ท้อเพราะป่วยบ่อย “หมอนักวิ่งเทรล” ฮึดสู้ขยับร่างกาย จนหายดี กลายเป็นอินฟลูฯ สร้างแรงบันดาลใจ เจียดเวลาทำสิ่งที่ชอบ แม้งานหนัก ได้การวิ่งช่วยเยียวยาใจอาชีพหมอ พร้อมแชร์ประสบการณ์กว่า100สนาม เสี่ยงตาย ทางชัน ปีนป่าย ดินสไลด์ เหมือนลงเหว
วิ่งแก้ป่วย
“จุดเริ่มต้นก็คือเรื่องป่วย รู้สึกว่าอยากแข็งแรงขึ้น เริ่มจากการเข้ายิมก่อน แล้วก็เจอเพื่อนๆ ที่ยิม ก็ชวนกันไปวิ่งถนนก่อน ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากหรอก ก็แค่รู้สึกว่า ไม่อยากป่วยแล้ว เบื่อแล้ว อยากมาสร้างภูมิต้านทาน”
“หมอปอย-พญ.ธัญลักษณ์ ชมภู” วิสัญญีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญการให้ยาชาและยาสลบ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน จ.เชียงใหม่ ที่ลุกขึ้นมาวิ่ง เพื่อแก้อาการป่วยบ่อย จนกระทบชีวิต
และยังใช้การวิ่งเทรล ฮีลใจอาชีพหมอ จนกลายเป็นอีกหนึ่งอินฟลูเอนเซอร์ ด้านการออกกำลังกาย ที่คนมาขอเคล็ดลับ ถึงงานยุ่งแค่ไหน ก็มีเวลาให้สิ่งที่รักเสมอ
คุณหมอนักวิ่งบอกว่า เริ่มวิ่งมาเมื่อประมาณ 8-9 ปีที่แล้ว เพราะป่วยบ่อยมาก แม้จะไม่ได้ป่วยโรคร้ายแรง แต่ป่วยบ่อยจนกระทบชีวิต เกิดเป็นเรื่องน่ารำคาญ จึงตัดสินใจลุกขึ้นมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ทั้งเข้ายิม และช่วงหลังลงวิ่งเทรลบ่อยขึ้น
“พอป่วยรอบนี้หาย มันเป็นอีก คือทำไมมันติดเชื้อซ้ำซ้อนขนาดนี้ แล้วเป็นทีนึง ก็เป็นยาว รู้สึกว่าชีวิตมันยม พอเราทํางานหนัก พอป่วย เหมือนยิ่งไปซ้ำซ้อนเข้าไปมากขึ้น ไปกันใหญ่เลยทีนี้ ยิ่งช่วง PM 2.5 ก็จะยิ่งป่วยง่าย
ป่วยทีก็คือนาน รู้สึกว่าภูมิต้านทานไม่ค่อยดี เพราะว่าป่วยซ้ำแล้วซ้ำอีก บางทีภายใน2เดือนก็เป็น2รอบติดๆ กันเลย รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว คือนิดนึงก็ติดโรค ติดเชื้อโรคมาได้ง่ายๆ ก็เลยรู้สึกว่า มาสู้กับมันหน่อย
ถึงจะเป็นแค่หวัด เป็นไข้ทั่วไป แต่ว่ามันเป็นถี่ เป็นบ่อย มันทําให้เรารู้สึกว่า เราอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะมันกระทบต่อชีวิตเรา เราก็เลยรู้สึกว่า เราจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น
เดิมทีเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลอยู่แล้ว ตั้งแต่เด็ก แต่ช่วงที่เรียนแพทย์ คือขาดการออกกําลังกายยาวเลย ร่างกายมันไม่ค่อยแข็งแรง พักผ่อนก็น้อย ตามวิถีของพวกหมอๆ
ปีนึงก็คือเป็นหวัด 3-4 ครั้ง ตอนนั้นก็เริ่มไม่ไหวแล้ว คือต้องกลับมาบูสต์ตัวเอง ตอนแรกเริ่มจากโยคะก่อน เข้ายิม เล่นโยคะ เข้าคลาสคาร์ดิโอ เริ่มไปมินิ(มาราธอน) 5กิโลเมตร ประมาณ 8-9 ปีที่แล้ว ตอนนี้คืออยู่ในยิมเกือบทุกวัน มันเป็นไลฟ์สไตล์ไปแล้ว”
ยอมรับว่าอาชีพหมอ กระทบต่อสุขภาพ ถ้าไม่จัดการเวลาดีๆ อาการป่วย ไม่ใช่เพิ่งเป็นช่วงทำงาน แต่คุณหมอนักวิ่งบอกว่า มันเรื้อรังยาวมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เพราะต้องอ่านหนังสือหนัก ยาวมาจนตอนทำงาน ที่ต้องมาขึ้นเวรเช้า บ่าย ดึก
หรือบางที เมื่อก่อนที่เป็นแพทย์ใช้ทุน ไปประจำอยู่โรงพยาบาลชุมชนในต่างจังหวัด หมอคนเดียว ต้องขึ้นเวรศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ไม่ค่อยได้นอนยาวเลย 3 วันติด
“ร่างกายมันแปรปรวนอยู่แล้ว ถ้าเจอแบบนี้ ไม่ว่าจะอาชีพไหน อาจจะพยาบาล ที่เขาต้องขึ้นเวรเป็นกะ มันก็จะทําให้ภูมิต้านทานมันตกอยู่แล้ว
ด้วยลักษณะงานของปอย มันจะนอนไม่ค่อยเป็นเวลาอยู่แล้ว นอนน้อย พักผ่อนน้อย เนื้องานค่อนข้างเครียด แต่ว่าเราก็พยายามไม่ได้คิดมาก
กินก็ไม่เป็นเวลา นอนก็ไม่เป็นเวลา ชีวิตมันไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา ด้วยไลฟ์สไตล์พื้นฐานของเรา มันทําให้ภูมิต้านทานไม่ค่อยจะดี ก็เลยรู้สึกว่า ออกกําลังกายมันน่าจะช่วย ตอนนั้นก็เลยเริ่มจริงจังค่ะ”
หลายคนอาจจะมองว่า ทำไมเป็นหมอ ถึงปล่อยให้ตัวเองป่วยได้ หมอปอยมองว่า มันมีปัจจัยหลายอย่าง ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางทีอาจจะเป็นเรื่องฝุ่น หรือความเครียดจากการทำงาน ความเครียดจากเศรษฐกิจที่ไม่ดี รถติด เหล่านี้ ล้วนเป็นผลกระทบต่อร่างกายได้หมด
“มีอาจารย์แพทย์เสียชีวิตแบบฉับพลัน จากโรคหัวใจวาย โดยที่เขาก็ไม่ได้มีอาการ หรือไม่ได้ป่วยมาก่อน พวกนี้เขาเรียกว่าเป็นโรค multifactor เราไม่สามารถจะไปโทษอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งได้
แต่ปัจจัยที่หมอมองว่ามันส่งผลเลยมากๆ ก็คือเรื่องความเครียด จะเป็นความเครียดที่มันมาจากจิตใจ การทํางาน แล้วก็ความเครียดทางร่างกาย พักผ่อนเนี่ย ไม่ค่อยได้ออกกําลังกาย กินอาหารแบบฟาสต์ฟู้ดบ่อยๆ ไม่ค่อยได้สนใจดูแลสุขภาพตัวเอง
คือเราอยู่กับคนไข้ทุกวัน เราเตือนเขา เราบอกเขา แต่ว่าตัวเราเองไม่ทํา เพราะว่าเราไม่ได้ให้ความสําคัญกับมัน คิดว่าทำงานก็หนักแล้ว เหนื่อยแล้ว ให้รางวัลชีวิตหน่อย คืออยากกิน อยากทําอะไรก็ทํา คิดแบบนี้ไง
เมื่อก่อนหมอก็เป็นคนนึง ที่เคยคิดแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดแล้ว ตอนนี้พออายุเริ่มเยอะ เราก็อยากจะแบบอยากจะดูแลตัวเอง ทั้งจิตใจด้วย พยายามคิดบวก พยายามไม่เครียด ตอนนี้ก็พยายามนอนให้พออย่างน้อย 7 ชั่วโมง บางทีก็ยัง 6 บ้าง 7 บ้าง ก็ยากอยู่ พักผ่อน กินอาหารดี ออกกําลังกาย”
เห็นได้ชัด จากการลุกขึ้นมาออกกำลังกาย คือห่างหายจากการป่วยออดๆ แอดๆ ปีนึงอาจจะไม่ป่วยเลย หรือนานๆ ทีป่วยครั้ง
“ไม่ป่วยเลย ปีนึงอาจจะสักครั้งนึง พอออกกําลังกายปุ๊บ มันยาวยิงยาวเลย หรือก็อาจจะปีนึง ป่วยตามฤดูกาล แต่ภูมิแพ้ ช่วงไหนที่มีฝุ่น PM 2.5 มันก็จะมีอาการแบบฟึดฟัดนิดหน่อย ร่างกายก็ไม่ค่อยอิดออดแบบก่อน ที่ยังไม่ได้ออกกําลังกา แต่ว่าช่วงที่ออกกําลัง ก็ไม่เป็นแล้วนะ ก็ดีขึ้นค่ะ
หมอมองว่า การออกกําลังกาย มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรในชีวิต แต่ถ้ามีมันในชีวิตสักนิดสักหน่อย เราไม่ต้องทําเยอะ ไม่ต้องขนาดไปแข่ง อาทิตย์นึง 3-4 วัน 2 วันก็ได้ มันก็คือช่วยแล้ว ช่วยประคับประคอง หรือว่าช่วยต้าน ในสิ่งที่มันอาจจะเกิดในอนาคตก็ได้
ถ้าเราอยากจะมีชีวิตในบั้นปลายที่ไม่เป็นภาระใคร ไม่เป็นภาระสังคม ไม่เป็นภาระลูกหลาน เริ่มออกกําลังกายเลย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ออกได้หมดเลย แม่ปอยอายุ 70 ปี ยังเต้นลีลาศอยู่เลย”
วิ่งเทรล ช่วยฮีลใจอาชีพหมอ
เริ่มจริงจังออกกำลังกายมาเมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว แต่เริ่มไปวิ่งเทรลจริงจัง ประมาณ 3-4 ปีนี่เอง ด้วยการไปเจอเพื่อนๆ ที่ยิม จนได้ไปเข้าร่วมทีม Aurora ซึ่งเป็นทีมนักวิ่งเชียงใหม่ ที่มีสมาชิกประมาณ 7-8 คน
จากความตั้งใจแรก คือแค่อยากออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่กลายเป็นว่า พอมีคำชักชวนจากเพื่อนๆ ในยิม ว่าให้ลองไปลงแข่งวิ่งดู
ไม่รอช้า เขาก็ลองดู เริ่มจากฝึกซ้อม เพื่อที่จะไปลงแข่ง เริ่มลงแข่งจากสนามมินิเล็กๆ 5-10 กิโลเมตร บนถนนธรรมดา จนเริ่มขยับไปวิ่งเทรล จนเกิดอาการติดใจ
วิ่งเทรล คือการวิ่งในเส้นทางธรรมชาติ เช่น ป่า ภูเขา หรือทุ่งหญ้า ซึ่งแตกต่างจากการวิ่งบนถนน หรือลู่ที่เรียบ และต้องอาศัยทักษะ ความแข็งแรง และความสามารถในการปรับตัว ให้เข้ากับสภาพเส้นทางที่ไม่แน่นอน ทั้งความชัน หิน รากไม้ และสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่ต้องเจอ
นอกจากทำให้หายป่วย สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว เธอยังบอกอีกว่า วิ่งเทรล เป็นการช่วยฮีลใจอย่างมาก วันไหนเครียดจากงาน พอได้วิ่ง คือหายเครียดเลย
“รู้ไหมว่าเทรลมันเป็นอะไรที่ฮีลใจมากเลย คือบางทีเราไม่รู้ตัวนะ แต่ว่าหลายๆ คนพูดเหมือนกันว่า พอเข้าเทรล แล้วมันเยียวยาใจแบบบอกไม่ถูก หมอก็ไม่รู้ จะอธิบายยังไง ว่ามันช่วยยังไง เหมือนมันได้อยู่กับตัวเอง
คือวิ่งบนถนน กับวิ่งเทรลมันแตกต่างเลยนะ วิ่งถนนก็วิ่งๆ ไป มันไม่ได้รู้สึกเหมือนในเทรล ที่มันจะวิ่งๆ เดินๆ ได้อยู่กับตัวเองนานๆ บางที 4-5 ชั่วโมงค่ะ อยู่กับตัวเอง อยู่ในป่า อาจจะเป็นเพราะเข้าป่าหรือเปล่า มันเป็นการเยียวยาใจยังไงไม่รู้ มันหายเครียดไปเยอะเหมือนกันนะ”
นอกจากจะช่วยฮีลใจแล้ว ยังรู้สึกว่ามันคือการพักผ่อนไปในตัวด้วย คล้ายๆ กับเดินป่า แต่อันนี้ไปเร็วกว่า เพราะต้องวิ่ง และยังรู้สึกว่าตัวเองเสพติดการวิ่งไปแล้วด้วย ไม่อยากหยุด มีแต่อยากไปวิ่งอีกเรื่อยๆ
“มันรู้สึกมันเสพติด อยากไปอีก โดยที่ไม่รู้เหตุผลว่าทําไม เพื่อนก็รู้สึกเหมือนกัน มันดี๊ดีเนาะ มันผ่อนคลาย มันเหมือนคลายอะไรที่มันตึงๆ อยู่ในหัว มันเหมือนเราได้ใช้สมาธิอยู่กับตัวเอง นาน 3-4 ชั่วโมง มันดีมาก หลายๆ คน พอมาเข้าเทรล ก็ไม่วิ่งถนนแล้วนะ มันสนุก”
เมื่อถามถึงว่า รู้สึกว่าการวิ่ง มันฮีลใจขึ้นมาตอนไหน เธอบอกว่า ตั้งแต่ครั้งแรก ที่ไปลงสนามแข่งเลย แต่ก่อนจะรู้สึกแบบนี้ได้ มันต้องเริ่มจากสิ่งที่เราชอบก่อน ไม่จำเป็นต้องไปฝืนทำตามเทรนด์ เพราะถ้าเราฝืนทำในสิ่งไม่ชอบ เราจะอยู่กับมันได้ไม่นาน
“มันต้องหาสิ่งที่เราชอบก่อน คือบางคนอาจจะไม่เริ่มจากการวิ่งนะ อย่างเราก็เริ่มจากการเข้าคลาส เริ่มจากการโยคะ เป็นคนชอบโยคะ รู้สึกว่าตัวเองมีความยืดหยุ่นสูง
โยคะมันไม่เหนื่อย มันก็ทําได้เรื่อยๆ พอเล่นโยคะเสร็จ ก็ไปคาร์ดิโอ คือมันเริ่มจากสิ่งที่เราชอบทั้งนั้น จุดสตาร์ทต้องหาอะไรที่เราชอบก่อน
บางคนชอบเต้น บางคนชอบปั่นจักรยาน เราก็เริ่มจากตรงนั้นก่อนค่ะ เราไม่จําเป็นต้องไปฝืน ว่าฉันจะต้องไปออกกําลังกาย เทรนด์วิ่งมา ก็ต้องไปวิ่ง
คือบางทีเราไม่ได้ชอบมัน เราจะอยู่กับมันได้ไม่นาน แต่ถ้าเราเริ่มจากสิ่งที่เราชอบก่อน มันก็จะไปได้เรื่อยๆ เพราะร่างกายมันแข็งแรงขึ้น เราก็จะออกกําลังกายสนุกมากขึ้น มันก็จะขยายขอบการออกกําลังกายมากขึ้น มันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแบบนี้”
แต่ก่อนจะมีความสุข หรือฮีลใจได้ เราต้องไม่ทรมานก่อน เพราะว่าการออกกําลังกาย มันใช้ทั้งคาร์ดิโอ ทั้งกล้ามเนื้อค่ะ เราต้องวางพื้นฐานร่างกายเราให้แข็งแรงก่อน ด้วยการเริ่มจากจุดที่เราโอเค หรือไหวก่อน แล้วค่อยสเต็ปอัพขึ้นไปเรื่อยๆ
จากลูกคุณหนู ที่ไม่ยอมโดนโคลน ไม่ชอบอยู่ในป่าชื้นๆ ไม่คิดเหมือนกัน ว่าวันนึงตัวเองจะมาเข้าวงการวิ่งเทรลได้ แถมยังรู้สึกชอบด้วย
“ตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าเราจะชอบหรือว่าไม่ชอบ อย่างปอยไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะมาชอบเข้าป่าอะไรอย่างนี้ ฉันแบบไม่ใช่คนที่จะมา adventure ยุงก็ไม่เอา แดดก็ไม่เอา ฝนก็ไม่เอา คือหลบหมดทุกอย่าง แมลงคือไม่ชอบเลย
แต่ว่าอยู่ๆ วันนึงมาเข้าเทรล อ้าว..ชอบเฉย คือใครจะไปคิดใช่ไหม ว่าวันนึง เราจะเจออะไรที่เราชอบ จากเหมือนลูกคุณหนูนิดๆ ที่ไม่ยอมโดนโคลน ไม่ชอบอยู่ในป่าชื้นๆ วันนึงเข้าเทรล มาวิ่งเทรล อ้าว..ชอบเฉย มันได้ค่ะ
มันสนุก เหมือนมีงานอดิเรกเพิ่มอีกอย่างนึง ที่ทําให้งานอดิเรกนี้ มันดีต่อสุขภาพ มันดีต่อใจ มันมีเพื่อน คือมันได้หลายอย่างกับชีวิต มันทําให้เรารู้สึกว่า มันไม่ได้เสียเวลาไป โดยที่เราไม่ได้อะไรเลย”
แชร์ประสบการณ์ 100 สนาม เสี่ยงตายแต่สนุก
นอกจากความฮีลใจ ระหว่างทางแล้ว เธอยังช่วยเล่าประสบการณ์เสี่ยงตายให้ฟังอีกว่า บางสนามต้องเจอกับทางที่โหดมาก ทั้งชัน ต้องมีการปีนป่าย ทางดินสไลด์ หรือทางเดินที่มีหินค่อนข้างเยอะ
“ยากที่สุดที่เคยไป น่าจะเป็นสนาม Lampang100 ตอนนั้นไประยะ 60 กิโลเมตรค่ะ วิ่งที่แจ้ซ้อน ก็ตราตรึงใจเยอะอยู่ ตอนนั้นก็รู้สึกว่า ความใกล้ตายมันเป็นยังไง มันน่ากลัว เทรลเราไม่รู้ ว่าเราเข้าไป มันจะไปเจออะไรบ้าง เพราะว่ามันไม่ใช่ทางที่ปกติ คนเดินทางอยู่แล้ว
บางทีก็เปิดเส้นทางใหม่ ที่ผู้จัดก็คือมาครั้งแรกเหมือนกัน ไปเปิดป่า ไปถางหญ้า เข้าไปบุกคนแรกเลย เราก็ตามไปคนที่ 2 ประมาณนี้ คือที่ว่าน่ากลัวเนี่ย เพราะว่าขาลงมันชันมากค่ะ รู้สึกเหมือนจะลงไปเหว แล้วก็ลื่นชัน แล้วก็ประกอบกับดินมันสไลด์ด้วย หลายอย่าง”
สนามนี้ ออกป่ามา เธอบอกว่าสภาพเปื้อนทั้งตัว แถมยังกินดินเข้าไปเยอะมาก มือ 2 ข้าง ดําไปหมด และดินยังเข้าไปทุกซอกอณูของร่างกายเลยด้วยซ้ำ เธอยืนยันอีกว่า ถามใครก็ต้องบอกว่าสนามนี้ยากจริงๆ อันตรายด้วย
“อีกสนามนึงที่หมอไป Lampang Mysstic อันนั้นก็ดี คืออันตรายแบบท้าทายจริง แต่รู้สึกอุ่นใจ สตาฟเขาทั่วถึง เราก็ไม่ได้รู้สึกว่า ถ้าเราเป็นอะไรไปตรงนี้ แล้วจะไม่มีใครมาเห็นเราเลย มันยากเหมือนกัน แต่เรารู้สึกปลอดภัย ก็มีโอกาส ก็จะไปอยู่”
ยอมรับว่าเป็นอะไรที่น่ากลัว และท้าทายมาก แต่ก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิตขนาดนั้น เพราะทุกสนาม มีเซฟตี้ในสนาม มีสตาฟคอยดูแล ก็ค่อนข้างโอเคระดับนึง
“อันตราย ท้าทายจริง แต่ว่าเรารู้สึกอุ่นใจ สตาฟเขาทั่วถึง เราก็ไม่ได้รู้สึกว่า ถ้าเราเป็นอะไรไปตรงนี้ แล้วจะไม่มีใครมาเห็นเราเลย มันยากเหมือนกัน แต่ว่าเรารู้สึกปลอดภัย ก็ถ้ามีโอกาส ก็จะไปอยู่”
กว่า 100 สนามที่ลงแข่งมา แต่ถึงจะลงแข่งมาแล้วหลายสนาม เธอก็ไม่เคยหวังว่าต้องติดอันดับ หรือว่าต้องได้เหรียญ หรือถ้วยรางวัลเท่านั้น แต่เป้าหมายของเธอ เพียงแค่อยากออกกำลังกายให้มีความสุข และทำในเวลาที่ตัวเองไหวเท่านั้น ไม่ไปเทียบกับใคร
“ก็น่าจะถึง 100 อยู่มั้ง ก็ไม่เคยนับนะคะ อย่างเทรล มันก็เฉลี่ยประมาณเดือนละครั้ง เริ่มตั้งแต่ พ.ค.เป็นต้นไป เพราะว่าช่วงต้นปีเนี่ย เขาจะไม่ค่อยจัดกัน เพราะว่ามันเป็นช่วง PM 2.5 แต่ตอนนี้ก็เดือนละครั้ง แล้วก็ 2 เดือนครั้งก็มี
ถ้วยรางวัลก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามสภาพ ที่ไม่ได้ก็มี ปอยก็จะเทียบกับตัวเองนี่แหละ ก็จะทําให้ดีที่สุด ถ้าได้ก็คือเป็นรางวัลชีวิตไป แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร”
เป้าหมายใหญ่ปีนี้ เธอบอกว่า คือสนาม “POCARI” ระยะทาง 100 กิโลเมตร ที่จะจัดขึ้นในเดือน พ.ย.นี้ ส่วนระยะทางที่วิ่งไกลที่สุด ที่เคยไป เธอบอกว่า มีประมาณ110กิโลเมตร แต่ยังไม่เคยไปถึง 130-160 กิโลเมตร
เธอบอกอีกว่า ตอนนี้ขอวิ่งแค่ในประเทศก่อน ส่วนต่างประเทศถ้ามีโอกาส ก็อาจจะลองดูสักครั้ง อย่างสนามที่มองบลังค์ประเทศฝรั่งเศส เป็นสนามที่นักวิ่งหลายคนใฝ่ฝัน ที่อยากไปเยือนให้ได้
แต่ส่วนตัวเธอเอง ไม่ได้รู้สึกอยากไปมาก แต่เพื่อนก็ชวน ซึ่งปีหน้าก็อาจจะลองสมัครไป แต่ก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะแค่วิ่งสนามในไทยก็สนุกแล้ว
“ฝรั่งเศสเป็นสนามระดับโลก เป็น world series หลายๆ สนามทั่วโลก เขาจะเรียกว่างาน UTMB ซึ่งแต่ละประเทศ ก็จะเก็บเหรียญของตัวเอง อย่างประเทศไทย ก็จะมีเคยจัดที่ดอยอินทนนท์ เอาเหรียญไปยื่นสมัคร คุณจะให้เราไปไหม ก็อีกทีนึง”
ยุ่งแค่ไหน ถ้าใจรัก ก็แบ่งเวลาได้เสมอ
แน่นอนว่าอาชีพหมอ ก็คงต้องงานยุ่งมากๆ แต่เธอบอกว่า เราจะมีเวลาให้กับสิ่งที่เราชอบเสมอ งานยุ่งแค่ไหน แต่แบ่งเวลาออกกำลังกายแทบทุกวัน
หลายคนอาจจะใช้เวลาว่าง 1-2 ชั่วโมง ช่วงพัก แอบมางีบหลับ เพื่อชาร์ตพลังงานให้กับตัวเอง แต่ไม่ใช่สำหรับหมอนักวิ่งคนนี้ เธอใช้เวลาว่างอันน้อยนิดที่มี ทุ่มเทให้กับการออกกำลังกาย
“ถ้าเราชอบอะไร มันจะมีเวลาให้จริงๆ มันสามารถที่จะเจียดเวลามาได้ วันนึงชั่วโมงนึง มันจะไม่มีเลยหรอ อย่างยกตัวอย่างของหมอ มันมีวันที่อยู่เวรแบบเช้าบ่ายดึก คือตั้งแต่8โมงเช้า ถึง8โมงเช้าอีกวันนึง แล้วเอาเวลาไหนออกกําลังกาย
คือมันจะมีเวลาว่างนิดนึง วันละ 2 ชั่วโมง บางคนอาจจะเอาไปอาบน้ำ กินข้าว อยู่กับที่บ้าน หรือว่าพักผ่อน นอนเล่นมือถือ แต่ว่าเราก็เอามาออกกําลังกาย สักชั่วโมงนึง
เราก็จะปรับตามที่เราสะดวกเลยค่ะ เพราะไม่สามารถจะล็อกเวลาให้เป๊ะๆ ได้เหมือนคนอื่น มันไม่ได้ว่างขนาดนั้น วันไหนที่อยู่เวร มีเวลาน้อย ก็อาจจะวิ่งสักชั่วโมงนึง 10 กิโลเมตร
แต่ถ้าวันไหนที่ว่าง วันที่หยุดกลางวัน เช้าวิ่ง ตอนเย็นเวท ถ้าวันไหนตอนบ่าย ไม่มีเคส หรือว่าไม่มีเวร ก็จะไปวิ่งค่ะ มันก็ออกได้อยู่นะ อย่างน้อยวันละชั่วโมงก็ยังได้อยู่ค่ะ เราจัดสรรเวลาเอา”
หมอปอยเธอเชื่อว่า ทุกสิ่งทำได้หมด อยู่ที่ว่าเราจะจัดความสำคัญ ในการออกกำลังกาย ไว้อันดับไหน แค่นั้นเอง ดังนั้น เธอก็อยากแนะนำให้ทุกคน จัดลำดับความสำคัญ ในการออกกำลังกาย ไว้เป็นอันดับต้นๆ เพื่อสุขภาพที่ดี
“อยากให้ทุกคนมองเห็น ว่ามันเป็น priority อันดับ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 5 ได้ คือจัดให้มันไว้ในอันดับต้นๆ หน่อย ให้เวลากับมันหน่อย วันนึงอาจจะเจียดเวลาให้มันสักนิดนึง ครึ่งชั่วโมง 45 นาทีก็ยังดี
เป็นกําลังใจให้กับคนที่รู้สึกขี้เกียจจังเลย อยากนอน ลองสักนิดนึง เอาที่เราชอบ แล้วสักพักนึง ร่างกายมันจะเริ่มบอกรักตัวเอง เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง ว่าออกกําลังกายมันดียังไง”
เรียกได้ว่า ออกกำลังกาย กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ตารางในการออกกำลังกายแต่ละวัน ถ้าช่วงไหนใกล้แข่ง เธอก็จะมีวิ่ง สลับกับเข้ายิมบ้าง จะมีวิ่งประมาณ 4-5 วัน แล้วก็จะเวทเทรนนิ่งอีก 2 วันต่อสัปดาห์
ส่วนช่วงไหนที่ไม่มีแข่ง ส่วนใหญ่ก็จะออกกำลังอยู่แต่ในยิมเลยยาวๆ แต่ใน1อาทิตย์ จะพยายามไม่ออกกำลังกายเลย 1 วัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเอง
“ไม่ออกกําลังกายอะไรเลย1วัน เพื่อให้ร่างกายมันrecoveryเพราะว่าการวิ่ง มันใช้กล้ามเนื้อค่อนข้างหนัก มันไม่เหมือนการเข้ายิม ที่มันใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย เข้ายิมเราสามารถออกกําลังกายทุกวันได้ โดยที่ไม่ต้องพักเลย
หลังๆ มันชิน กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราไปเลย มันเหมือนเราอาบน้ำ กินข้าว เข้านอน การออกกําลังกาย ก็เป็นอันนึง ที่เป็นไลฟ์สไตล์เรา ที่เรารู้สึกว่า วันไหนที่ไม่ทํา ก็จะต้องแปลกๆ ไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่ามันต้องทํา แต่มันไปของมันเอง”
ส่วนเรื่องอาหาร เมื่อก่อนเธอบอกว่ากินแหลกมาก และเป็นคนที่กินเยอะมาก บางทีจานเดียวไม่พอ ต้องกิน2จาน แต่เดี๋ยวนี้ เริ่มอยากดูแลสุขภาพมากขึ้น เริ่มนับแคลอรี่ในการกิน และเริ่มทานอาหารคลีน และช่วงนี้ ก็รู้สึกอินในการทำอาหารคลีนกินเองด้วย ถึงแม้จะไม่เก่ง แต่ก็ลองทำผิดๆ ถูกๆ กันไป
ตั้งแต่เริ่มออกกำลังกายมา เธอบอกว่า ไม่มีความคิดว่าเบื่อเลย เพราะมีความสุขทุกครั้ง ที่ได้ออกกำลังกาย อย่างที่เธอมักจะย้ำในบทสนทนานี้ว่า การออกกำลังกาย กลายเป็นการพักผ่อนไปแล้ว
“ไม่มีความคิดเบื่อ ไม่เคยคิดเลยค่ะ เพราะว่าเรามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ คือการออกกําลังกาย มันเหมือนการพักผ่อนไปแล้ว ได้ประโยชน์ บางคน การพักผ่อนอาจจะคือการเล่นเกม หรือว่าไถโซเชียลฯ แต่ว่าของเรา มันคือการออกกําลังกายจริงๆ นะ”
เธอบอกว่า ตอนแรกก็เป็น ที่รู้สึกเหนื่อยบ้าง แต่พอทำบ่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว กลายเป็นว่า ถ้าวันไหนไม่ได้ออก จะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อซะมากกว่าอีก
“พูดให้ใครฟัง แล้วเขาไม่เชื่อ แต่มันเรื่องจริง ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่า คือคนที่อยู่จุดเดียวกันเท่านั้น ถึงจะเข้าใจ ว่ามันเป็นการพักผ่อนจริงๆ มันจะมีการหลั่งสารหลั่งฮอร์โมน เลยทําให้แบบสารแห่งความสุขมันออกมา วันไหนถ้าไม่ได้ออก มันจะรู้สึกแบบยมๆ เบื่อๆ เป็นอย่างนั้นไปแล้วตอนนี้”
อยากแก่ไปอย่างมีคุณภาพ
นอกจากวิ่งแก้ป่วยแล้ว เป้าหมายสำคัญอีกอย่างนึงก็คือ อยากแก่ไปอย่างมีคุณภาพ ไม่อยากเป็นภาระของลูกหลาน ไม่สายเกินไป ถ้าใครยังคิดจะเริ่มอยู่
“เราต้องถามตัวเองก่อนว่า เราอยากจะมีเป้าหมายในชีวิตคืออะไร อย่างของปอย อยากแก่ไปแบบมีคุณภาพ ไม่อยากเป็นภาระลูกหลาน ไม่อยากให้ใครต้องมาดูแลตอนแก่ เราก็สร้างตั้งแต่วันนี้เลย ไม่มีสายเกินไป
จะอายุ 40 ปี 50 ปี 60 ปี เริ่มออกกําลังกายได้หมด ขอแค่เริ่ม เราจะต้องยืนด้วยลําแข้งของเรา ก็เลยรู้สึกว่า มันต้องเริ่มแล้ว
ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองเริ่มอ่อนแอ ทุกคนรู้ตัวแหละ ว่าร่างกายเรามันไม่เหมือนเดิม เวลาผ่านไป อายุเราเยอะขึ้น เซลล์มันก็จะแก่ลง ภูมิต้านทาน หรือว่าฮอร์โมนต่างๆ มันก็จะเริ่มดรอปลง มันจะทําให้เราป่วยง่าย ภูมิต้านทานไม่ค่อยดี หรืออาจจะด้วยหน้าที่การงาน ไลฟ์สไตล์ของเรา ที่มันไม่ได้ส่งเสริม ให้เรามีสุขภาพที่ดี
อยากให้มาลองออกกําลังกายดู มันช่วยจริงๆ อย่างปอยแทบไม่ป่วยเลย ป่วย5ปีนี่นับครั้งได้เลย ว่ามันไม่ได้เหมือนเดิม ร่างกายมันเปลี่ยนไปแบบชัดเจนมากๆ เลยค่ะ
จริงๆ ถ้ามองอีกด้านนึง มันเป็นการปูพื้นสุขภาพที่ดี ในอายุที่มากขึ้น เป็นคนคุณภาพ ไม่เป็นภาระสังคม ไม่เป็นโรคเรื้อรัง”
ตอนนี้ยังมีความสุขในการออกกำลังกายอยู่ และก็บอกไม่ได้ด้วยว่า จะทําได้ถึงอายุเท่าไหร่ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้
บางทีอีก 2 ปี 3 ปีข้างหน้า เราอาจจะบาดเจ็บก็ได้ ใครจะไปรู้ เพราะเรื่องการบาดเจ็บ มันไม่ได้หมายถึงว่าทุกคนที่แข็งแรง จะไม่บาดเจ็บ เพราะเรื่องพวกนี้ มันเป็นของคู่กันกับนักวิ่ง
“แต่ก็จะเหวี่ยงตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายมันจะฟ้องว่าไม่ไหวแล้ว หยุดเถอะ คิดว่ามันก็คงมีแหละ จุดที่มันไม่สามารถแข่งแบบเข้มข้นแบบนี้ได้ตลอด ช่วงนี้รู้สึกเข้มข้นที่สุดในชีวิตแล้ว”
กลายเป็นเหมือนอินฟลูฯ ด้านออกกําลังกายไปในตัวด้วย และยังกลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้เพื่อนในโซเชียลฯ มาขอเคล็ดลับกันอีกเยอะ
“ก็ดีใจนะคะ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจหลายๆ คน มีรุ่นน้องที่โรงเรียนก็มี บางคนเป้าหมายอาจจะอยากลดน้ำหนัก อาจจะเคยอ้วนมาก่อน อาจจะอยากแข็งแรงขึ้น บางคนอาจจะอยากวิ่งดีขึ้น บางคนอาจจะอยากวิ่งแล้วไม่บาดเจ็บ
เขาก็จะมาถามเคล็ดลับ เขาก็จะมาส่องเราว่า วันๆ นึงเรากินอะไรบ้าง เราออกกําลังกายอะไรบ้าง อันไหนที่เขาอยากรู้ เขาก็อาจจะ direct message มาถาม มีเยอะเหมือนกันค่ะ ก็ดีใจ ถามได้เลย ก็ยินดีตอบในส่วนที่เรารู้
เขาก็จะมีมาบอกว่า วิ่งมาได้ถึงทุกวันนี้ เพราะเขาคอยตามเราอยู่นะ เขาดูเราอยู่ เขาเหมือนกับมีแรงบันดาลใจ สมมติว่าเราลงสตอรี่ใช่ไหม วันนี้เราวิ่ง 15 โล 10 โล
พอเขาเห็น อีกวันนึง เขาก็ไปวิ่งอะไรอย่างนี้ คือมันเหมือนกับพากันไปมากกว่า ฟีลเหมือนกลุ่มเพื่อน ที่ชอบออกกําลังกายเหมือนกัน แล้วมองๆ เห็นกันและกัน ปอยก็เห็นเขา เขาก็เห็นเรา
บางทีเขาก็เป็นกําลังใจ เป็นแรงบันดาลใจให้เราบ้าง เราก็เป็นแรงบันดาลใจให้เขาบ้าง ก็เหมือนกับแชร์กันไปแชร์กันมา มากกว่าค่ะ ก็จะเหมือนคุยๆ กันว่า วันนี้เราวิ่งได้เยอะเลย เพราะเราเห็นเธอเมื่อวาน”
สัมภาษณ์ : ทีมข่าวMGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : Instagram @poilyanes, Facebook “Thunyaluk PoiLy Chompoo”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **