เปิดเส้นทางสู่ความฝัน “นางแบบด่างขาว” ผู้มีสีผิวที่หลายคนมองว่าแปลก แม้จะเคยถูกล้อสารพัด แต่ไม่คิดตอบโต้ คิดบวก เปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่น พร้อมแชร์ประสบการณ์การทำงานกับนางแบบอาชีพ ในวัยเพียง 10 ขวบ ฝันอีก 8 ปี จะไปยืนเทียบไอดอล เป็นนางแบบระดับโลก
ฝันอยากเป็นนางแบบระดับโลก
“หนูอยากเป็นนางแบบระดับโลกเหมือนพี่วินนี่ ฮาร์โลว์ (Winnie Harlow) Victoria’s Secret ค่ะ เขาก็เป็นด่างขาวเหมือนกัน”
“รินดา-ด.ญ.พรรณวลัย ทิพรดารัตนสิริ”อายุ 10 ปี นางแบบผิวด่างขาว ที่ควงคู่มาเปิดใจกับคุณแม่ “โช-โชติกา ทิพรดารัตนสิริ” ถึงเส้นทางความฝัน ในการเป็นนางแบบระดับโลก
น้องมีความฝันอยากเป็นนางแบบระดับโลก และอยากเป็นที่รู้จักของผู้คนให้ได้มากที่สุด เพราะหนึ่งเหตุผลหลักๆ คือการเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคน ที่เป็นเหมือนเธอ
เธอเคยถ่ายแบบให้กับนิตยสาร Elle Thailand และ L'officiel Thailand และยังเคยเดินแบบให้กับสินค้า และแบรนด์อื่นๆ อีกมาก และตอนนี้น้องยังเป็นนางแบบที่อายุน้อยที่สุด ในสังกัดค่ายเอเจนซี่ “Feline”อีกด้วย
สำหรับโรคที่เธอเป็น เรียกว่า “โรคด่างขาว (Vitiligo)” คือโรคผิวหนัง ที่เกิดจากการทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ก็มีผลต่อจิตใจเป็นอย่างมาก
ทำให้เธอค้นพบความมั่นใจในตัวเอง และก้าวเดินตามความฝัน ตามไอดอลของเธอ อย่าง “วินนี่ ฮาร์โลว์” นางแบบด่างขาวชื่อดังระดับโลก ที่ใช้คำว่าประสบความสำเร็จได้อย่างน่าภูมิใจ
เช่นเดียวกับนางแบบเด็กคนนี้ ที่เธอก็วาดฝันไว้ว่า อีก 8 ปี เธอจะไปยืนระดับโลก แบบไอดอลของเธอให้ได้ เพราะมองว่าตัวเองก็มีความสามารถ และโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
“หนูอยากประสบความสำเร็จ เหมือนพี่วินนี่ค่ะ อีก 8 ปี หนูจะต้องเป็นนางแบบระดับโลกให้ได้ ตอนอายุ 18 ปีค่ะ”
และคนที่ทำให้เธอรู้จักไอดอล และเส้นทางฝันนี้ ก็คือพ่อกับแม่ของเธอเอง แม่เล่าว่า ตอนที่น้องอายุประมาณ 6-7 ขวบ เริ่มจะไม่สนุกกับการรักษา หรือการกินยา จนวันนึงเขาเดินมาบอกว่า ไม่อยากรักษาแล้ว จึงมีความกังวลเล็กน้อย ว่าลูกอาจจะโตไปในสังคมด้วยความลำบาก
พ่อกับแม่จึงเริ่มหาข้อมูลคนที่ประสบความสำเร็จ เกี่ยวกับคนที่เป็นด่างขาว ซึ่งในประเทศเราไม่ค่อยมี แต่ไปเจอนางแบบ Victoria’s Secret คนนี้ กับนายแบบของแบรนด์รองเท้ากีฬายี่ห้องนึงขึ้นมา จึงเอาไปให้ลูกดู เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจ
“ในประเทศไทยไม่ค่อยมีค่ะ จะมีพี่วินนี่ แล้วก็มีนายแบบของแบรนด์รองเท้ากีฬายี่ห้องนึงขึ้นมา ที่เป็นผู้ชาย ก็เลยให้เขาดูว่า ไม่ได้มีหนูคนเดียวที่เป็น
อย่างพี่วินนี่ เขาก็สวยในแบบของเขา เขาก็ประสบความสำเร็จในชีวิต เขามีงานทำ มีสินค้าเป็นของตัวเอง มีความสุขในการใช้ชีวิต ก็เป็นด่างขาวแบบนี้แหละ ไม่ต้องไปซีเรียสกับมัน ใช้ชีวิตให้มีความสุข
เราก็เลยมองว่า ผิวขาวนี่แหละค่ะ ที่ทำให้เขาโดดเด่น แล้วก็เป็นจุดขายของเขา จากประสบการณ์และศักยภาพในตัวเขาเอง จะนำพาให้เขาประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่เขาคาดหวัง”
[อยากเดินตามรอย “วินนี่ ฮาร์โลว์” นางแบบด่างขาวระดับโลก]
แม้จะเลี่ยงไม่ได้ในสิ่งที่เป็น ทำให้คนเป็นแม่ ก็พยายามสอนลูกให้คิดบวก เปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่น พร้อมบอกลูกเสมอว่า มองให้กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งตัวน้องรินดาเอง เธอก็บอกว่า ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตแบบปกติอยู่แล้ว
“ต้องยอมรับว่าพี่วินนี่ เป็นแรงบันดาลใจ ทำให้เขายอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แล้วก็อยากลองเป็นนางแบบ แล้วก็ได้เป็นนางแบบแบบจริงๆ”
ประสบการณ์คุ้มค่า กับนางแบบมืออาชีพ
นางแบบเด็กคนนี้ เธอแชร์ประสบการณ์การทำงานกับนางแบบมืออาชีพให้ฟังว่า แต่ละครั้งที่เดินแบบ รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่ก็พยายามตั้งสติตัวเอง เพื่อทำผลงานให้ออกมาดีที่สุด
และนอกจากมีไอดอลเป็น “วินนี่ ฮาร์โลว์” แล้ว เธอยังชื่นชอบ ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม, อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน, ซินดี้-สิรินยา วินศิริ, เบลล่า-ราณี แคมเปน, ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ แถมบางคนในนี้ ยังมีโอกาสได้ร่วมงานกันแล้วด้วย
“หนูดีใจมากเลยค่ะ ที่ได้เดินแบบ Feline หนูได้เดินฟินนาเล่ค่ะ ตอนนั้นตื่นเต้นจนขาสั่นเลยค่ะ แต่ตั้งสติตัวเองไว้ แล้วก็ตอนนั้นหนูดีใจมากเลยค่ะ หนูได้เจอป้าลูกเกด-เมทนี แล้วก็ป้าอุ๋ม แล้วก็ป้าซินดี้ แล้วก็พี่โอปอล (สุชาตา ช่วงศรี) ดีใจมากเลยค่ะ
แล้วก็ถ่ายแบบของ Elle ค่ะ เป็นแบรนด์รองเท้าบาจาค่ะ ถ่ายกับพี่ๆ ใน Feline แล้วก็พี่เบลล่า-ราณีค่ะ แล้วก็หนูเคยได้ไปถ่ายแบบกับพี่แอน-ชิลี แล้วก็ได้ไปเดินแบบ GENTLEWOMAN กับพี่แอนค่ะ เวลาหนูมาทำงาน พี่แอนก็วิ่งมากอดเลยค่ะ”
แม้จะได้เจอนางแบบคนที่ชื่นชอบหลายคน แต่ก็ไม่ทันได้คุยถามทริกอะไรกันมากนัก ได้แค่ทักทายสวัสดีกัน เพราะต่างคนต่างยุ่ง ซ้อมเดิน แต่ก็มีอุ๋ม-อาภาศิริ ชมว่าเดินเก่ง
ส่วนพี่ๆ นางแบบจากต่างประเทศ เธอก็บอกว่ามีเจอบ้าง ส่วนใหญ่ที่เจอก็จะเป็นนางแบบจากประเทศรัสเซีย และประเทศอังกฤษ และตอนนี้ยังมีงานแค่ในไทย ส่วนงานต่างประเทศ ตอนนี้ก็ยังรอโอกาสอยู่เหมือนกัน
สำหรับการฝึกเดินแบบของน้อง แม่บอกว่า ไม่ได้ลงคอร์สเรียนแบบจริงจัง แต่จะเป็นการฝึกจากพี่ๆ ในค่าย Feline และฝึกจากการเปิดดูคลิปเดินแบบต่างๆ โดยเฉพาะงานแฟชั่นวีคเก่าๆ ของทั้งไทยและต่างประเทศ ที่คุณพ่อมักจะชอบเปิดให้น้องฝึกเดินตาม และจำทริกเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้
“สมมติว่า จะต้องไปเดินแบบ รองเท้า ไปถ่ายแบบเสื้อผ้า พ่อเขาก็จะเปิดให้ดูคร่าวๆ ว่า แฟชั่นวีคเขาเดินแบบนี้นะ หรือว่าถ่ายแบบรองเท้า คุณต้องโพสท่าประมาณไหน เน้นรองเท้า ก็ให้เขาดูไปเบื้องต้นว่า มันก็จะเป็นการทำงานประมาณนี้
ให้เขาได้ดู ให้เขาได้ฝึกไว้บ้าง พอไปอยู่หน้างานจริงๆ ก็จะมีการบล็อกกิ้งอีกต่างหาก ก็อาศัยประสบการณ์ แล้วก็จำจากพี่ๆ มา แล้วก็ประยุกต์ใช้ให้มันเหมาะสมกับตัวเอง”
น้องรินดาบอกอีกว่า เธอต้องใช้ความพยายามในการฝึกซ้อม ฝึกท่าทางการเดินให้สวย ให้หลากหลาย ที่สำคัญ ต้องฝึกใส่รองเท้าส้นสูงเดิน ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถนัด
“ก็ใช้ความพยายามเยอะอยู่ค่ะ เพราะว่าเวลาเราเดินแบบ เราต้องตั้งสติตัวเองไม่ให้ตื่นเต้น ไม่ให้อาการหลุดค่ะ เช่น เราต้องใส่ส้นเข็ม ส้นสูงเดิน ก็เลยเป็นความยากอย่างนึงค่ะ
แต่ก็อดทนค่ะ เวลาทำงานบางที ถ่ายงานโอวัลติน ไป 6 โมงเช้า เสร็จ 5 ทุ่มเลยค่ะ ก็เหนื่อย แต่ชอบค่ะ สนุก”
นอกจากนี้ “ป้าตือ-สมบัษร ถิระสาโรช” เจ้าแม่ออแกไนซ์ชื่อดัง ก็มีเอ่ยปากชมน้องรินดา ตอนที่ได้ร่วมงานด้วยกันว่าเป็น “คนเก่ง”
“ก็ดีใจมากเลยค่ะ หนูก็มาซ้อมเดิน แล้วป้าตือก็บอกว่า คนเก่งของป้า แล้วป้าตือก็กอดหนู”
เช่นเดียวกับคุณแม่ ก็บอกว่า หลายคนอาจจะมองว่าป้าตือดุ แต่พอเจอรินดา กลับให้ความเอ็นดูมาก พร้อมกลับแนะว่า ถ้าอยากเดินสวย ให้เดินแบบลูกเกด-เมทินี
“ป้าตือน่ารัก เจอก็จะบอกว่า อย่าไปทำอะไรกับผิวนะ มัน unique มันสวยงามในแบบของมันอยู่แล้ว ก็จะเอ็นดู เขาก็จะสอนรินดา บล็อกกิ้งให้”
“หนูก็ได้ทริกเยอะค่ะ แล้วก็ดูจากป้าลูกเกดด้วยค่ะ มีป้าอุ๋ม ป้าซินดี้ ดูจากป้าเขาเดิน ป้าตือก็บอกว่าต้องเดินเหมือนป้าลูกเกด เดินสวย”
[ดีใจได้ร่วมงานกับพี่โอปอล]
เพราะความแตกต่าง คือจุดเริ่มต้น
น้องเริ่มเป็นที่รู้จักจากคลิปที่ทำกิจกรรมต่างๆ กับครอบครัว ที่แม่ถ่ายลงเฟซบุ๊กบ่อยๆ ด้วยความสดใส น่ารัก จนเริ่มมีแฟนคลับมาติดตาม จนหลายคนเข้ามาคอมเมนต์ว่า หน้าสวย ผิวสวย มีความ unique อยากให้ลองเป็นนางแบบ
“เหมือนมันขัดแย้งกับสิ่งที่เขาเป็น ด้วยใบหน้าที่มันยิ้มแย้ม มันก็เลยทำให้คนรู้สึกว่า ถึงน้องจะเป็นผิวด่างขาว แต่น้องก็มีรอยยิ้มที่สดใส มีเสียงที่สดใสน่าฟัง”
จุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วงการนางแบบ ด้วยวัย 7-8 ขวบ เริ่มมาจากที่คุณพ่อ ส่งโปรไฟล์ของน้อง เข้าไปที่เฟซบุ๊กของ “มีมี่-มิลิน ยุวจรัสกุล” หนึ่งในเจ้าของค่าย “Feline”
จากนั้นทางค่ายก็เรียกตัวให้ไปเทสต์หน้ากล้อง จนพบว่าน้องมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ เพราะถ่ายรูปขึ้นกล้องมาก จนทางค่ายชักชวน ให้เข้าสู่วงการนางแบบ
“มี FC เชียร์ว่าให้น้องไปเป็นนางแบบนะ ก็เลยกลายเป็นจุดประกายให้พ่อส่งรูปน้องไปตามโมเดลลิ่งต่างๆ ทั้งไทย แล้วก็ต่างประเทศค่ะ ก็มีแค่คุณมี่ ค่าย Feline ที่ตอบรับกลับมา”
แม่บอกอีกว่า มีส่งโปรไฟล์น้องไปเยอะเหมือนกัน ทั้งวงการนางแบบ งานโฆษณาต่างๆ แต่ด้วยสิ่งที่น้องรินดาเป็น บวกกับสิ่งที่ค่าย Feline มองหา คือความหลากหลาย จึงตอบตกลง เซ็นสัญญาเป็นนางแบบในสังกัดที่นี่ไป
“ก็ส่งไปเยอะอยู่ค่ะ แต่ว่าด้วยเขาไม่ใช่บิวตี้สแตนดาร์ด ก็เลยไม่ค่อยเข้าตาเท่าไหร่ แต่คุณมี่เขาเปิดค่ายมา คือด้วย Feline เป็นความหลากหลายอยู่แล้วค่ะ เขาก็เลยตอบตกลง พอน้องไปเทสต์หน้ากล้อง ก็ยิ่งเห็นว่าน้องน่าจะมีความสามารถ แล้วก็ศักยภาพในด้านนี้ ก็เลยตอบตกลงเป็นนางแบบค่ะ”
หกล้ม จนด่างลามไปทั่วตัว
โรคด่างขาว เริ่มต้นเมื่อตอนอายุประมาณ 3 ขวบ จากการที่เธอหกล้มเป็นแผลขนาดเท่าเล็บนิ้วก้อย ปกติคนอื่นเป็นแผล จะตกสะเก็ด แล้วก็กลับมาเป็นสีผิวเดิม
แต่ของเธอ พอตกสะเก็ดแล้ว ผิวไม่กลับมาเป็นปกติ กลับกลายเป็นจุดด่างขาว ลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ ไปถึงคอ ใบหน้า และลามไปทั่วตัว
เธอยอมรับว่าแรกๆ ตกใจ และกลัวมาก เพราะไม่ค่อยโอเคกับสายตาที่มองมา และรู้สึกไม่โอเคมากๆ กับการที่ต้องทานยาบ่อยๆ และสิ่งที่ต้องระวังก็คือ หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดๆ ทำให้ในบางกิจกรรมเวลาไปโรงเรียน เธอก็ไม่ได้เข้าร่วมกับเพื่อน เช่น กิจกรรมลูกเสือเนตรนารี
“อย่างเวลาไปโรงเรียน หนูเรียนเนตรนารี หนูก็ได้นั่งอยู่เฉยๆ คนเดียว เพราะว่าหนูโดนแดดไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวเราจะเป็นมะเร็งผิวหนังค่ะ”
แต่ถามว่าโดนได้ไหม โดนได้ แต่ไม่ใช่โดนกลางแจ้งโดยตรง ไปโรงเรียนก็ใช้ชีวิตปกติ แต่บางทีกิจกรรมที่อยู่กลางแดดนานๆ ก็จะให้เลี่ยงกิจกรรมตรงนั้นไป ส่วนไฟในการถ่ายแบบที่ต้องโดน แม่บอกว่าก็ไม่ได้มีผลอะไร เพราะยังมีแผ่นกรอง และไม่ได้ถ่ายทั้งวันขนาดนั้น
แม้ทางการแพทย์ ไม่ได้ใช้คำว่าหายได้ แต่แม่บอกว่า หมอก็ยังบอกว่ารักษาได้ เพราะโรคนี้ สามารถกลับมาเป็นได้อีกเสมอ อยู่ที่ปัจจัยในการใช้ชีวิต
“เช่นคนเคยเป็นมา 10-30 ปี เคยรักษามาทุกวิถีทางแล้ว สุดท้ายมันไม่หาย มันแค่ดีขึ้น กินยา แล้วไปกดภูมิไว้ค่ะ เพื่อไม่ให้มันลาม แล้วมันอาจจะมีการสร้างเม็ดสีขึ้นมา แต่ว่ามันก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก อยู่ที่ปัจจัยการใช้ชีวิต การกินอาหาร สภาพแวดล้อม แล้วก็สภาพจิตใจ ความเครียดทุกอย่างมันมีผลหมดค่ะ”
จนอายุย่างเข้าวัย 6-7 ขวบ รินดาก็ตัดสินใจบอกกับแม่ว่า ไม่อยากรักษาต่อแล้ว เพราะไม่อยากกินยา ซึ่งแม่เองก็ยอมรับในการตัดสินใจของลูก ในขณะเดียวกัน ลูกก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น แล้วก็ใช้ชีวิตให้มีความสุข
“ตอนนั้นก็กลัว แต่ตอนนี้ก็ไม่กลัวแล้วค่ะ หนูก็บอกแม่ว่า หนูไม่อยากรักษาแล้ว เพราะว่ามันต้องกินยาเยอะ พอกินยาเสร็จก็ต้องไปอาบแดดอีก แล้วหนูก็ต้องอดทนนานด้วยค่ะ หนูไม่ชอบกินยา”
มีอยู่ครั้งนึง ที่น้องรินดา ถามแม่ว่า หนูจะอยู่กับแม่ได้นานแค่ไหน ซึ่งคำถามนั้น ทำเอาคนเป็นแม่ตกใจ และน้ำตาซึมไปอยู่เหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าลูกจะถามคำถามนี้ จนแม่ต้องขออธิบายให้เข้าใจว่า ผิวแค่ผิดปกติ แต่ร่างกายหนูยังแข็งแรงดี ดังนั้นหนูสามารถจะอยู่กับแม่จนแก่เฒ่าไปเลย
โดนล้อ “หน้าผี” แต่ไม่คิดตอบโต้
เคยถูกล้อสารพัดว่าหน้าผี แม้บางครั้งจะรู้สึกเสียใจ แต่เธอถูกครอบครัวสอนให้เป็นเด็กหญิงผู้คิดบวก จึงไม่คิดตอบโต้ แต่มองอย่างเข้าใจ ว่าไม่สามารถไปห้ามความคิดคนอื่นได้
“บางทีเพื่อนก็ด่าหนูว่า ทำไมมีผมหงอกเหมือนคนแก่เลย แล้วก็บอกเป็นคนแก่บ้าง แล้วก็บอกผิวเป็นอะไร ทำไมหน้าเหมือนผีจัง ก็หนูรู้สึกเสียใจ หนูก็ไม่ได้ตอบโต้ เดินหนีเอาค่ะ
ก็มาบอกแม่ แล้วแม่ก็บอกว่าเราไม่สามารถไปห้ามความคิดคนอื่นได้ค่ะ แม่ก็จะไปที่โรงเรียน ไปบอกเขา แล้วเขาก็ไม่ไม่มากล้ายุ่งกับหนูค่ะ ทำให้ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ที่โรงเรียน ก็มีน้อง แล้วก็เพื่อนเป็น FC หนูค่ะ”
กว่าจะรับมือได้ขนาดนี้ แม่ก็บอกว่า สอนลูกมาตลอด ว่าจะคำบูลลี่สารพัดแบบนี้ ด้วยการซ้อมโต้ตอบกันเองกับลูก พร้อมแนะวิธีรับมือกับสถานการณ์ที่ทำร้ายจิตใจ
“เราจะซ้อมพูดโต้ตอบกัน สมมติแม่เป็นใครก็ไม่รู้ แล้วอยู่ๆ แม่เป็นคนที่เสียมารยาท ทำให้เขารู้สึกว่าถ้าเขาต้องเจอสถานการณ์จริง อาจจะมีคำพูดที่รุนแรง อาจจะทำให้เขาเสียเซลฟ์ไปเลย แล้วตั้งหลักไม่ทัน เขาจะรับมือยังไง เขาจะตอบมันได้ไหม
ก็มีการพูดคุยกันอยู่แล้ว ซ้อมถามนู่นถามนี่ ให้เหมือนแทงใจดำไปเลยว่า ในสิ่งที่คุณเป็น แล้วก็ให้เขาซ้อมตอบคำถาม แล้วก็ซ้อมรับมือ แก้ไขปัญหา แล้วก็ให้เขายิ้มสู้ค่ะ”
และแน่นอนถึงเราจะมีพลังบวกกับตัวเอง แต่อีกมุมของคนข้างนอก ก็ยังมองลบที่สาดเข้ามาอยู่ดี สิ่งที่แม่ทำนอกจากสอนลูกตัวเอง ให้คิดในแง่บวกแล้ว
คือการเข้าไปพูดคุยกับคนที่เข้ามาล้อลูก พอได้ทำความเข้าใจกัน ก็กลายเป็นว่า ทุกคนเข้าใจ และพร้อมโอบกอดเธอด้วยความรักและเข้าใจ
“รินดาก็ไม่ได้อยากเกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ว่ารินดาเป็นแล้ว ทำไมเราไม่มีความเมตตาให้เพื่อน มันไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ต้องกลัว ก็ให้ความรู้เขา มันก็กลายเป็นว่าทุกคนเข้าใจ แล้วก็โอบกอดเขา แล้วก็รักเขา”
และสิ่งสำคัญที่ครอบครัวปฏิบัติต่อลูกสาวคนนี้คือ ไม่ได้มองว่าเขาแตกต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ โดยเลี้ยงให้เป็นปกติเหมือนกับพี่น้องคนอื่นๆ ไม่ว่าจะการพาออกไปเจอสังคม พาไปเที่ยว หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่ใส่ ก็ไปจำเป็นต้องใส่ปกปิดผิว
“พี่กับน้องแต่งยังไง ก็ให้เขาแต่งอย่างนั้น เราไม่เคยปกปิด หรือทำให้รู้สึกว่าอายที่มีเขา เราไม่เคยแสดงความรู้สึกอย่างนั้น แล้วก็ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เขาเป็นเลย
ก็คือใช้ชีวิตปกติ พาไปเจอสังคม พาออกไปเที่ยว โดยที่ใส่สายเดี่ยว ใส่กระโปรงสั้น ก็คือใช้ชีวิตปกติ ทำให้ทุกอย่างปกติ
คือตั้งแต่ที่เลี้ยงเขามา เราแทบไม่เห็นความเศร้า หรือความรู้สึกว่า เขาไม่อยากเป็นแบบนี้ ผ่านทางสายตา หรือสีหน้า เราไม่เห็นถึงความรู้สึกตรงนั้น
แม้กระทั่งเขาส่องกระจก เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่า ทำไมฉันต้องเป็นแบบนี้ เราไม่เคยเห็นค่ะ แต่จะเห็นเขาแบบยิ้มให้ตัวเอง แล้วก็คอยดูว่า ลายที่มันเกิดขึ้นในแต่ละครั้งที่เขาส่องกระจก มันเป็นลายอะไร”
ไม่ใช่แค่ครอบครัวเท่านั้น ที่สัมผัสได้ ถึงรอยยิ้ม และความสดใสของเด็กหญิงคนนี้ แต่พี่ๆ ชาวโซเชียลฯ ก็มักจะเห็นด้วย เพราะเวลาลงภาพ หรือวิดีโอที่เกี่ยวกับน้องรินดาทีไร แม่บอกว่า มักจะมีคนมาชมเสมอ ว่าน้องดูมีความสุข ในการใช้ชีวิต
“น้องเขาเป็นด่างขาว แต่ทำไมเขาดูมีความสุข มีความสดใส แล้วก็ทำไมเขาใช้ชีวิตได้ปกติจังเลย ก็เลยกลายเป็นว่า สิ่งที่เขาเป็น แล้วก็ด้วยความสดใสของเขา ก็เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้ใครได้หลายๆ คนค่ะ
วันนี้เราก็ถือว่าเขาประสบความสำเร็จในระดับนึงแล้ว อย่างน้อยเขาก็มีงานทำ เป็นที่รู้จัก แล้วก็เป็นแรงบันดาลใจให้ใครได้ สายตาที่เคยรังเกียจ หรือดูถูกลูกเรา มันก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”
ยิ้มให้ตัวเอง ใจดีกับตัวเองเข้าไว้
สิ่งที่ลูกเป็นตอนนี้ ก็ไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งที่โชคร้าย เช่นเดียวกับรินดาเอง ก็มองเหมือนกัน ว่าไม่ใช่สิ่งที่โชคร้ายอะไรเลย แต่เป็นโอกาสที่ดีด้วยซ้ำ ที่การเป็นด่างขาว สามารถพาตัวเอง เข้าสู่วงการนางแบบได้
“หนูคิดว่ามันไม่โชคร้ายค่ะ คิดว่าก็ปกติดี”
“ในความรู้สึกเราเป็นพ่อเป็นแม่ มันเป็นสิ่งที่โชคร้ายไหม เรากลับอวยเขามากกว่า เรารู้สึกว่าขนาดเขาเป็นด่างขาว ทำไมเราถึงมองว่าเขาสวย มีออร่า ด้วยองค์ประกอบของใบหน้า ที่เหมือนมันรับกัน แล้วทำให้เรารู้สึกมองข้ามความเป็นด่างขาวของเขาไป
จะพูดกับพ่อว่า หรือว่าเราเข้าข้างลูกเราเกินไปหรือเปล่า ทำไมเรามองว่าลูกเราสวยจังเลย พี่กับน้องเขาก็จะบอกว่าใช่ พี่รินดาสวยมาก ใส่อะไรก็สวย เสื้อผ้าที่มันดูคนอื่นใส่ไม่เข้า เขาก็ใส่ออกมาสวย เราก็จะพูดกับพ่อเขาอย่างนี้
หน้าตา ผิวพรรณเขา ความน่ารักสดใสของเขา มันทำให้เรารู้สึกว่ามองข้ามในสิ่งที่เขาเป็น เรามองเห็นแต่ความสวยงาม เราก็จะชมเขาตลอดว่าหนูสวย หนูน่ารัก ทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาเป็น มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่ หรือว่าแตกต่างไปจากคนอื่นเลย”
บนเวทีอาจจะดูเป็นมืออาชีพ แต่พอทำงานเสร็จ ก็เหมือนกับเด็กทั่วไป ซึ่งคนเป็นแม่ ก็ขอชมว่า เขาแยกพาร์ทชีวิตได้อย่างชัดเจน เล่นก็ส่วนเล่น งานก็ส่วนงาน
“เราได้โอกาสมากกว่าคนอื่นเขา เพราะฉะนั้นเราต้องใช้โอกาสให้มันเต็มที่ ทำให้สุดความสามารถ ผลมันจะออกมายังไงไม่รู้ แต่เรารู้ว่าวันนี้เราทำเต็มที่แล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า ทำไมเราไม่ทำให้มันเต็มที่กว่านี้
เขาจะทำงานได้แบบผู้ใหญ่ เขาไม่ได้มีอิดออดอะไร ทำงานแล้วก็สนุกกับมัน แต่พอเลิกงานมา เขาก็จะเป็นเด็กคนนึง ในวัย 8 ขวบ 9 ขวบ ที่วิ่งเล่นไล่จับ”
ท้ายนี้ น้องรินดายังฝากถึงคนที่กำลังเป็นเหมือนเธอ หรือมีเธอเป็นแรงบันดาลใจ ขอให้ทุกคนสู้ มั่นใจในตัวเอง ที่สำคัญ ยิ้มให้กับตัวเองในทุกวัน
“หนูฝากถึงคนที่กำลังท้ออยู่ ขอให้ทุกคนมั่นใจในตัวเอง แล้วก็ยิ้มให้ตัวเองทุกวัน แล้วก็ขอให้ทุกคนมีความสุขนะคะ สู้ๆ ค่ะ”
เช่นเดียวกับคุณแม่ ที่ก็ขอฝากเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังท้อ หรือที่กำลังเป็นโรคเดียวกับน้องรินดา ขอให้ใช้ชีวิตให้มีความสุข และใจดีกับตัวเองให้มากๆ
“ก็ฝากให้ทุกคนรักตัวเอง อย่างน้อยเราส่องกระจกไป แค่เรายิ้มให้ตัวเอง อย่างน้อยต่อให้คนรอบข้าง หรือใครไม่ใจดีกับเรา แต่เราต้องใจดีกับตัวเอง
แล้วก็รักตัวเองให้มากๆ ค่ะ ถ้าเรารักตัวเอง เราก็จะรู้สึกมีพลังในการที่จะต่อสู้กับปัญหา แล้วก็ขอให้ทุกคนรัก แล้วก็ยิ้มให้กับตัวเองเยอะๆ เหมือนกันค่ะ”
มีแววเป็นหมอ อยากเปิดคลินิกเป็นของตัวเอง
นอกจากความฝันที่อยากจะเป็นนางแบบระดับโลกแล้ว น้องยังอยากเป็นคุณหมอ เปิดคลินิกเป็นของตัวเองด้วย ความฝันนี้ คุณแม่บอกว่า ก็มีแววมาตั้งตั้งแต่เด็กๆ แล้วเหมือนกัน ที่มักจะช่วยทำแผลให้กับน้องสาว เวลาหกล้ม “เขาจะชอบเล่นเป็นคุณหมอ คือเอาทิชชู่กับสก๊อตเทปมาทำแผลให้ ก็เลยมีช่วงนึงที่อยากเป็นคุณหมอ ประกอบกับดูซีรี่ส์เกาหลีเรื่องหมอหัตถ์เทวดา ก็เลยอยากเป็นคุณหมอ น่าจะตั้งแต่ 3-4 ขวบค่ะ เขาซ้อมทำแผล เล่นกันกับน้อง น้องก็เป็นคนไข้ พี่ก็เป็นคุณหมอ แล้วอยู่ๆ เขาก็เรียกกันเองพี่น้องว่า หมอรินดา” ส่วนน้องรินดา เธอก็ยืนยันเองอีกว่า ชอบรักษาให้กับพี่สาวและน้องสาวเวลาเป็นแผล ถ้าไม่ได้เป็นนางแบบระดับโลกอย่างที่ฝัน เธอก็พร้อมจะเบนเข็มทิศไปเป็นหมอ “หนูชอบรักษาให้น้องค่ะ อย่างเวลาพี่ญาดา ดารินล้ม หนูก็จะเอาเบตาดีนมาทาให้ก่อน แล้วก็เอาทิชชู่กับสก๊อตเทปมาแปะให้ ถ้าไม่ได้เป็นนางแบบ หนูก็จะเป็นคุณหมอแทน หรือไม่ก็เปิดคลินิกเป็นของตัวเอง เป็นหมอศัลยกรรม หมอฟันก็ได้ค่ะ” ไม่ว่าลูกอยากจะเป็นอะไร อยากเดินตามความฝันไหน สุดท้ายแล้วคนเป็นแม่ก็บอกว่า พร้อมผลักดันไปในทุกเส้นทางที่ลูกชอบ คาดหวังเพียงอย่างเดียวคือ ขอให้ลูกมีความสุข “เราจะพูดเสมอว่า ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องเป็นที่หนึ่ง แต่ว่าถ้ามีงานไหนที่มันต้องอยู่ในความรับผิดชอบของเรา ทำให้เต็มที่ เราคาดหวังอย่างเดียวคือ ให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แล้วก็ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ให้เขาใช้ชีวิตวัยเด็กให้เต็มที่ ให้ได้เล่น ให้ได้นอนเต็มที่ ไม่ได้มีความกดดันใดๆ ในชีวิต ในการเรียนค่ะ แต่ก็มีความรับผิดชอบของตัวเองให้ได้ เขาอยากไปในทางไหน เราก็จะคอยซัพพอร์ตเขาจนถึงเป้าหมาย อาจจะมีชี้แนะ หรือว่าเสนอแนวทาง แต่ก็อยู่ในความชอบของเขานั่นแหละค่ะ” |
[คุณพ่อคุณแม่ ผู้คอยผลักดันความฝันของลูกๆ]
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : Instagram “@rindaradiant”, Facebook “Chotika Tipradarattanasiri”, Feline
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **