เจาะเส้นทางสายดาร์ก คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น“พระ” แต่จริงๆ เป็นแค่ โล้นห่มเหลือง ผลักให้ภิกษุกลายเป็นแค่อาชีพนึง ที่เข้ามาเพื่อโกยผลประโยชน์จากเงินแห่งศรัทธา จนล่อให้เหล่ามิจฉาชีพเข้ามารุมตอม ล่อลวงด้วยกิเลส กลายเป็นเคสสะเทือนใจชาวพุทธ
** “หลักแสน-หลักล้าน” สุมหัวโกยเงิน “อาชีพพระ” **
“หลอกล่อให้พระมีอะไรด้วย แล้วอัดคลิปมาแบล็กเมล หรือขู่ให้โอนเงิน มิเช่นนั้น จะเปิดเผยความลับ เป็นความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ส่วนพระ ถ้าเอาเงินวัดไปโอนให้สีกา ก็ผิดฐานยักยอก”
คือโพสต์จากทนายชื่อดัง “ดร.พีรภัทร ฝอยทอง” ที่ถึงจะไม่ได้บอกว่า พูดถึงเคสไหน แต่การโพสต์ในเวลาไล่เลี่ยกับข่าวสะเทือนวงการผ้าเหลือง อย่างเคส “สีกากอล์ฟ”ก็ทำให้ผู้คนตีความกันไปได้
จุดที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่ประเด็นการเอาผิดทางกฎหมาย แต่ยังสะท้อนให้เห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า “พระ” ทุกวันนี้ไม่ได้ถูกผู้คนมองว่า เป็น 1 ในตัวแทนของพระพุทธศาสนาเท่านั้น
แต่สำหรับกลุ่มมิจฉาชีพ หรือคนที่หวังผลประโยชน์จากงานสายดาร์ก มองว่าพระกลายเป็นเหมือน อาชีพอาชีพนึง ที่สามารถเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ได้อย่างมหาศาล
{“สีกากอล์ฟ” ถ่ายคลิปแบล็กเมล รีดเงินพระผู้ใหญ่}
โดยเฉพาะกลุ่มพระสมณะสูงๆ ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องเงินหมุนเวียนภายในวัด ยิ่งถ้าสามารถแฝงตัวเข้ามาแทรกแซงในวัดดัง ล่อลวงข้องเกี่ยวกับพระผู้ใหญ่ พระดังได้มากเท่าไหร่ ยิ่งมีสิทธิ์พัวพันกับเงินจากศรัทธา ที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายมากขึ้นเท่านั้น
จนกลายเป็นเคสสะเทือนใจพุทธศาสนิกชนหลายต่อหลายเคส โดยเฉพาะเคสใหญ่ๆ ตั้งแต่เคส “ทิดแย้ม” อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ที่โกยเงินวัดไปหมุนเวียนกว่า 800 ล้าน เพื่อใช้เปย์สาว ไปจนถึงทุ่มเล่นพนันออนไลน์ เพราะพิศวาสนายหน้าเว็บพนันสาว
มาจนถึงเคสล่าสุด เคส “สีกากอล์ฟ” ที่ล่อหลอกพระชั้นผู้ใหญ่มาติดบ่วงสวาท ด้วยการเข้าไปตีสนิทกับพระผู้ใหญ่ตามวัดดังต่างๆ จากนั้นก็เริ่มสานสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว แล้วแอบถ่ายคลิปแบล็กเมล ขู่รีดเงิน
อย่างกรณีของ “เจ้าคุณอาชร์” ที่ถูกสีการายนี้ กุเรื่องว่าท้อง และเรียกเงินดูแลกว่า 7 ล้านบาท ไม่ต่างไปจากพระอีกนับ 10 รูปที่โดนเหมือนกัน จนเหล่าโล้นห่มเหลืองสมณะสูงเหล่านั้น ต้องอาบัติ ประกาศสึก ชดใช้กรรมตามๆ กันไป
ที่น่าสนใจคือ สีกากอล์ฟยอมรับว่า กลุ่มเป้าหมายหลักของเธอคือ “พระผู้ใหญ่ที่มีเงิน” ซึ่งจากการสืบสวน เจาะเส้นทางการเงินแล้ว พบว่าเธอได้รับเงินจากอดีตพระบางรูป ตั้งแต่ครั้งละ “หลักแสน” ไปจนถึง “หลักล้าน” เลยทีเดียว
** “ซื้อขายตำแหน่ง” เพิ่มยศ-เบิกทางเงิน **
ไม่น่าแปลกใจ ทำไมในวงการผ้าเหลือง ถึงได้มีเคสทุจริต “ซื้อขายตำแหน่ง”ผุดออกมาเป็นระยะ อย่างเคสของ “ทิดแย้ม” ก็เคยเอาเงินไปซื้อตำแหน่ง “เจ้าคณะภาค 14” ในจำนวนถึง 15 ล้านบาท
หรือจะเป็นการโกงสอบเปรียญธรรม(ป.ธ.) ด้วยการจ้างพระรูปอื่นไปสอบแทน อย่างเคสของ “เจ้าอาวาสวัดดังในเชียงใหม่” ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว
สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับโล้นห่มเหลืองสายดาร์กบางราย มองเปรียญธรรม เป็นเหมือนใบเบิกทาง สู่การอัปยศสูงๆ และมองความเป็นพระ แค่เป็น “อาชีพ”เอาไว้โกยเงินเท่านั้นเอง
หนึ่งใน “ช่องโหว่” ที่ทำให้วัดกลายเป็น “ดินแดนสนธยา” ในเรื่องเงินกลายเป็นเหมือนหลุมดำในการเข้ามาโกยผลประโยชน์ ทั้งจากตัว “นักบวช”เอง และเหล่ามิจฉาชีพ “นักแบล็กเมล” เพราะ “เงินวัด” ยังไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มงวดเพียงพอ
{“ทิดแย้ม” อมเงินวัด เปย์สาว เล่นพนันออนไลน์}
อย่างที่กูรูด้านศาสนาพุทธ “โจ้” รศ.ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า วิธีแก้คือวัดต้องชัดเจนเรื่องบัญชีการเงิน ต้องมีกฎระบุชัดให้เปิดเผย ทั้งรายรับและรายจ่ายอย่างละเอียด หรือตั้งหน่วยงานเข้ามาดูแลเรื่องเงินวัดโดยเฉพาะ แยกออกมาเลย
คือไม่ว่าจะวัดเล็กหรือวัดใหญ่ เงินบริจาคต้องถูกส่งเข้าส่วนกลาง แล้วถ้าวัดไหนขาดแคลน หรือต้องการซ่อมบำรุงวัด ก็ให้ทำเรื่องเบิกมา เหมือนการทำงานของหน่วยงานราชการ
แต่ทุกวันนี้ อำนาจการดูแลเรื่องเงินวัด กลับตกอยู่ในมือของ “ไวยาวัจกร” หรือคณะกรรมการวัดแค่ไม่กี่คน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกตั้งโดยเจ้าอาวาสเอง เลยไม่ยากที่จะเกิดการฮั้วกัน ตกแต่งบัญชีวัด
จนสุดท้ายก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า วัดมีเงินเข้ามาเท่าไหร่ และมีใครอมไปบ้าง จนกลายเป็นภาพเละๆ ของพระหลงกิเลสอย่างที่เห็น
{“รศ.ดนัย” นักวิชาการด้านปรัชญาศาสนา}
** แยก “สงฆ์ผิด” ไม่เหมารวม “พระพุทธศาสนา” **
อีกช่องโหว่ที่ทำให้สมณศักดิ์ หรือยศของพระชั้นสูง กลายเป็นกิเลสสำหรับพระหลายรูปนั้น นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา อย่าง “สมฤทธิ์ ลือชัย” มองว่า เป็นเพราะระบบทุกวันนี้ ให้อำนาจพระในการข้องเกี่ยวกับทางโลกมากเกินไป
โดยเฉพาะเรื่องการดึงเงินบริจาคมาใช้ แต่กลับไม่มีการถ่วงดุลอำนาจ ให้เหมือนระบบปกครองทางโลก ถ้าจะแก้เรื่องนี้ ควรสร้างระบบตรวจพระสงฆ์ให้โปร่งใส
หรือไม่ก็ทำให้สมณศักดิ์ เป็นแค่ตำแหน่งเกียรติคุณ แต่ไม่ต้องให้อำนาจปกครองด้วย เหมือนที่เมืองพุทธเพื่อนบ้านเรา อย่าง “พม่า” กับ “กัมพูชา” กำหนดเอาไว้
{“สมฤทธิ์” นักวิชาการอิสระด้านพุทธศาสนา}
ส่วนประเด็นเรื่องชาวพุทธเสื่อมศรัทธาต่อพุทธศาสนา จากหลายๆ เคสที่เกิดขึ้นกับพระดัง วัดดังนั้น “พระพยอม กัลยาโณ" เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว วอนว่า ขอให้พุทธศาสนิกชนอย่าเหมารวม
เคสตัวอย่างเหล่านี้ เป็นเพียงพฤติกรรมส่วนบุคคล ขอให้แยกแยะความผิดส่วนตัว ออกจากแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่พระทุกรูปจะเป็นแบบนี้ ยังคงมีสงฆ์ที่ยังคงประพฤติดี ปฏิบัติชอบอยู่
{“พระพยอม” วอนอย่าเหมารวม ศาสนาไม่ดี}
เช่นเดียวกับ “พระไพศาล วิสาโล” เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต ก็ช่วยเตือนสติเอาไว้ว่า ถึงไม่นับถือพระก็ไม่เป็นไร
ขอเพียงอย่าสิ้นศรัทธาในพระรัตนตรัยก็พอ
“ช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ โดยเฉพาะช่วงอาทิตย์ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวคราวเกี่ยวกับพระสงฆ์ ที่ทำให้หลายคน เกิดความเสื่อมศรัทธา จะเสื่อมศรัทธาพระสงฆ์ ที่เป็นสมมติสงฆ์
นี่ก็ไม่เป็นไรนะ มันเป็นเรื่องความสมัครใจ จะนับถือ ไม่นับถือก็ได้ แต่ว่าอย่าเสื่อมศรัทธาในพระรัตนตรัย อันนี้สำคัญมาก”
{“พระไพศาล วิสาโล” อย่าสิ้นศรัทธาพระรัตนตรัย}
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **