“มีภูมิกับการผิดหวัง” เลยทำให้มีวันนี้ จากใจศิลปินวัย25แต่ประสบการณ์ระดับซีเนียร์ ลองมาแล้วหลากเส้นทาง ทั้งตระเวน “ประกวดร้องเพลง” ตามเวทีภูธร ชนะคัดตัวไปเป็น “เด็กฝึกเกาหลี” ผิดหวังจนต้องเริ่มใหม่ แต่มุ่งมั่นจน “ปลดหนี้” ให้ครอบครัวได้ มาถึงวันนี้ที่ได้เป็น“ศิลปินเต็มตัว” ในแบบที่เป็นตัวเองจริงๆ
ลําซิ่งเจนใหม่ กลิ่นอายอินเตอร์
“มันค่อนข้างใหม่กับตลาดในลูกทุ่งด้วย ก็ตื่นเต้น ดีใจ ที่ได้กลับมาร้องเพลงอีกครั้งนึง เพราะหยุดร้องเพลงไปเกือบปีเลยค่ะ ดีใจที่แกรมมี่โกลด์ มองเห็นศักยภาพของหนู มีจุดหมายตรงกัน ที่อยากจะผลักดันเพลงลูกทุ่ง ให้มันทันสมัย แล้วก็ไปไกลสู่ต่างชาติมากขึ้นค่ะ”
“เจ แจ๊สเปอร์ (J JAZZSPER)” หรือ “เจนจ๋า-จันทรลักษณ์ บูรณถาวรสม” นักร้องลูกทุ่งอินเตอร์ วัย 25 ปี ที่แฟนๆ หลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง
เพราะเธอเพิ่งเปิดตัวเพลง “โอกินาวะลําซิ่ง” ให้ได้ออกมาฟัง และโยกตามจังหวะมันๆ ม่วนจอยโจ๊ะๆ ฉบับเพลงลําซิ่งเจนใหม่ กลิ่นอายอินเตอร์ แบบจัดจ้าน หยิบเสน่ห์ของอีสาน มาผสมกับจังหวะป๊อปแร็ป ลูกเล่นญี่ปุ่น และคําอังกฤษ แบบกวน ได้อย่างกลมกล่อม
เป็นเพลงที่เธอแต่งเอง และได้แรงบันดาลใจมาจากตัวเอง ที่เป็นคนไม่มีโชคเรื่องของความรัก แต่ก็สนุกสนานได้ มีความสุขไปได้กับชีวิต พร้อมกับตั้งใจให้เพลงนี้ ไปอยู่ทุกๆ ปาร์ตี้
“แอบปลื้มคนคนนึง ที่เป็นคนโอกินาวะด้วย ก็เลยนํามาใส่ในเนื้อเพลง แล้วก็เป็นอะไรใหม่ๆ เหมือนกันค่ะ เพราะมีภาษาญี่ปุ่นในเพลงด้วย อยากลองเอามาผสมผสาน กับดนตรีอีสานบ้านเราด้วย ซึ่งมันก็เข้ากันพอดี”
ก่อนหน้านี้ หลายคนน่าจะรู้จักเธอในเพลง “DONG” จากวงดนตรีแนวฮิปฮอปทรีโอ้ วง “Bear Knuckle” ค่าย High Cloud Entertainment ที่เป็นเพลงฮิต 76 ล้านวิว ที่คนติดตามกันทั่วบ้านทั่วเมือง
แน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้ ในฐานะศิลปินลูกทุ่ง เธอก็บอกว่า รู้สึกกดดันอยู่เหมือนกัน เพราะจากการเป็นแร็ปเปอร์ ที่มีฐานคนฟังเพลงแต่ก่อน เป็นฝั่งฮิปฮอป หรือไม่ก็ T-POP
“พอมาทางฝั่งของลูกทุ่ง ก็ตื่นเต้น มันก็เป็นตลาดใหม่ค่ะ ก็ท้าทายตัวเองมากๆ แล้วก็ดีใจที่ได้ลองทําสิ่งใหม่ๆ คือตอนแรกหนูไม่รู้ จะเอายังไงกับชีวิตต่อ เพราะผิดหวังมาเยอะ หยุดร้องเพลงไปพักนึง แล้วก็ผันตัวไปทําเบื้องหลัง แทบจะ 90%เลย ก็ อยู่แต่บ้าน แล้วก็ไปสตูดิโอ แล้วก็ไลฟ์ TikTok ทําให้ตอนนั้นค่อนข้างหมดไฟมากๆ
แล้วพอแบบวันนึง เหมือนผู้จัดการหนู บอกว่าทางแกรมมี่โกลด์มาสนใจ อยากจะร่วมงานด้วย ผู้จัดการหนูเอาเพลง เดโม่ ที่หนูเคยทําไว้ ไปเปิดให้ทางแกรมมี่โกลด์ฟัง ทางผู้ใหญ่ ก็รู้สึกว่าอยากรู้จักเด็กคนนี้จังเลย พามาคุยได้ไหม ก็เลยลองมาพูดคุย แล้วก็มาฟัง เดโม่ เพลงกัน มีความเห็นตรงกัน ก็อยากจะสานฝันต่อ แล้วก็ผลักดันให้ลูกทุ่งต่อไปค่ะ”
จากเด็กฝึกเกาหลี สู่นักร้องลูกทุ่ง
ย้อนไทม์ไลน์ชีวิต เธอบอกว่า ชีวิตค่อนข้างที่จะสู้ และฝ่าฝันมาเยอะ กว่าจะมีวันนี้ได้ ทั้งเคยเป็น“เด็กฝึกเกาหลี”สู่เวทีเดอะแร็ปเปอร์ เริ่มมีแฟนคลับติดตาม จนได้เดบิวต์วง “Bear Knuckle” เจ้าของผลงานเพลง “DONG”
และกลับมาล่าความฝันบนเวทีรายการเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังของจีน “Chuang Asia” ปัจจุบันเป็นศิลปินเดี่ยว ค่ายแกรมมี่โกลด์ เรียกได้ว่า ไม่เคยหยุดวิ่งตามความฝันเลย
“ชีวิตหนูต่อสู้ฝ่าฟันมาค่อนข้างเยอะ กับการที่จะมาเป็นศิลปิน แต่พอหนูมาเป็นศิลปินแล้ว รู้สึกว่าหลังจากนี้มันยากกว่า
เริ่มร้องเพลงลูกทุ่ง ตั้งแต่อายุประมาณ 8-9 ขวบ คือคุณแม่พาเดินสายประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ตามงานวัด งานแบบงานคลื่นวิทยุ จ.กาฬสินธุ์ ประกวดในแถบภาคอีสาน
พอ ม.ต้น หนูก็มาอยู่วงดนตรีลูกทุ่ง รายการชิงช้าสวรรค์ น่าจะเคยฟังกัน ซึ่งตอนนั้นบอกเลยว่ามันค่อนข้างแบบนิยมมากๆ สําหรับวงดนตรีของโรงเรียนต่างๆ ที่มาแข่งขันกันค่ะ ก็ไปอยู่ประมาณ 3 ปี อันนั้นหนูคิดว่า น่าจะเป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตแล้ว
คือเด็กฝึกที่เกาหลีมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ แต่อยู่ตรงนั้น มันยากมากๆ เหมือนไปผจญภัยจังหวัดต่างๆ เวลาเดินสายประกวดวงลูกทุ่ง เคยนอนวัด นอนกลางป่า แต่ว่ามันสนุกดีค่ะ”
เริ่มจากการเดินสายประกวดเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งอายุประมาณ 17 ปี เริ่มอินกับเพลงเกาหลี เพราะตอนนั้น BLACKPINK กำลังได้รับความนิยม ทำให้อิทธิพลในการฟังเพลง หรือชอบเพลงของเธอ ก็เปลี่ยนไป จึงได้ไปออดิชั่นกับค่ายเพลงนึง เพื่อที่จะไปเป็นศิลปินที่เกาหลี
แม้จะผ่านการออดิชั่น จนได้ไปเป็นเด็กฝึกเกาหลีอยู่ 3 เดือน แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง กลายเป็นว่า โปรเจกต์นั้นด้วยพับเก็บ ซึ่งเธอเองก็บอกว่า ไม่ค่อยรู้เรื่องภายใน ว่าทำไมไม่ได้ทำต่อ
“จนกระทั่งขึ้น ม.ปลาย หนูได้เหมือนรู้จักกับโปรดิวเซอร์ ผู้ใหญ่ใจดีเห็นแวว ก็เลยให้หนูมาลองแคสที่ค่ายนึง แล้วก็มาเป็นศิลปินฝึกหัดเกาหลีอยู่พักนึง สุดท้ายพอผ่านใช่ไหมคะ ก็ได้มีโอกาสไปเทรนที่นู่นประมาณ 3 เดือน
ตอนนั้นอายุ 17 ก็ค่อนข้างยากนะ เพราะเป็นเด็กคนเดียว แล้วหนูไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน ไม่เคยห่างแม่เลยค่ะ พอต้องไปอยู่คนเดียว มันก็ค่อนข้างลําบาก กดดันมาก ตรงที่เขาค่อนข้างที่จะเป๊ะมากๆ
แต่ละคนจะมีตารางฝึกที่ไม่เหมือนกัน บางคน อาจจะต้องแบบลดน้ำหนักด้วย ดูแลตั้งแต่อาหารการกินหมดเลยค่ะ ตอนเช้าทานอะไร กลางวันกินอะไร เย็นกินอะไร เป็นกิจวัตรทุกวัน
ต้องไปฟิตเนสก่อนค่ะ แล้วพอตอนบ่ายๆ จะนั่งรถไฟไปเรียนเต้นต่อ มีเรียนร้องเพลง จนถึง4ทุ่มเลย กลับมาที่พัก เราก็ต้องยังต้องมีการบ้าน มีการฝึกเพิ่มเติมอีก
บางวันหนูนอนประมาณตี 2 ตี 3 แล้วก็ตื่นเช้า แล้วก็วนอย่างนี้ทุกวันเลย จะมีวันหยุด วันนึง ก็คือวันอาทิตย์ แต่หนูคิดว่ามันเป็นการดีนะคะ ทําให้ค้นพบตัวเองมากขึ้น แล้วก็ได้พัฒนาสกิลในหลายๆ ด้านมากขึ้น”
ตอนที่ไปเทรนเกาหลี ยังทำให้เธอค้นพบตัวเองอีกว่า ยังมีสิ่งที่ชอบอีกอย่างคือ การเป็นแร็ปเปอร์ และชื่นชอบเพลงฮิปฮอปด้วย
ไปนั่งกินหมูกระทะที่ร้านอาหารในเกาหลีค่ะ แล้วก็ได้ยินเพลงฮิปฮอป มันมีเพลงนึงที่ดังมากๆ จากรายการshow me the moneyของเกาหลีค่ะ เราก็ฟังแล้ว เฮ้ย..เพลงนี้อีกแล้ว หลอนหูอีกแล้ว
พอกลับไปที่หอพัก เปิดทีวีมา ก็เป็นรายการอันนี้อีกแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า เราซึมซับแบบเพลงฮิปฮอปเกาหลี แล้วเราก็ฟัง จนกระทั่งกลับประเทศไทย ก็มาฟังรายการ Rap is Now รายการ School Rapper แต่ตอนนั้น เหมือนรายการแร็ปในไทยยังไม่มีค่ะ
จะเป็นรายการ underground ซะส่วนใหญ่ หนูก็เลยฝึกเขียนแร็ป แล้วก็เริ่มชื่นชอบการเขียนเพลง เริ่มแต่งเพลงเอง เริ่มเขียนแร็ปต่างๆ ในขณะที่เป็นเพื่อนหลายๆ คน เหมือนไปติวหนังสือ เตรียมเข้ามหาลัย
แต่หนูอยู่แต่กับการเขียนเพลง มีเวลาว่างก็นั่งฮัมเพลง ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทําให้เราชื่นชอบการเขียนเพลง แล้วก็อยากจะทําเบื้องหลัง ตั้งแต่นั้นมา”
พอโปรเจกต์การเป็นไอดอลที่เกาหลีถูกพับเก็บไป ตอนนั้นเธอบอกว่ารู้สึกเสียใจ จนคิดว่าตัวเอง อาจจะไม่เหมาะกับการเป็นศิลปินแล้ว หลังจากนั้นก็กลับมามุ่งมั่นตั้งใจเรียนมหา’ลัยให้จบ
แต่พอเข้าเรียนได้ประมาณปีกว่าๆ ก็มีรายการเดอะแร็ปเปอร์ซีซั่น 2 ประกาศออดิชั่น เธอเห็นทางสว่างอีกครั้ง ในการเดินตามฝัน
“หนูก็รวบรวมความกล้า แล้วก็ส่งออดิชั่นค่ะ ตอนนั้นออดิชั่นออนไลน์ เขียนไรม์(Rhyme :ท่อนแร็ปที่มีคำคล้องจอง) แล้วก็อัดคลิปวิดีโอเอง ตอนนั้นคุณแม่ไม่ยอมรับเลยค่ะ เพราะว่าด้วยด้วยภาพจํา เขาคิดว่าเป็นแร็ปเปอร์แล้วน่ากลัว ต้องดุดัน ต้องหยาบคาย ที่บ้านรับไม่ได้
แม่บอกถ้าสมมติว่าไป แม่ไม่ไปด้วย ก็ดูแลตัวเอง คือแต่ก่อนเหมือนหนูจะอยู่กับแม่ตลอดเวลาเลยค่ะ คอยซัพพอร์ต แต่พอแบบมาทางแร็ปเปอร์ คุณแม่ก็โอเคไปเองเลยนะ
จนกระทั่งเหมือนพอหนูแข่งขันไป จนทำเป็นงานจริงจัง สามารถหารายได้ดูแลตัวเองได้ ดูแลที่บ้านได้ คุณแม่กับที่บ้าน ก็คือยอมรับมากขึ้นค่ะ”
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายๆ อย่าง เธอบอกว่า ให้อะไรกับเธอเยอะมาก จึงอยากฝากให้คนที่กำลังเดินตามฝัน บางทีโอกาสมันมาแค่ครั้งเดียว อย่ากลัวที่จะลงมือทำ ถึงจะผิดหวัง ก็ดีกว่าไม่ได้ทำ
“ให้ประสบการณ์แตกต่างกันมากเลยค่ะ เหมือนตอนเป็นเด็กฝึก ให้ประสบการณ์ในเรื่องของการอดทน แล้วก็ความขยัน ความมีระเบียบวินัยค่ะ
ตอนเดอะแร็ปเปอร์ น่าจะเป็นเวทีแรกเลยมั้งคะ ที่ทําให้คนรู้จักหนูมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ หนูเดินสายประกวดเยอะมาก คุณแม่พาไปประกวดเยอะมากๆ ก็ยังไม่มีใครรู้จัก
อยากจะบอกว่า อยากทําอะไรทําเลย บางทีโอกาสอาจจะมีแค่ครั้งเดียวก็ได้ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไข สิ่งนั้นได้ก็ทําไปให้เต็มที่ จะเป็นยังไง อย่างน้อยเราก็ได้ลองทําค่ะ แล้วก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วย
คือบางคน อาจจะแบบว่า อุ้ย..ฉันต้องได้แน่ๆ ฉันต้องทําได้ แต่ถ้ามันไม่เป็นไปดั่งหวังล่ะ มันก็จะเสียศูนย์ไปเลย หรือว่าเลิกทําไปเลย แต่ของหนู ยังมีความเชื่อเสมอ ว่ามันจะทํามันได้
วันนี้อาจจะยังไม่ใช่วันของเรา แต่ก็ยังคงเชื่อ เหมือนตอนนี้ ก็ยังคงเชื่อนะคะ จนกว่าจะถึงวันนั้น เราก็ค้นหาตัวเอง แล้วก็พยายามทํามันให้เต็มที่ ในแต่ละพาร์ท”
ค้นหาตัวเองหลายครั้ง กว่าจะใช่
เธอบอกว่า ค้นหาตัวเองหลายครั้งมาก กว่าจะเจอที่ที่คิดว่าใช่ตัวเองจริงๆ แม้แต่ครั้งนี้เช่นเดียวกัน ถึงจะไปด้วยความหวังทุกครั้ง ว่ามันจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ต้องมีเผื่อใจตัวเองไว้ด้วย
เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดา ของเส้นทางการเป็นศิลปิน เพราะแม้เธอจะเคยจะมีเพลงดังมาก่อน แต่กลายเป็นว่า คนไม่รู้จักศิลปินก็มี
“ไปด้วยความหวังอยู่แล้วค่ะ ว่าอยากจะทํามันให้ได้ แต่พอมันไม่เป็นอย่างที่หวัง มันก็จะฝืนก็ไม่ได้ ก็ต้องมีจุดนึงที่ยอมรับว่าโอเค งั้นเรากลับมาตั้งตัวใหม่ก่อน ถ้าสมมติว่าพร้อมอีกครั้ง เราก็พร้อมลงสนามอีกครั้งค่ะ ค้นหาตัวเองหลายครั้งมาก จนกว่าจะเจอที่ที่ใช่
เพราะว่าหนูเป็นแร็ปเปอร์ใช่ไหมคะ ก็ทําเพลงอยู่พักนึง พอหลังจากค้นหาตัวตน หนูก็ได้มาอยู่กับ High Cloud ใช่ไหมคะ กับบ้านคุณพ่อ F.HERO (เอฟฮีโร่) แล้วก็ทําวงทรีโอ้ 3 คนค่ะ
มีเพลงที่ทุกคนรู้จัก คือเพลง DONG แล้วก็เอวติดไฟ ทํามาประมาณสัก 3-4 ปีค่ะ ก็มันยากนะ การที่เหมือนทําให้เพลงดัง แต่กลายเป็นว่า คนไม่รู้จักศิลปิน”
แน่นอนว่า ในระหว่างทางที่ค้นหาแนวทางที่ใช่ ก็มีสับสนในตัวเองเหมือนกัน ว่าจะเอาดีทางด้านไหนดี หรือเหมาะสมที่จะกับเพลงแนวไหนดี เพราะเคยเจอคอมเมนต์เหยียด
“หนูเคยฟีลแบบว่า หรือว่าเราไม่แร็ปอีสานดี อาจจะไม่ทําอีสานเลย เป็นกลาง เป็นอังกฤษเลย เพราะว่าหนูอาจจะมีปมฝังใจ มาตั้งแต่ตอนเดอะแร็ปเปอร์ ด้วยความที่เราเพิ่งเข้าวงการ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจกับคอมเมนต์ด้านลบสักเท่าไหร่ ไม่มีวิธีจัดการกับตัวเอง เวลาเราเจอคอมเมนต์แย่ๆ แต่สุดท้าย ก็คิดได้ว่า คำว่าอีสานนี่แหละ มันคือเอกลักษณ์ ที่คนจดจำตัวตนเธอได้
เช่นคนบอกว่า แนวเพลงอย่างนี้ดูไม่เริ่ด ทุกคนอาจจะเห็นอยู่แล้วค่ะ บางคนชอบทางอีสาน บางคนอาจจะเหยียดไปเลยก็ได้
อาจจะเพลงลาบบ้าง เหมือนดูถูก เหยียดคนบ้านเรา หนูก็ฝังใจอยู่บ้าง ก็เลยกลายเป็นว่า หรือไม่ทําเพลงแนวอีสานดี หนีไปเลย แบบไปทําแนวอื่นดีกว่า ทํา T-POP ทําเพลงที่มันไม่ต้องมีภาษาอีสาน
แต่สุดท้ายแล้ว หนูกลับลืมไปว่า ไอ้ตรงอีสานนี่แหละ มันเป็นเอกลักษณ์ของหนู ที่ทุกคนจะจดจําหนูได้ทุกวันนี้ ว่าเป็นแร็ปเปอร์ภาษาอีสาน เพราะหนูก็สามารถทํามันได้ดี แล้วทําไมหนูต้องหนีมัน
แต่ก็มีคนที่ชอบเช่นเดียวกันค่ะ ชื่นชอบในผลงานเรา อยากให้เราทํามันต่อ ถึงแม้จะมีอยู่ไม่มาก แต่ว่าก็เป็นแรงผลักดัน ให้เราอยากจะทํามันต่ออีกเรื่อยๆ ค่ะ”
หนูก็แพ้เสียงในหัวหนูเหมือนกัน สุดท้ายต่อให้เราฟังเพลงT-POP หรือว่าฟังเพลงอาร์แอนด์บี ก็อยากโจ๊ะๆ เต้นหน้าฮ้าน มันแพ้เสียงในหัว อยากฟังรถแห่ คือเป็นคนใจรักหมอลํา แต่หนูก็ชอบฮิปฮอปเช่นเดียวกัน มันบาลานซ์ทั้ง2อย่าง ก็ต้องจับมันมารวมกันเป็นสิ่งนี้ค่ะ”
ตอนนี้ เธอขอนิยามตัวเอง ว่าเป็นศิลปินฮิปฮอปอีสาน หรือจะเรียกว่าแร็ปเปอร์ฮิปฮอปอีสาน เพราะศิลปะทางดนตรี มันสามารถเลื่อนไหลได้ตลอด
“เหมือนหลังๆ มานี้ หนูเห็นใน TikTok คนเกาหลีฟังหมอลํานะ ฟังเพลงกุหลาบ อเมซิ่ง คือดนตรีไม่มีขอบเขต จริงๆ ค่ะ อีสานกินกับหยังกะแซ่บ ก็เหมือนในเพลงที่โอกินาวะลําซิ่งค่ะ ที่เป็นการเอาดนตรีอีสานผสมผสานกับดนตรีญี่ปุ่น หนูว่ามันไปด้วยกันได้
และการไปโกลบอลด้วยลายเซ็นต์ของลูกทุ่ง หนูรู้สึกภูมิใจค่ะ ที่ได้เป็นคนคนนึง ที่ผลักดันแนวเพลงนี้ค่ะ ก็จุดประสงค์ก็หลักๆ ก็อยากทําให้เพลงลูกทุ่งบ้านเราค่ะ ให้ต่างชาติฟังมากยิ่งขึ้น โลกมันก้าวไกลไป ลูกทุ่งเราก็จะมีเสน่ห์ของเราเช่นเดียวกัน
หนูก็อยากจะผลักดันเพลงลูกทุ่งอีสานนะคะ อาจจะในสไตล์ใหม่ๆ จะฮิปฮอป อาร์แอนด์บี ฮิปฮอปโซล หรือมีอีกมากมายแน่นอนค่ะ แล้วก็เพลงช้าก็อยากทําเหมือนกัน เพราะว่าหนูแทบจะไม่ค่อยได้เขียนเพลงช้าเลยค่ะพี่ๆ ก็อยากลองทําเพลงเศร้า มันจะเป็นยังไง เพราะว่าก่อนหน้านี้คือปาร์ตี้กันจนเหนื่อยแล้ว”
สูญเสียตัวตน จนอยากเลิกร้องเพลง
ถึงมีจะมีหมดไฟ ที่อยากทำตามฝันมากแค่ไหน แต่ก็มีความคิด ว่าอยากเลิกเป็นศิลปินไปเลย เพราะหมดความเชื่อในตัวเอง
“ช่วงที่หนูพักจากการทําเพลงไปเลย หนูก็ไม่คิดว่าหนูจะได้กลับมาเป็นศิลปินอีกครั้งเหมือนกัน มันก็ถือว่าเหมือนเป็นโชคชะตาแหละ ที่ทําให้หนูมาอยู่ที่นี่ แล้วก็ให้หนูได้มาทําสิ่งนี้อีกครั้งนึง
ก็เคยหมดความเชื่อนะคะ แต่พอสุดท้ายแล้ว ชีวิตหนูมันเหงาเหมือนกันนะ กับการที่อยู่บ้าน เราก็เป็นintrovertนิดหน่อย เหมือนชีวิตจะอยู่ที่บ้าน กับสตูดิโอ กับการทําเบื้องหลัง ไม่ได้เจอผู้คนเลย มันก็ค่อนข้างเหงา แล้วก็คิดถึงช่วงที่เราในพาร์ทที่เคยเป็นศิลปิน ที่ออกคอนเสิร์ต ร้องเพลงให้คนดู แบบแฮปปี้ มันก็เลยนึกถึงภาพนั้น
ก็ค่อนข้างเสียใจเหมือนกัน เวลาเราไปดูคอนเสิร์ต เราเห็นเพื่อนๆ ขึ้นแสดง แล้วเราก็แบบอยากจะกลับมาขึ้นเวทีอีกครั้งเหมือนกัน”
เธอเล่าความรู้สึกในตอนนั้นให้ฟังว่า มีช่วงนึง รู้สึกสูญเสียความเป็นตัวตน แลัวหันไปเอาดีงานสายออฟฟิศ ที่เรียนมาสายสังคมสงเคราะห์
“สูญเสียความเป็นตัวเอง คือมีช่วงนึงจริงนะ หนูเคยไล่หาในออนไลน์ ว่ามีรับสมัครงานอะไรบ้าง คือด้วยความที่หนูจบสังคมศาสตร์มาด้วยค่ะ เพื่อนหลายคนก็จะทํางานอยู่กับสายสังคม หรือว่าบางคนทําออฟฟิศ แต่พอหนูมาเป็นนักแต่งเพลง มา เป็นทางของดนตรี ซึ่งมันไม่มีความเกี่ยวโยงกันเลย แต่ว่าก็ค่อนข้างที่จะยากในการหางาน
ก็เคยเสิร์ชเกี่ยวกับพวกงานจิตวิทยา สังคมสงเคราะห์ หรือว่าเราไปทําตรงสายดีเลยนะ พอหนูไปคิดมา มันก็ไม่ใช่ตัวเราอยู่ดีค่ะ คือเหมือนทั้งชีวิต ตั้งแต่เกิดมาเลย จนถึงปัจจุบัน หนูทําแต่งานที่เกี่ยวกับพวกเสียงเพลงค่ะ งั้นเราก็ทําอันนี้แหละ ทําเบื้องหลัง”
สิ่งที่ฮีลใจเธอ เวลาเจอคอมเมนต์ด้านลบ ก็คือคำเชื่อมั่นจากแฟนๆ บางส่วน ที่คอยให้กำลังใจ และคอยเติมไฟฝัน ให้กับเธอมีหมดไฟไปต่อ
แฟนๆ ทุกคนพูดเสมอว่า ยังเชื่อมั่นในตัวหนูค่ะ ถึงวันนี้ มันอาจจะยังไม่ใช่ถึงเวลาของเรา แต่คิดว่า มันก็ต้องมีวันที่เป็นวันของเรา ถ้าสมมติว่ายังไม่หยุดพยายาม ทํามันได้แน่นอนสักวัน เราไม่มีใครรู้อนาคตอยู่แล้ว แต่ก็ทําวันนี้ให้ดีที่สุด จะไม่ได้เสียดาย เพราะหนูแบบ ถ้าอยากทําอะไร หนูก็ทําเลย”
ความผิดหวัง คือเกราะกําบังทำให้เติบโต
ชินกับความผิดหวัง คำพูดที่เธอสะท้อนตลอดเส้นทาง ในการเป็นศิลปินของเธอ แต่ถึงจะชิน ก็ไม่เคยยอมแพ้ และกลายเป็นว่า ความผิดหวังนั่นแหละ เป็นภูมิต้านทาน ให้เธอเติบโตไปต่อ
“มีภูมิกับการผิดหวังมาก่อน อาจจะเป็นเพราะหนูเคยประกวดมาค่อนข้างเยอะค่ะ ก็เลยชิน ถ้าการที่หนูชนะ หรือว่าเข้ารอบ มันคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ค่ะ มันคือกําไรชีวิต
แต่ส่วนมาก ก็จะตกรอบกลับบ้าน มันก็เลยค่อนข้างมีภูมิ แล้วก็แข็งแกร่งมากขึ้น ตอนไปเดอะแร็ปเปอร์เหมือนกัน หนูก็ไม่คิดว่า ตอนที่เขาประกาศ หนูเข้าจนถึงรอบสุดท้าย
หนูว่าทุกคนนะคะ ศิลปินทุกคน น่าจะชินกับการผิดหวังอยู่แล้วเป็นปกติ เพราะว่าแต่ละคน ก็มีเส้นทางการต่อสู้ ความฝันที่แตกต่างกัน การเป็นศิลปิน มันยากกว่าตอนก่อนที่เรายังไม่เป็นอีกนะ เหมือนก่อนที่จะเรายังไม่เป็น เราก็ต่อสู้ มาอีกเส้นทางนึง
แต่พอหลังจากการเป็นศิลปิน คือทํายังไง เป็นศิลปินแล้วให้มีคนรู้จักเรา ให้เรามีงาน แล้วก็สามารถเลี้ยงดูเรา กับที่บ้านได้ มีรายได้ที่มั่นคง อันนี้คือเรื่องยากจริงๆ
แล้วก็ชินกับความผิดหวัง ความผิดหวัง มันก็สําคัญนะ เพราะว่าหนูรู้สึกว่า มันเป็นเหมือนเกราะกําบัง ให้เราเติบโต แล้วก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แล้วก็พร้อมลุยกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไร ตอนนี้หนูก็พร้อมลุย มันก็แข็งแรงขึ้น ที่มันสามารถ จะต่อสู้กับสิ่งเหล่านั้นได้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรก็แล้วแต่ เราก็ไม่กลัวแล้ว”
และครั้งนี้ เธอบอกว่า เป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ที่เธอเองก็ไม่สามารถรู้ได้ ว่ามันจะเป็นยังไง แต่คิดว่า จะทําให้เต็มที่ที่สุด เท่าที่จะทําได้ มองว่ามันก็มีทั้งขึ้นแล้วก็ลง เป็นสัจธรรมของชีวิตปกติเลย ที่อาจจะมีช่วงพีค หรือว่าอาจจะมีช่วงไม่มีงานเลย”
นอกจากนี้ เธอยังฝากบอกคนที่กำลังเคยเจอกับความผิดหวัง ก็ขออย่าสิ้นหวัง และอย่าหยุดพยายามทำตามความฝัน เพราะอย่างน้อย เราก็ยังได้ลงมือทำ
“ถึงจะผิดหวัง แต่อย่าสิ้นหวัง ฝากถึงหลายๆ คน ที่ยังมีความเชื่อ แล้วก็มีสิ่งที่อยากจะทํา อย่าเพิ่งท้อถอยนะคะ เพราะว่าเหมือนเราเอง ก็ยังไม่หยุดที่จะพยายามเหมือนกัน หวังว่าทุกคนจะต่อสู้ แล้วก็จะไม่ทิ้งมันนะ
ชีวิตเราเกิดมาครั้งเดียวอ่ะ ใช้ให้มันคุ้ม เราไม่มีวันรู้หรอกว่าเราจะสําเร็จมันเมื่อไหร่ แต่ว่าอย่างน้อย เราก็แฮปปี้กับสิ่งที่เราทําอยู่ อย่าหยุดทํา”
หันไปเป็นแม่ค้า TikTok ปลดหนี้ครอบครัว “เริ่มจากไลฟ์ ขายเสื้อผ้าก่อนค่ะ ตอนนั้นคืออาชีพอะไรทําได้ เราก็ทําหมดแหละ เริ่มจากมีงานเขียนเพลงเข้ามา พอมีเงินมาก้อนนึงปุ๊บ หนูก็เอามาลงทุนทําธุรกิจเสื้อผ้าอยู่แป๊บนึง ตอนแรกปักตะกร้าไม่เป็น พอไลฟ์แล้วขายได้ล็อตนึง มันก็ไม่แย่นะคะ กับการเริ่มทําธุรกิจครั้งแรก ถือว่าได้ทุนคืน แต่ถามว่าได้กําไรไหม ก็ไม่ได้เหมือนกันค่ะ สุดท้ายก็มันก็ไม่เป็นไปดังหวัง งั้นขอพักไว้ก่อน ก็เลยหลังจากนั้น ก็เปลี่ยนงานมาทําไลฟ์ TikTok ตอนนั้นหนูไม่มีเวทีให้ขึ้น หนูก็เป็นแค่คนๆ นึงที่ชอบร้องเพลง ถ้าชีวิตนี้ไม่ได้ร้องเพลง หนูก็ไม่รู้จะทําอะไรแล้ว หนูก็ให้ TikTok เป็นเวทีของเรา ที่เราได้ร้องเพลงให้กับคนออนไลน์ฟัง คนส่งของขวัญ ก็ทําให้มีรายได้ ตอนนั้นคนตามน่าจะประมาณแสนกว่าๆ ก็คอยปั่นคอนเทนต์ แล้วก็ไลฟ์เรื่อยๆ ไม่หลับไม่นอน คือหนูไลฟ์ตั้งแต่ประมาณหลังเที่ยงคืน จนถึงเที่ยงวัน รายได้พีคๆ ประมาณเกิน1ล้านบาท ภายในไม่กี่เดือนค่ะ ประมาณสัก 2-3 เดือน ตอนนั้นหนูไม่หลับไม่นอนเลย แต่ก็อย่างที่บอก ชีวิตคนเรามีขึ้น แล้วก็มีลง TikTok มันไม่ได้แน่นอนเสมอไป ที่รายได้มันจะคงที่เหมือนตอนนี้ ทุกวันนี้หนูก็ไม่ค่อยได้ไลฟ์ เหมือนน่าจะเป็นช่วงจังหวะชีวิต ที่เหมือนพระเจ้ามาช่วยชีวิตเรา ตอนนั้นคือทําให้ไลฟ์ TikTok เป็นรายได้หลักของเรา แล้วก็งานเขียนเพลงเป็นรายได้รอง เพราะทําทั้ง2อย่างควบคู่กัน ทําให้สามารถปลดหนี้ได้แล้ว ก็ทําให้หนูซื้อรถคันแรก เป็นของขวัญให้ตัวเองได้ กับให้ที่บ้านด้วยค่ะ แล้วก็มีเงินทุนมาสานฝันตัวเองต่อด้วยค่ะ คุณแม่ก็หายเหนื่อยไปแล้วหน่อยนึง หนูก็รับผิดชอบ พร้อมกับคุณพ่อค่ะ ดูแลค่าบ้าน ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะเป็นหนู กับคุณพ่อช่วยกันดูแล” |
ทำเบื้องหลัง ควบคู่การเป็นนักร้อง “ตั้งแต่ประมาณ 18-19 ปี ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ ตั้งแต่ไปเดอะแร็ปเปอร์แล้ว หนูทําทั้งเบื้องหน้า แล้วก็เบื้องหลังด้วย คือการเขียนเพลง ก็ทํามาตลอดเลย แต่ก่อนก็จะเป็นฝั่ง T-POP เป็น 4Eve, เพลง Bad Shawty ของ Proxie หรือว่าศิลปินหลายๆ คนเลยค่ะ พี่ลําไย ไหทองคํา พี่แอน-อรดี พี่กระแต ล่าสุดก็คือพี่จินตหรา เวอร์ชั่นกุหลาบที่พึ่งเขียนล่าสุด จริงๆ มีศิลปินเยอะมากค่ะ รวมไปถึงเพลงละคร เพลงซีรีส์วายก็รับเช่นเดียวกันค่ะ เช่นซีรีส์ เจ๊ทแหลก แล้วก็เหมือนจะมีโปรเจกต์ ที่ยังไม่ปล่อยอีกก็มีค่ะ เหมือนจะเป็นของจีดีเอชด้วย ตาคลีของของพี่ปิงปอง ทําเป็นเบื้องหลัง หนูรับเป็นจ๊อบค่ะ บางทีก็อาจจะเป็นเพลงแร็ป ให้มาเขียนแร็ป หรือบางทีก็อาจจะเหมาเป็นเพลงทั้งเพลง หรือว่าเป็นลูกทุ่งอีสาน T-POP คือแล้วแต่ลูกค้ารีเควส ก็ดีใจที่อย่างน้อย ก็เป็นรายได้หลัก ของหนูในช่วงก่อนหน้านี้ค่ะ ที่หนูทําเบื้องหลังมาโดยตลอดเลย เป็นเพลงโฆษณา ก็จะมีอีกเรทนึง หรือว่า เป็นเฉพาะท่อนแร็ป หรือว่าเป็นทั้งเพลง ก็จะแตกต่างกันไปค่ะ บางทีก็เป็นงานจากพี่กอล์ฟF.HEROเรียกเราเข้าไปร่วมเขียนด้วย ก็จะเป็นอีกเรทนึง หรือว่าหนูรับของหนูเอง ก็มีโฆษณา น่าจะสักประมาณ 30,000 - 40,000 ค่ะ หรือว่าถ้าเฉพาะท่อนแร็ป ก็คิดเพลงละ 10,000 บาทค่ะ ถ้าทั้งเพลง ถ้าของหนูเหมาเอง ก็อยู่ที่ประมาณ 2,5000 ค่ะ ต่อเพลง ก็ทําควบคู่อยู่ด้วยค่ะ แต่ก็ยังไม่ทิ้งความฝัน ที่อยากจะเป็นศิลปินเช่นเดียวกันค่ะ เพราะหนูก็ยังอยากทํามันต่ออยู่ ยังอยากกลับมาร้องเพลงบนเวทีค่ะ” |
ระบายความเศร้า ด้วยการเขียนเพลง “หนูคิดว่าเพลงมันคือศิลปะ ย้อนไปตอนเด็กๆ หรือไม่กี่ปีก่อน หนูไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองค่ะ พูดไม่ค่อยเก่ง ยิ่งทําโปรเจกต์วง ถ้ามีสัมภาษณ์ หนูแทบไม่ค่อยได้พูดเลยค่ะ หนูจะนั่งนิ่ง ไม่ค่อยคุยเลย หนูจะใช้การเขียนเพลง เป็นตัวสื่อค่ะ เหมือนเราจะเขียนลงไปในเพลงแทน เหมือนตอนที่เริ่มเขียนเพลงครั้งแรก ช่วง ม.ปลาย เรารู้สึกเศร้า ดีใจ เขียนไปในเพลงค่ะ เหมือนเคยอกหักนะ ฟีลจากคนคุย เราคุยกัน แล้วพอสุดท้าย เขาขอบ๊ายบายนะ ไปก่อนแล้วนะ เราก็เศร้ามากเลย แล้วในคืนเดียว หนูเขียนเพลงจบ แล้วก็ทําบีทเองด้วยค่ะ พอเขียนเสร็จแล้วปุ๊บ วันต่อมาหนูหายเลย มันคือการระบาย การเขียนความรู้สึกของเราต่างๆ เข้าไปในเพลง ได้ระบาย เหมือนเพลงมันคือศิลปะ เป็นเหมือนเพื่อนด้วย เป็นอะไรที่เหมือนฮีลใจเราด้วยค่ะ” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าวMGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ : Instagram @jjazzsper, TikTok @j_jazzsper, Facebook “Jenja Jantaralak”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **