จากคำดูถูกให้ไปทำงานเป็น “หมอนวด-เด็กเสิร์ฟ” ในบ้านเมืองเขา สู่การท้าทายตัวเอง ฝึกฝนผ่านด่านโหดจนได้เป็น“นักดับเพลิงไทยคนแรกในอเมริกา”งานที่ถูกยกย่องให้เป็น“ฮีโร่”ทุ่มเวลา10วัน แลกรายได้หลักแสน!!
ไม่ใช่แค่ “ดับเพลิง” แต่ “รับผิดชอบชีวิต”
“จอยเป็นนักดับเพลิงหญิงไทยคนแรก ที่ย้ายมาจากเมืองไทย10ปีที่แล้ว ตอนนี้เป็นนักดับเพลิง ตำแหน่งFire Engineerอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สถานีArrowbear Lake Fire Departmentค่ะ”
“จอย-มนักษร ธนจรัสวาณิชย์” นักดับเพลิงไทยคนแรกในอเมริกา วัย 35 ปี กับเส้นทางความท้าทาย การเปลี่ยนผ่านอาชีพ จากนักกีฬาสเก็ตน้ำแข็งทีมชาติไทย สู่นักดับเพลิง ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
และล่าสุด เพิ่งได้รับรางวัล “สตรีดีเด่นของประเทศ” สาขาความถูกต้องและความเท่าเทียมทางเพศ ในงานวันสตรีสากล ประจำปี 2568 จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
“เราเป็นผู้หญิงคนไทยคนเดียว ที่ทํางานอยู่ที่อเมริกา แล้วก็เป็นงานที่ไม่ใช่งานของผู้หญิง แล้วก็เป็นคนเอเชียด้วย ก็ค่อนข้างยาก แล้วก็เป็นคนเดียวที่นี่ ที่ทําได้
จริงๆ ก็มีผู้หญิงไทยคนนึง ที่อยู่ที่อเมริกาเหมือนกัน แต่ว่าอยู่ที่นิวยอร์ก นักดับเพลิงท่านนั้น เป็นเชื้อสายอเมริกัน ที่เกิดที่นี่ โตที่นี่”
หน้าที่หลักๆ ของเธอในแต่ละวันคือ ตื่นเช้ามา ก็จะออกกำลังกาย กินข้าว ประชุม เช็กรถทุกคันในสถานี ว่าพร้อมที่จะทํางานไหม เพราะเธอมีตำแหน่ง เป็น Fire Engineer
ส่วนนักดับเพลิงคนอื่น จะเช็กอุปกรณ์ในรถ จากนั้นก็รอคนโทรเข้ามาแจ้งเหตุ ที่นี่เป็นเหมือนบ้านอีกหลัง เพราะต้องอยู่ที่กินนอน 24 - 48 ชั่วโมง
“ที่นี่นักดับเพลิง ต้องทำงานทั้งดับไฟ แล้วก็เป็นเหมือนปอเต็กตึ๊งช่วยทุกอย่าง คนติดในลิฟต์ หรือข้าวติดคอ ไฟไหม้ น้ำท่วม หิมะถล่ม บ้านจะพัง คนฆ่ากัน แทงกัน ยิงกัน ตีกัน
หรือว่าลําบากกว่านั้นก็มี คนไปติดอยู่ในตู้ไปรษณีย์ ไม่รู้เข้าไปอยู่ยังไงเหมือนกัน ก็มีแบบแปลกๆ คือทุกอย่างเป็นนักดับเพลิงหมด
อะไรที่ต้องโทร 911คือเราต้องอยู่ตรงนั้น บางทีฉันรู้สึกจะเป็นลม ฉันรู้สึกเหมือนฉันจะไม่โอเค ก็โทรมา แล้วก็มีงานของสังคมด้วย เช่น ไปงานคริสต์มาส ในเขตเมืองนั้น ไปแจกขนม คือทำหน้าที่ทุกอย่าง เป็นเหมือนคนของประชาชนค่ะ”
อย่างที่เธอบอกว่า ตำแหน่งของเธอในตอนนี้ คือ Fire Engineer ก็คือเป็นตําแหน่งใหญ่กว่านักดับเพลิงทั่วไป1ตำแหน่ง ซึ่งก่อนที่จะขึ้นมาทำตำแหน่งนี้ ก็เป็นนักดับเพลิงทั่วไป อยู่ประมาณ 4 ปีครึ่ง
และตำแหน่งปัจจุบันที่ทำกำลังทำอยู่นี้ ก็มีความสำคัญคือ ต้องรับผิดชอบชีวิตนักดับเพลิงทั้งหมด ด้วยการขับรถ พานักดับเพลิง ไปที่จุดเกิดเหตุ อย่างปลอดภัย
“คือเมืองไทย ฟังแล้วอาจจะเข้าใจว่าเป็นวิศวะ แต่มันไม่เชิงว่าเป็นวิศวะ แต่ว่าเป็นคนขับรถค่ะ แต่เขาเรียกว่าเป็น Engineer เพราะว่าจะต้องไปเรียนการซ่อมรถ ไปเรียนการกลไกการทํางานของรถดับเพลิง แล้วก็เรียนปั๊มน้ำ ทั้งหมดที่เห็นรถดับเพลิง จะมีปุ่มเยอะๆ ข้างๆ นั่นคือเป็นหน้าที่ของจอย
เขาเลยให้ความสําคัญ แล้วก็ให้ตําแหน่งว่าเป็น Engineer เพราะจะต้องไปเรียนการประกอบรถคันนี้ขึ้นมา เท่าที่ทราบมา คือในแคลิฟอร์เนีย มี Fire Engineer ผู้หญิงแค่ 7คน ซึ่งจอยเป็น1ในนั้น แล้วก็เป็นคนไทยด้วย
เพราะว่าไม่มีผู้หญิงคนไหน อยากมาเรียนรู้การซ่อมรถ การขับรถ เพราะความรับผิดชอบเยอะมาก เวลาคนโทรมา911หน้าที่ของจอยคือ ต้องเป็นคนขับ พานักดับเพลิงไปที่จุดเกิดเหตุ เราจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบชีวิตของเขาทั้งหมด
พอไปถึงจุดเกิดเหตุ หน้าที่ของเราคือ จะเป็นคนที่ดูแลความปลอดภัยของนักดับเพลิงทั้งหมด และคนที่มาเดินรอบๆ เหตุการณ์นั้น ถ้าไฟไหม้ หน้าที่หนักเลย คือเป็นคนปั๊มน้ำ เป็นคนอ่านทิศทางลม เป็นคนคํานวณน้ำ เป็นคนคํานวณว่าต้องจอดรถตรงไหน ความสูงเท่าไหร่ ที่เราจอดรถ กับที่หัวฉีดน้ำ ความดันเท่าไหร่ คือมันเยอะมากในหัว
แต่ถ้าเกิดเป็นการโทรไป เพื่อประสบอุบัติเหตุ เกี่ยวกับทางการแพทย์ อันนี้จะง่ายกว่า หน้าที่เราคือแค่ขับรถ ไปถึงที่เกิดเหตุ ตรวจสอบให้แน่ใจ ว่าทุกคนโอเค”
[รถดับเพลิงในอเมริกา ที่เธอต้องเป็นคนขับไปช่วยอีกหลายชีวิต]
ฮีโร่ที่อเมริกา แต่ไทยมองว่าไม่เท่
อาชีพนักเดิมเพลิงในอเมริกา เป็นเหมือนไอดอลของเด็กๆ ที่นั่น เพราะนักดับเพลิง เป็นเหมือนฮีโร่ที่ประชาชนมองเห็นการทำงาน ของพวกเขาอย่างชัดเจน ทั้งในเหตุการณ์ฉุกเฉิน พวกเขาต้องเผชิญกับอันตราย และเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคนอื่น แม้กระทั่งยังเป็นที่รักของโจรด้วย
“เพราะว่าเราช่วยทุกอย่าง แม้กระทั่งโจร โจรสะดุดล้มหัวแตก รถชนกับตํารวจ เราก็ต้องช่วยทั้งโจร และช่วยตํารวจ โจรก็รักนักดับเพลิงค่ะ เพราะว่าเราต้องช่วยเขาไง เราช่วยทุกคน ก็เป็นฮีโร่ค่ะ”
แต่คนไทยบางคนกลับมองว่า อาชีพนี้ก็งั้นๆ ทำให้เธอแอบน้อยใจนิดนึง เวลากลับมาไทย แล้วบอกว่า ทำอาชีพนักดับเพลิง
“แอบน้อยใจนิดนึง เพราะว่าคนไทยชอบคิดว่าตํารวจเท่ที่สุด ก็เท่จริงๆ แต่อยากจะบอกว่า คุณมาดูนักดับเพลิงที่อเมริกาก่อน เวลากลับไปเมืองไทย บอกใครว่าเป็นดับเพลิง คนก็จะบอกว่า มันเท่ตรงไหน ตํารวจเท่กว่าเยอะเลย
เพราะว่าที่เมืองไทย ตํารวจควบคุมทุกอย่าง ไปคุยกับผู้ใหญ่ ในสถานีดับเพลิงที่เมืองไทยมา เพิ่งทราบเหมือนกันว่า ประวัตินักดับเพลิง เมืองไทยไม่เคยมีนักดับเพลิงมาก่อน คือเขาเรียกว่าตํารวจดับเพลิง คนไทยเลยคิดว่า ตํารวจคือสุดทุกอย่าง”
แต่นักดับเพลิงในอเมริกา กลับถูกมองว่าเท่ และต้องสอบเข้ายากมากๆกว่าจะทำอาชีพนี้ได้ และเธอก็เป็นคนเอเชียคนเดียวที่สอบผ่านโดยที่ไม่ได้เกิดและโตที่อเมริกา
“ที่อเมริกานักดับเพลิงคือทุกอย่างค่ะ เงินเดือนก็ได้มากกว่าตํารวจ1เท่า ทํางานก็น้อยกว่าตำรวจ1เท่า ทหารคือน้อยกว่าตํารวจ และนักดับเพลิงไปอีก 3 เท่าเลย
ไม่ได้ดูถูกนะ แต่จะบอกว่า การจะเป็นนักดับเพลิงในอเมริกา ยากกว่าจะเป็นตํารวจ 2 เท่า ยากกว่าเป็นทหาร3เท่า เป็นทหารคือสมัครก็ได้เป็นแล้ว เป็นตํารวจแค่วิ่งได้โอเค ตัวไม่อ้วนมาก มีความฉลาด มีการพูดจา เขียนได้รู้เรื่อง โอเคแล้ว
กว่าจะเป็นอันดับเพลิงได้ คือต้องไปเรียนเกี่ยวกับหมอนะคะ ต้องผ่านการสัมภาษณ์ ต้องแข็งแรง ต้องยกได้3เท่า ของน้ำหนักตัว”
เธอยอมรับว่า ที่คนไทยมองแบบนั้น เพราะเรื่องสวัสดิการในบ้านเรา ของอาชีพนักดับเพลิง ไม่ได้ดีเท่าที่อเมริกา แต่ก็มองว่ากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ
“มันกําลังดีขึ้นนะคะ เทียบเมื่อก่อนเมืองไทย จากที่ไม่มีนักดับเพลิง ไม่มีสถานีเพลิง จนมาถึงตอนนี้ ก็คือ20ปีเองนะ แต่ที่นี่มันหลาย 100 ปีแล้วนะ ที่มีนักดับเพลิงในสถานี คือเขาเริ่มมาก่อนนานแล้ว
ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ก็ถือว่าโอเคนะเมืองไทย ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ก็แค่พัฒนาช้ากว่าที่นี่ไปประมาณหลาย100ปี แต่ว่าช่วงพัฒนา จาก 0-20 จอยว่าพัฒนาพอๆ กับที่นี่นะ แต่แค่เราเริ่มช้ากว่าเขา
ก็พยายามช่วยอยู่ค่ะ กลับไปเมืองไทย ก็ไปสถานีดับเพลิง ไปดูงาน ไปคุย ไว้วันนึงถ้ามีโอกาส คิดอยู่ว่าอยากกลับไปอยู่เมืองไทยเหมือนกัน
คิดว่าอยากจะกลับไปรีไทร์ ไปใช้ชีวิตหลังเกษียณ ไปสมัครเป็นผู้บริหาร ซึ่งเราก็มีประสบการณ์ ก็ไปช่วยสถานีดับเพลิง อยากจะไปช่วยพัฒนาประเทศของเรา
อาจจะอีก 10 ปี ข้างหน้า ขอสนุกกับตรงนี้อีกนิดนึง แต่ใครจะไปรู้ อาจจะ5ปี หรือว่าอาจจะปีหน้าเลยก็ได้ คือเอาจริงๆ ก็รู้สึกว่า ได้ทําอะไรที่ตัวเองอยากทําแล้ว”
เทียบสวัสดิการ ไทย vs อเมริกา
สำหรับสวัสดิการอาชีพนักดับเพลิงในอเมริกา เธอบอกว่า จะมีประกันสังคม ประกันสุขภาพ มีให้ลาคลอด ลาป่วย หรือแม้กระทั่งตอนที่หย่าร้างกับสามี หน่วยงานที่เธอสังกัดอยู่ ก็มีสวัสดิการ ให้หยุดงานไปเลย6เดือน เพื่อไปจัดการปัญหาครอบครัว ทั้งที่เธอก็บอกว่าหย่ากันด้วยดี
เพราะมองว่า บางคนถ้าหย่าแล้ว อาจจะยุ่งยาก ทั้งเรื่องการย้ายบ้านหลังหย่า แถมยังมีสวัสดิการส่งจิตแพทย์ เข้ามาดูแลจิตใจด้วย และในขณะที่หยุด 6 เดือน ก็ยังสามารถรับเงินเดือนตามปกติ เหมือนที่ทำงาน
“เอาจริงๆ ก็ไม่ได้กระทบมาก เพราะเราหย่าด้วยดี เราคุยกันรู้เรื่อง พอเกิดการหย่าร้าง เขาจะให้หยุดเลย ก็ให้ไปจัดการชีวิตส่วนตัว ดูแลดีมาก มีจิตแพทย์ ส่งมาดูแลเราทุกวัน แล้วตลอดเวลาที่หยุด6เดือน ก็ได้เงินเหมือนเราไปทํางานด้วย”
และสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้ เธอมองว่า อาชีพนี้ในเมืองไทย ยังขาดสวัสดิการเหล่านี้อยู่ เธอบอกอีกว่า เมืองไทยควรจริงจัง และควรให้งบด้านนี้เยอะๆ
“ไทยขาดทุกอย่างที่พูดมาเลยค่ะ ผู้ใหญ่ก็ทําไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีงบ ผู้ใหญ่เขาทราบ แต่มันก็ยาก ต้องใช้เวลา ก็พยายามอยู่ค่ะ เดี๋ยวจะกลับไทยไปช่วยนะคะ ก็พยายามพูดให้อยู่ค่ะ
เมืองไทยควรจะเอาจริงเอาจัง อยากให้ใส่เงินงบประมาณ ในอาชีพนักดับเพลิงมากขึ้น เพราะว่าตึกเยอะมาก ไฟไหม้ ตึกถล่ม แผ่นดินไหว ถามตรงๆ ดับเพลิงมีกี่คน รถดับเพลิงมีกี่คัน นักท่องเที่ยวก็เยอะ”
ถ้ามีโอกาส เธอก็อยากกลับไปช่วยพี่ๆ น้องๆ อาชีพนักดับเพลิงในไทย สิ่งที่เธอจะทำ ถ้าได้งบประมาณมาใช้คือ จะต้องมีการมาตรฐานคัดเลือกกันใหม่ ซึ่งเธอจะยกมาตรฐาน การคัดเลือกเข้าทำงานแบบอเมริกาไปใช้
“นักดับเพลิงจะต้องได้เงินเยอะขึ้น จะเป็นคุณภาพเดิมไม่ได้”
เธอมีโอกาสได้เจอกับน้องๆ นักดับเพลิงจิตอาสา น้องๆ จิตอาสาเหล่านั้นเก่งมาก เพราะว่าเขาใส่ใจ เขารัก เขาชอบ เขาเรียน แต่ที่ทำอึ้งคือ พวกเขาเหล่านั้น ไม่ได้เงินสักบาท
“น้องอาสา คือเขามาจากใจจริงๆ ไม่ได้ทําเพราะเงิน แล้วมันอึ้ง พอเราเห็นน้องๆ เฮ้ย..เนี่ยคือฉัน ฉันอยากเป็นนักดับเพลิง แต่ฉันได้เงิน แต่น้องๆ ไม่ได้เงิน ก็รู้สึกอยากจะกลับเมืองไทย ไปทําให้คนกลุ่มนี้ได้เงิน”
เราจะเห็นอาสาเยอะมากในเมืองไทย ที่มีทั้งคนที่ทำงานอาสาแบบได้เงิน และไม่ได้เงิน ซึ่งบางคนก็มีใจอาสาจริงๆ แบบไม่ขอรับเงิน อันนั้นก็ขอชื่นชมอย่างมาก
แต่สำหรับอเมริกา คนอาสาแบบนั้นก็มี แต่ถึงใช้คำว่าอาสา แต่เขาก็ได้เงิน และไม่ใช่แค่คิดอยากจะทำ แล้วทำได้เลย ก็ต้องมีการสอบเข้าไปทำอาสาก่อนอยู่ดี ซึ่งแตกต่างจากบ้านเรามาก
“ที่นี่เขาเรียกว่า เป็น Volunteer Firefighter แต่ว่าก็จะให้เงิน แต่ไม่เยอะ ให้เงินเหมือนค่าน้ำมันมาช่วย แต่ว่าอาสาที่นี่ก็จะต้องสอบทุกอย่างผ่าน เหมือนเป็นนักดับเพลิงมาก่อน
คือเราจะไม่อนุญาต จะต้องมีมาตรฐาน ไม่ใช่ว่าเป็นใครก็ได้มาลอง อยากเป็นอาสาสมัครที่นี่ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นอาสา ก็ต้องมีทุกข้อเหมือนเป็นนักดับเพลิง เพราะว่าเราเอาเขามาเสี่ยงชีวิต แล้วเขาก็จะได้รับการดูแลเหมือนกับนักดับเพลิง”
ทำงาน 10 วัน รายได้หลักแสน
อาชีพนักดับเพลิงที่นี่ ทำงานประมาณ10-12 วันต่อเดือน สำหรับพนักงานฟูลไทม์ จะทํางานประมาณ 2 วัน หยุด 3 วัน ก็คือทำงาน 48 ชั่วโมง เพราะเป็นอาชีพที่ใช้ร่างกาย และใช้สมองเยอะมาก จึงต้องมีเวลาพักร่างกาย
ส่วนการตอบแทน ทำงาน10กว่าวัน เงินเดือนประมาณ 5-7 พันเหรียญ เป็นเงินไทยประมาณแสนกว่าบาท ไปจนถึง2แสนต้นๆ ต่อเดือน
“ของจอยทำ 48 ชั่วโมง ได้ 1,000 เหรียญ ก็ประมาณ 30,000 กว่าบาท ส่วนใหญ่จะทําแค่เสาร์-อาทิตย์ 4 อาทิตย์ต่อเดือน ก็ตกก็ประมาณแสนต้นๆ จะไม่ได้เท่านักดับเพลิงฟูลไทม์
ทำแบบนี้ เพราะว่าวันจันทร์-ศุกร์ จะได้มีตารางที่เหมือนคนปกติ เพราะถ้าเป็นนักดับเพลิงฟูลไทม์ จะไม่มีเวลาให้ลูกชาย ซึ่งตอนนี้เป็นนักกีฬาสเก็ตน้ำแข็งทีมชาติ น้องก็จะต้องมีตารางซ้อม พาไปลานสเก็ต เราก็อยากจะให้เวลากับลูก”
ส่วนเงินเกษียณในอเมริกา ถ้าเกิดว่าทำงานเป็นพนักงานแบบฟูลไทม์ ถ้าทำงาน20ปีขึ้นไป จะได้รับเงินเดือนของเดือนสุดท้ายไปตลอดชีวิต แต่ถ้าประสบการณ์ทำงานแค่10ปี ถ้าเกษียณอายุ ก็จะได้เงินเดือนครึ่งนึงของเดือนสุดท้ายที่ทำงาน ไปตลอดชีวิตเช่นกัน
ส่วนเธอเป็นพนักงานแบบพาร์ทไทม์ ก็จะไม่ได้สวัสดิการนี้ แต่ในระหว่างทางที่ทำงาน ก็ออมเงินไว้สำหรับ ใช้ตอนเกษียณแล้ว
“อย่างจอยพาร์ทไทม์ รีไทร์ก็ไม่ได้ แต่ว่าก็จะมีเงินเก็บ ซื้อแพลนเกษียณเอง คือรัฐบาลไม่ได้เก็บให้”
แม้จะดูเงินเยอะ แต่อีกมุม ก็เป็นอาชีพที่หนัก เพราะ 99% ของนักดับเพลิง คือแต่งงานแล้วหย่าร้าง หรือว่ามีปัญหาครอบครัวเยอะมาก อย่างเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีปัญหาเรื่องเวลา เรื่องการดูแลครอบครัว
จริงๆ อาชีพนักดับเพลิง ไม่ใช่อาชีพหลัก และรายได้หลักของเธอ อาชีพครูสอนสเก็ต คืออาชีพ ที่ทำเงินให้เธอมากกว่า ถึงเราจะมองว่ามีรายได้เยอะ แต่อย่าลืมว่า อเมริกา ค่าใช้จ่ายก็สูงเหมือนกัน
“จันทร์-ศุกร์ จะสอนสเก็ตแค่วันละ 3 ชั่วโมง ได้ชั่วโมงละ 140 เหรียญ ก็เท่ากับว่าจอยทํางาน3ชั่วโมงต่อวัน แล้ว5วัน หนึ่งอาทิตย์ จอยได้ 2,100 เหรียญ แล้วก็รวมกับดับเพลิงอีก1,000เหรียญ ก็เท่ากับ 3,100 เหรียญต่ออาทิตย์ ก็ประมาณแสนกว่าบาทต่ออาทิตย์
นักดับเพลิง ได้น้อยกว่าสอนสเก็ต เพราะว่านักดับเพลิงทํา 24 ชั่วโมง ได้ประมาณ 500 เหรียญ ประมาณหมื่นกว่าบาท แต่สอนสเก็ต ชั่วโมงละ 140 เหรียญ ประมาณ 6,000บาท วันนึงสอน 3 ชั่วโมง ก็วันละ 18,000 บาท”
เสี่ยงแต่คุ้ม ช่วยอีกหลายชีวิต
เธอเล่าประสบการณ์ประทับใจ ที่ได้เข้าไปช่วย คุณแม่ไฟลวกมือท่านนึง แล้วโทรเรียกนักดับเพลิง ให้ไปช่วย
จริงๆ หน้าที่ประจำของเธอในตอนนี้ คือขับรถ พานักดับเพลิงไป แต่ด้วยความที่เป็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นผู้หญิง เธอก็มักจะเข้าไปช่วยด้วยตัวเองเสมอ ให้รู้สึกสบายใจ และเป็นกันเอง
“ที่ประทับใจคือ ตอนที่เอาเขาขึ้นโรงพยาบาล เราก็ดูว่าเขามีลูกเล็ก เขาเป็นห่วง เราก็บอกเขาว่า เดี๋ยวเอาลูกเขาไปด้วยนะ รถเข็นลูกอยู่ในรถดับเพลิงคันนี้นะ เอานมไปใส่ไว้ให้แล้ว มีผ้าอ้อม มีชุดของลูก
สิ่งเล็กๆ จุ๊กจิ๊กแบบนี้ นักดับเพลิงผู้ชายเขาจะไม่คิด แต่เราคิดไงคะ เวลาเราไปโรงพยาบาล อ้าว..ถ้าเกิดเราจะต้องค้างโรงพยาบาล เราทํายังไง คือเราเตรียมให้เขาหมดเลย เราเข้าไปในบ้านเขา หยิบทุกอย่าง
แล้วก็บอกเขาว่า แมวไม่ต้องห่วงนะ ปิดประตูให้แล้ว ใส่อาหารไว้แล้ว วางน้ำไว้ให้แล้ว แก๊สเราปิดให้แล้วนะ ที่youทํากับข้าวไว้”
จนกระทั่งผ่านไปประมาณ2อาทิตย์ ได้รับจดหมายที่สถานี คือเป็นผู้หญิงคนที่เธอช่วยไว้ ส่งจดหมายมาขอบคุณ ที่ช่วยดูแลลูกเขา
ไม่ใช่แค่เคสเดียว ที่เธอได้รับจดหมายชื่นชม มีอีกประมาณ 2-3 เคสเช่นกัน ที่ได้จดหมายจากประชาชน ส่งมาที่สถานี จนในปี 2024 ทางหน่วยงานมอบรางวัล นักดับเพลิงดีเด่นของสถานี
“เขาก็ประทับใจ เราทําในสิ่งที่เราไม่ต้องทําก็ได้ ไม่ต้องทํา เราก็ไม่ผิด แต่เราทําให้เขา ก็รู้สึกว่า เป็นสิ่งที่เราอยากให้เขาไม่ห่วง”
[รางวัลสตรีดีเด่น ที่ประเทศไทยมอบให้]
นอกจากเคสที่ประทับใจแล้ว ยังมีเคสที่เธอเองก็รู้สึกเซนซิทีฟ เป็นเคสเกี่ยวกับเด็ก 2 ขวบ โดนของหล่นใส่ พอไปถึงที่เกิดเหตุ เห็นชั้นหนังสือ กำลังทับเด็ก เลือดเต็มพื้นไปหมดเลย เป็นเคสที่สะเทือนใจมาก เพราะเธอเองก็มีลูกเหมือนกัน
แต่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือ แม่ที่อยู่ข้างๆ กลับช่วยเด็กไม่ได้ เพราะแม่ติดยาหนัก เป็นลม หมดสติไป
“อะไรที่เกี่ยวกับเด็ก ค่อนข้างจะสะเทือนใจค่ะ ก็เข้าไปช่วย แล้วก็ส่งโรงพยาบาล ก็ทำหน้าที่ปกติ”
เธอมักจะชอบพูดว่า เป็นอาชีพที่ออกมาทำงาน โดยไม่รู้ว่าวันนึง จะได้กลับบ้านไหม ดังนั้น ทุกวันก่อนไปทำงาน เธอจะบอกรักลูกก่อนเสมอ
“มันเป็นอาชีพ ที่เราไม่รู้จริงๆ ว่าเราจะได้กลับบ้านหรือเปล่า นึกถึงเหตุการณ์9/11ตึกถล่มที่เวิลด์เทรด นักดับเพลิงเสียชีวิต 343 นาย ตอนเช้าออกไปทํางาน เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
มีคนโทรว่าตึกถล่ม คนวิ่งลงมาจากตึก แต่นักดับเพลิง หน้าที่ของเราคือ วิ่งย้อนกลับเข้าไป เสี่ยงชีวิต คือเราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นถูกไหมคะ อย่างเมืองไทยไม่เคยมี earth queen ก็เกิด
ทุกวันออกไปทำงาน ก็จะบอกลูกว่า i love youน ะ เป็นเด็กดีนะลูก จะพูดกับลูกทุกวัน เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้พูดกับเขาอีกหรือเปล่า เราก็พยายามรักษาชีวิตตัวเองอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าหน้าที่ของเรา คือประชาชน ก็ต้องเสียสละ”
เธอบอกว่า อาจจะดูใจร้ายกับตัวเองนิดนึง ถ้าบอกว่า ตอนนี้ไม่กลัวตายแล้ว เพราะเกิดเหตุการณ์ ทำให้เกือบเสียชีวิต4-5ครั้ง ก่อนที่จะได้มาเป็นนักดับเพลิง ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุรถยนต์ หรืออุบัติเหตุทางสุขภาพ และตอนนี้รู้สึกคุ้มแล้ว เพราะอย่างน้อย ก็ได้อุทิศตัว ช่วยเหลือคนอื่นอีกหลายชีวิต
13 ครั้งกว่าจะผ่าน แต่เพราะคำดูถูกฮึดสู้
กว่าจะทำอาชีพนี้ได้ เธอบอกว่า มีการทดสอบร่างกายที่โหดมากๆ ต้องเข้าทดสอบกว่า 13 ครั้ง ถึงผ่านทุกด่าน แล้วแต่ละครั้งต้องจ่ายค่าสมัครไปประมาณ 6,000 บาท
แต่ถึงจะสอบตกหลายรอบ เธอก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเคยเจอคำดูถูกจากฝรั่ง ว่าเป็นคนไทย ทำไมไม่ไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ หรือเป็นพนักงานร้านนวด เธอรู้สึกว่า นั่นเป็นคำเหยียดความสามารถกันเกินไป เพียงแค่เป็นผู้หญิง และคนเอเชีย จึงเป็นแรงผลักให้ฮึดสู้ ว่าจะต้องทำให้ได้
“ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้ในชีวิตมาก่อน แต่จะต้องทําให้ได้ คือมันมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในห้องวอร์มอัพ ห้องก่อนที่จะสอบ เราก็เดินเข้าไป ทุกคนก็จะมองว่าเราเป็นผู้หญิง เป็นคนเอเชีย
บางคนก็พูดออกมาเลยว่า you มาถูกห้องหรือเปล่า มาสอบนักดับเพลิงหรือเปล่า ผิดที่หรือเปล่า คือไม่เชื่อว่าเราจะมันเป็นนักดับเพลิง แล้วตัวเล็กด้วย
บางคนก็ถามมาจากไหน ก็บอกมาจากเมืองไทย เขาก็แบบว่า ฉันไม่เคยเห็นคนไทย มาเป็นนักดับเพลิงที่นี่เลย บางทีเขาก็พูดเลยว่า คนไทยส่วนใหญ่มา ก็จะไปทํางานร้านอาหาร ทําไมไม่ไปทํางานร้านอาหารล่ะ ทําไม youไม่ไปทํางานร้านนวด ก็คือดูถูกไปเลย
ทําไมเขาถึงมองคนไทยอย่างนี้ บางคนทําเหมือนเป็นเรื่องตลก ถามว่าแบบเราเป็นเลดี้บอยหรือเปล่า เป็นกระเทยหรือเปล่า ในใจก็แบบโกรธ
เราก็เลยเอาตรงนั้น มาเป็นแรงผลักดัน ถ้าฉันทําไม่ได้ เขาก็จะคิดว่าคนไทยทําได้แค่นี้ เป็นได้แค่คนเสิร์ฟร้านอาหาร เป็นได้แค่นวด ฉันจะต้องทําให้ได้ เพราะไม่งั้น ถ้าลูกหลานเหลนโหลนฉันมาเป็นนักดับเพลิงที่นี่ ก็จะต้องโดนแบบที่ฉันโดน
ก็เลยกลับไปสอบ จนเงินเก็บเกือบหมดบัญชี ถ้าวันนั้นพวกนั้นไม่ดูถูกเรา เราก็อาจจะไม่ได้เป็นนักดับเพลิงวันนี้นะ”
จนก็เหมือนเป็นลิขิตชีวิต ได้มีสามี และแต่งงาน และได้ใช้สัญชาติอเมริกา พอสอบได้ และได้สัญชาติแล้ว ก็ทำอาชีพนักดับเพลิงในอเมริกาได้
เธอมีวันนี้ และได้ทำตามความฝันของตัวเอง เธอบอกว่า สิ่งหนึ่งคือ ไม่ยอมแพ้ อย่างที่เธอเป็น แม้รู้ว่าคุณสมบัติยังไม่ครบถ้วน ในการเป็นนักดับเพลิง แต่ก็พยายามคว้าโอกาสเอาไว้ก่อน ด้วยการลงสมัครสอบ
“ไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคอะไรขึ้นก็ตาม อย่าคิดว่าอันนั้นคือจุดจบแล้ว อย่างเรื่องต้องเป็นสัญชาติอเมริกัน มันไม่ได้หยุดจอยทั้งนั้น ลองข้ามไป เราดูข้ออื่น อย่ายอมแพ้ ทําไปเรื่อยๆ
ทุกความฝันเป็นจริงได้ ถ้าเราไม่หยุดยอมแพ้ ถ้าคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ไม่ดี แต่มันไม่ได้เป็นวันที่ชีวิตไม่ดี ก็พยายามสู้ๆ ค่ะ”
8 ด่านโหด ปืนกำแพงลอดอุโมงค์
อย่างที่บอกไปว่า ก่อนหน้านี้ เธอเป็นนักกีฬาสเก็ตน้ำแข็ง และได้มีโอกาสเป็นโค้ชสอนนักกีฬาทีมชาติไทย จากนั้นได้ย้ายมาอยู่อเมริกาได้ประมาณ 5 ปี และเริ่มยึดอาชีพพนักงานดับเพลิงของรัฐแคลิฟอร์เนีย
ความฝันการเป็นนักดับเพลิง เกิดขึ้นตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ วันนั้นดูการ์ตูนอยู่เรื่องนึง แล้วก็ชอบ อยากจะเป็น เพราะรู้สึกว่ามันเท่ และดูสนุกดี
แต่ตอนนั้น ที่บ้านบอกว่ามันไม่ใช่งานของผู้หญิง เช่นเดียวกับที่เมืองไทย เรื่องรายได้ก็ไม่เยอะสักเท่าไหร่ ก็เลยลืมไปช่วงนึง ว่าอยากเป็นนักดับเพลิง
จนกระทั่งไปมุ่งมั่นด้านกีฬา เป็นไปนักกีฬาไอซ์สเก็ต จากนั้นอายุประมาณ 20 กว่าปี ตอนนั้นอกหัก จึงอยากไปเที่ยวพักผ่อนที่อเมริกา พอได้ไปแล้วรู้สึกว่า ทำไมประเทศนี้น่าอยู่
ยิ่งพอได้มาเห็นนักดับเพลิงที่นี่ทำงาน ยิ่งจุดประกาศให้ความฝันตั้งแต่เด็ก มีไฟลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะรถดับเพลิงที่เธอมองว่า เท่ คันใหญ่ อลังการมาก
แล้วยิ่งได้มาเห็นนักดับเพลิงหญิง ลงจากรถดับเพลิง มาช่วยอุบัติเหตุ บนทางด่วนที่อเมริกา ซึ่งเกิดขึ้น คันข้างหน้ารถเธอเลย ยิ่งทำให้ฉุกคิดว่า เมื่อก่อนทำไมพ่อกับแม่บอกว่า อาชีพนี้ ไม่ใช่งานสำหรับผู้หญิง หลังจากนั้น ทำให้เธอเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพนี้แบบจริงจัง ว่าถ้าอยากทำอาชีพนี้ ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
คุณสมบัติข้อแรกก็คือ นักดับเพลิง ต้องเป็นสัญชาติอเมริกัน แม้จะมีญาติอยู่ที่อเมริกา แต่ก็เป็นลูกพี่ลูกน้อง ไม่ใช่พ่อแม่ ทำให้การจะมาใช้สัญชาติอเมริกัน ก็เป็นเรื่องยาก
แต่ไม่เป็นไร ถึงจะไม่มีคุณสมบัติตั้งแต่ข้อแรก เธอก็ไม่ยอมแพ้ ข้ามไปดูข้อต่อไป คือต้องจบหลักสูตร EMT (Emergency Medical Technician) คือต้องมีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการแพทย์ฉุกเฉินด้วย
เธอบอกว่า ตอนแรกรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเป็นคนที่ไม่อินกับการแพทย์เลย และที่นี่เรียนยากมาก และต้องเรียนถึง1ปีครึ่งเลย แต่ด้วยความที่อยากเป็นนักดับเพลิง ชอบช่วยเหลือคนอื่น ก็ไปลงเรียน
“เหมือนเรียนหมอเลย ต้องขึ้นบนรถพยาบาล ต้องไปโรงพยาบาล จำชื่อยาเป็นพันๆ ชื่อ ชื่อเดียวเรายังสะกดไม่ถูกเลย ตอนที่เรามาแรกๆ งงไปหมด อันนั้นก็เป็นอุปสรรคใหญ่อีกอัน”
ส่วนการทดสอบร่างกาย เธอบอกว่า ก็เป็นอะไรที่โหดมากๆ ด้วยความที่เมื่อก่อนเป็นนักสเก็ตน้ำแข็ง ก็ต้องตัวเล็ก เพราะจะต้องพลิ้ว แต่พอมาเจออาชีพนักดับเพลิง ต้องยกน้ำหนัก 300-400 ปอนด์ เท่ากับผู้ชายที่นี่ เพราะไม่ว่าผู้หญิงหรือชาย จะต้องทำทุกอย่างเหมือนกันหมด
ทำให้เธอพยายามกิน เพื่อให้น้ำหนักตัวมากขึ้น จนบางครั้งมีอาเจียนออกมา เพราะยัดมากเกินไป กว่าจะได้หุ่นในปัจจุบันพร้อมทำงาน ก็ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี
แต่ละสถานี ก็มีการทดสอบร่างกายไม่เหมือนกัน แต่หลักๆ ก็ยึดมาตรฐานตาม CPET (Cardiopulmonary Exercise Testing) เป็นการทดสอบสมรรถภาพ ความฟิตของร่างกาย และจะวัดการทำงานของระบบหัวใจและปอด ว่ามีการทำงานปกติหรือเปล่า คือจะมีการทดสอบเป็นด่านๆ
โดยจะมีทั้งหมด 8 ด่านให้ทำ และตลอดเวลาที่ทํา8ด่าน จะต้องใส่เสื้อที่มีน้ำหนัก ประมาณ50กิโลกรัม เธอบอกว่า แต่ละด่าน เหมือนเราเล่น squid game เลย คือต้องเอาตัวเองให้รอด
ด่านแรกจะเป็นบันได เหมือน tradmill ก็คือจะต้องอยู่บนเครื่องดันนั้น320ขั้นบันได ขั้นละหนึ่งวินาที ด่านนี้จะช่วยเช็ก ดูการทํางานของหัวใจ ว่าคล่องแคล่วไหม
ด่านที่ 2 คือจะมีสายยางดับเพลิงวางไว้ แล้วก็ดึงพาดไหล่ เดินไปประมาณ สัก 100 เมตร แล้วก็สาวสายน้ำดับเพลิงกลับมา
ด่านที่ 3 จะมีบันไดพาดกำแพงไว้ แล้วให้คนทดสอบ ใช้มือสาวบันไดขึ้นไปหาตัว ซึ่งเป็นบันไดสามารถยืดได้ ถ้าเกิดว่ามือลื่น คือสอบตกเลย ซึ่งด่านนี้ เธอบอกว่า สอบตกหลายครั้งมาก ต้องมาสอบใหม่อยู่หลายรอบ
ด่านที่ 4 ต้องเดินไปถือเครื่องตัดเหล็ก กับเครื่องตัดไม้ ซึ่งแต่ละข้าง น้ำหนักประมาณ 20 กว่ากิโลกรัม เดินอ้อมกรวยประมาณ100เมตร ห้ามน้ำมันหยด ห้ามดรอป ห้ามวาง
ด่านที่ 5 ต้องใช้ค้อนเหล็กทุบปุ่มให้บุบลงไป ในขณะที่ฝรั่งตีกันไป 3 ที ก็เห็นผล ส่วนเธอบอกว่า ต้องตีถึง 20 กว่าที ถึงจะผ่าน
ด่านที่ 6 ก็จะมีเป็นอุโมงค์ตัวซี คือให้คลานข้างในอุโมงค์ ซึ่งอุโมงค์มืด ไม่มีแสง แถมมีก้อนหินเยอะ แต่ว่าปากอุโมงค์2ฝั่ง ก็มีอากาศเข้านิดนึง ก็ไม่ได้แบบไม่มีอากาศเลย ด่านนี้เธอผ่านได้ง่าย เพราะตัวเล็ก
ด่านที่ 7 ต้องลากหุ่นคนจําลอง ตรงหน้าอุโมงค์ น้ำหนักประมาณ90กิโลกรัม จำลองว่าไปเจอผู้ประสบภัย และลากออกมาประมาณ 100 เมตร ห้ามหลุดเด็กขาด
ด่านสุดท้าย ทดสอบความแข็งแรง ด้วยการเอาเหล็กกระทุ้งกําแพง ด้วยการทำถึง 4-5 เซ็ต และทั้งหมด8ด่านที่พูดมานี้ จะต้องเสร็จภายใน 10 นาที 20 วินาที
ไม่เก่งที่ไทย ย้ายมาที่อเมริกา
“อยากเรียนอะไร เรียนไปเลย แต่ถ้าอยากจะเก่ง โฟกัสอย่างเดียวเลย เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา ไม่มีใครเก่งทันที อย่าจับปลาหลายมือ มันไม่ได้ มุ่งมั่นไปเลยสิ่งเดียว อย่างอเมริกา เขามองว่าคนที่มีประสบการณ์ หรือว่าทําอะไรจริงจัง อย่างนักเปียโน ไวโอลิน คนมีความสามารถพิเศษ จะมีเงินเดือนเยอะกว่า คนที่เรียนจบ ทํางานจันทร์-ศุกร์ ออฟฟิศธรรมดา ปริญญาไม่เก่งเท่าคนที่มีความพิเศษเฉพาะทาง ที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไอซ์สเก็ตเงินเยอะมาก เยอะกว่าการเป็นนักดับเพลิง คนที่สอนเทนนิส สอนกอล์ฟ สอนเปียโน คนที่เก่งด้านนั้นๆ ทํามาตั้งแต่เด็ก ได้เงินเยอะกว่าเรียนหมอ ทําไปเลย จนถึงโต รับรองว่าเก่ง ไม่เก่งย้ายมาอยู่อเมริกา ถ้าอยู่เมืองไทยไม่รวย ย้ายมา” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าวMGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : Instagram @joyzii.mm, Facebook “Managsorn Mekchai”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **