xs
xsm
sm
md
lg

เลี้ยงไข้-โหนผู้ป่วย? “วัดพระบาทน้ำพุ” วันที่มี “ยาต้านเอดส์” ผุดเคส “ปฏิเสธคนไข้-ไล่คนให้ยาฟรี”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อวัดเปลี่ยนไป สนใจแค่ “เงินบริจาค” บอกปัด “ไม่รับผู้ป่วยเชื้อ HIV” หลายรายจนสังคมต้องตั้งคำถาม ในวันที่ “โรคเอดส์” มี “ยาต้าน” รักษาได้-เข้าถึงง่าย ยังมีความจำเป็นแค่ไหน? ต้องให้ “คนป่วย” ไปนอนทรมานที่วัด หรือแค่ยังต้องการ “โหนคนไข้” รับเงินบริจาค?

** สร้างด้วยงบ 100 ล้าน!! ไหนว่า “วัดไม่มีเงิน”? **


ถูกส่องสปอตไลท์ จับผิดความไม่ปกติอย่างหนักในตอนนี้ สำหรับ “วัดพระบาทน้ำพุ” และเจ้าอาวาสอย่าง “หลวงพ่ออลงกต พลมุข” หลังมีประเด็นอมเงินบริจาคหลายล้าน ผ่านเคส “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" (เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล)

ตอนนี้ทางตำรวจกำลังสืบเส้นเงินบริจาคอยู่ เริ่มตั้งแต่โครงการที่ทำกับวัดปี 2562 โดยเบื้องต้นพบว่า มีเงินบางส่วนของวัดหายไปจริงๆ แต่หมอบีก็ยังยืนยันว่า เงินที่รับบริจาคมา ส่งให้ทางวัดครบทุกบาททุกสตางค์

แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องก็ดูจะไม่จบง่ายๆ เพราะมีข้อมูลปูดออกมาเพิ่มอีกว่า “วัดพระบาทน้ำพุ” ที่หลายคนเข้าใจว่า “ขาดแคลนเงิน” เพราะต้องดูแลผู้ป่วย HIV จำนวนมาก จนถึงขั้นอาจต้องปิดตัว อย่างที่ “หลวงพ่ออลงกต” เคยเผยกับสื่อเมื่อปี 2565



ล่าสุด ดันมีข้อมูลโผล่ออกมาเพิ่มว่า วัดมีการซื้อที่ดินกว่า 2,000 ไร่ แถมชื่อผู้ถือครองที่ดิน ก็ดันเป็นชื่อ “คนใกล้ชิดหลวงพ่อ” แทนที่จะเป็นชื่อวัด ไหนจะเรื่อง“เงินสดกว่า 2.7 ล้าน” ที่หลวงพ่อเอาไปฝากกับ“อดีตไวยาวัจกร” ผู้ดูแลเงินอีก

และเมื่อสื่อลงไปตรวจสอบ “โครงการธรรมรักษ์นิเวศน์ 2” โครงการของวัดพระบาทน้ำพุ พื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ที่ตั้งใจสร้างเอาไว้เพื่อให้เป็น “ชุมชนของผู้ป่วยเชื้อ HIV”

กลับพบว่า พื้นที่กว่า 70% ถูกปล่อยให้รกร้าง ไหนจะเรื่อง “ศูนย์ฝึกฟุตบอลเยาวชน ใจฟ้าอคาเดมี”สนามฟุตบอลสุดอลังการ ที่ใช้งบสร้างถึงกว่า 100 ล้านบาท!!



                                                    {พื้นที่ถูกปล่อร้าง ของบริจาคโดนทิ้งขว้าง}



                                      {ใจฟ้าอคาเดมี สนามฟุตบอลที่ใช้งบสร้างถึงกว่า 100 ล้านบาท}

เกิดกลายเป็นข้อสงสัยหนักมาก “ไหนว่าวัดไม่มีเงิน?” และความคลางแคลงใจนี้ ยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก เมื่อมีข้อมูลจาก “แพรรี่” (ไพรวัลย์ วรรณบุตร)อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง ดีกรีเปรียญ 9 ออกมาบอกว่าหลายๆ คนที่ไปทำบุญกับวัด รู้สึกเหมือนๆ กันว่า วัดไม่ค่อยสนใจ “ของบริจาค”แต่อยากได้ปัจจัยที่เป็น “เงิน”มากกว่า

“แต่หลายคน หลายเคส ที่พอเข้าไปวัดจริงๆ นำของไปบริจาค อันนี้ดิฉันย้ำว่าหลายคน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้รับการปฏิบัติ ที่ไม่ค่อยประทับใจ”


                                                               {“แพรรี่” อดีตพระนักเทศน์ เปรียญ 9}

** ไหน “เกณฑ์” รับผู้ป่วย เลือกเฉพาะ “เคสปฏิเสธไม่ได้”? **

ยังไม่รวมกลิ่นแปลกๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ทางวัด “เลือกปฏิบัติ”เรื่องการคัดเลือกผู้ป่วยอีก เริ่มจากประเด็น “วัดปฏิเสธผู้ป่วยเอดส์ ที่เป็นกลุ่ม LGTBQ+” โดยไม่มีสาเหตุ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “จตุรงค์ จงอาษา”นักวิชาการพุทธศาสนา และรองประธาน “มูลนิธิเอชไอวีเอเชีย” ช่วยเผยเรื่องนี้ให้ทีมข่าวฟังอย่างละเอียด

“มูลนิธิเอชไอวีฯ ร่วมกับญาติเนี่ย เสนอเงินแรกเข้าไป 25,000 บาทนะ ย้ำนะ พวกเราเป็นคนเสนอเอง เขาไม่ได้ขอ แต่เขาซะอีกที่จะปฏิเสธเราอย่างไม่มีไยดี แล้วก็ไม่มีคำอธิบาย เรื่องนี้ประมาณ 5 ปีที่แล้ว”

โดยทางวัดออกมาโต้ประเด็นนี้ภายหลังว่า “ทางองค์กรไม่ได้ทำตามระเบียบ” และ “ตัวคนป่วยไม่ได้เข้าเกณฑ์”ทางวัดเลยรับไว้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นทางวัดก็ไม่เคยเอา “เกณฑ์” ออกมากางให้เห็นชัดๆ สักทีว่า ใช้อะไรในการตัดสินบ้าง


                                        {“จตุรงค์”รองประธานมูลนิธิเอชไอวีเอเชีย}

รองประธาน “มูลนิธิเอชไอวีเอเชีย”ขอพูดตรงๆ ว่า ภาพ “วัดพระบาทน้ำพุ”ทุกวันนี้เปลี่ยนไปมาก จากเดิม สมัยก่อตั้งแรกๆ ทางวัดแทบจะเหมารถไปตระเวนรับผู้ป่วย HIV ตามที่ต่างๆ มาดูแลด้วยตัวเอง

แต่เดี๋ยวนี้ การที่ผู้ป่วยเอดส์จะได้เข้ารักษาตัวที่วัดพระบาทน้ำพุ ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต วัดถึงจะออกหน้ามารับคนป่วยไปดูแล ย้ำว่าเรื่องนี้เป็นข้อมูลจาก “คนวงในของวัด” ที่ออกมากระซิบเอง
“แหม.. ถ้าเป็นรถตู้ป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกตัญญู หรือตำรวจ เป็นคนใส่รถปิกอัปพาไป หรือคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ พาไปยิ่งดี เขาจะกลัว แล้วก็จะไม่อยากมีปัญหา อยากได้หน้า รับไว้หมด นึกภาพออกไหม”

จุดนี้ ทางวัดออกมาชี้แจงแล้วว่า ไม่เคยแบ่งชนชั้นของผู้ป่วย และยังคงรับดูแลรายใหม่เพิ่มอยู่เรื่อยๆ ล่าสุด ทางเจ้าอาวาสเพิ่งสัมภาษณ์สื่อ “PPTV” เอาไว้ว่า ปัจจุบันมีคนป่วยที่วัดดูแลอยู่ประมาณ 2,000 คน

“วันนี้ (11 ส.ค.68) ก็มีเข้ามา คนแก่ นอนติดเตียง (อายุ) 80 ไม่มีใครดูแล หลวงพ่อก็ต้องรับมา เดิมทีพวกเราจะรู้ว่า เออ..วัดพระบาทน้ำพุ ดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ใช่ไหมลูก ก็ยังมีเต็มทุกเตียงเลย ยังมีคนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ”



จะว่าไป ประเด็นเรื่อง “จำนวนผู้ป่วยทั้งหมด” ก็ยังเป็นที่น่าสงสัย เพราะตัวเลขที่หลวงพ่อบอกไว้คือ “2,000 ราย” แต่การนำเสนอภาพข่าวจากทาง “ThaiPBS” หลังเข้าไปสำรวจความเป็นอยู่ของผู้ป่วย HIV ในนั้น

กลับรายงานว่า มีผู้ป่วยทั้งหมด “125 ราย” ในวัดพระบาทน้ำพุ โดยแบ่งเป็น “ผู้ป่วยติดเตียง” 65 ราย และ “ผู้ป่วยที่ยังแข็งแรง” พอช่วยเหลือตัวเองได้อีก 60 ราย

ส่วนเงื่อนไขในการรับผู้ป่วยใหม่นั้น ทางวัดบอกกับสื่อไว้ว่า หลักๆ แล้วพิจารณาจากจำนวน “เตียงว่าง”,“เอกสารครบ” และ “คนป่วยไม่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด”

ส่วนเรื่อง “ยารักษา” นั้น ทางวัดมีรถบริการ พาผู้ป่วยไปรับยาจากโรงพยาบาล ทำให้ “ค่ายา” ไม่หนักเท่าไหร่ เพราะเป็นไปตามสิทธิ์ของคนไข้ แต่จะไปหนักเรื่อง “ค่ากิน-ค่าอยู่” มากกว่า



** “ยาต้าน” มีแล้ว จำเป็นไหม? “นอนวัด” **

“โรคเอดส์” ในสมัยก่อนที่วิทยาการยังไม่ก้าวไกลขนาดนี้ อาจเป็นโรคที่ดูน่ากลัว เป็นแล้วต้องนอนรอความตายอย่างเดียว ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้คนในสังคมได้

แต่ทุกวันนี้ ผู้ติดเชื้อ HIV มี “ยาต้าน” ที่ใช้แล้วได้ผล แถมผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้ง่าย จนสังคมเกิดคำถามว่า ยังจำเป็นแค่ไหน? ที่ต้องให้ “ผู้ป่วย” ไปนอนรักษาตัวที่วัด?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ผศ.พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนุวงศ์”นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย ยืนยันกับทีมข่าวว่า ประเทศไทยมี “โครงการยาต้านเอดส์ชาติ (NAP)” ที่ให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาต้านไวรัสเอดส์ฟรี มาตั้งแต่ปี 2548 แล้ว ซึ่งเกิดขึ้นหลังการก่อตั้งวัดพระบาทน้ำพุเมื่อปี 2534 และหลังการรับดูแลผู้ป่วยเอดส์ตั้งแต่ปี 2535

“คนไข้ทุกสิทธิ์ ทุกคน เข้าถึงการรักษาฟรีหมด และการรักษามันได้ผลดีมาก ยาตอนนี้ก็กินเหลือวันละเม็ด วันละครั้ง แทรกซ้อนก็ไม่มาก ราคาตกเดือนนึง ไม่ถึง 1,000”


                                 {“ผศ.พญ.จุรีรัตน์”นายกสมาคมโรคเอดส์ฯ}

โดยยาต้านไวรัสตัวนี้ ถ้าทานอย่างสม่ำเสมอ ตลอดระยะเวลา 3 เดือน เชื้อไวรัสก็จะลดลง จนตรวจไม่พบ ทางการแพทย์เรียกกันว่า “U=U” หรือ “Undetectable = Untransmittable” คืออยู่ในสถานะ “ตรวจไม่พบ = ไม่แพร่เชื้อ” นั่นเอง

ส่วนเคสหนักๆ ที่รักษาไม่ต่อเนื่อง หรือป่วยจนปล่อยให้เชื้อ HIV เข้าไปทำลายภูมิคุ้นกัน จนกลายเป็นโรคแทรกซ้อนนั้น ทางโรงพยาบาลก็ใช้วิธีรักษาจนโรคเหล่านั้นหาย แล้วถึงให้ยาต้านไปสู้กับโรคเอดส์ต่อ

ดังนั้น ภาพของคนติดเชื้อเอดส์อย่างหนัก จนร่างกายซูบผอม หรือถึงขั้นมีตุ่มหนองขึ้นตามผิวหนัง จนสังคมรังเกียจอย่างที่เคยมีภาพจำออกมานั้น



นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย ยืนยันว่า “ไม่มีอีกแล้ว” หรืออย่างมากที่สุด ก็เหลือแค่ “เคสที่ดื้อยา” หรือคนป่วย “ไม่ยอมไปตรวจรักษา” เอง

ตรงกับที่ รองประธาน “มูลนิธิเอชไอวีเอเชีย” ยืนยันเอาไว้ว่า การรักษาโรคนี้ในปัจจุบัน เข้าถึงได้สะดวกมาก ทั้งจาก “สิทธิ์บัตรทอง 30 บาท” และ“สิทธิ์ประกันสังคม”

คือให้สิทธิ์เข้าถึงตัวยา และการตรวจเลือด รวมถึงขยายการรักษาไปยัง “โรงพยาบาลเฉพาะทาง” ด้านนี้โดยเฉพาะ ครอบคลุมหลายแห่งทั่วประเทศ



** “เลี้ยงไข้-โหนคนป่วย” เรียกเงินบริจาค? **

ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและคนวงใน ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า สังคมไทยทุกวันนี้ มีความเข้าใจในตัว “ผู้ติดเชื้อ HIV” มากขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว

ส่งให้ “ผู้ป่วยโรคเอดส์” สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ ขอเพียงเข้ารับการรักษา ก็จะไม่ถูกมองอย่างแปลกแยก จนก็ครอบครัวต้องเอาไปทิ้งไว้ที่วัด

เมื่อคำตอบออกมาแบบนี้ ยิ่งผลักให้คนในสังคมเกิดข้อสงสัยหนักขึ้นไปอีกว่า แล้วการมีอยู่ของ “วัดพระบาทน้ำพุ” กับบทบาท “รักษาดูแลผู้ป่วย” ยังจำเป็นอยู่ไหม?

หนักไปถึงขั้นคลางแคลงใจว่า หรือทุกวันนี้ที่ทางวัดยังวางจุดยืนหลัก เกี่ยวกับ “ผู้ป่วยโรคเอดส์” นั้น เป็นเพราะไม่ได้ต้องการให้กลุ่มเป้าหมายหายจากโรค แต่มีพฤติกรรมเข้าข่าย เจตนาอยาก “เลี้ยงไข้” เพื่อ “โหนเงินบริจาค” หรือเปล่า?



แน่นอนว่า ไม่มีกูรูรายไหนกล้าให้คำตอบชัดๆ เกี่ยวกับข้อครหาหนักๆ ข้อนี้ แต่สิ่งที่ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย ตอบได้ก็คือ“วัดพระบาทน้ำพุ” ยังคงมีบทบาทสำคัญ ต่อการดูแลผู้ป่วย “Social Case”

นั่นก็คือ ผู้ป่วยอาการหนัก ที่ไร้ญาติขาดมิตร ไร้คนช่วยดูแล เพราะถึงแม้ว่าทุกวันนี้ ภาครัฐจะแบ่งเบาภาระเรื่อง “ยาและการรักษา” ให้ได้แล้ว แต่ “การรับดูแลผู้ป่วย” ตลอดเวลา ยังคงทำไม่ได้ ถือว่าเกินกำลัง จนต้องมีองค์กรอื่นเข้ามาช่วยเหลือ

“หลวงก็คงรับไม่ไหว เพราะว่าโรงพยาบาลหลวงเอง คนไข้ที่นอนตึกนอน มันก็ล้น ถ้าหลวงจะดู ก็อาจจะต้องไปร่วมมือ เขาเรียกว่า‘Hospice’ สถานที่ดูแลผู้ป่วย ระยะฟื้นฟูหรือระยะสุดท้าย ซึ่ง‘พระบาทน้ำพุ’ บทบาทเขาจะเป็นแบบนั้น”



แต่ก็ใช่ว่าจะเป็น “ปมข้อสงสัย” ที่ปล่อยผ่านไปได้ เมื่อมีการขุดบทความเรื่อง “วัดเอดส์ถูกจับตาอีกครั้ง” ขึ้นมาวิเคราะห์หนักกันอีกรอบ บทความที่เคยเผยแพร่ผ่านสื่อ “Bangkok Post” ตั้งแต่ปี 2557

ข้อมูลในนั้นมีคำให้สัมภาษณ์ของ “พยาบาลชาวสวิตเซอร์แลนด์” รายนึง ที่เคยเข้ามาช่วยงาน “วัดพระบาทน้ำพุ” ตั้งแต่ปี 2546 ในฐานะอาสาสมัคร

เธอบอกว่า ตัวเองกับอาสาสมัครหลายคนในตอนนั้น พยายามช่วยกันจัดหา “ยาต้านไวรัสเอดส์” ให้ผู้ป่วยในวัดได้ใช้ แต่กลับเจอเรื่องช็อก “ถูกสั่งให้หยุด!!”พร้อมถูกเจ้าหน้าที่ขู่ให้ออกจากวัด จนอาสาพยาบาลรายนี้ต้องก้าวเท้าออกมาในปี 2547



จึงไม่แปลกที่ตอนนี้ ทางวัดจะถูกตั้งคำถามหนักๆ อย่าง “เลี้ยงไข้ผู้ป่วย” หรือ “โหนผู้ป่วยเรียกเงินบริจาค” และการจะลดข้อกังขาของสังคมลง ทางวัดอาจต้องปรับตัวเองให้กลายเป็น “โรงพยาบาลเฉพาะทาง”

พร้อมระบบทำงานที่“โปร่งใส-ตรวจสอบได้” อย่างที่ รองประธาน มูลนิธิเอชไอวีเอเชียแนะไว้ แต่ทางวัดก็ไม่เคยรับพิจารณา

“จะได้เห็นไปเลยว่า มีผู้ป่วยกี่เตียง นึกภาพออกไหม เป็นกิจจะลักษณะ เบิกยาจากรัฐ หน่วยงานสังคมมันชัดกว่ากันเยอะ การเป็นโรงพยาบาล มันตรวจสอบได้กว่ากันเยอะ”

สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ :
www.phrabatnampu.org, Facebook “PPTV HD 36”, “วัดพระบาทน้ำพุ ลพบุรี”, “MGR SPORT”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น