยู่พักใหญ่ๆ รู้สึกหลงเสน่ห์ครับ จากวันนั้นมาเราก็หาโอกาสที่จะไปเที่ยวสวนสัตว์บ่อยๆ
[ “น้องฮังเล” ผู้เคยมีผลงานโฆษณากับ “แอฟ - ทักษอร” ]
พอเราไปถึงกรงของนกยูง ก็พยายามจะรอเวลาที่เขาแพนหาง เขาไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ๆ นึกจะแพนก็แพน มันจะมีบางจังหวะ ก็ได้เห็นว่าเวลาที่เขาเจอนกยูงอีกตัวนึง เขาก็จะทำหัวจึ้กๆๆ แล้วก็บิดข้างตัว อีกตัวเขาก็จะมอง เดี๋ยวสักพักเขาก็จะสะบัดตัว และเขาก็จะแพนหางขึ้นมาสวยเชียว เราก็รู้สึก อ๋อ… ดีแฮะ เราก็พยายามที่จะเลียนแบบ
พอเราอยากให้เขาแพนหาง เราก็ดูจังหวะ เขามองเราเมื่อไหร่ เราก็จะทำท่าเลียนแบบนก หันข้างแล้วก็สะบัดตัว ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้ ด้วยความเป็นเด็ก เราคิดว่าทำอย่างนี้แล้วเป็นไปได้มั้ย ปรากฏว่าทำไปทำมา ก็ได้เห็นนกยูงตัวนั้นตอบสนอง เขาก็ทำขึ้นมาเฉยเลย เป็นอะไรที่มหัศจรรย์ โต้ตอบกับเราได้ เพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันก็หัวเราะ
เราอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงมั้ย เราก็พยายามจะไปอีกเมื่อมีโอกาส เราจะไปทำ แล้วก็ได้ผล ไม่ถึงกับทุกครั้ง แต่ส่วนใหญ่นกยูงก็จะรำแพนหาง มันเป็นอะไรที่วิเศษมาก มีความสุขมาก
นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เรารู้สึกว่า สัตว์จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่อง เขารู้เรื่อง เราเองต่างหากที่ไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับเขายังไง มันเลยทำให้เวลาที่เราอยู่ใกล้ชิดสัตว์ เราก็จะเริ่มสังเกตมากขึ้น
เราก็จะดูพฤติกรรมธรรมชาติของเขา เวลาที่เขาอยู่ด้วยกัน อยู่กับฝูงเขา เขาเล่นกันยังไง เขาสื่อสารกันแบบไหน แล้วเราก็เลยเป็นความชอบส่วนตัว”
*** ฝึกโดนใจ จนปล่อยให้ "ฟรี" ไม่ไหว ***
จากการเลียนแบบท่ารำแพนหางของนกยูงในวันนั้น กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชายคนนี้อยากที่จะฝึกฝนสัตว์ด้วยตัวเอง โดยเริ่มจาก “น้องจินนี่” สุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด สัตว์เลี้ยงตัวแรกในชีวิต
“จุดเริ่มต้นในการที่จะหันมาฝึกสัตว์ ต้องบอกว่ามันมาจากเราเลี้ยงสุนัข เรารักเขา เรามีความผูกพันกับเขา เรารู้สึกว่า สุนัขเราน่ารัก เป็นทุกอย่างของเรา เราก็อยากให้คนอื่นรู้สึกรักเขาเหมือนอย่างที่เรารัก
(สุนัขตัวแรกที่เลี้ยง) เป็นเยอรมันเชพเพิร์ดครับ โดยปกติเป็นคนชอบสุนัขตัวใหญ่ พันธุ์ใหญ่ เวลาเราเล่นกับเขามันเต็มไม้เต็มมือ ด้วยความที่เป็นผู้ชาย บวกกับเรามีความรู้สึกว่าดูเขาสง่า ก็เลยชอบพันธุ์นี้ครับ
[ “น้องจินนี่” สุนัขตัวแรกในชีวิต ]
เชื่อมั้ยครับ จากเป็นผู้ชายที่สมัยก่อนเที่ยวเก่ง มีเพื่อนฝูงเยอะ เป็นคนที่ตื่นสาย นอนดึก แต่ตั้งแต่มีเขา เราก็เริ่มเปลี่ยนตัวเอง เราตื่นเช้าได้ พาเขาไปวิ่ง เดินครั้งนึงเป็นกิโลๆ แล้วก็โตวันโตคืน หมาก็เริ่มสง่า เริ่มสวย
ส่วนใหญ่ศึกษาด้วยตัวเอง จากการสังเกตธรรมชาติของเขา ในขณะเดียวกันก็จะศึกษามาจากตำราเท่าที่หาได้ แล้วก็จากผู้รู้ สมัยก่อนจะมีเพื่อนๆ เป็นตำรวจ ทหาร ที่อยู่ในหน่วยการฝึกสัตว์มา เราก็มีการนั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
เรารู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบเขา ไม่ใช่ให้เป็นภาระของที่บ้าน เราก็จะฝึกสอนให้เขาขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง รู้จักการกินอาหารอย่างสุภาพ ไม่หกเลอะเทอะ แล้วก็ได้ผล พอทำอะไรแล้วมันสำเร็จ เรารู้สึกว่าภาคภูมิใจ เราก็เริ่มสนุกกับมัน
มีบางอย่างที่ล้มเหลว แต่อะไรที่ล้มเหลว เราไม่ได้ท้อแท้ เขากับเราคุยกันคนละภาษา เขาเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็ไม่ได้ผิดอะไร บังเอิญเป็นคนที่ชอบท้าทายตัวเอง ก็เลยเป็นที่มาของการพยายามที่จะศึกษา หาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ไปเรื่อย”
ความฉลาดแสนรู้ของน้องจินนี่ ตกหัวใจคนที่ได้เจอไปตามๆ กัน จนกลายเป็นว่าบ้านไหนที่มีน้องหมาจอมซน ก็จะมาขอความช่วยเหลือจากบ้านนี้ ให้ช่วยฝึกหมาดื้อให้กลายเป็นหมาเรียบร้อยให้ที
“เดิมเลยเราก็ยังไม่ได้คิดว่าจะฝึกแบบจริงจัง แต่ในระหว่างที่เราพาเขาไปเดินเล่น พาไปออกกำลัง บังเอิญเป็นคนตัวเล็ก แล้วจูงสุนัขตัวใหญ่ แต่เขาฟังเรารู้เรื่อง เขาเดินกับเราได้ด้วยดี เราก็จะบอกให้เขานั่งคอยอยู่ข้างๆ แล้วเราไปอยู่ซื้อของ สุนัขของเรานั่งเรียบร้อย คนเห็นก็ อุ๊ย...ทำไมเรียบร้อยจัง ก็มีการคุยกัน เราก็เล่าว่าเราเลี้ยงเขายังไง
จนกระทั่งคนที่อยู่ใกล้ๆ บ้าน เขาก็ได้สุนัขตัวใหม่มา เป็นพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ แล้วซนมาก เขาก็อยากให้เรียบร้อยเหมือนของเรา ก็เลยมาคุยกับเรา สอบถามวิธีการเลี้ยง เราก็อธิบายให้เขา เขาก็ไปทำ แต่เขาทำไม่สำเร็จ เขาก็เลยมาขอความช่วยเหลือ แต่ว่าตอนนั้นยังไม่ได้ทำธุรกิจ เราก็ช่วยฝึกให้ฟรีๆ ในฐานะเพื่อนบ้านกัน ก็เอามาฝึกให้
ปรากฏว่าพอฝึกไปแล้ว ด้วยความที่เป็นโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เขาก็มีความน่ารักอยู่ในตัวเอง เพราะว่าเขาเป็นสุนัขเฟรนด์ลี่ พอเจ้าของเอากลับไป พาไปไหนคนก็ชอบ คราวนี้ก็ปากต่อปากกันมากมาย จนกระทั่งเพื่อนเขา คนรู้จักเขาสนใจ
ตอนที่ฝึกให้เขา เราก็จะสอนพวกให้นั่ง ให้คอย เรียกมาหา ให้หมอบ การขับถ่าย แล้วก็การเล่น อย่างเช่น เล่นขว้างลูกบอลไปให้คาบมา เวลาที่เดินทางไปด้วยกัน สุนัขก็นั่งอยู่บนรถเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นของเราหรือของสุนัขเพื่อนบ้านตัวนั้น
พอเขาไปเล่ากัน เขาไปเห็นสุนัขที่ไหนที่มีปัญหา เขาก็จะพูดถึงเรา คนมาขอเราช่วยฝึก แรกๆ เราก็ช่วย ไม่ได้คิดอะไร เราก็เอามาฝึก มีอยู่วันนึงเช้าตื่นลงมา ลงมาจากชั้นสอง นี่บ้านเหรอ มีแต่สุนัขทั้งนั้นเลยชั้นล่าง
ก็เริ่มมีความรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว มันเป็นอะไรที่เยอะมากเกิน แล้วก็จะเป็นภาระของคนที่บ้าน เลยคิดว่าถ้าอย่างนี้น่าจะฝึกให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ก็เลยเป็นที่มาของการเปิดโรงเรียนฝึกครับ”
*** ฝึกด้วยรัก สอนด้วยใจ ไม่มีตบตี ***
แต่การจะเป็นศูนย์ฝึกสุนัขได้ นอกจากจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในธรรมชาติของน้องหมาแต่ละตัวแล้ว ยังต้องสร้างความเข้าใจใหม่ให้สังคมในยุคนั้น ว่าการฝึกฝนสัตว์ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเสมอไป
“สมัยก่อนต้องบอกว่าการฝึกสุนัข ไม่ได้มีมากมายแบบปัจจุบัน จะมีเฉพาะของหน่วยงานราชการ ของเอกชนมีอยู่น้อยมาก แล้วก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะว่าคนสมัยก่อนจะมีความรู้สึกว่าการฝึกสัตว์จะต้องตี สัตว์ถึงจะเชื่อฟัง
บางทีที่เราเห็นละครสัตว์ ก็จะต้องมีไม้คอยกำกับ เพราะฉะนั้น คนทั่วไปที่ไม่เข้าใจ ก็จะรู้สึกว่าการฝึกสัตว์ ต้องเป็นการทำโทษเพื่อให้เชื่อฟัง เพื่อให้ทำตาม ไม่งั้นก็จะดื้อ ตอนนั้นยังไม่แพร่หลายครับ
ผมเคยรู้จักกับคนที่ฝึกสุนัข เราเองอยากให้สุนัขเก่งขึ้นมากกว่าที่เราทำได้ เราก็ไปปรึกษา อยากให้เขาฝึก เขาพูดอยู่คำนึงว่า ‘สุนัขขี้เหร่’ ตอนที่สุนัขยังไม่โตมาก เชื่อมั้ยครับว่ามันแทงใจดำ ไอ้คำว่าขี้เหร่ มันทำให้เรารู้สึกว่า งั้นไม่ต้องมีใครมาฝึกให้ เราฝึกเอง แต่มันเป็นฝึกแบบของเรา เราไม่ได้รู้หรอกว่ามาตรฐานมันจะต้องอะไรยังไง
จนกระทั่งเรามีความรู้ความสามารถพอฝึกได้ เราก็เริ่มมาแบบจริงจัง ตัวที่ 1 ตัวที่ 2 ตัวที่ 3 แล้วเราก็มาพัฒนาจากนั่ง หมอบ คอย เรียกมาหา ก็เริ่มให้ลูกเล่นหลากหลายมากขึ้น ตรงนี้มันเป็นการฉีกจากของที่อื่นๆ ที่เขาฝึก เราก็มาคิดรูปแบบการฝึก แล้วก็พัฒนาการฝึกของเรา จนกระทั่งสุนัขตอบโจทย์กับสิ่งที่เราต้องการได้ เราก็เลยเริ่มเปิดเป็นที่ฝึกอย่างจริงจังครับ”
[ “ศูนย์ฝึกสุนัขไชยภักดิ์” ตัวตึงวงการฝึกน้องหมาเกือบ 3 ทศวรรษ ]
การมาของ “ศูนย์ฝึกสุนัขไชยภักดิ์” ในตอนนั้น กลายเป็นที่จับตามองของวงการสัตว์เลี้ยง จนสื่อต่างๆ จองตัวขอจ่อไมค์สัมภาษณ์กันอย่างไม่ขาดสาย แถมยังขนานนามให้เป็น ศูนย์ฝึกสุนัขแห่งแรกของไทย ที่ฝึกด้วยใจ ไม่ใช้ความรุนแรง
“หลังจากที่เราเริ่มเป็นที่รู้จัก เริ่มมีชื่อเสียง ก็มีสื่อเข้ามาสัมภาษณ์ เป็นนิตยสารฉบับนึง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็น ‘สื่อรักสัตว์เลี้ยง’ มาสัมภาษณ์ แล้วก็ได้ลงความเห็นว่า เราเป็นศูนย์ฝึกแรกที่ฝึกสุนัขด้วยใจ ด้วยความรัก ความอบอุ่นครับ
ศูนย์ฝึกเราเปิดไม่นานก็เป็นที่รู้จักมากมาย เพราะบรรดาสื่อต่างๆ ก็เข้ามาสัมภาษณ์เยอะ สมัยนั้นเราโตไวมาก เริ่มมีลูกค้า วงการประกวดสุนัขเขาก็เริ่มรู้จักกับเรา ก็มีการคุยกัน แล้วก็อยากให้เรานำสุนัขไปโชว์ในงานประกวดนั้น
สมัยก่อนเขาก็จะโชว์พวกนั่ง หมอบ คอย ในสายจูง นอกสายจูง สั่งระยะใกล้ สั่งระยะไกล แต่พอเป็นโชว์ของเราจะมีการคิดรูปแบบใหม่ๆ โชว์ความน่ารักของสุนัข ให้สุนัขกระโดดลอดห่วง คาบของมาให้ คาบของไปให้คน อะไรทำนองนี้
พอเราโชว์จบ หลังจากงานนั้นไม่นานก็จะมีพวกนักข่าว พวกสื่อนิตยสารต่างๆ แม้กระทั่งสื่อทีวีก็เข้ามารู้จักกับเรา แล้วก็อยากจะเชิญเราไปออกรายการบ้าง เข้ามาสัมภาษณ์ลงนิตยสารอะไรต่างๆ
เหตุที่เขารู้สึกชื่นชอบ แล้วก็อยากให้เราออกไปร่วมในรายการ ก็คงจะเป็นเนื่องมาจากที่เขามีความรู้สึกว่าโชว์เราไม่เหมือนใคร โชว์แปลกใหม่ แล้วก็เห็นว่านักแสดงของเราแต่ละตัวก็เล่นได้น่ารัก ดูเป็นธรรมชาติ มันไม่ใช่การโชว์ในรูปแบบของหุ่นยนต์ แต่มันเป็นการโชว์แบบสบายๆ ผ่อนคลาย”
ความฮอตยังไม่หมดแค่นั้น เพราะหลังจากที่โค้ชวันไชย ได้มีโอกาสปรากฏตัวในรายการ “ทไวไลท์โชว์” รายการทีวีระดับตำนานของไทย ยิ่งส่งให้ศูนย์ฝึกแห่งนี้ดังเปรี้ยง และเป็นที่สนใจของเหล่าทาสหมา จนต้องจองคิวข้ามปีกันเลยทีเดียว
“หลังจากนั้นไม่นาน ก็จะมีรายการทไวไลท์โชว์ ของ คุณไตรภพ (ต๋อย-ไตรภพ ลิมปพัทธ์) มาเชิญเราไป แล้วรายการก็ฮอตมาก เราออกรายการแค่ข้ามวัน ธุรกิจของเรา พลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลย ลูกค้าตอบรับเราแบบมากมาย
หลังจากไปออกรายการทไวไลท์โชว์ กลับมาเย็นนั้นก็มีสายโทร.เข้ามาสอบถามเรื่องการฝึก จนรับสายกันไม่ทัน สมัยนั้นผมมีโทรศัพท์ 3 เบอร์ ช่วยกันรับ ตอนหลังต้องใช้วิธีขอเบอร์ แล้วเดี๋ยวจะโทร.กลับไป
นอกจากโทร.มา ก็จะเข้ามาฝึกเลย นำสุนัขมาถึงหน้าศูนย์ เราไม่คิดว่าเราจะฮอตขนาดนั้น เราก็มีปริมาณห้องที่ให้สุนัขอยู่ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะประมาณ 40 ห้องของลูกค้า และของเราเองอีกประมาณ 20 ห้องครับ
ปรากฏว่ามากันจน 40 ล้น เราก็เกรงใจ เราก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เราก็เลยช่วยรับ แล้วต้องย้ายสุนัขเราเองมารวมไว้ที่บ้าน แล้วก็เปิด 20 ห้องนั้นให้กับสุนัขลูกค้า ตอนนั้นเฉลี่ยเดือนนึง 40-60 ตัวจะหมุนเวียน เราไม่สามารถรับเกินกว่านั้นได้
การฝึกสุนัขของเราตัวนึง สมัยนั้นจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน เราฝึกเป็นหลักสูตรเลย ทุกตัวเข้ามาก็จะ 1-2-3-4-5 ตามสเต็ป สถานที่เรารับได้แค่ 60 แต่ปริมาณมีมากกว่านั้น เราก็เลยต้องขออนุญาตใช้รันคิวเอาครับ เวลาใครเข้ามาติดต่อจะให้เป็นคิวไป พอตัวไหนครบ 3 เดือนจบ เราก็จะรันเข้ามา สมัยนั้นต้องบอกว่าคิวยาวข้ามปีครับ”
*** ปั้นหมาจร สู่ซุป’ตาร์ 4 ขา ***
ตลอดระยะเวลา 27 ปี ของศูนย์ฝึกสุนัขไชยภักดิ์ ยังมีลูกค้าให้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง เพราะจนถึงตอนนี้ มีนักเรียน 4 ขา จบหลักสูตรออกไปเกือบ 6,000 ตัวได้ แถมที่นี่ยังฝึกฝนจนมีน้องหมาหลายตัว ได้กลายเป็นดาราอีกด้วย
“ถ้าพูดถึงการสอน จริงๆ ก็ต้องบอกว่ามีค่อนข้างจะหลากหลายรูปแบบ เราฝึกตามโจทย์ความต้องการของลูกค้า อย่างลูกค้าบางคนเข้ามาสุนัขมีปัญหา เราก็จะแนะนำให้ฝึกในรูปแบบของ การปรับแก้พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แล้วก็จะเป็นแบบ เชื่อฟังคำสั่ง ให้รู้จักการสื่อสาร แล้วก็จะมี ฝึกเพื่อการแสดง ก็จะเป็น 3 หลักสูตรใหญ่ๆ
เรื่องของสุนัขที่มาฝึกให้เป็นดารา จริงๆ เราก็ไม่ได้เน้นว่าจะฝึกเพื่อทำให้เขาเป็นดารา เพียงแต่ว่าเราเองเป็นคนไม่ชอบหยุดนิ่ง เราก็อยากจะคิดการฝึกอะไรที่มันหลากหลายรูปแบบ จนสุนัขเราเริ่มมีความสามารถที่มันหลากหลายขึ้น
[ “น้องสุรเดช” หมาจรผู้กลายเป็นดารา 4 ขา ]
ในที่สุดวันนึงก็มีทีมงานกองถ่ายเข้ามาคุยกับเรา อยากจะได้สุนัขเข้าไปร่วมในการถ่ายทำ ตอนนั้นเราก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าวิธีการเอาสุนัขเข้าไปถ่ายทำ มันจะต้องอะไรอย่างไร และสุนัขจะต้องทำอะไรบ้าง แต่ว่าเราก็มีความสนใจ
ทีมงานเขาก็มาให้รายละเอียดว่าในบทอยากให้สุนัขทำอะไร ด้วยความที่เป็นคนชอบความท้าทายอยู่แล้ว เราอ่านบท แล้ว เราก็จินตนาการว่าอะไรเราทำได้ อะไรที่ยังทำไม่ได้ เราก็จะมีการพูดคุยกัน คิดว่าเราจะฝึกได้ขนาดไหน
จนกระทั่งรับงานกองถ่าย ปรากฏว่างานชิ้นแรกๆ ก็ได้ผลดี ตอบโจทย์ลูกค้าได้ ลูกค้าก็แฮปปี้พอใจครับ ก็เลยเป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จไปอีกก้าวนึง ก็เป็นที่มาของการทำสุนัขเข้าไปอยู่ในวงการบันเทิง”
ตามที่ได้เล่าไปแล้วในช่วงแรก ที่นี่มีดารา 4 ขาในสังกัดอยู่หลายตัว และอีกไฮไลท์คือ “น้องสุรเดช” หมาจรที่โค้ชวันไชยรับมาเลี้ยง และปั้นจนกลายเป็นซุป’ตาร์ 4 ขาไปด้วยอีกตัว
“สุรเดช บังเอิญเราไปเจอเขาอยู่แถววัดวัดนึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผมเอาสุนัขไปเข้าฉากละครแล้วก็ได้ไปเจอ วินาทีแรกที่เห็นก็เอ็นดู เพราะว่าเขาตัวน้อยเลย ท่าทางจะหิว สุนัขแถวนั้นจะมีคนให้อาหารมากินกันเยอะแยะ แต่ตัวนี้ก็ได้แต่นั่งมอง
หลังจากที่ถามคนละแวกนั้น ไม่มีเจ้าของแน่ๆ เราก็เลยนำกลับมาดูแล จะเห็นเลยว่าร่างกายผอม มีเห็บหมัด
แต่ว่าเรื่องของสภาพจิตใจ ก็คือกลัว สั่น เหมือนเด็กเล็กๆ ถูกทอดทิ้ง เราต้องมากล่อมเกลา ค่อยๆ ให้เขาเรียนรู้ เวลาเจอคนแปลกหน้า ทุกคนก็ให้ความรัก เขาก็จะค่อยๆ รู้สึกดี รู้สึกวางใจ เริ่มให้คนเข้าหาได้ ถ้าไม่ปรับสภาพจิตใจ เขาจะถอยหนี
พอเขาเริ่มรู้สึกดี เราก็เริ่มให้เขามีสังคมกับสุนัขด้วยกัน เพราะว่าสัตว์ชนิดเดียวกัน เขาจะมีวิธีการสื่อสารกันเอง พอเขาได้เรียนรู้ เขาก็จะค่อยๆ มีความทรงจำดีๆ เข้ามาในชีวิต
สังเกตว่าสุนัขที่มีสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ เวลาที่เขาเจออะไรแปลกๆ ตัวจะเกร็ง ตัวสั่น เราจะไม่พาให้เขาหนีปัญหา เราให้เขาอยู่กับปัญหา แต่เราคอยปกป้องให้เขารู้ว่าตรงนั้นปลอดภัย พอเขารู้สึกว่าปลอดภัย เขาจะค่อยๆ คลายตัวเอง”
หลังจากที่เราได้สัมผัสกับน้องสุรเดชตัวจริง ก็บอกได้เลยว่าน่ารักแบบสุดๆ หน้าตาของน้องมีความคล้ายกับสุนัขพันธุ์ชิบะเลยทีเดียว แถมยังทำตามคำสั่งได้เป็นอย่างดี สมกับที่ได้รับการฝึกจากโค้ชมือฉมัง
“ช่วงที่เขาผ่อนคลาย เรารีบนำเสนอสิ่งดีๆ ให้ เราค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาโอเคขึ้น เราก็เริ่มที่จะสอนให้เขารู้จักการสื่อสารกับเรา สอนความสามารถพิเศษ ความน่ารักอะไรต่างๆ ให้ โชคดีที่เราเป็นสถานที่ที่มีลูกค้าเข้าออกบ่อยๆ เราก็ให้เขาได้เรียนรู้ เจอคนแปลกใหม่ไปเรื่อย พาเขาออกนอกสถานที่บ้าง เขาก็จะเริ่มวางใจ
เราฝึกมาจนกระทั่งเขาเริ่มมีความสามารถพิเศษ เริ่มรู้สึกดีกับคน บังเอิญมีงานที่อยากได้คาแรกเตอร์คล้ายๆ เขา เราก็เลยนำเสนอ ถือว่าเป็นโอกาสดีได้ ให้เขาได้ออกไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เขาได้ออกไปทำงาน
(งานในวงการชิ้นแรก) ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะเป็นโฆษณารถยี่ห้อนึงครับ ซึ่งก่อนหน้าที่จะทำงานชิ้นนี้ เราก็เคยพาเขาไปแสดงสดบนเวทีบางจังหวะที่เขาเกร็ง เราจะต้องช่วยผ่อนคลายให้เขา จนกระทั่งเขาสามารถเล่นได้ แสดงได้ครับ
นอกจากเราสอนสุนัขแล้ว เวลาที่จะออกไปนอกสถานที่ ต้องไปเจอนักแสดง เราเองเราก็ต้องไปแนะนำนักแสดงด้วย ว่าวิธีที่จะเล่นกับเขาควรจะทำยังไง พอนักแสดงเข้าใจ สุนัขก็เริ่มวางใจคนคนนั้น ก็จะเริ่มแสดงกับคนได้”
*** เทรนด์โลกเปลี่ยน หมดยุคหมาเฝ้าบ้าน ***
ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา “โค้ชวันไชย” ในฐานะของผู้ก่อตั้งศูนย์ฝึกแห่งนี้ ก็ถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือจากบังเหิน และมอบหน้าที่ให้ “โค้ชเตย” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมารับช่วงต่อ ส่วนผู้เป็นพ่อ ก็ผันตัวไปช่วยงานเบื้องหลัง คือดูแลสุนัขในกองถ่ายเมื่อมีงานบันเทิงเข้ามา
“เคยมีหลายคนมานั่งคุยกับเรา ก็บอกว่าเสียดายถ้าเลิกไป เพราะว่าเขาก็ยังแฮปปี้กับผลงานที่เราทำ วันที่มีคนมานั่งคุยด้วย ลูกชายได้นั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วยพอดี ลูกชายก็ได้รับฟัง ก็มีความรู้สึกเดียวกันกับคนที่มานั่งคุย ก็สะกิดบอกพ่อว่า พ่อก็อายุเยอะแล้ว ก็อยากให้พ่อเริ่มพักผ่อนบ้าง ลูกชายก็รับอาสาที่จะมาช่วย
พูดถึงเรื่องการถ่ายมือ ต้องบอกว่าลูกชายเองก็เหมือนมีพรสวรรค์ด้วย ผมทำตั้งแต่ลูกชายยังเบบี๋ ตอนที่ยังเล็กๆ เชื่อมั้ยว่าเวลาที่ลูกทีมผมกำลังฝึก ลูกชายผม วิธีการเดิน ท่าทางเหมือนผมเลย จนทีมฝึกบอก นี่คือตัวพี่เลย ท่าทางเหมือนกันเป๊ะ
ลูกชายผมตอนที่ยังเด็กๆ ผมไม่เคยสอนแบบจริงจัง เวลาเล่นกับสุนัข เราก็จะมีแนะนำนิดหน่อย มีอยู่วันนึงที่จะต้องเอาสุนัขไปโชว์ วันนั้นลูกชายผม ‘พ่อ เดี๋ยววันนี้ผมขึ้นโชว์เอง’ เด็ก 4-5 ขวบ ผมตกใจ เขามีความมั่นใจขึ้นมาเอง
[ โค้ชเตย" ผู้ดูแล "ศูนย์ฝึกสุนัขไชยภักดิ์" คนปัจจุบัน ]
ถ้าลูกมั่นใจ ผมก็มั่นใจลูกผมเหมือนกัน เอาเลยลูก เขาก็ขึ้นไปโชว์กับพี่ๆ เขาโชว์ได้มหัศจรรย์ ทั้งๆ ที่เราเองก็ไม่ได้ฝึกได้สอนเขาแบบจริงจังมาก่อน การโชว์วันนั้นก็เรียกเสียงปรบมือได้ล้นหลามเลย
จนกระทั่งวันที่เขาอาสาทำ ด้วยความที่เรายังห่วง พอเราให้อิสระในการทำ เขาสามารถทำ แล้วก็ต้องบอกว่าทำได้ดีแบบผมคาดไม่ถึงครับ ต้องบอกว่ากล้าที่จะปล่อยมือให้เขาแล้วครับ ทุกวันนี้ก็เป็นที่ยอมรับของเหล่าบรรดาลูกค้า วางมือมาได้เกือบ 6 ปีแล้ว หลายๆ อย่าง เขาก็พัฒนาเหนือกับผมแล้ว ก็ต้องบอกว่าโชคดีของผม”
ถามถึงเทรนด์ในยุคนี้ ที่ผู้คนตัดสินใจไม่มีทายาท แต่หันมาเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น ในฐานะคนที่คลุกคลีกับวงการสัตว์เลี้ยงมายาวนาน ก็ได้ช่วยสะท้อนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม
“เราต้องยอมรับว่าโลกปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่จะสังเกตว่าไม่ค่อยอยากมีลูก หลายครอบครัว เพราะฉะนั้น ก็เลยหันมามีสัตว์เลี้ยงแทนนะครับ คนที่เลี้ยงสุนัขไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมันเติบโตมาก
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พักอาศัย คอนโดฯ อะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้หลายที่ต้องยอมรับให้เลี้ยงสัตว์ได้ สมัยก่อนที่ผมเริ่มทำใหม่ๆ ไม่มีห้างสรรพสินค้าไหนให้สัตว์เลี้ยงเข้า ปัจจุบันนี้มี สิ่งเหล่านี้มันเป็นวิวัฒนาการที่ดีมาก
คนสมัยนี้ก็เลยมีความรู้สึกว่า การเลี้ยงสัตว์จะไม่เหมือนสมัยก่อน ถ้าเป็นสมัยดึกดำบรรพ์ เราเลี้ยงสุนัขก็คือเลี้ยงหมาเป็นหมา ถึงเวลามีอาหารให้กิน แต่ว่าอยู่ใต้ถุนบ้านนะ อยู่นอกบ้านนะ เอาไว้เฝ้าบ้าน มีภัย เห่าเตือนเรา จบ
แต่สมัยนี้ไม่ คนปัจจุบันจะรู้สึกว่าเลี้ยงเขาแล้วเขาเหมือนลูก ดูแลเขา มีการเอาใจใส่ ให้ความรัก ให้สิ่งดีๆ มีการพาสุนัขไปทำกิจกรรมร่วมกัน ไปท่องเที่ยว ไปเดินซื้อสินค้าด้วยกัน ผมว่ามันเป็นอะไรที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
สัตว์เลี้ยงก็มีความสุข เจ้าของก็มีความสุข เราต้องยอมรับว่าการใช้ชีวิตทุกวันนี้ มันเป็นการแข่งขันสูงมาก สัตว์เลี้ยงเป็นอะไรที่ช่วยทำให้เราผ่อนคลาย เราจะเห็นว่าหลายๆ คู่ เลี้ยงสุนัขแบบลูกเลย มันเป็นอีกรูปแบบนึงที่เกิดขึ้นกับปัจจุบันนี้”
[ “โค้ชเตย-แม่หวาน-พ่อวันไชย” และแก๊งซุป‘ตาร์น้องหมา ]
แม้แต่รูปแบบการฝึกสุนัขเอง ก็ได้มีการปรับตัว เพื่อให้สอดรับและตอบโจทย์กับเทรนด์ที่เปลี่ยนในปัจจุบัน
“เวลาที่เราฝึกสุนัข เราก็จะนึกถึงเจ้าของสุนัข เขารักของเขาเหมือนลูก จริงๆ แล้วต้องบอกว่าหลักสูตรการสอน ความต้องการของคน เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนเลี้ยงสุนัข ก็จะฝึกสุนัขในลักษณะเชื่อฟังคำสั่ง พร้อมจะเฝ้าบ้านถ้ามีภัย
แต่ปัจจุบันนี้คนเลี้ยงสุนัขเป็นลูก เขาอยากได้อะไรที่เป็นสมาชิกในครอบครัว ที่มีความสนุกสนาน มีความเป็นธรรมชาติของตัวเองอยู่ เราก็เลยปรับเปลี่ยนหลักสูตรการสอนของเรา ให้สอดคล้องกับโจทย์ที่เราจะต้องได้รับนะครับ
เจ้าของไม่ได้ต้องการสุนัขไว้เฝ้าบ้านแล้ว คนส่วนใหญ่อยากให้สุนัขเป็นเพื่อนเล่นกับลูกได้ หรือไปไหนมาไหนกับเราได้ เข้าสังคมเป็น ไม่ใช่สังคมหมาแต่เป็นสังคมกับมนุษย์ เราก็จะมีวิธีการสอนที่เปลี่ยนไป
เราก็เลยมาสอนสุนัขให้รู้จักการเข้าสังคมกับมนุษย์ เวลาที่เราพาสุนัขไปนั่งทานอาหารด้วยกัน สุนัขควรจะวางตัวอย่างไร ไม่ใช่นั่งอยู่ ใครเดินเข้ามาส่งอาหารให้ก็เห่า สร้างความวุ่นวาย
เจ้าของแทนที่จะรู้สึกผ่อนคลายก็เลยมานั่งกุมขมับ ไม่กล้าพาไปไหน แต่ใจลึกๆ เจ้าของก็อยากให้มีสุนัขไปเคียงข้าง เพราะว่าด้วยความรักความผูกพันที่มี เราก็เลยมาเปิดหลักสูตรการสอนตรงนี้ ชีวิตก็จะมีความสุขอยู่กับสัตว์เลี้ยง อยู่กับสุนัข”
|
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : Facebook "Chaiphak Dog Training Center" และ GDH
ขอบคุณสถานที่ : ศูนย์ฝึกสุนัขไชยภักดิ์