เฉียดตาย!! เพราะเป็น “เพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์” ทุกอย่างต้องเนี้ยบ ทุกสิ่งต้องเป๊ะ หามรุ่งหามค่ำทำตามฝันให้ได้ไวที่สุด จนลืมสงสารร่างกาย สุดท้ายเกินลิมิตจน “สโตรก” เซลล์สมองเสียหาย 20% ต้องหัดพูด ควบคุมการขยับ เรียนรู้ไลฟ์สไตล์แบบใหม่ ผลักให้มุมมองชีวิตเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว
เกินลิมิตร่างกาย จนเข้าไอซียู!!
“ทุกคนอาจจะบอกว่า โรคทุกอย่าง น่าจะมาจากตอนแก่ ตอนที่มีอายุแล้ว โรคถึงจะมา แต่ว่าสุดท้ายแล้ว โรคไม่ได้เลือกอายุ ไม่ได้เลือกเพศ ไม่ได้เลือกวัย ถ้าเราไม่ดูแลร่างกาย โรคจะถามถึงเรา
ตอนแรกเบอร์ดี้เป็นคนคิดว่า สุขภาพดี มาจากการหุ่นดี ลีน ออกกําลังกาย ไม่ได้สนใจ ว่าเราจะใช้ร่างกายเยอะแค่ไหน เราไม่มีลิมิต ตอนนี้คิดได้แล้วว่า เราต้องใช้ร่างกายให้ดี ให้คุ้ม ฟังร่างกาย อย่าใช้ร่างกายจนเกินขีดจํากัดค่ะ”
“เบอร์ดี้-ปาวา นาคาศัย”อินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชั่น เจ้าของแบรนด์เครื่องประดับ “Parva Collection”และแบรนด์เสื้อผ้า “PARV Studio”รวมไปถึงเป็นเจ้าของธุรกิจเรือดำน้ำ “Vanora Liveaboard”
ที่ออกมาแชร์ประสบการณ์ไม่คาดคิด ผ่าน TikTok @birdieparva วินาทีชีวิตเกือบตาย เพราะป่วย “สโตรก”หรือ “โรคหลอดเลือดสมอง”ทั้งที่อายุเพียง 32 ปี และไม่มีโรคประจำตัวมาก่อน
คลิปที่เธอออกมาแชร์ กลายเป็นไวรัลไปทั่วโซเชียลฯ จนทำให้หลายคนฉุกคิด และตระหนักเรื่องภัยสุขภาพมากขึ้น
ต้นเหตุของโรคเปลี่ยนชีวิต เกิดจากการใส่รองเท้าส้นสูงและมีการก้มๆ เงยๆ แหงนคอซ้ำๆ ถึง 17-20 ครั้ง ระหว่างถ่ายคอนเทนต์ โดยการแต่งตัวเป็น “โบอา แฮนค็อก”ตัวละครการ์ตูนจากเรื่องวันพีซที่เธอชื่นชอบ
เหตุการณ์นั้น ทำให้ผนังหลอดเลือดที่คอฉีก เกิดลิ่มเลือดอุดตันสมอง เซลล์สมองเสียหาย 20% มีปัญหาการพูดและออกเสียง
ต้องนอนโรงพยาบาล 2 อาทิตย์ พร้อมทำกายภาพและฝึกสมองทุกวัน เพื่อให้สมองฟื้นตัวเต็มที่ พร้อมปรับพฤติกรรมทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นซ้ำอีก
“อยู่ดีๆ ก็หูอื้อค่ะ เหมือนจะเป็นลม สักพักเราก็ปวดหัวมากๆ พอกินน้ำ แล้วมือไม่มีแรงข้างนึงค่ะ ถือขวดน้ำก็ตก รู้สึกว่า ไม่มีแรง ก็เลยนอนลงไป
สักพักก็ปวดหัวมากๆ ปากเบี้ยว ผู้ช่วยเบอร์ดี้ เห็นปากเบี้ยว พูดไม่ชัด เขาก็ติดต่อแฟนเบอร์ดี้ ให้รีบพาไปโรงพยาบาลค่ะ หลอดเลือดฉีกขาด ทําให้กลายเป็นลิ่มเลือด แล้วไปอุดตันเส้นเลือดในสมองค่ะ”
เธอไม่เคยคิดเลย ว่าตัวเองจะมาเป็นสโตรกได้ เพราะก่อนเกิดเหตุ 1 เดือน เธอไปตรวจสุขภาพ ผลตรวจบอกว่ายังสุขภาพดี แถมหลอดเลือดก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“ไม่คิดว่าตัวเองเป็นสโตรก เพราะว่าเราเป็นคนสุขภาพดีมากๆ คิดแค่ว่าเป็นลม หรือว่าไม่ได้ทานข้าว หรือว่านอนน้อย จนตัวเองไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอเป็นคนบอกว่าเราเป็นสโตรกค่ะ
เพราะว่าไม่ค่อยได้ออกกําลังกายช่วงหลังๆ ก็ทําให้แกนกลางเราไม่ได้ดี ทําให้เราใช้คอดึง จนผนังเส้นเลือดคอฉีกค่ะ น้ำหนักอยู่ตรงคอ ใช้คอในการดึง แล้วมันก็ตึง แล้วมันก็ปริค่ะ”
เธอก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่า แค่ทำท่าถ่ายคอนเทนต์ ยืนอยู่บนส้นสูง จะทำให้ป่วยได้ขนาดนี้ เธอจึงอยากแนะนำว่า อย่าฝืนร่างกายตัวเอง พร้อมกับขอเตือนว่า พยายามอย่าใช้คอเยอะ หรือทำอะไรที่รุนแรงเกี่ยวกับคอ เพราะค่อนข้างที่จะอันตรายมากๆ
“จริงๆ มันไม่ได้สะสมมาก่อน แต่ว่าจริงๆ มันมาจากการที่เบอร์ดี้ใช้ทําท่า ที่ไม่ได้ดูร่างกาย ว่าเราใช้ท่าผิดจุดประสงค์ทุกอย่าง ก็คือเราหงายคอหลายรอบ
อย่างการนวดคอแรงๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะว่ามันทําให้เส้นเลือดคอฉีกเหมือนกันค่ะ การหงายคอหลายรอบ การใช้คอ ดึงคอ ยืดหงายคอเยอะๆ ก้มๆ เงยๆ หลายรอบ มันเป็นสิ่งที่ไม่แนะนําค่ะ
ปกติเบอร์ดี้เป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์มากๆ เวลาทําอะไร ต้องอยากให้ทุกอย่างเป๊ะหมด แล้วก็เครียด แล้วก็รีบเร่ง แบบต้องทําให้สําเร็จให้ได้ ทําซ้ำหลายรอบค่ะ”
และก็ไม่คาดคิด ว่าคลิปที่แชร์ออกไป จะกลายเป็นไวรัล จนทำให้คนสนใจมากขนาดนี้ แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ได้เป็นกระบอกเสียง ที่ทําให้คนที่ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนอายุน้อยๆ หรือคนรุ่นใหม่ ให้เขาเริ่มสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น
“คลิปที่มันเป็นไวรัล ตอนแรกก็คือทําเพื่อการบอกเพื่อนๆ คนที่ติดตาม บอกว่าเราหายไป เกิดอะไรขึ้น ตอนแรกก็คือไม่คิด ว่าจะไวรัลขนาดนี้
ก็มีคนเข้ามาถามเยอะ มีคนขอคําปรึกษา ว่าคนรอบข้างเป็นสโตรก ทํายังไงคะ เบอร์ดี้ก็ช่วยบอก ว่ามีอาการอะไรบ้าง ถ้าอาการแบบนี้ ทําให้ทุกคนคิดได้ ว่าเราน่าจะเป็นสโตรก หรือคนรอบข้างเป็นสโตรกค่ะ ก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ทําให้ทุกคนรู้ ว่าวิธีการดูสโตรกยังไง”
เธอบอกว่า ตอนนี้ค่อนข้างที่จะหายกลับมาเป็นปกติแล้ว หลังจากฟื้นตัวมาประมาณ 6 เดือน ต้องฝึกเรื่องการพูด ฝึกเรื่องการทำสมาธิ กลับมาออกกำลังกาย กลับมานอนให้เพียงพอ ซึ่งตอนนี้กำลังดีขึ้นมากๆ
เคสหนัก โอกาสรอด 1 ในแสน
จากผล MRI (Magnetic Resonance Imaging) คุณหมอบอกว่า เธอมีโอกาสรอดน้อยมาก เรียกได้ว่า มีโอกาสรอดแค่ 1 ในแสนคน และถึงขั้นบอกให้ครอบครัวทำใจรอไว้ หรือถ้าฟื้นขึ้นมา อาจจะเป็นอัมพฤกษ์ หรือเป็นอัมพาตได้
แต่โชคดี เธอรอดเหมือนปาฏิหาริย์ แม้ตอนแรกสภาพร่างกาย จะไม่ค่อยปกติ ทั้งปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ค่อยชัด ต้องทำกายภาพบำบัดอยู่ประมาณ 6 เดือน ถึงกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้
“โอกาสรอดของเบอร์ดี้ เป็น 1 ในแสน เพราะว่าการให้ลิ่มเลือด ลิ่มเลือดก็ไม่ออก แต่สุดท้ายในการผ่าตัด แต่ว่าเราโชคดีที่เรามาทันในเวลา golden period ภายใน 4.5 ชั่วโมงค่ะ โชคดีมากๆ ที่คนรอบข้างมีสติ แล้วก็มีไหวพริบ พาไปส่งโรงพยาบาลทันเวลาค่ะ มันเหมือนปาฏิหาริย์”
เธอยอมรับว่า ตอนแรกตกใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นโรคร้ายแรงขนาดนี้ เพราะตอนที่มาถึงโรงพยาบาล เธอก็ไม่ค่อยได้รับรู้อะไร เพราะตอนนั้นยังหลับๆ ตื่นๆ และสลบไป
คุณหมอบอกอีกว่า ถือเป็นเคสหนัก เพราะพอคุณหมอให้ยาสลายลิ่มเลือด แต่ลิ่มเลือดก็ยังไม่ออกมา เพราะเลือดของเธอมันข้นเกินไป ต้องรีบเข้าผ่าตัดด่วน
“คุณหมอให้ยาสลายลิ่มเลือด เพราะว่าลิ่มเลือดอุดตันในสมอง แต่ลิ่มเลือดไม่ออก เพราะว่าจากไลฟ์สไตล์ของเรา ที่เรานอนน้อย เครียด กินน้ำน้อย ทําให้เลือดเราข้น ทําให้ลิ่มเลือดไม่ออกค่ะ คุณหมอก็เลยตัดสินใจผ่าตัดค่ะ โดยการสวนจากขาหนีบทางเส้นเลือดดํา คีบลิ่มเลือดออกจากสมองค่ะ
มีฟื้นมาแป๊บนึง ตอนที่คุณหมอกําลังให้ยาสลายลิ่มเลือดค่ะ เราก็ยังไม่ค่อยได้สติขนาดนั้น แต่เราได้ยินคุณหมอพูดว่า เราเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ สุดท้ายฟื้นมาอีกที ตอนที่คุณหมอบอกว่า ลิ่มเลือดไม่ออกแล้ว ต้องเข้าการผ่าตัด
เคสหนัก เพราะว่าถ้าสมมติเป็นอัมพฤกษ์ หรือเป็นอัมพาต ปัญหาที่ตามมาคือ ร่างกายและอวัยวะภายในไม่ได้ใช้ มันจะทําให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน, โรคไต ทําให้เราลําบาก ทําให้เสียชีวิต เพราะโรคแทรกซ้อนขึ้นมาเรื่อยๆ จากอวัยวะภายในเราเสื่อมถอย
มันหนัก แต่ไม่อยากให้ทุกคนกลัว ก็พยายามทําให้ทุกอย่างมันดูไม่หนักค่ะ ให้มันดูโอเค ให้ภาพมันออกมาดูไม่น่ากลัว แต่ว่าก็อยากทําให้ทุกคน กลับมาสนใจตัวเอง”
นอกจากนี้ เซลล์สมองยังเสียหายไปถึง 20% มีผลกระทบข้าเคียงเรื่องอารมณ์ จากเคยเป็นความอดทนสูง กลายมาเป็นคนมีความอดทนต่ำ ใจร้อน หงุดหงิดง่าย และที่สำคัญ ยังกระทบปัญหาการพูดและออกเสียงด้วย
“เซลล์สมองที่เสียหายไป 20% คือสมองซีกซ้าย คุณหมอบอกว่า ฝั่งสมองเรื่องการใช้ภาษา การพูดค่ะ เราเหมือนเด็กที่พูดไม่ค่อยได้ พูดแล้วไม่มีวรรณยุกต์ค่ะ พูดเหมือนชาวต่างชาติ พยายามหัดพูดภาษาไทย
ฟื้นขึ้นมาตอนแรก การรับรู้ด้านซ้ายไม่ค่อยรู้สึกค่ะ คนฝั่งซ้ายที่จะคุยกับเบอร์ดี้ ทุกคนต้องดีดนิ้วเรียก ให้หันกลับมาโฟกัส
ตอนแรก เราพูดผิดบ่อยมากๆ อย่างเช่น เคยสั่งน้ำ ขออเมริกาโน่ แต่ว่าสุดท้ายก็บอกว่า ขออเมริกาเน่า พูดผิด กลายเป็นมุกเฉย
จริงๆ มันคือความเครียดของเบอร์ดี้ แต่ว่าสุดท้ายเบอร์ดี้ก็ปรับเปลี่ยน ทํามาให้เป็นความตลก ทำให้มันมีความสุขค่ะ ปล่อยให้มันสบายๆ ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเครียด แล้วก็รอเวลา ให้มันหายดีขึ้น แต่ว่าตอนนี้มันเริ่มดีขึ้นค่ะ เราเริ่มมีสติ มีสมาธิในการพูดเยอะขึ้นค่ะ แล้วก็ได้ฝึกบ่อยขึ้น จนตอนนี้เริ่มชํานาญขึ้นค่ะ”
เธอบอกว่า การที่ป่วยสโตรก ถือเป็นความโชคร้ายในความโชคดี แม้จะหนักหนาสาหัส กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ แต่มันก็ทำให้เธอมีสติ ในการใช้ชีวิตมากขึ้น
“จริงๆ คิดว่ามันเป็นความโชคดีในโชคร้าย มันทําให้เราได้สติ ทุกอย่างมันไม่แน่นอน โรคร้ายแรงไม่ได้เลือกกับใคร ใช้ชีวิตให้เต็มที่ ใช้ชีวิตให้คุ้ม แต่ว่าอยู่ในความพอดี อยู่ในลิมิต ไม่มากจนเกินไป ไม่น้อยจนเกินไป
โชคร้ายมาเจอกับโรคที่ร้ายแรงแบบนี้ แต่ว่าในสิ่งโชคร้าย มันมีสิ่งที่โชคดี ที่ทําให้เบอร์ดี้ได้เห็นความรักของที่บ้าน ของเพื่อน ของคนรอบข้าง
ทุกคนเป็นพลังบวกให้มากๆ เรารักทุกคนมาก แล้วยิ่งเห็นทุกคนเสียใจ ตอนที่ไม่สบาย ก็อยากทําให้ทุกคนไม่เครียด ไม่อยากกลับมาไม่สบายอีก โชคดีที่ได้กลับมาทําคอนเทนต์ กลับมาเป็นกระบอกเสียง ทําให้คนไม่ดูแลสุขภาพ ให้กลับมาดูแลสุขภาพได้ค่ะ”
เธอดีใจมาก ที่การป่วยของเธอ เป็นเคสอุทาหรณ์ ให้กับใครหลายๆ คน เริ่มตื่นตัว หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น เพราะเธอเองก็ไม่อยากให้ใครมาเป็นเหมือนเธอ เพราะรู้ดีว่า กว่าจะผ่านมาได้ ทรมานมาก
“คลิปมันเตือนใจเขามากๆ เพราะเขาไม่อยากเป็นแบบเบอร์ดี้ ก็อยากจะบอกว่า สิ่งที่เบอร์ดี้เป็น มันทรมานมากๆ เบอร์ดี้ไม่อยากให้ทุกคนเป็นแบบนั้น อยากมาเล่าให้ทุกคนฟัง ให้ทุกคนกลับมาดูแล รักษาร่างกายตัวเองค่ะ
อย่าใช้แบบเร่งรีบ อย่าใช้จนไม่ดูแลร่างกาย ไม่ฟังร่างกายตัวเอง ร่างกายทุกคนเหมือนเครื่องจักร ถ้าสมมติเราไม่ดูแลเครื่องจักร มันทําให้เครื่องจักรมันพังได้”
โรคนี้ ต้องทำให้เธอสูญเสียสิ่งที่ชอบ นั่นก็คือห้ามดำน้ำตลอดชีวิต ทั้งที่เป็นคนชอบดำน้ำ เป็นชีวิตจิตใจ แถมยังต้องกินยาต้านเกล็ดเลือด ไปตลอดชีวิต
“ดำน้ำเสียดายมาก เป็นสิ่งที่รักมากๆ ชอบว่ายน้ำ ชอบอยู่ในน้ำทะเลมากๆ เป็นสิ่งที่เราเสียใจนิดนึง แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ก็ได้รัก ได้ดูแลสุขภาพตัวเอง ได้ป้องกันจากการไม่สบายอีกรอบ เพราะเราไม่อยากกลับไปทรมานอีกรอบ
ก็ทําใจไว้ด้วย แต่ว่าก็สู้ แล้วก็พยายาม รักษาวินัย พยายามปรับ เพื่อให้ตัวเอง เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ตัวเองมันดีขึ้น
เราต้องมีความหวัง อย่าเครียด อย่า คิดมาก จัดการอารมณ์ตัวเอง จัดการความเครียด ออกกําลังกาย ทํานู่นทํานี่ เปิดคอนเสิร์ตให้ตัวเอง ร้องเพลงตลอด”
กายภาพแนวผสมผสาน “ต่อยมวย-ร้องแร็ป”
อินฟลูฯ คนดัง เธอเล่าถึงวิธีการฟื้นฟูร่างกายตัวเอง ให้กลับมาสภาพเดิมได้ อย่างที่ทุกคนเห็นทุกวันนี้ ค่อนข้างยากมาก แต่เธอก็สู้มาตลอด
สิ่งสำคัญที่ทำให้เธอกลับมาปกติโดยเร็วก็คือ ความมีวินัย พยายามกายภาพบำบัด ทั้งออกกำลังกาย ควบคู่ไปกับไปกระตุ้นไฟฟ้าที่เซลล์สมอง
“ที่ผ่านมาได้ เบอร์ดี้ก็คือสู้มากๆ เราปล่อยทุกอย่างให้ชิล ปล่อยให้เป็นการรักษาของทางคุณหมอ ต้องขอบคุณทางคุณหมอที่โรงพยาบาล ที่ดูแลรักษาให้ดีค่ะ
แล้วก็เป็นวินัยของเบอร์ดี้ ที่ต้องไปกายภาพบําบัด ไปช็อตไฟฟ้าที่เซลล์ ให้ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองค่ะ ต้องทําทุกอาทิตย์ ปากเบี้ยว กลับมาได้ด้วย จากการที่ไปกระตุ้นด้วยไฟฟ้าช็อตเซลล์สมอง”
แล้วก็หันกลับมาออกกําลังกาย ต่อยมวย เป็นคนชอบต่อยมวยสากล การต่อยมวยทําให้มีสติมากขึ้น ได้สมาธิเยอะขึ้นด้วยค่ะ”
เมื่อก่อนเธอบอกว่า เป็นคนชอบออกกำลังกายมากๆ ส่วนใหญ่จะเข้าฟิตเนส เล่นเวทเทรนนิ่ง ต่อยมวยสากล รวมไปถึงชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีม สกี, สโนว์บอล, เล่นเซิร์ฟ, ขี่ม้า
แต่ช่วงหลังๆ หันมาทำคอนเทนต์ใน TikTok ทำให้ชีวิตเริ่มยุ่ง จึงพักในการออกกำลังกายไปช่วงนึง จนพอหลังป่วยครั้งใหญ่นี้ ก็แบ่งเวลา ให้ตัวเองได้ออกกำลังกายอีกครั้ง อีกอย่างก็คือเพื่อฟื้นฟูร่างกายจากการป่วยด้วย
สภาพร่างกายตอนนี้ เธอบอกว่า อยู่ที่ประมาณ 90% ส่วน 10% ที่เหลือ อยู่ที่การพักฟื้น และคุณหมอวินิจฉัยแล้วว่าผ่านแล้ว ไม่ต้องทำกายภาพ มีแรงแขนขา ครบทั้ง 2 ข้าง สติสมาธิกลับมาดีขึ้น
“ตอนแรกๆ ที่เราเริ่มรักษา คือเบอร์ดี้ทํากิจกรรมบําบัดค่ะ เช่น คุณหมอสั่งให้ฝึกพับกระดาษ ให้วาดรูป คล้ายๆ เหมือนสอนเด็กๆ เลยค่ะ
ให้เบอร์ดี้พาเดินไปร้านสะดวกซื้อ พาไปซื้อขนม หยิบขนม คุยกับพนักงานจ่ายเงิน พยายามดูพฤติกรรม ว่าใช้ชีวิตได้ไหม พอสุดท้ายก็ผ่านมา เขาบอกว่าสามารถใช้ชีวิตปกติได้ค่ะ”
ทริกอีกอย่าง ที่เธอไม่ค่อยได้บอกใครเลยก็คือ ฝึกพูดโดยการร้องเพลงแร็ป เพราะเป็นคนชื่นชอบเพลงแร็ปอยู่ด้วย แถมเธอยังโชว์สกิลในการร้องเพลง “ทะลึ่ง” ของ “ไทเทเนียม” และเพลง “APT.” -ของ “โรเซ่ Blackpink” ให้เราฟังอีกด้วย
“เบอร์ดี้เปิดเพลงแร็ป แล้วก็ฝึกแร็ป เป็นคนชอบพูดเร็วมากๆ และชอบแร็ป ก็พยายามแร็ป บางครั้งทำไม่ได้ก็เซ็ง ร้องเพลงไทเทเนียมค่ะ มันคือเพลงทะลึ่งเบเบ้ ตอนเด็กๆ เบอร์ดี้ชอบแร็ปใส่เพื่อน
อย่างตอนที่เบอร์ดี้เป็นสโตรก มันคือช่วงที่โรเซ่ Blackpink ออกเพลงกับ บรูโน่ มาส์ ตอนอยู่ในโรงพยาบาลก็คือนั่งฟัง ฝึกร้องตาม แต่ร้องช้ามาก ร้องแบบไม่ตรงจังหวะ
คุณหมอให้ฝึกในการพูด ให้คุยกับคนรอบข้างค่ะ แต่ว่าเบอร์ดี้เริ่มมาคิดว่า ฉันชอบร้องเพลง ฉันขอฝึกร้องเพลงดีกว่า อย่างน้อยก็แร็ป ก็คือเหมือนการพูด แต่ให้มันพูดเร็วๆ ให้ลิ้นไม่พัน แล้วก็พูดได้ค่ะ
มันเป็นทริกนะ หนูแร็ป แล้วก็ร้องเพลง หลบเข้าห้องน้ำ ก็เปิดเพลง แล้วก็ร้องเพลง แล้วก็ตะโกน บางทีแฟนก็จะบอกว่า เธอเปิดคอนเสิร์ตทุกวันเลย
แฟนก็จะนั่งจะขํา ขอบคุณแฟนมากๆ ที่แบบเป็นคนที่คอยซัพพอร์ต เป็นคนที่ให้กําลังใจ แล้วก็ทําให้เบอร์ดี้จากความเครียด มีความสุขค่ะ”
วิธีฟื้นฟูร่างกาย นอกจากการรักษาของคุณหมอ และการขยันออกกำลังกายของตัวเองแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่าง ที่ทำให้เธอฟื้นตัวเร็ว ก็เพราะว่า เธอไม่กดดันตัวเอง ว่าต้องหายในเร็ววัน เพราะโรคนี้มันต้องใช้เวลา
“เน้นเรื่องการปล่อยวาง ทําให้ทุกอย่างมันผ่านไปได้ คิดในสิ่งที่ดี ไม่ต้องเครียด เพราะว่าถ้าเครียด เดี๋ยวทําให้เรากลับมาไม่สบายอีก
ตอนนี้กลัวการกลับมาป่วยอีกรอบมากกว่า มันสามารถกลับมาเป็นได้อีกครั้งค่ะ ตอนนี้ก็คือปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เพราะว่าทุกอย่างมันเป็นบทเรียน”
แต่กว่าจะผ่านคำว่าปล่อยวางได้ เธอก็ยอมรับว่าเครียดมาก แต่ก็อย่างที่บอก ว่าโชคดี ที่มีคนรอบข้าง ทั้งแฟน ทั้งครอบครัว คอยดูแลเป็นอย่างดี
“ตอนแรกเบอร์ดี้มีความเครียดมากๆ แต่ว่ามันดีด้วยคนรอบข้าง ให้กําลังใจ”
แม้ชีวิตจะวิกฤตหนักแค่ไหน เธอก็บอกว่า ไม่เคยร้องไห้ออกมาเลย อาจจะด้วยความที่เป็นคนเข้มแข็ง และชีวิตไม่ค่อยมีอะไร ให้ร้องไห้อยู่แล้ว ถ้าเวลาเครียดส่วนใหญ่ เธอจะกลับมานั่งคิด ว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร แล้วรีบแก้ไขทันที
ถึงคนรอบข้างจะดูกังวัลแค่ไหน หลังจากที่เธอฟื้นตัวขึ้นมา แต่สิ่งแรกที่เธอบอกกับตัวเองเลยก็คือ ต้องมีสติ ถึงจะข้ามผ่านเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ให้ได้
“ตอนนี้ไม่ค่อยมีความเครียดนะคะ ตอนแรกเราเครียด ว่าเราจะทํายังไง ลดความเครียด ดูทีวี ดูซีรีส์เหรอ แต่ว่าสุดท้ายเราค้นพบแล้วว่า การออกกําลังกายคือสิ่งที่ดีที่สุด ในการลดความเครียดค่ะ เวลาเครียดเดินลู่ เวลาเครียดออกกําลังกาย”
[พ่อแม่ดูแลไม่ห่าง กำลังใจสำคัญทำให้หายป่วยไว]
จูนใหม่ “หยุดทำงาน ≠ ไม่เก่ง”
ก่อนหน้านั้น เธอมักใช้ชีวิต ด้วยคำว่า “ไม่เป็นไร” ชอบทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ คิดว่าอยากประสบความสำเร็จ จนไม่สนร่างกายตัวเอง
“เราใช้ชีวิตด้วยคำว่าไม่เป็นไร ความเกินลิมิต ไม่พัก ไม่ฟังร่างกายตัวเอง แต่จริงๆ ร่างกายเราเป็น อย่างตอนที่คุณหมอให้ยาสลายลิ่มเลือด แต่ว่าลิ่มเลือดไม่ออกมา เลือดหนืดมาจากไลฟ์สไตล์ที่ไม่ดี เครียด กินน้ำน้อย นอนน้อย แล้วก็ทําให้เลือดข้น”
ตอนนี้ขอบาลานซ์ชีวิต ฟังเสียงร่างกายตัวเอง แบ่งเรื่องงาน กับแบ่งเรื่องการดูแลตัวเอง คนละครึ่ง ถ้าสมมติไม่ไหว ก็ต้องพักทันที แต่บางครั้ง ยอมรับว่าก็มีแพ้เสียงในหัว ว่าถ้าหยุดทำงาน ก็มักจะชอบคิดว่าตัวเองไม่เก่ง
“แต่มันมีความคิดแบบนี้ ว่าการที่เราหยุดทํางาน เท่ากับเราไม่เก่ง แต่ว่าตอนนี้เบอร์ดี้เริ่มเปลี่ยนความคิดตัวเองว่า การที่เราเบรก เราพัก ไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง
สุดท้ายเรารักตัวเอง เพราะว่าเราอยากดูแลสุขภาพ เราอยากกลับมาสุขภาพดี กลับมาทํางาน กลับมาอยู่ในชีวิตไลฟ์สไตล์ที่ดีๆ มีความสุขเหมือนเดิม”
เธอเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อก่อนจะเข้านอนประมาณ ตี 1 ตี 2 เพราะด้วยความที่เป็นคนที่เพอร์เฟคชั่นนิสต์มาก อยากรีบทําให้สําเร็จ เวลาทํางาน ก็จะโฟกัสไปทั้งวันทั้งคืน หรือแม้กระทั่งก่อนจะนอน ถ้ามีไอเดียขึ้นมา ก็จะลุกขึ้นมานั่งทําต่อทันที
“นอนสักตี 1 ตี 2 ตื่นมาประมาณ 9 โมง ก็คือใช้เวลาในการนอนประมาณ 4- 5 ชั่วโมงค่ะ จริงๆ การนอนน้อย เป็นสิ่งที่ไม่โอเค แต่ว่าสิ่งที่น่าให้ความสำคัญคือ เรื่องการนอนให้ดีค่ะ
ตอนสมัยก่อน เบอร์ดี้ไม่สนใจเรื่องการนอนเลย นอน 4-5 ชั่วโมง โอเคตื่น แล้วร่างกายเราไม่ไหว เราใช้ทางลัด โดยการกินวิตามิน ยาเสริมอาหารค่ะ ทําให้ตัวเองมีพลัง มีเวลาทํางานเยอะขึ้น
ทํางานวันจันทร์-ศุกร์ แล้วก็พักวันเสาร์-อาทิตย์ค่ะ แต่ว่าบางครั้งเสาร์-อาทิตย์ จะไม่ค่อยได้พักเท่าไหร่ เพราะว่าไอเดียชอบมา แล้วก็จะทําตลอดเวลาค่ะ
พอไม่ค่อยพัก ทุกๆ อย่างมันทําให้เราเหนื่อย ใช้ร่างกายเยอะมากๆ ค่ะ เพราะว่าเราแบ่งเวลา ไปทั้งออกกําลังกาย ทั้งทํางาน คิดคอนเทนต์ ดูแลกิจการ ดูแลธุรกิจ สะสมความเครียด และทําให้วันเสาร์-อาทิตย์ เราต้องพักบ้างค่ะ”
นอกจากนี้ ยังบาลานซ์เรื่องอาหารการกินด้วย เน้นไปกินแต่สิ่งดีๆ มีประโยชน์ ที่สำคัญพยายามลดหวาน มัน เค็ม เพราะปกติเธอเป็นคนชอบกินของมัน ของทอดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าตัดทิ้งเลย แต่พยายามกินให้น้อยลง อยู่ในความพอดีง
หลังจากป่วยสโตรก ทำให้เธอกลับมารักร่างกายตัวเองมากขึ้น ฉุกคิดว่าควรจะมีสติ ไม่ควรเร่งรีบ ทำสําเร็จภายในวันเดียวทุกอย่าง
ตอนนี้เริ่มวางแพลนแล้วว่า อยากทําคอนเทนต์เรื่องสุขภาพ ให้ทุกคนได้รับรู้ เพราะเราก็อยากให้ข้อคิด แก่ทุกๆ คน ให้ทุกคนได้หันกลับมาดูแลตัวเองค่ะ
“สุขภาพที่ดี คือพื้นฐานความสำเร็จ”
การป่วยครั้งนี้ ถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้ นอกจากมุมมองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปแล้ว ยังทำให้เธอเชื่ออีกว่า การที่ใครสักคนจะประสบความสำเร็จได้ คือต้องสุขภาพที่ดีก่อน เพราะสุขภาพที่ดี คือพื้นฐานความสำเร็จ
“ตอนนี้เป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ของเบอร์ดี้จริงๆ ว่าสุขภาพนั้นสําคัญที่สุด มากกว่าเรื่องเงิน เรื่องงาน ชื่อเสียง มันไม่มีผลอะไรเลย ถ้าสมมติเราไม่มีสุขภาพที่ดี
สุขภาพที่ดี เป็นพื้นฐานของความสําเร็จ และทุกอย่างค่ะ การที่ทุกคนอยากจะสําเร็จ มันไม่สามารถไปถึงได้ ถ้าสมมติคุณสุขภาพไม่ดี คุณต้องกลับมาดูแลสุขภาพให้ดีค่ะ อย่างน้อยสิ่งที่เบอร์ดี้เคยเจอมาแล้ว เบอร์ดี้ไม่อยากให้ทุกคนเป็น ไม่อยากให้ทุกคนทรมานแบบเบอร์ดี้”
ตอนนี้คือกลับมาเน้นเรื่องการพัก และการพอ รู้สึกว่าถ้าไม่ไหว ฟังร่างกาย ให้เราพัก ให้เราหยุด ถ้าเหนื่อยให้หยุด จะได้ไม่ฝืนร่างกายตัวเองจนเกินไป”
แม้จะไม่เคยคิดเลย ว่าจากอินฟลูฯ ด้านแฟชั่น จะกลายมาเป็น อีกหนึ่เสียง ที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพ นี่จึงทำให้เธอ อยากเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิต ให้กับทุกคน
“จริงๆ เราอยากให้คนเห็น ว่าเราเป็นคนที่ชื่นชอบในแฟชั่น อยากให้คนเห็นเรา เป็นไอเดียในการแต่งตัวของเขา ในการใช้ชีวิต อยากเป็นแบบต้นแบบในการใช้ชีวิตให้ทุกๆ คนค่ะ รวมมาถึงเรื่องสุขภาพด้วย ก็คือให้ทุกคนทั้งสวย และทั้งสุขภาพดีค่ะ
อยากฝากถึงทุกคนนะคะ คนที่ใช้ชีวิตเร่งรีบแบบเบอร์ดี้ อยากประสบความสําเร็จ อยากให้ทุกคนใส่ใจ พักกลับมามองตัวเอง กลับมาฟังร่างกายตัวเอง เพราะว่าร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักร ถ้ามันพัง เราจะไม่สามารถกลับมาซ่อมมันได้แล้ว”
สิ่งที่เธออยากเตือนทุกคนเลยก็คือ อยากสำเร็จ เพราะเห็นคนในโซเชียลฯ สำเร็จ จนลืมดูแลร่างกาย ซึ่งเธอเอง ก็เคยมีความคิดแบบนั้นมาก่อน
“โซเชียลมีเดีย น่าจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เบอร์ดี้ มีการตั้งเป้าหมายว่า อยากมีความสําเร็จ เห็นคนรอบข้าง มีแต่คนสําเร็จ เราก็อยากสําเร็จแบบเขาบ้าง
เราเป็นคนที่สู้มากๆ ค่ะ เป็นคนที่ตั้งเป้าหมายไว้สูง ไกลมากๆ เพราะว่าสุดท้าย ถ้าเราไปไม่ถึง เราตกอยู่กลางทาง ก็ยังถือว่าดีอยู่ค่ะ
เราอยากจะบอกคนรุ่นใหม่ เด็กรุ่นใหม่ มั่นใจว่าทุกคน น่าจะมีการมองเป้าหมาย ว่าตัวเองอยากเป็นคนที่ประสบความสําเร็จในการทํางาน ไม่ดูแลร่างกายตัวเอง”
แม้จะมีเป้าหมายที่สูงแค่ไหน เธอก็บอกว่า ตอนนี้ขอสุขภาพดีไว้ก่อน การมีสุขภาพดี นอกจากจะทำให้ตัวเรามีความสุขแล้ว คนรอบข้างเรายังมีความสุขด้วย
“พยายามบาลานซ์ทุกอย่าง แล้วก็กลับมาทํางาน ในสิ่งที่เรารัก กลับมาเป็นกระบอกเสียง กลับมาเป็นตัวแทน ในการบอกให้ทุกคนรักษาสุขภาพค่ะ
ตอนนี้ก็ถือว่าโอเคนะคะ ทุกอย่างมันปรับเปลี่ยนไปหมด ทั้งมุมมองการใช้ชีวิต สิ่งที่ทําให้เกิด ทำให้มีสติในการใช้ชีวิต ในการลด ในการพอ ในการพัก และก็ทําให้เรามีความสุขขึ้นค่ะ”
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพ : Instagram @birdieparva, TikTok @birdieparva, Facebook “Birdie Parva”
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน CoCo Chaophraya ถนนพระอาทิตย์
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **