xs
xsm
sm
md
lg

รื้อวิญญาณแฟชั่นนิสต้า ปั้นไวรัล “นางแบบวัย 70” แฟชั่นบำบัด รักษาคุณแม่อัลไซเมอร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นี่คือเรื่องราวของ “แม่แต๋ว” แฟชั่นนิสต้าวัยเก๋า ที่กำลังหลงลืมทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่ตัวเองรัก เพราะ “อัลไซเมอร์” กับ “นิน” ลูกชายที่พยายามรักษาแม่ด้วย “แฟชั่นบำบัด”


** “70 ยังแต๋ว” อัลไซเมอร์ที่เก๋ที่สุดในโลก **

ทำทุกซอยที่ผ่าน ทุกทางที่เดิน ให้เหมือนเป็นรันเวย์ เพราะ “แฟชั่น” คือ “หัวใจและตัวตน”ที่ไม่มีทางหลงลืม เรื่องราวของแฟชั่นนิสต้าวัยเก๋า จากเพจ “70 ยังแต๋ว” อย่าง “แม่แต๋ว” (อัจฉรา นรินทรกุล ณ อยุธยา)

ที่แม้อายุจะเข้าวัย 75 ปีแล้ว แต่บอกได้เลยว่าความเปรี้ยวเรื่องการแต่งตัวไม่ได้หายไปตามวัยเลย และด้วยมุมกล้องกับจังหวะกดชัตเตอร์สุดเป๊ะของลูกชาย ผู้เป็นช่างภาพมืออาชีพอย่าง “นิน” (นินทร์ นรินทรกุล ณ อยุธยา)

ทำให้ภาพที่ได้เหมือนหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่นไม่มีผิด ส่งให้แม่แต๋วกลายเป็นรู้จักในโลกออนไลน์ และได้ออกรายการโทรทัศน์มากมาย ในฐานะ “นางแบบมือสมัครเล่นวัยเก๋า”

ที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่การจับคุณแม่มาแต่งตัว พาเดินแบบเก๋ๆ แล้วถ่ายรูปโพสท่าลงโซเชียลฯ เท่านั้น แต่มันคือการต่อสู้ของสาววัยเกษียณ กับโรคร้ายอย่าง “อัลไซเมอร์”ซึ่งมีลูกชายหัวใจแกร่ง ที่พยายามรักษาแม่ด้วย “แฟชั่นบำบัด”

“เป็นการแต่งตัวเพื่อฝึกฝนบุคลิกภาพ แล้วก็เป็นการเหมือนเราสังเกตตัวเอง วันนี้ใส่ชุดอะไรสีอะไร แมทช์กับอะไร ก็จะถามแม่ในลักษณะของการแต่งตัว เพื่อบำบัดอะครับ”



                                                    {ถึงจะ 70 กว่า แต่ก็พร้อมเปลี่ยนทุกที่ให้เป็นรันเวย์}

ภาพจำของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ คือคนแก่ที่หลงๆ ลืมๆ ปล่อยตัวให้โทรม ไปพร้อมกับความทรงจำที่ค่อยๆ เลือนหาย ซึ่ง “นิน” ไม่มีทางยอมให้แม่ของเขา ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น

เขาจึงขุดเอาเสื้อผ้า พร้อมสร้อยแหวน เครื่องประดับต่างๆ ที่แม่แต๋วซื้อเก็บเอาไว้ตั้งแต่สมัยสาวๆ ออกมาปัดฝุ่น แล้วมิกซ์แอนด์แมทช์เสียใหม่ให้คุณแม่ใส่

และด้วยจิตวิญญาณแฟชั่นนิสต้าในตัวแม่แต๋ว ทำให้ท่าทางการเดิน การนั่งทุกอย่างที่ออกมาคือ ถ้าไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ว่า เธอคือ “ผู้ป่วยอัลไซเมอร์”

“มันคือมาดของบุคลิกภาพ หลังตรงไปมา แล้วนั่งจิบแบบค็อกเทล หันมาสวยๆ มีตุ้มหู ทัดผม movement นี่มันแบบ มันใหญ่มากกว่าที่อัลไซเมอร์จะทำได้ เพราะว่าอัลไซเมอร์(ส่วนใหญ่)นี่คือหง่อม มองพื้น นึกออกไหม แต่นี่ไม่ใช่แล้ว”

จนกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งแฟนเพจบนเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม “70 ยังแต๋ว” เพื่อเก็บบันทึกความทรงจำเหล่านี้ไว้ว่า ในวันที่แม่แก่ แต่ยังเก๋ จนกลายเป็นที่ถูกอกถูกใจใครหลายคน ส่งให้เริ่มมีคนในแวดวงแฟชั่น รวมถึงแบรนด์สินค้าสุขภาพต่างๆ ทยอยก้าวเท้าเข้ามาชักชวนแม่แต๋วไปร่วมงานด้วย


                                                         {“แม่แต๋ว”-อัจฉรา และลูกชาย “นิน”-นินทร์}

** ตัวตนที่กำลังหายไป เพราะโรคร้าย **

“แต๋ว” อดีตสาวออฟฟิศธรรมดาคนนึง ที่ชอบสะสมเสื้อผ้ามากๆ มากถึงขั้นที่ว่า มีสร้อยแบบเดียวกัน แต่เรียงเฉดสีครบทุกเฉด และการออกไปนอกบ้านแต่ละครั้ง จิตวิญญาณแฟชั่นนิสต้า ก็จะเรียกร้องให้เธอแต่งตัวจัดเต็มทุกครั้งไป นี่แหละคือตัวตนของแม่แต๋วในสมัยยังสาว

เล่นเอาลูกชายอย่าง“นิน” มองย้อนกลับไปในวัยเด็ก ยอมรับว่าก็แอบรู้สึกอายอยู่เหมือนกัน ที่ต้องเดินคู่กับคุณแม่ ที่แต่งตัวจัดเต็มแบบนั้น และเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่า ความหลงใหลแฟชั่นของแม่แต๋ว จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ทำให้แม่สามารถต่อสู้กับโรคร้ายได้อย่างในวันนี้

“ตอนเด็กๆ พี่ไม่ค่อยเข้าใจนะครับ แล้วพี่ก็อายด้วยซ้ำ ที่ออกไปไหนกับแม่ แล้วเขาต้องจัดเต็มอะ แต่ว่าพอเราได้ทำงานด้านแฟชั่น เราก็ได้รู้ว่าไอ้ความหลากหลาย หรือไอ้ความยูนีคเนี่ย แต่ละคนมันมีหลากหลาย และสิ่งที่แม่เป็นก็คือความมั่นใจ มันก็คือแฟชั่นแล้วครับ”



                                    {สาวคนที่หลงใหลในแฟชั่น กำลังหายไปเพราะอัลไซเมอร์}

จากผู้หญิงที่หัวใจมีแต่แฟชั่น และหลงรักการแต่งตัว แต่โรคร้ายนี้ก็ได้ทำให้เธอลืม สิ่งที่เคยชื่นชอบที่สุดในชีวิตไป...
โดยอาการของ แม่แต๋ว “เริ่มขึ้นในวัย 69 ปี” จากผู้หญิงสวยที่ใส่เสื้อผ้าไม่ซ้ำแบบในแต่ละวัน กลับเริ่ม “ไม่สนใจเสื้อผ้าของตัวเอง”ปล่อยตัวกระเซอะกระเซิง จนกลายเป็น “คนแก่ที่ดูรุงรังคนนึง”

“เสื้อผ้าก็เริ่มใส่ซ้ำๆ เริ่มมีกลิ่นเหม็นบ้าง เพราะว่าเก็บเสื้อผ้าไม่ดี แล้วก็ใส่ปนกันไปปนกันมา เอาเสื้อผ้าไปแขวนในที่ที่ไม่ควรแขวนอะไรอย่างนี้ครับ
มันจะเป็นชีวิตที่เหมือนกลับตาลปัตรไปหมด เพราะว่าจากผู้หญิงที่สวยๆ คนนึง กลายเป็นผู้หญิงที่เริ่มซกมกครับ”

และจุดที่ทำลูกชายเห็นชัดๆ แล้วว่า แม่ไม่ได้หลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนแก่ทั่วไป ก็คือในวันที่นัดกันว่า จะไปเที่ยวภูเก็ตกัน 2 คนแม่ลูก แต่แม่กลับ “ตกเครื่องบิน” มาไม่ทันนัดของลูกชาย



ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ ของแม่แต๋ว เพราะเธอยืนหนึ่งในเรื่องตรงต่อเวลา โดยจะมีนิสัยเผื่อเวลาในการเดินทางมาตลอดทั้งชีวิต

“จุดนั้น เป็นจุดที่ทำให้รู้สึกว่า อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว ตกเครื่องบินครับ”

และหลังจากการตรวจสุขภาพ ก็ทำให้รู้ว่า แม่มีอาการของ “โรคอัลไซเมอร์” ในระยะที่ 1 คือจะ “มีอาการหลงลืมบ้าง”ทั้งลืมชื่อ ลืมสิ่งที่พูดไป รวมถึงสิ่งของที่วางไว้

โดยสามารถพัฒนาไปที่สู่ “ระยะที่ 2” ที่ความจำจะลดลงอย่างชัดเจน จนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติประจำวันได้ และ “ระยะสุดท้าย” คือระยะที่ 3 ที่จะมีปัญหาเรื่องการพูด ลืมวิธีใช้ชีวิตต่างๆ แม้แต่วิธีการแปรงฟัน วิธีกินข้าว ไปเลยก็มี

“ตอนนั้นมันเหมือนพี่รู้สึกว่า ถ้าเกิดพี่ไม่ทำอะไรเลยเนี่ย เขาอาจหายไปก็ได้ครับ”



** “สวยไว้ก่อน” แฟชั่นปลุกไฟ ให้มีแรงไปบำบัด **

“นิน” ช่างภาพวัย 30 กว่า ที่เพิ่งรู้ว่าแม่เป็นอัลไซเมอร์ ครุ่นคิดในใจว่า ต้องทำยังไง ถึงจะพาแม่ก้าวข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้ และสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวก็คือ นี่คือโรคที่สมองจะค่อยๆ shutdown ตัวเอง

ชีวิตแม่ของเขา จะค่อยๆ กลายเป็นสีเทา ความทรงจำต่างๆ จะค่อยๆ จางหายไปทีละนิด หลงลืมสิ่งที่เคยชอบ และแย่ที่สุดคือ การลืมใบหน้าของลูกชาย จำไม่ได้ว่าตัวเองคือใคร ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครยอมให้เกิดขึ้นแน่ๆ

ในช่วง 1-2 ปีแรก นอกจากยาที่หมอให้ทานแล้ว นินเลยพยายามแทรกการบำบัดในแบบของตัวเอง ลงในตารางชีวิตของแม่แต๋ว ทั้งการติดกระดุม หวีผม แปรงฟัน ให้มันกลายเป็น “กิจกรรมบำบัด” เพื่อที่แม่จะได้ไม่หลงลืมวิธีการใช้ชีวิตเหล่านี้



รวมไปถึงการพาออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน พาไปวิ่ง ไปกิน ไปเดินเล่น เรียกได้ว่าพยายามทำทุกวิถีทาง หาทุกกิจกรรม ที่จะทำให้สมองของแม่แต๋ว ยังคง active อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะมีแรงต่อสู้กับโรคอัลไซเมอร์

“ชวนเค้าไปออกกำลังกาย ชวนเค้าไปสวนลุมฯ ไปเดิน พาหมาไปวิ่ง พาไปกินของอร่อย ดึงดูดด้วยอาหาร ดึงดูดด้วยบรรยากาศต่างๆ ที่เรียกว่าจะดึงเค้ากลับมาอะครับ
แต่มันไม่สามารถเข้าไป เร้าความรู้สึกของเค้าได้เลย เพราะว่าเค้าก็มีความไม่อยากไปอะครับ”

มันกลายเป็นว่า แม่ของเขา “เบื่อ” และไม่ยอมไปทำกิจกรรมบำบัดเหล่านี้ ทำเอาคนเป็นลูกคิดไม่ตก เพราะถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อาการของแม่น่าจะมีแต่แย่ลง และอีกหน่อยคงกลายเป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แน่ๆ



แต่ในระหว่างที่กำลังจัดบ้าน และพยายามเคลียร์กรุเสื้อผ้าของคุณแม่ ที่เก็บสะสมไว้มานานมาก จนทำให้บ้านมีสภาพไม่ต่างจากรังหนู ตั้งใจไว้ว่าจะจัดการให้เหลือแค่ “ชุดที่ดูดีและใช้งานได้”

และในตอนที่กำลังคัดเสื้อผ้าทิ้งอยู่นั้น ด้วยความเสียดาย บวกกับความเป็นช่างภาพ เลยคิดว่าน่าจะลองเอาชุดพวกนี้ไปให้คุณแม่ใส่ แล้วถ่ายรูปเก็บไว้ ก่อนจะทิ้งดีกว่า

และนี่ก็กลายมาเป็นจุดเปลี่ยน ในเรื่องที่นินคิดไม่ตกมาหลายวันว่า จะทำยังไงให้คุณแม่มีความรู้สึก “อยาก” ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ กับเขาได้

เพราะว่าเมื่อแม่แต๋วได้กลับมาแต่งตัว กลับจับชุดที่ตัวเองเคยใส่ สร้อยที่ตัวเองเคยชอบ จากที่ว่าลูกชายต้องค่อยดูว่า แม่ติดกระดุมถูกไหม ทาลิปสติก ติดกิ๊บหวีผมแล้วหรือยัง



กลายเป็นว่าวิญญาณแฟชั่นนิสต้า ที่ถูกฝังกลบด้วยโรคอัลไซเมอร์ กลับฉายแสงออกมาอีกครั้ง จนผลักให้แม่แต๋วกลับมาจัดการแต่งตัวด้วยตัวเอง พร้อมกับไฟที่กลับมาคุกรุ่น ในการอยากออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน

“จะชวนไปต่างจังหวัด ไปทะเล ไปทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ถ้าแต่งตัวสวยไว้ก่อนเนี่ย เค้าจะมีการจัดผมจัดเผ้าตัวเอง มีการจับตุ้มหู เอาลิปสติกขึ้นมาทา ตรงนี้พี่ยังมองเลยว่า เฮ้ย..มันไม่ใช่ภาพที่จะเกิดขึ้นกับอัลไซเมอร์ได้เลย แต่มันเกิดขึ้นแล้ว”

“แฟชั่นมันขึ้นมา เค้าเริ่มจับสร้อย เริ่มใส่กระโปรงสวยอะครับ มันกลายเป็นว่า พี่สามารถผลักให้เค้าออกไปจากบ้าน ออกไปทำกิจกรรมด้วยดีได้อะครับ”


                                                               {ไปไหนก็ได้ แต่ขอให้สวยไว้ก่อน}

** เพราะ “เสื้อผ้า” คือ “เครื่องบันทึกความทรงจำ” **

นอกจากเสน่ห์ของ “แฟชั่น” จะเข้ามาทำให้แม่แต๋วมีแรง ออกไปทำกิจกรรมร่วมกับลูกชายแล้ว “เสื้อผ้า” ยังกลายเป็น “เครื่องบันทึกความทรงจำ”ในอดีตอย่างนึง
สังเกตได้จากทุกครั้งที่แม่แต๋ว หยิบชุดสมัยสาวๆ มาใส่ ภาพในวันวานก็จะย้อนกลับมา

นินเล่าอย่างไม่เชื่อสายตาเหมือนกันว่า คนแก่ที่ความจำแย่อยู่แล้ว บวกกับเป็นอัลไซเมอร์ จะจำเรื่องที่เกิดมากว่า 40 ปีได้
เพียงแค่เห็นเสื้อผ้าที่ตัวเองเคยใส่สมัยทำงานตอนสาวๆ แม่แต๋วก็รำลึกถึง “หัวหน้างานคนแรก” ที่เธอทำงานด้วยได้

“ตอนนี้เค้าอยู่ไหน เค้าสบายดีหรือเปล่า พี่ก็บอกว่า เค้าก็ตายไปแล้วสิ ถ้าเธอ 20 กว่า แล้วเค้าเป็นหัวหน้าเธอ ตอนนี้เธอ 70 กว่า
เค้าบอกจริงเหรอ เค้าตายไปแล้วเหรอ น่าสงสารจัง มันมีเรื่องราวที่เราได้คุยกัน ย้อนวันวานไป เพราะว่าไอ้พวกเสื้อผ้านี่แหละ มันเป็นตัวเชื่อมโยงครับ”



                                        {เป็นมากกว่าเสื้อผ้า เพราะมันคือเครื่องบันทึกความทรงจำ}

แฟชั่น-เสื้อผ้า-การแต่งตัว สำหรับแม่แต๋วแล้ว มันคือ “ความชอบ” ที่ฝังรากลึกลงในจิตใจลึก เกินกว่าโรคร้ายจะทำให้ลืมได้ และมันคือ “ความรู้สึก” ที่ผูกโยงกับเรื่องราวในอดีตต่างๆ ไว้ด้วยกัน

เมื่อความรู้สึกในวันวานย้อนกลับมา ความทรงจำ ณ ตอนนั้นก็หวนคืนมาเช่นกัน นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้หญิงชราที่กำลังป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ยังสามารถจดจำเรื่องราวในอดีตได้ และไม่ถูกโรคร้ายนี้กลืนหายไปเหมือนก่อนหน้านี้

“ความชื่นชอบแต่ดั้งเดิมของเค้า ไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกได้ ตรงนี้เป็นจุดที่เค้าเรียกว่า เป็นเหมือนกุญแจที่อาจจะทำให้เราได้ค้นพบ เส้นทางที่ทำให้อาการของโรคมันหยุดลง”

“มันคืออินเนอร์ของเค้าเอง คือตัวของเค้าเองนั่นแหละ ที่ทำให้เค้ารอดจากอัลไซเมอร์ ที่ควรจะเป็นผัก แต่เค้าไม่ได้เป็นผักอีกแล้ว เค้ากลายเป็นนางแบบ”



ลูกชายพูดด้วยแววตาเป็นประกายว่า “แฟชั่น” เป็นสิ่งที่ “ยื้อ” ได้นานขึ้น ไม่ให้คุณแม่ต้องกลายเป็น “คนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้” จนต้องมีคนมาดูแล 24 ชั่วโมง แบบเคสอัลไซเมอร์รายอื่นๆ

“บังเอิญว่าพี่โชคดี ได้เจอสิ่งที่พี่จับต้องได้เนอะ เพราะว่าในวันที่เหมือนยานมันแตกอะ(วันที่รู้ว่าแม่ป่วย) วันที่เค้าหลุดลอยออกจากตัวตน ความเป็นแม่เรา ความเป็นครอบครัว ความห่วงใย

พี่ก็คว้า คว้าไปเรื่อยเลยนะ แต่พี่ก็คว้าไม่ถูก มันเหมือนอะไรก็หยุดเค้าไม่ได้อะครับ เค้ายิ่งห่างไกล กระเด็นไปไกล พอพี่จับเส้นที่มันเป็นเส้นแฟชั่น แล้วเค้าก็ค้างอยู่แบบนี้ มันเหมือนเป็นโมเมนต์ที่ เฮ้ย..พี่คว้าไว้ได้”

และแฟชั่นนี่เอง ที่ทำให้ชีวิตของแม่ลูกคู่นี้ กลับมาใกล้เคียงคำว่า “ปกติ” มากที่สุด เพราะหลังจากนั้น อาการอัลไซเมอร์ของแม่แต๋ว ก็หยุดอยู่แค่ “ขั้นที่ 1” และเธอก็ยังใช้ชีวิตปกติได้ โดยไม่ต้องมีคนมาดูแลตลอด 24 ชั่วโมง

“สุดท้ายแล้วเนี่ย มันคือ 5 ปี ที่พี่ไม่ต้องมีคนดูแล ไม่ต้องใช้พยาบาล ยังมีชีวิตการทำงานที่ยังปกติได้ แม้วันที่พี่ไม่อยู่บ้านอะ แม่เองก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอันตรายอะครับ
ไม่ได้อยากจะหายไปไหน ไม่ได้ไปทำอะไรที่เสี่ยง ที่จะทำให้เค้ามีอันตรายเกิดขึ้น มันกลายเป็นว่า สิ่งที่ทำในแง่ของแฟชั่น หรือดูแลแต่งตัวเนี่ยครับ คือสิ่งที่ทำให้พี่มีชีวิตที่เป็นปกติได้ แม้ว่าพี่จะอยู่กับแม่ที่เป็นอัลไซเมอร์ก็ตาม”



** เรื่องร้าย ที่มาถูกจังหวะ **

“อัลไซเมอร์” คือโรคที่ทำให้เราลืมทุกสิ่ง กระทั่งลืมตัวตนและคนที่รัก แต่โรคร้ายนี้ที่เกิดขึ้นกับแม่แต๋ว ก็ถือเป็นตัวกลางสำคัญ ที่ทำให้แม่-ลูก ได้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ หลังจากเกษียณ แม่แต๋วก็แยกไปซื้อบ้านใหม่อยู่ตัวเดียวอีกหลัง

และถึงแม้แม่-ลูกจะแวะไปหากับทุกอาทิตย์ แต่ด้วยหน้าที่งานการของลูกชายวัย 30 ทำให้นินไม่ได้อยู่ใกล้ชิดแม่เหมือนแต่ก่อน แม่แต๋วเลยต้องอยู่บ้านที่เงียบเหงาคนเดียวเยอะขึ้น และ “ความเหงา” นี่เองอาจเป็นต้นเหตุของอัลไซเมอร์

“วัย 60 ที่ไม่มีงานทำ และในแง่ของกิจกรรม เพื่อนฝูงที่ห่างกันไป เป็นสิ่งที่อาจทำให้ตัวโรคมันพัฒนา กลายเป็นโรคที่แท้จริงได้”

“เขาว่าหลังเกษียณเราควรจะ active ถ้าพี่รู้ในรายละเอียดทุกสิ่งทุกอย่าง ของการที่สมองเราจะเชื่องช้า หรือซึมลง จนกลายเป็นโรคได้เนี่ย เราไม่ควรทำให้ชีวิตหลังเกษียณ มันเงียบเหงาครับ”



นินมองเรื่องในอดีต ที่ไม่มีทางแก้ไขได้ ถ้าวันนั้นเขารู้ว่า “ความเหงาของวัยเกษียณ”จะเป็นตัวเร่งให้โรคนี้เกิดขึ้น ลูกชายอย่างเขาคงไม่มีทางปล่อยให้แม่ต้องอยู่คนเดียว

“ถ้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ ทำไมพี่ไม่เอาแม่ออกไปแบบ.. โคตรจะสนุกเลยหลังจากเกษียณ นึกออกปะ พี่จะนึกถึงความสัมพันธ์อื่นๆ อะ ที่ทำให้เราห่างไกลจากโรคนี้ได้”

แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว สิ่งที่เขาทำได้ ณ ตอนนั้นคือเคลียร์ตารางชีวิต แล้วย้ายกลับมาอยู่กับแม่ จะได้ดูแลแม่แบบ 100% ซึ่งนินก็ยังคงมองโลกในแง่ดีว่า ยังมีความโชคดีที่แม่เริ่มป่วย ในวันที่เขามั่นคงแล้ว

และร่างกายของแม่แต๋ว ในวัย 70 ก็ยังแข็งแรง ไม่ได้แก่จนทำอะไรไม่ได้ ไม่เหมือนกับคุณตาของเขา ที่ก็เป็นโรคนี้เหมือนกัน แต่เป็นตอนอายุ 80 ปีแล้ว เป็นวัยที่ร่างกายร่วงโรย ไม่มีแรงที่จะต่อสู้กับโรคนี้ได้

                                                   {โรคร้ายที่ทำให้แม่-ลูก กลับมาใกล้ชิดอีกครั้ง}

“ถ้าเทียบกันระหว่างตาพี่ เป็นอัลไซเมอร์ตอน 80 กับแม่พี่ เป็นอัลไซเมอร์ตอน 69-70 เมื่อเป็นแฟชั่นนิสต้าเนี่ย เค้ายังมีแรงลุกขึ้นมาแต่งตัว เดินไปกับพี่ในซอย

มันมีเรื่อง energy บางอย่างที่เราจุดติดอะครับ แต่ถ้าเกิดเป็นตอน 80 เราแทบจะไม่มีเวลาตั้งตัว ในการใช้อะไรบำบัดเขาเลย เพราะว่าร่างกายที่มันอยู่ในวัยชรา มันก็เฟลกันไปหลายระบบแล้วใช่ไหมครับ”

“มันเหมือนวัย 30 กว่าของพี่อะ พร้อมที่จะดูแลเขา เป็น 70 ที่ยังมีความแข็งแรงอยู่ มันเหมือนเป็นจังหวะที่ใช่ครับ”



** สุดท้ายโรคนี้ มีแต่เจ็บปวด **

“อัลไซเมอร์” คือ โรคที่สร้างแต่ความเสียใจและเจ็บปวด โดยเฉพาะกับคนรอบข้าง ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนิน ค่อยๆ ถูกแทนด้วยความเศร้าอีกครั้ง เมื่อนึกถึงช่วงแรก ที่รู้ว่าแม่ป่วยและยังคลำทางไม่ถูกว่าจะรักษาแม่ยังไง หนำซ้ำแม่ยังไม่เข้าใจ ความหวังดีที่ลูกชายคนนี้ พยายามหาทางรักษาอีก

“เหมือนกับว่า เค้าไม่รักตัวเอง แล้วเค้ายังไม่แคร์เราอีก เที่ยงคืนก็ยังเปิดทีวีนอน ทำไมเขาถึงไม่แคร์ตัวเองขนาดนี้ แล้วต่อให้เราคุยกับเค้า ต่อให้เราฝึกฝนยังไง เค้าก็ไม่รู้ว่า เราห่วงเค้ามากแค่ไหน

ก็มีแต่เราอะครับ ที่เหมือนจะบ้าจะบอไปเอง โดยสุดท้ายแล้ว เราก็จะต้องเป็นคนที่กลับมาบอกว่า เออใจเย็นๆ นะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยววันหนึ่งเขาก็เข้าใจ”

และแม้ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยดี ที่เขาสามารถยื้ออาการของแม่ ไม่ให้แย่ลงได้หลายปี แต่รันเวย์ชีวิตของแม่แต๋ว ลูกชายอย่างนินก็รู้ดีว่า “โรคนี้ไม่มีทางรักษาหาย” สุดท้าย มันก็จะพัฒนาไปสู่ขั้นอื่นๆ อยู่ดี อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

“State ใหม่ของแม่เนี่ย มันกลายเป็นสิ่งที่พี่พร้อมเสมออยู่แล้ว ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นตอนไหนก็ตาม”



เพราะยังไงวันนั้นก็ต้องมาถึง วันที่แม่จะลืมวิธีกินข้าว ลืมวิธีการเดิน หรือแม้แต่ลืมว่าเขาเป็นใคร นินที่พยายามเข้มแข็งมาตลอด
และแม้จะบอกว่า เมื่อถึงวันนั้น สิ่งที่เขาทำได้ ก็มีเพียงแค่ปล่อยวาง แต่แล้วระหว่างกำลังสัมภาษณ์ ความเศร้าของเค้าก็เอ่อล้น จนไหลออกมาทางดวงตาอยู่ดี

“พี่ควรจะไม่เสียใจแล้วนะ ถ้าแบบแม่จะเดินช้าลง แล้วแม่เดินไม่ได้อีกเนี่ย อันนี้คือ...พี่แค่รู้สึกถึงสิ่งที่พี่ต้องฝึกฝนเสมอ ก็คือพี่ต้องปล่อยวาง”
“คือพี่กำไรมากมายเหลือเกิน ที่พี่มี 5 ปีนี้ ที่มันเกิดขึ้นนะครับ มันจะมาเมื่อไหร่ พี่เองก็ไม่ได้แคร์แล้วอะครับ มันจะเกิดขึ้นมาตอนไหนก็ได้”

อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อ ก็ไม่เสียใจแล้ว เพราะทุกอย่างที่ทำ เขาทำเต็มที่ที่สุดแล้ว และในฐานะของลูกชายคนนึง ไม่ว่าต่อไปมันจะรุนแรงแค่ไหนก็ตาม เขาพร้อมช่วยแม่ในการต่อสู้กับโรคร้ายนี้

“ยังมีชีวิตที่ก้าวต่อไปได้ แม้จะเป็นโรคอะไรก็ตาม โดยที่เราไม่สนใจเลยว่า อาการของโรคมันจะไปสิ้นสุดยังไง แต่กิจกรรมที่ทำในทุกวัน สิ่งที่เค้าไปทำและฝึกฝนอยู่ทุกวัน เป็นสิ่งที่ต่อสู้กับโรคไปเอง
และไม่ว่ามันจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พี่ต้องไปสนใจมากแล้วอะครับ เพราะว่าพี่ได้ทำทุกวันไปแล้ว”



สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : นนทัช สุขชื่น
ขอบคุณภาพ : Facebook “70 ยังแต๋ว”, Instagram @70youngteaw



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น