เปิดใจ คุณพ่อ-คุณแม่ “น้องเมย” เหยื่อนักเรียนเตรียมทหาร ที่ถูกรุ่นพี่ซ้อมจนตาย “ไร้คนช่วย-หน่วยงานไม่ร่วมมือ” แถมโดนตราหน้า บิดความจริงว่าเป็น “เด็กโกหก”
ตลอด 8 ปีแห่งความทุกข์ทรมานของครอบครัวเหยื่อ เพื่อเห็นผลวันนี้ว่า “คนทำผิด” ได้ติดยศ ส่วน “ครอบครัวคนตาย” แทบไม่เหลืออะไรเลย
** “น่าสงสัย” ตลอดเส้นทาง “ทวงความยุติธรรม” **
“จำคุก 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท” รอลงอาญา 2 ปีนี่คือความยุติธรรมที่ “ศาลทหาร”มอบให้ “เมย” ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นที่ 1 ที่โดน“รุ่นพี่ธำรงวินัย”จนน้องต้องเข้าโรงพยาบาล และนำไปสู่การ “เสียชีวิต” เมื่อวันที่ 17 ต.ค.60
8 ปี ที่ครอบครัวน้องเมย รวมถึงหลายคนในสังคมรอคอยผลของความยุติธรรม แต่สิ่งที่ได้รับคือคำวิจารณ์เกี่ยวกับ “โทษที่เบาเกินไป”หนำซ้ำรุ่นพี่ที่กระทำ กลับได้ติดยศเป็นตำรวจ ทั้งที่มีคดีติดตัว
และที่ตอกย้ำให้สังคมกับครอบครัวต้องยิ่งใจเจ็บ คือคำอธิบายของศาลทหารว่า ที่โทษเหลือแค่นี้ เพราะมองเห็นว่าการลงโทษหนักไม่เป็นประโยชน์ จึงให้โอกาสปรับปรุงตัว เพื่อกลับไปรับใช้ชาติต่อไป
{“เมย” ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ }
และนี่คือเสียงสะท้อนจากคนเป็นแม่ “สุกัญญา ตัญกาญจน์”ที่ออกมาพูดทั้งน้ำตา หลังได้ฟังคำอธิบายของศาลทหาร จนรู้สึกว่าความพยายามตลอด 8 ปี ดูจะไม่เป็นผล ทั้งยังเต็มไปด้วยคำถามในหลายๆ มุม
“อยากจะบอกว่า ในการรับโทษของเขา เราโอเคนะ ไม่ได้ขัด แต่มันมีคำถามเล็กๆ ว่า ศาลเห็นว่าจำเลยทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติแล้วถ้าลูกพี่มีชีวิตอยู่ล่ะ เขาสามารถทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติได้ไหม แล้วจำเลยยังไม่ได้ติด(คุก)เลย เพราะจะยากต่อการประกอบสัมมาชีพ แต่ลูกพี่ไม่ได้มีโอกาสไง”
โดยหลังน้องเมยเสียชีวิต ครอบครัวพยายามรวบรวมหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า น้องถูกทำร้าย ไม่ใช่การเสียจากโรคประจำตัว อย่างที่มีการกล่าวอ้างกันในตอนแรก
แต่ตลอดทางสู้คดี กลับพบเจอแต่ความยากลำบาก ตั้งแต่ชั้นโรงพัก มีหลายข้อหาที่ตำรวจปัดตก ไม่ส่งให้ฟ้อง แถมถูกตอกกลับให้ใจเจ็บ จากตำรวจระดับผู้ใหญ่รายนึง ที่ตอนนี้เกษียณไปแล้วอีก
“แม้แต่ขอให้ตำรวจทำสำนวน เรายังโดนพูดเลยว่า คุณรู้ไหมว่า คดีลูกคุณสิ้นเปลืองงบประมาณไปเท่าไหร่”
{คุณพ่อพิเชษฐ - คุณแม่สุกัญญา}
และทั้งๆ ที่วันที่น้องโดนซ้อมจากรุ่นพี่ ก็มีเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน ช่วยพาน้องไปปฐมพยาบาล และเหตุก็เกิดในรั้วโรงเรียน น่ามีคนเห็นเหตุการณ์ แต่ไม่มีใครยอมช่วยมาเป็นพยานให้เลย
“มันยากไหม..ยาก เพราะพยานปากไม่มี ต้องไปหาหลักฐานเก็บหลักฐานเองทั้งหมด จากการสอบสวนต่างๆ ทั้งกองทัพเองก็ดี คุณหมอที่น้องเมย ทำการรักษาก็ดี”
สิ่งที่ครอบครัวพอจะหาได้ มีแค่ “เอกสารจากแพทย์” ที่ทำการรักษาน้องเมย และ “เอกสารการสอบสวนภายใน” ซึ่งกว่าจะได้มาแต่ละอย่าง เต็มไปด้วยความยากลำบากเสียเหลือเกิน
“คือเราจะขอเอกสารจากภาครัฐเนี่ย เขาไม่ให้นะ พี่เมี่ยง(พี่สาว)เนี่ย เขาต้องทำหนังสือ เข้าไปถึงข้อมูลข่าวสาร เพื่อจะเอาเอกสารตัวนี้ออกมาทั้งหมด ซึ่งมันใช้เวลาเป็นปี นะ กว่าเราจะได้เอกสารและหลักฐานขึ้นมาต่อสู้คดีต่อไป”
และยิ่งหาก็ยิ่งเจอเรื่องน่าสงสัย อย่างข้ออ้างแรกๆ ที่โรงเรียนให้ว่า การบาดเจ็บของน้องเมย มาจาก“การตกบันได” แต่เมื่อ คุณพ่อ “พิเชษฐ ตัญกาญจน์” จะขอดูหลักฐาน กล้องวงจรปิดกลับเสียซะอย่างนั้น
“เรื่องคดีของน้องเมย ยังลำบากมากเลย การขอพยานหลักฐานเนี่ย แม้กระทั่งเดินเข้าไปหน่วยงานราชการเนี่ย เขายังไม่ให้ความร่วมมือกับเราเลย”
ไหนจะมีเรื่องที่ “โรงพยาบาลผ่าเอาอวัยวะ” ภายในร่างของน้องเมยออก โดย “ไม่บอกญาติ” อ้างว่าทำตามขั้นตอน แถมหลังจากส่งคืน อวัยวะเหล่านั้นกลับไม่ใช่ของน้องอีก ความแปลกประหลาดทั้งหมดนี้ ทำให้คนเป็นพ่ออดคิดไม่ได้ว่า “ช่วยกันปกปิดอะไรหรือเปล่า?”
“มันแน่นอนล่ะครับ ไอ้เรื่องการช่วยกันปกปิด เขาพยายามหาหนทางให้เราไม่รู้ ยกตัวอย่าง เช่น กล้องในโรงเรียนเตรียมทหาร ในกองพยายาบาลเนี่ย ก็เสีย ทางเดินของนักเรียนพลศึกษา ก็เสีย ที่ว่าตกบันไดน่ะครับ
ลักษณะนี้ เราก็สังเกตแล้วว่า ช่วยกันปกปิด แล้วตกบันไดเป็นประจำเลย เดี๋ยวก็ตกบันได เดี๋ยวก็ตกบันได”
** ถูกใส่ความ “อ่อนแอ” แถม “โกหก” **
นอกจากความยุติธรรมที่เดินทางมาถึงอย่างล่าช้าแล้ว ระหว่างทางครอบครัวยังโดนโจมตีอย่างหนัก ทั้งจากศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันบางกลุ่มของโรงเรียน ที่ตราหน้าว่า “น้องเมย” คือจุดด่างพร้อย
กล่าวโทษว่าเป็น “คนโกหก” จากเหตุ “ใช้บันไดที่ไม่ได้รับอนุญาต” จนเป็นที่มาของการถูกธำรงวินัย ทั้งที่ความจริงแล้ว น้องได้รับอนุญาตแล้ว จาก “นักเรียนบังคับบัญชา” หรือ “คอมแมนฯ” คนนึง
แต่โชคร้ายที่รุ่นพี่ผู้ก่อเหตุอีกคน ซึ่งเป็นคอมแมนฯ เหมือนกัน ดันมาเจอเข้า และไม่เชื่อว่าน้องได้รับอนุญาตแล้ว เลยสั่งทำโทษจนส่งผลกระทบต่อร่างกาย โดยที่รุ่นผู้อนุญาตคนแรก ไม่เคยออกมาปกป้อง
จากนั้น น้องก็ถูกทำโทษรุมร้ายหลายครั้ง ตั้งแต่กลางเดือน ส.ค.60 จนร่างกายบอบช้ำ และมีหนังสือจากแพทย์ว่า ให้ยกเว้นการฝึก แต่กลับต้องถูกลงโทษ ถูกฝึกซ้ำๆ จนในที่สุดร่างกายก็บอบช้ำเกินรับไหว
กระทั่งน้องเมยจากโลกนี้ไป ความจริงจึงปรากฏในภายหลังว่า น้องไม่ได้โกหก แต่ได้รับอนุญาตให้เดินผ่านบันไดต้องห้ามตรงนั้นจริงๆ
“23 ส.ค. เมยได้มีใบรับรองแพทย์ว่า ห้ามฝึก ให้หยุดรับการฝึก แต่ลงกองแพทย์เมื่อไหร่ เจอพี่เมื่อไหร่ เมยโดนทุกครั้ง แล้วบาดแผลเขาจะหายเมื่อไหร่ ความเจ็บของเขาจะหายเมื่อไหร่ โดนซ้ำโดนซาก โดนจนวันตายค่ะ”
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หลังการจากไปของลูกชาย ยังตามมาด้วยคำพูดเสียดแทงหัวใจคนเป็นพ่อแม่ คือกล่าวหากันไปต่างๆ นานาว่า “ที่ตายเพราะอ่อนแอเองไง”
คำพูดเหล่านี้เองที่เป็นแรงผลักให้ครอบครัว พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อลบข้อครหาพวกนี้ อย่างน้อยก็หวังว่าศักดิ์ศรีของน้องจะยังคงอยู่ แม้ว่าชีวิตจะกู้คืนไม่ได้แล้วก็ตาม อย่างที่คุณแม่บอกเอาไว้
“รุมประณามครอบครัวว่า รู้แต่แรกว่าลูกสุขภาพไม่ดี ให้เข้ามาเรียนทำไม พ่อแม่ไม่เอาลูกออกไปซะ เด็กมันอ่อนแอเอง ที่มันตาย มันมีโรคประจำตัว ที่มันโดนธำรงวินัยในครั้งแรก เพราะว่ามันเป็นคนโกหก ผิดระบบเกียรติศักดิ์”
ณ ตอนนี้แม้โทษทางอาญา ที่ออกมามันจะค้านกับสายตาประชาชน แต่อย่างน้อยผู้เป็นแม่ก็ยังดีใจ ที่ได้แก้ข่าวแทนลูกชายว่า “เมยไม่ใช่เด็กโกหก” เพราะมีหลักฐานแล้วว่า น้องได้รับอนุญาตแล้วจริงๆ
“แม่ได้แก้ตรงนี้ให้เขาไปแล้ว ก็ยังเหลืออีก 1 ประเด็น ที่ยังโดนกล่าวหาว่า สภาพร่างกายเขาไม่ดี เขาป่วยตายเอง มันไม่เกี่ยวกับการธำรงวินัย”
แต่การจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่า น้องไม่ได้ป่วยตายเอง ก็ต้องกลับไปดูที่ “อวัยวะภายในของน้อง” ที่หายไปซึ่งทางครอบครัวได้แจ้งความไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังคงเป็นปริศนาที่จับมือใครดมไม่ได้
** ฟ้องเอง-สืบเอง-ตัดสินเอง **
หลายช่องโหว่จากเคสนี้ ผลักให้ผู้คนในสังคม ตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส ในกระบวนการต่างๆ โดยเฉพาะข้อจำกัดที่ว่า “ครอบครัวเหยื่อ” ไม่สามารถเป็น “โจทก์ยื่นฟ้อง” เองได้ แต่ต้องให้ “อัยการทหาร” ยื่นฟ้องแทน
ตาม “พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร” ที่ล็อกเอาไว้ว่า การฟ้องกันในศาลนี้ “โจทก์ต้องเป็นอัยการทหาร” เท่านั้น ผลักให้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่สืบพยาน เบิกหลักฐานต่อหน้าศาล หรือแม้แต่การส่งสำนวนฟ้อง ต้องเป็นหน้าที่ของอัยการคนเดียว ญาติๆ ไม่มีสิทธิ์แต่งตั้งทนายมาร่วมสู้ หรือร่วมสืบพยาน
ในทางกลับกัน กฎหมายตัวนี้ กลับให้สิทธิ์จำเลย ให้สามารถแต่งตั้งทนาย มาแก้ต่างร่วมสู้คดีได้ มันเลยเกิดเป็นข้อสงสัยที่ว่า เพราะ “สืบหลักฐานเอง-ชงคดีเอง-ฟ้องเอง” เก็บรวบหมดแบบนี้หรือเปล่า ผลการตัดสินคดี ถึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ส.ส.พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการการทหาร เพิ่งลุกขึ้นมาออกแคมเปญ“ล่าทหารขึ้นศาลพลเรือน”
ด้วยการล่ารายชื่อประชาชน มาหนุนเสนอ “ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในกองทัพ” ที่เคยถูกสภาฯ ตีตกไปแล้วครั้งนึง ให้กลับมาพิจารณากันอีกครั้งนึง เพื่อหวังอุดช่องโหว่ “ระบบยุติธรรม” เกี่ยวกับ “ศาลทหาร” ที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนัก
ส่วนความคืบหน้าจากครอบครัวของเหยื่อล่าสุดนั้น ถึงวันนี้คดีอาญาจะจบลง แต่ครอบครัวน้องเมยก็ยังคงเดินหน้าฟ้องคดีทางแพ่งต่อ เพื่อเรียกค่าเสียจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
รวมถึงทวงถามไปถึง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ด้วยว่า รุ่นพี่คนที่ก่อเหตุ ได้รับอนุญาตให้เข้ารับราชการตำรวจได้ยังไง ทั้งที่มีคดีอาญาติดตัวอยู่แบบนี้ ไม่ผิดวินัยอะไรเลยเหรอ ตอนนี้ก็ได้แต่รอคอย ให้ทางการเรียกครอบครัวเข้าไปชี้แจง
“พอคดีอาญาจบไป ได้รับการแนะนำมานะ ให้ดำเนินคดีอย่างอื่น อย่างเรื่องคดีแพ่ง แล้วทำหนังสือไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
คือไม่ได้ร้องเรียนหรอก เป็นหนังสือถามเข้าไปมากกว่าเกี่ยวกับวินัย ที่จำเลยคนนี้ได้รับราชการ คือโดนโทษแล้ว มันจะมีหลักปฏิบัติต่อไปยังไง”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “โรงเรียนเตรียมทหาร”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **