ตะลอนถ่ายภาพฟรี ให้คุณตาคุณยาย มาแล้ว 7 ปี ตามหมู่บ้านชนบท และพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงยาก แบ่งเงินส่วนตัวจากการรับจ้างสอน-ถ่ายภาพ ปีละหลักแสน เพื่อแลกรอยยิ้มแสนคุ้ม ให้ลูกหลานได้ระลึกถึง ในวันที่ไม่อยู่แล้ว พร้อมตั้งเป้า จะทำจนกว่าร่างกายจะไม่ไหว
เงินมีแล้ว ของไม่อยากได้ ขอ “ความทรงจำ”
“ไม่มีใครคิดว่าภาพถ่ายมันมี impact ต่อชาวบ้าน ต่อคนที่อยู่ในชนบท ว่าเขาไม่มีโอกาส ที่จะถ่ายรูปแบบนี้ ไม่มีเลย น้อยมากนะครับ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านนอก จะได้ถ่ายแบบนี้ เขาดีใจอย่างที่บอกไม่ถูก เราเห็นเราก็ตื้นตันในใจ”
“ชาญ-วิชาญ สุมาลี” ช่างภาพอาสา วัย 50 ปี ที่ออกตระเวนถ่ายภาพผู้สูงอายุทั้งหมู่บ้าน ใส่กรอบ แจกภาพฟรี เพื่อไม่ให้ถูกลืม
เขาทำแบบนี้ซ้ำๆ มาแล้ว 7 ปี ในโซนภาคเหนือ ภาคอีสาน ถ่ายภาพให้ผู้สูงอายุตามหมู่บ้านชนบท และพื้นที่ห่างไกลฟรี ถ่ายมาแล้วเป็นพันคน โดยใช้เงินตัวเอง แบ่งเงินจากการรับจ้างถ่ายภาพ สอนถ่ายภาพ พร้อมกับตั้งเป้าจะทำจนกว่าร่างกายจะไปไม่ไหว เพราะเวลาเห็นรอยยิ้มคนแก่ แล้วมีความสุข
แค่ภาพถ่าย บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันสร้างความทรงจำ และความสุขให้ครอบครัวที่ไม่มีโอกาสได้ถ่าย เก็บไว้ให้ลูกหลานดู ให้หายคิดถึง ในวันที่ไม่อยู่แล้ว
ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี ที่เป็นช่างภาพประจำของสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดมหาสารคาม และไม่ใช่แค่เป็นช่างภาพเฉยๆ ยังรับหน้าที่เป็นคนทําวารสารท่องเที่ยวของจังหวัด เข้าไปเก็บข้อมูลและทำเว็บไซต์ ด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของจังหวัด
ทำให้ตลอดระยะเวลา 10 ปีนี้ ที่ได้ลงไปคลุกคลีกับผู้คน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพราะต้องไปเก็บข้อมูล สัมภาษณ์คุณตาคุณยาย และผู้รู้ทางประวัติศาสตร์
“ส่วนใหญ่เลยพี่จะลงไปเก็บข้อมูลคนเดียวครับ ขี่มอเตอร์ไซค์วิบากมอเตอร์ครอส ลุยเข้าไปเลย เพราะเราต้องเข้าให้ถึง ส่วนใหญ่เวลาเราไปเก็บข้อมูล พี่ก็จะถ่ายภาพ คนที่ให้ข้อมูลมาด้วย
ซึ่งแรกๆ พี่ก็จะให้เป็นของที่ระลึกติดไปด้วย ซึ่งจังหวัดมหาสารคาม จะมีชื่อเสียงเรื่อง เสื่อ พี่ก็จะมี เสื่อม้วนใส่ท้ายมอเตอร์ไซค์ไปด้วย เราสัมภาษณ์เสร็จ ก็เอาเสื่อให้ ถ้าเพิ่นบอกว่ามีอยู่แล้ว เราก็ให้เป็นเงินไปเลย ก็ได้ 100-200 บาท ให้คนแก่เขามีความสุข ซื้อขนมให้หลาน”
และจุดเปลี่ยนที่ทำให้ออกไปอาสาถ่ายภาพผู้สูงอายุฟรีนั้น เขาเล่าว่า มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์คุณยายท่านนึง ที่อยู่หมู่บ้านปั้นหม้อ และได้ถ่ายภาพคุณยายท่านนั้นมา แล้วรู้สึกว่าภาพนั้นสวยดี จึงอยากเอากลับไปให้คุณยาย
“จังหวัดมหาสารคาม มันมีหมู่บ้านนึง คนในหมู่บ้านทั้งหมด เป็นคนที่อพยพมาจากหมู่บ้านด่านเกวียน จังหวัดโคราช เขาจะพูดไทยเบิ้ง พูดโคราช แต่ว่าอยู่จังหวัดมหาสารคาม อยู่มาเป็น 100 ปีแล้ว
แต่ว่าวัฒนธรรมการปั้นหม้อแบบด่านเกวียน ยังมีอยู่ พี่ก็เลยคิดว่ามันแปลกดี คนสารคามพูดโคราช เราก็เลยไปเก็บข้อมูลให้ทางจังหวัด แล้วก็ไปถ่ายภาพ ไปเขียนสตอรี่เรื่องราว
แล้วพี่ก็ไปสัมภาษณ์คุณยายท่านหนึ่ง แล้วพี่ก็ถ่ายภาพท่านกลับมา โดยถ่ายมาเยอะด้วย แล้วพี่ก็เหมือนทุกครั้ง เราให้ของที่ระลึก แล้วให้เงิน คุณยายแกไม่เอา แกบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เราก็เลยกลับมาที่บ้าน แล้วก็เราก็มาทําข้อมูล มารีทัชภาพ ปรากฏว่ารูปคุณยายใบนั้นมันสวยมาก พี่ก็เอามาลงเป็นปกในของหนังสือวารสารประจําจังหวัดนั้นด้วยเลยนะ
เราก็นั่งดูดิ เอ๊ะ..คุณยายน่าจะอยากได้รูปตัวเองนะ เรานั่งดูเรายังรู้สึกว่ามันสวย พี่ก็เลยเอาไปอัดขยายเป็นไซส์ A4 ใส่กรอบสวยงาม แล้วก็ขี่รถกลับไปหาคุณยายอีกรอบนึง แล้วเอารูปไปให้ แกชอบมาก มีความสุข
คนแก่เห็นรูปพลิกไป ไปพลิกมา ชื่นชมรูปตัวเอง พอคุณยายเห็นนี้แกเขิน หัวเราะม้วนเลยล่ะ แล้วแกก็ดีใจ นี่คือสิ่งที่เรามองข้ามตลอดว่า ว่าน่าจะเอารูปที่เราถ่าย กลับไปให้คนที่ให้ข้อมูลเรา ที่เป็นคุณตาคุณยายผู้สูงอายุในชนบท น่าจะดี ถ้าเราทําได้ทุกๆ คน
วินาทีนั้นรู้ว่าภาพใบนี้ มันตีเป็นมูลค่าไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเอาไปให้ด้วยความตั้งใจ เป็นรูปของคุณยายเอง คือมันมีค่ามากสําหรับผู้รับครับ แล้วมันก็ทําให้เรารู้สึกอิ่มใจมากๆ ที่เราเป็นผู้ให้”
หลังจากนั้นเขาก็บอกกับตัวเองเสมอว่า ทุกๆ ครั้งที่พี่ออกไปสัมภาษณ์งาน ออกไปหาข้อมูล ให้กับทางจังหวัด ถ้าเจอคนที่ให้ข้อมูล เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ก็จะถ่ายภาพ แล้วก็เอารูปกลับไปมอบให้ทุกครั้ง มีบางคนถึงขั้นร้องไห้ เวลาเอาภาพไปมอบให้
“เวลาไปตามหาอีกที มันไม่ใช่ตามหาง่ายๆ นะครับ มันต้องใช้ความตั้งใจ เพราะว่าบางทีเราไปถ่ายคุณตาคุณยาย ตอนเราไปเจอแกอยู่ทุ่งฝั่งนึง พอวันที่เราเอารูปไปมอบ คุณตาคุณยายพวกนี้ เขาก็ไม่มีโทรศัพท์ เราติดต่อไม่ได้ เราต้องขี่มอเตอร์ไซค์บนบึง เป็น 10 กิโล ตามหาเขาอยู่ตรงไหนจนเจอ แล้วก็เอารูปไปให้ เวลาเขาได้รูป ทุกคนก็จะดีใจมากๆ เลย พี่ก็ทําอย่างนั้นอยู่หลายปี”
หลังจากความสุขในวันนั้น จากคุณยายบ้านปั้นหม้อ จนเกิดความประทับใจ ก็นำพามาสู่โครงการแรกที่บ้านเกิดตัวเอง คือบ้านท่าเดื่อ ต.หนองบอน อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เริ่มจากเดินไปบอกชาวบ้านแต่ละคนว่า จะนำสตูดิโอ ไปตั้งถ่ายภาพผู้สุงอายุให้ ซึ่งครั้งแรก ก็มีคุณตาคุณยายสนใจมาให้ถ่ายประมาณ 30 คน
“เริ่มตั้งแต่ตอนไปบอกชาวบ้านทีละคน ว่าวันนี้ให้มาที่วัดนะ พี่จะไปถ่าย แล้วมันจะมีคุณตาคุณยายบางคนมาไม่ได้ แกเป็นผู้ป่วยติดเตียง บางคนก็พิการ พอถ่ายสตูดิโอเสร็จ พี่ก็จะออกไปตามบ้าน ไปถ่ายเพิ่มให้ด้วย แล้วก็เอารูปปรินต์ใส่กรอบไปมอบให้ทีละคน
ทีนี้พอทําโครงการนั้นสําเร็จ พี่ก็เอาไปเปิดในยูทูบ เอาไปไปโพสต์ในยูทูบ คนก็เข้ามาดูเยอะมาก คนก็เริ่มรู้จักโครงการที่พี่ทํา”
ทุ่มปีละแสน เพื่อสิ่งล้ำค่า 100 ปี
สำหรับโครงการถ่ายภาพผู้สูงอายุ เขาเล่าว่า จะแบ่งเป็น 3 โครงการหลักๆ คือ 1.โครงการภาคปกติ เป็นการใช้เงินตัวเองแบบ 100% จะทำ 11 ครั้งต่อปี
2.โครงการภาคสมทบ คือเปิดโอกาสให้คนมีส่วนร่วม ที่อยากทำบุญ หรืออยากทำประโยชน์ต่อสังคม เข้ามาเป็นเจ้าภาพร่วม ด้วยการช่วยออกค่ากรอบรูป หรือค่าปรินต์ภาพต่างๆ ส่วนเขาจะไปถ่ายให้แบบฟรีๆ แต่มีข้อแม้ว่า ทุกคนจะต้องไปร่วมงานด้วยกัน
3.โครงการภาคพิเศษ จะเป็นสปอนเซอร์ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทกล้อง บริษัทเครื่องปรินต์ หรือแม้กระทั่งบริษัทกรอบรูป เข้ามาช่วยสนับสนุน ซึ่งโครงการนี้จะเป็นโครงการใหญ่ ถ่ายภาพครั้งละ 100 คน
และนอกจากถ่ายภาพผู้สูงอายุฟรีแล้ว ล่าสุดยังเริ่มออกไปถ่ายให้พระสงฆ์ฟรีอีกด้วย เพราะเล็งเห็นว่าพระบางรูป ก็ไม่ค่อยได้ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก เหมือนกับคุณตาคุณยาย
สำหรับโครงการแต่ละครั้งที่ไปทำ ก็ใช้งบประมาณเงินตัวเอง เฉลี่ยครั้งละประมาณ 20,000-30,000 บาท
“ในงบประมาณที่เราทํา จริงๆ แล้ว ถ้าเราคิดในค่าใช้จ่ายในการทําโครงการนี้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการภาคปกติ ที่พี่ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดเลยนะครับ แล้วโครงการภาคสมทบ ถึงแม้ว่าเจ้าภาพจะเป็นคนออกค่าวัสดุก็จริง แต่เราก็ต้องสละเวลาของเราไป ทิ้งเวลาที่เราต้องทำงาน
ถ้าเอาค่าใช้จ่ายทั้งหมดในส่วนของพี่เอง โดยเฉลี่ยต่อปี รวมทุกอย่างเลยนะ ประมาณ 100,000-200,000 บาทขึ้นไป ถ้าเราเป็นเจ้าของแบรนด์ แล้วไปทําอีเวนต์แบบนี้ แล้วจ้างออแกไนซ์มาทํา โครงการที่เป็นสเกลแบบนี้ จริงๆ มันใช้เงินหลายแสนเลย
แต่อันนี้ทุกคนที่ไปทํา เราเหมือนกับเอาแรงไปช่วยกัน สต๊าฟที่เป็น FC ของช่องพี่ ไปร่วมโครงการ ทุกคนจะดูแลตัวเองหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของค่ารถ ค่ากิน ค่าอยู่ ทุกคนออกเองหมด แล้วก็ไปเจอกันหน้างานเลย
เสร็จทุกคนก็แยกย้ายกลับ จะไม่มีการไปแชร์เงินอะไรกัน ก็คือเอาแรงตัวเองไป มันก็เลยทําให้โครงการมันเกิดขึ้น ถ้าพูดถึงว่าใช้เงินเยอะไหม ในส่วนของพี่ก็หลักแสน แต่ว่ามันก็มีคนมาช่วย มีสปอนเซอร์มาช่วย ในตอนโครงการใหญ่นะครับ ถ้าพูดถึงว่า เป็นมูลค่าโครงการจริงๆ คือมันเยอะมาก เยอะกว่าที่เราเห็นจริงๆ ขึ้นไปอีกหลายเท่า”
และภาพถ่าย ที่จะส่งต่อความทรงจำไว้ให้ลูกหลานดูนั้น เขาก็ลงทุนใช้หมึก pigment ที่มีคุณสมบัติสีไม่ซีด อยู่ได้ถึง 100 ปี ในการปรินต์รูป
“ในสมัยก่อนก็จะทําเป็นหมึกน้ำ ประมาณ 8 เดือน รูปก็จะเริ่มซีด ทุกวันนี้ถ้าพี่ไปเจอภาพใบไหนซีด พี่ก็จะเอามารีปรินต์ให้ใหม่
เราต้องการให้ภาพมันอยู่ได้เป็น 100 ปี สีสวยงาม และคงทน มันต้องใช้ปรินเตอร์ตัวละหลายแสนบาท เครื่องที่เป็น pigment ที่เขาใช้ปรินต์งานศิลปะ หรือปรินต์งานที่เอาไว้ทําแกลลอรี่ครับ”
ไอเดียโดนใจ จนต่างแดนขอก๊อบฯ
แม้จะดูเหมือนจะง่าย เพราะเป็นโครงการฟรี ที่ใครก็น่าจะสนใจ แต่ระทางที่ทำ ก็มีอุปสรรคเยอะอยู่เหมือนกัน อย่างแรกเลยคือ ผู้นำชุมชนบางคนไม่เข้าใจในกิจกรรมที่ทำ เพราะหลายคนยังฝังไปด้วยความคิดที่ว่า โลกนี้ไม่มีของฟรี ซึ่งเคสเหล่านั้น บางพื้นที่อยากเข้าไปทำแค่ไหน ก็ต้องยกเลิกไป
“ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้มีคนเห็นอีกเยอะ มีคนชื่นชมเยอะ มีคนแชร์เยอะ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้นําชุมชนในบางที่ เขาจะได้รับการสื่อสาร ผู้ขอโครงการเป็นลูกหลาน จนที่ตัดสินใจให้แล้ว แต่พอเราส่งโครงการไปให้ ไปดีลกับผู้ใหญ่บ้าน กับกํานัน มีเหมือนกัน ที่ผู้นําชุมชนบางทีเขาไม่เข้าใจ ในสิ่งที่เราทํา
เขามองว่าเราจะไปหาผลประโยชน์ มันต้องมีโอกาสประโยชน์แอบแฝง กับคําว่าของฟรี ไม่มีในโลก เขาเชื่ออย่างนั้น แล้วต่อให้ผู้ทําโครงการ เอาคลิปเอาเพจของพี่ไปเปิดให้ดู บางคนก็คือปิดประตูเลย ก็คือไม่ยอมเปิดใจรับเลย หรือไม่เชื่อว่ามันมีโครงการแบบนี้อยู่ การที่ทางสื่อของเรามาช่วยกันประชาสัมพันธ์นี้ ก็เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่ามันก็จะยิ่งขยายความเข้าใจเข้าไป
พี่รู้สึกที่มากระทบจิตใจเรามากที่สุดก็คือ ยกตัวอย่างเช่น บางโครงการ ในการแข่งขันการเมืองในท้องถิ่น ระดับท้องถิ่น มันจะมีการแข่งขัน เวลาเลือกตั้งคนนึงชนะ คนนึงแพ้ใช่ไหมครับ บางทีเราไปลงหมู่บ้าน ไปถ่ายรูป คนที่เป็นลงสมัครผู้ใหญ่บ้านแล้วแพ้ บางทีมาจูงแขนญาติตัวเองออกจากที่เราไปตั้งสตูดิโอ
คือมาจูงแขนคุณตาคุณยายไม่ให้ถ่าย เขาบอกว่ามันไม่มีหรอกของฟรี เดี๋ยวเขาก็มาเก็บตังค์ แล้วพอเอาเข้าจริงๆ วันที่เราเอาภาพไปมอบคุณตาคุณยาย ส่วนใหญ่ที่เขาถ่ายรูป เขาก็มารับภาพตามปกติ แล้วคุณตาคุณยายที่ถูกจูงแขนกลับไป
ท่านก็มาเกาะรั้ววัดอยู่ แล้วก็ถามเจ้าภาพที่ขอโครงการไว้ว่า เขาจะมาอีกไหม เป็นคําถามที่เราสะเทือนใจ นี่คือสิ่งที่ยากที่สุดของการทําโครงการนี้ ก็คือการสื่อสารกับผู้นําชุมชน”
อุปสรรคน่ารักๆ อีกอย่างนึง ของการถ่ายภาพก็คือ ผู้สูงอายุจะไม่ค่อยยิ้ม และจะเกร็ง แต่ช่างภาพอาสาคนนี้ก็บอกว่า ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าบางคนฟันเหรอ ไม่ค่อยกล้ายิ้ม แล้วเขินอาย แต่ทางทีมงานที่ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำชุมชน หรือทีม อสม. ก็จะช่วยการเชียร์ด้วยเสียงเฮฮาสนุกๆ เพื่อไม่ให้เกร็ง จนเรียกรอยยิ้มไปทั้งหมู่บ้าน”
ส่วนเคสที่ประทับใจ ช่วงที่ออกไปตระเวนถ่ายภาพให้ฟรีๆ นั้น เขาเล่าว่า ประทับใจผู้คนที่ชุมชนเมืองลี อําเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน เพราะได้รับความร่วมมือทั้งชุมชน
“พี่ไปอยู่ที่นั่นหลายวันมาก เวลาพี่ไปอยู่ ผู้นําชุมชน ไม่ว่าจะเป็น อบต. ผู้ใหญ่บ้าน เขาจะสื่อสารกันจนรู้ว่าพี่เป็นใคร เวลาไปทําโครงการ แล้วเราไปพัก พี่จะพักอยู่ในบ้านของชาวบ้าน
ตอนเย็นเขาจะนัดกันว่า ชาวบ้านคนไหนจะทํากับข้าวให้พี่ ตอนเช้าก็จะมีคนเอาปิ่นโตมาวางไว้ ตอนเย็นก็จะมีคนชวนเราไปกินข้าวบ้าน มันจะเหมือนกับว่าเราไปเป็นลูกหลานของชุมชนนี้ นี่คือชุมชนที่พี่ประทับใจที่สุด”
ตั้งเป้า ถ่ายให้ได้ 10,000 รูป ซึ่งตลอดระยะ 7 ปี ถ่ายภาพผู้สูงอายุให้แบบฟรีๆ มาแล้ว 2,500 กว่ารูป
“จะมีบันทึกไว้ว่า พี่ไปทํามาแล้วกี่คน คือตัวพี่เองปีนี้ พี่อายุ 49 กำลังจะ 50 พี่ตั้งใจว่า พี่จะทําไปจนพี่ไม่ไหว ก็คือสัก 60 ปี ก็คือพี่มีเวลาอีก 10 ปี ไม่แน่นะ 10 ปีนี้ อาจจะได้ไปหลายหมื่น”
โครงการถ่ายภาพผู้สูงอายุ ยังส่งต่อแรงบันดาลใจ ไปให้อีกต่อหลายคน ที่อยากทำตามแบบนี้ แม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านเอง ยังขอให้ไปช่วยถ่ายให้ก็มี แต่เป้าหมายคืออยากทำในประเทศให้ครบก่อน แต่ถ้ามีโอกาส ก็ยินดีจะไปถ่ายให้
“มันไปแรงบันดาลใจคนอื่น เพื่อนๆ ที่เป็นชาวอาเซียนนะ ในต่างประเทศเขาก็เริ่มกันแล้ว พี่เห็นว่าช่างภาพในลาว ก็เริ่มรวมตัวทํากันแล้ว
มีลูกศิษย์ที่เรียนออนไลน์ถ่ายภาพกับพี่เยอะ เวลาเขาแชร์กิจกรรมของเราไป เขาก็จะไปบอกเรามาทําอย่างนี้ที่ประเทศเราไหม ก็จะมีพม่า เหมือนลาวที่กําลังตั้งกลุ่ม หรือทําโครงการแบบนี้ขึ้นมา จริงๆ ก็มีลูกศิษย์ที่อยู่พม่าท่านนึง แล้วก็อยู่ลาวอีกกลุ่มนึง แขวงจําปาสัก ชวนให้พี่เอาโครงการนี้ข้ามไปทําที่ฝั่งนู้นบ้าง
มีหลายคนนะ โทรมาบอกอาจารย์ขอลิขสิทธิ์ไป ขอทําไม มันไม่มีลิขสิทธิ์หรอกครับ ทําเลยขาดเหลืออะไรให้บอก พี่อยู่แค่ภาคเหนือ ภาคอีสานใช่ไหมครับ ทีนี้ภาคอื่นที่พี่ไม่ได้ลงไป เพราะเนื่องจากมันไกล แล้วก็ตัวพี่เอง ก็มีข้อจํากัดเรื่องเศรษฐกิจของเราด้วย พี่ก็ไม่ใช่คนฐานะดีมากมาย”
คุ้มที่ใจ ไม่ใช่ค่าตอบแทน
สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ ช่างภาพผู้มีจิตใจแบ่งปันคนนี้ บอกพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก โดยเฉพาะในแง่ของเรื่องจิตใจ
“บางคนเขามองว่า พี่ทำตรงจุดนี้ คอนเทนต์หรือเปล่า แล้วคุณเอาคอนเทนต์ไปลงเนี่ย คุณมีรายได้จากคอนเทนต์หรือเปล่า พี่บอกเลยว่า คอนเทนต์พี่ มันเป็นโหมด เขาเรียกว่าซ้ำซาก เวลาพี่ไปถ่ายคนแก่ พี่ก็จะไปถ่าวิธีเดิมๆ แต่พี่ก็ยังลง
บางคลิปมีคนดูเป็นล้าน แต่บางคลิปมีคนดูหลักร้อย แต่พี่ก็ยังลงเหมือนเดิม เพราะว่าทําไม พี่ถึงยังลงคลิปแบบซ้ำๆ นั้นอยู่ อัลกอริทึมมันจะส่งไปให้คนดูน้อยลงด้วยซ้ำ แต่พี่ก็ยังลงอยู่ เพราะว่าเวลาเราไปถ่ายผู้สูงอายุ เราไม่ได้ให้แค่รูปแล้วจบ ลูกหลานของคุณตาคุณยายยังรอดูว่า เบื้องหลังตอนเราไปถ่ายเป็นยังไง
บางคนลูกหลาน ก็เข้ามาโหลดเอาคลิปนั้น ดังนั้นมันเลยทําให้พี่มีรายได้จากการทําคอนเทนต์ใน TikTok แล้วก็เฟซบุ๊ก ไม่คุ้มหรอกครับ น้อยมาก ในเรื่องของรายได้ ที่ได้คืนมาจากทำคอนเทนต์ คือไม่คุ้มเลย
แต่ถ้าพูดเรื่องของความคุ้มค่า ในเรื่องของจิตใจ มันคุ้มมาก เหมือนกับหลายๆ คนที่ไปทําบุญ ที่เขามีรายได้เยอะๆ มีเงินทองเหลือเฟือ ไปทําบุญ ไปบริจาค ตัวพี่เองไม่ใช่คนที่ฐานะดี ร่ำรวย ในเรื่องเงินทอง แต่พี่ร่ำรวยในเรื่องความรู้ และความสามารถ แล้วพี่เอาความรู้ความสามารถ ไปทําบุญ มันเลยทําให้สามารถทําได้บ่อย ทําได้ถี่ ทําได้มาก
พี่มีความสามารถมาก ในเชิงวิชาชีพที่พี่ชํานาญ แล้วพี่เอาความชํานาญนั้นไปแบ่งปันผู้อื่น ซึ่งสิ่งที่พี่ทํา มันกลายเป็นว่า มีคุณค่าสําหรับผู้รับมากๆ ตัวพี่เองก็รู้สึกอิ่มใจ
คุ้มมาก คุ้มจนไม่รู้จะคุ้มยังไง มันรู้สึกเหมือนกับว่า เราเกิดมาได้ทําในสิ่งที่เราตั้งใจแล้ว รู้สึกว่าคุ้มแล้ว ที่เกิดมาเป็นคน แล้วก็จะทําต่อไป พี่ก็จะทําไปจนกว่าจะไม่ไหว”
นอกจากความคุ้มค่าที่ว่าแล้ว เขายังรู้สึกภูมิใจมากๆ ที่ได้ใช้วิชาชีพตัวเอง มาทำประโยชน์เพื่อสังคม ได้มากขนาดนี้
“จริงๆ แล้วมันเป็นความภูมิใจมากเลย เพราะนอกจากฐานะหนึ่ง ที่พี่เป็นจิตอาสาแล้ว ตัวพี่เองก็เป็นอาจารย์สอนถ่ายภาพ ลูกศิษย์ลูกหาเราได้ใช้ความรู้ ไปทําสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับสังคม
นอกจากการใช้ความรู้ ไปประกอบอาชีพหารายได้แล้ว เรายังรู้สึกว่า สิ่งที่เราทํา มันไปสร้างบุญสร้างกุศล ไปสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้ มันก็เป็นสิ่งที่เรารู้สึกภูมิใจ”
หอบหนี้ 3 ล้าน กลับบ้านเกิด
เจาะลึกไปถึงเรื่องราวชีวิตก่อนหน้านั้น ของอาจารย์ช่างภาพคนนี้ เดิมทีเป็นช่างภาพ มากว่า 30 ปี และยังเคยทำงานเบื้อหลังโฆษณาผลิตภัณฑ์ และร้านอาหารชื่อดังมากมาย จนผันตัวมาเปิดโรงพิมพ์เป็นของตัวเอง อยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยการหุ้นกันกับเพื่อน
ตอนนั้นก็เหมือนจะไปได้ดีมาก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2554 เกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้โรงพิมพ์เสียหายหนัก อุปกรณ์ทำมาหากิน เครื่องปรินต์ต้องจมไปกับน้ำ ต้องหอบหนี้ 3 ล้านบาท เพื่อกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม
แม้ทุกวันนี้หนี้นั้นก็ยังไม่หมด แต่เขาก็ยังยอมเจียดรายได้ที่มี เพื่อทำให้ผู้สูงอายุเหล่านี้ ได้มีความสุข เมื่อเห็นภาพตัวเอง
“ก็ยังไม่หมดครับ หนี้ 3 ล้านนั้น แต่ถ้าเป็นหนี้กับธนาคาร เราเคลียร์หมดแล้ว แต่มันก็จะมีบางส่วน ที่ญาติๆ น้องๆ เขามาช่วย เราก็ยังผ่อนชําระกันอยู่ ตัวพี่เองก็ใช้ชีวิตแบบพอเพียง แล้วก็ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหรา แต่ว่าเราตั้งใจที่จะทําบุญ
มีบางคนที่เขาเป็นเศรษฐี หลายคนที่มาทําโครงการกับพี่ ที่เป็นเจ้าภาพร่วม เขาบอกว่า ผมมีเงินเป็น 100 ล้าน ผมก็ยังทําแบบคุณไม่ได้เลย หมายความว่า ออกไปทํากิจกรรมแบบพี่ไม่ได้ เพราะมันใช้ด้วยความทุ่มเท ในการทํามัน
ตรงจุดนี้ พี่ไม่ได้นําเสนอเพื่อที่จะให้ทุกคนเป็นดราม่าอะไรหรอก แต่พี่อยากให้ทุกคนเป็นแรงบันดาลใจมากกว่า ว่าในขณะที่เราไม่จําเป็นต้องรวยมาก เราไม่ต้องรอให้เรารวย เราก็ทําสิ่งดีๆ เพื่อคนอื่นได้ เพราะตัวพี่เองก็ไม่ได้รวย แล้วพี่ก็ยังมีหนี้สินอยู่ ทุกวันนี้ก็ยังต้องใช้หนี้อยู่”
ส่วนรายได้หลักๆ ที่สามารถแบ่งเงิน มาหล่อเลี้ยงครอบครัว และแบ่งไปทำงานอาสานั้น อาจารย์บอกว่า หลักๆ มาจาก ขายคอร์สเรียนออนไลน์
“รายได้หลักๆ ที่หล่อเลี้ยงครอบครัว แล้วแบ่งไปทํากิจกรรมก็คือ การที่เราขายคอร์สออนไลน์ เพราะว่าเนื้อหาของพี่ มันจะเป็นเนื้อหาหลักสูตรเชิงวิชาชีพ เช่น สอนถ่ายพรีเวดดิ้ง ในระบบสตูดิโอ ซึ่งมันหาเรียนยากแล้ว
หลักสูตรพวกนี้ ราคามันค่อนข้างสูงอยู่นะครับ คือถ้ามาเรียนเดี่ยวตัวต่อตัวนี้ก็ 30,000-40,000 บาท อันนั้นมันก็จะเป็นรายได้หลัก ที่พี่เอามาหล่อเลี้ยงครอบครัว แล้วก็กันส่วนหนึ่งเอาไปทําโครงการนี้อยู่ เพราะหลายคนสงสัยมากเลย ว่าพี่เอางบประมาณตรงจุดไหน ไปทําได้ตั้งปีนึงหลาย 10 ครั้งมาแล้ว”
นอกจากที่หลายคนรู้จักในนาม “ช่างภาพอาสา”ถ่ายภาพผู้สูงอายุแล้ว ในวงการถ่ายภาพ จะรู้จักในฐานะของ “อินฟลูเอนเซอร์” แล้วก็เป็น “อาจารย์สอนถ่ายภาพ” ด้วย
“เขาก็เลยจะเรียกพี่ว่า อาจารย์วิชาญนะครับ เพราะว่าในวงการถ่ายภาพ ตัวพี่เองจะเป็นหนึ่งในช่างภาพจํานวนไม่มาก ที่เอาความรู้ความชํานาญของตัวเอง มาแปลเป็นหลักสูตรของพี่เอง นอกจากทําเป็น Tutorial (บทช่วยสอน-หลักสูตรพิเศษ) พี่ยังแต่งหนังสือ
มีหลายมหาวิทยาลัยส่งคณาจารย์ มาเรียนกับพี่ เพื่อเอากลับไปสอนนักศึกษา มีหลายมหาวิทยาลัยจะเชิญพี่ไปสอนเป็นอาจารย์พิเศษ มีหลายมหาวิทยาลัย ใช้หนังสือที่พี่แต่ง ไปทําหลักสูตรวิพากษ์ คือใช้เป็นหลักสูตรสอนนักศึกษาเลย
อันนี้ก็เลยเป็นที่มาว่า ทําไมหลายคนเขาเรียกชื่อว่าอาจารย์ ในวงการ พี่อยู่ในฐานะของครู มากกว่าการเป็นช่างภาพรับจ้างครับ”
ระบบช่วยฮีล ผู้เฒ่าซึมเศร้า นอกจากรอยยิ้มที่ได้จากการลงพื้นที่ ไปพบปะผู้สูงอายุ ที่ได้กลับมาแล้ว สิ่งนึงที่เขาเล็งเห็นก็คือ การไม่ได้รับความเอาใจใส่ ในเรื่องของจิตใจเท่าที่ควร คนแก่บางคนเป็นซึมเศร้า ซึ่งไม่มีใครช่วยดูแล “สิ่งที่ผู้เฒ่าผู้แก่ยังขาดอยู่ก็คือ การได้รับความเอาใจใส่ในเชิงของจิตใจ ในเรื่องสุขภาพเรื่องความกินอยู่ เรื่องของปากท้อง พี่ว่าไม่มีใครถูกทิ้งแล้ว แต่ในเรื่องของจิตใจ หลายคนเหงา หลายคนซึมเศร้า พี่เห็นผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนนั่งซึมเศร้า ล่าสุดที่ไปเจอที่ชัยภูมิ คุณตาคุณยายอยู่ด้วยกันมาตลอดแล้ว คุณยายเสียคุณตา ยังทําใจไม่ได้ แกจะเดินเป็นหน้าหมู่บ้าน แล้วไปนั่งรอ หวังว่าคุณยายจะกลับมา แล้วก็นั่งร้องไห้ ถ้าแกอยู่คนเดียว แกก็ต้องเป็นโรคซึมเศร้า วัยรุ่นเป็นโรคซึมเศร้า พอเข้าใจได้ ถ้าคนแก่เป็นโรคซึมเศร้า ลองคิดดูสิ แต่ว่านี่ก็ดีใจ ว่าหน่วยงานทางภาครัฐ เขาวางระบบไว้ดีมาก เขาจะรู้หมดเลย ว่าคนแก่ในหมู่บ้านของเขา แต่ละคนมีอะไรยังไง เขาก็จะคอยผลัดเปลี่ยนกันไปดูแล นี่คือสิ่งที่ไปเห็นมาจริงๆ” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : Facebook “WichanPhoto”, TikTok @wichanphoto
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **