เจาะเส้นทางชีวิตวิถีคนปั้นไห ผู้ปลุกปั้นซุป'ตาร์ประดับวงการลูกทุ่งอินดี้ จนติดลมบน จากอาชีพเด็กเสิร์ฟ สู่นายห้างยอดนิยมแห่งปี 11 ปี กว่าจะมีวันนี้ กับทุกมรสุมดราม่าที่ผ่านมา
สูตรปั้นดินให้เป็นดาว ฉบับนายห้างไห
“อย่างลำไยผมรู้สูตรแล้ว ว่าปั้นยังไงให้เป็นลำไย แต่ผมยังไม่บอกใคร วันนึงถ้าลำไยแขวนนวมอีก 10 ปี 15 ปี คนที่จะปั้น อาจจะชื่อชมพู่ มะละกอ สตรอว์เบอร์รี หรือมะไฟก็แล้วแต่ ผมจะเป็นคนแรกๆ ที่จะปั้นให้ใกล้เคียงมากที่สุด เพราะผมรู้สูตร”
“ประจักษ์ชัย ไหทองคำ” หรือ “ประจักษ์ชัย เนาวรัตน์” นายห้างแห่งค่าย “ไหทองคำ” ผู้ปลุกปั้น และเบื้องหลังความสำเร็จ“ลำไย ไหทองคำ”จนกลายมาเป็นซุป'ตาร์ติดลมบน ประดับวงการลูกทุ่งอินดี้ กับความสำเร็จ 11 ปี กว่าจะมีวันนี้
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ลำไยคิวแน่น นักร้องในค่ายหลายคนก็คิวยาวเหมือนกัน และนี่คือวิถีปั้นสุดปัง สูตรสำเร็จระดับปรมาจารย์คนนี้
“ผมรู้สูตร รู้โคโรกราฟ (การออกแบบท่าเต้น) รู้คอสตูม ดูจังหวะเมโลดี้ทำเพลงยังไง ทำสตูฯ ไหน ห้องไหน ใช้ทีมไหนในการถ่ายทำ แล้วไปตลาดนี้ไปที่ไหน โบรกเกอร์(นายหน้า) ใครใช้งานเรื่องนี้ งานเฟสติวัล งานห้างฯ เรารู้ว่าทำแบบไหนได้ทำงานห้างฯ และได้ทั้งเฟส(ติวัล) และได้ทั้งผับ
แต่บางคนทำได้แต่งานผับ สายดาร์กอย่างเดียว ดื่มกินไป สนุกไป สักลายไปเต็มตัว แล้วงานอีเวนต์กลางวันได้ไหม อีเวนต์ที่ไปมีทั้งเด็กน้อย แต่งตัวให้สุภาพนิดนึง มีกระโปรงสั้นก็จริง แต่มีกางเกงซ้อนทับ”
และไม่ใช่แค่ลำไยเท่านั้น ที่ค่ายไหทองคำให้ความสำคัญ เพราะยังมีศิลปินตอนนี้อีก 30 ชีวิต และนักร้องน้องใหม่ฝึกหัดอีก 32 คน ที่เข้ามาฝากความฝันไว้กับค่าย เช่น “ยูกิ ไหทองคำ” ที่ตอนนี้ทางค่าย กำลังหมายมั่นปั้นมือ ให้ดังแบบเปรี้ยงปร้างเหมือนลำไย
“อย่างยูกิ ผมปั้นให้เป็นแมสที่ขายได้ทั้งงานวัดงานห้างฯ งานผับ และงานอีเวนต์ เป็นทั้งนางเอกละคร นางเอกหนังเราตั้งธงแบบนี้ มีเป้าหมายไปถึงเส้นชัยแบบนี้ ในระหว่างทางอาจจะมีหมามาเห่าให้เราเสียประสาท ไม่สนใจกับเสียงหมาเห่า
เราก็มองว่าตัวตายตัวแทนลำไย มันยังมาไม่ถึง ถึงเกิด แต่ว่าพัฒนาการในการที่จะมาเป็นลำไย มันยังไม่ถึง แต่ก็ไม่มีใครมาเป็นใครหรอกครับ มันไม่มีใครมาแทนใครได้ ลำไยก็ไม่มีใครเหมือนลำไย
พี่คนอื่นที่เขาดังกว่าลำไย เขาก็เป็นคาแรกเตอร์ของพี่คนนั้นไป ลำไยก็เอาบางส่วน ส่วนที่ชอบส่วนที่ดีมาใช้บางส่วน ไม่ได้เอามาทั้งหมด แต่ละคนก็มีอัตลักษณ์ มีความเป็นตัวตนของแต่ละคน เพียงแต่ว่าเอาส่วนที่ลูกค้าชอบ ตลาดชอบ เอามาปรับใช้ ก็จะไม่เหมือนกันทุกอย่าง”
เรื่องมารยาทก็สำคัญ สิ่งที่จะบอกลูกๆ ในค่ายเสมอคือ ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไปมาลาไหว้ ต้องรู้จักโบกมือทักทายแฟนคลับที่มารอเราด้วย
“พื้นฐานก็คือความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญู ก็ต้องบอกว่าการวางตัวในสังคม ถ้าเราเป็นคนดังแล้ว ก็ต้องเทคแคร์สังคม เทคแคร์เอาใจใส่แฟนคลับ แฟนเพลง เขาเรียกว่าแคร์ความรู้สึกของคนที่เป็น FC เรา
บางจังหวะมันก็ต้องมีเหตุการณ์ที่จะต้องทำให้แต่ละคน อาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง จากหลักคำสอนของนายห้าง ซึ่งเราเลี้ยงได้แต่ตัว เราบอกหมดแหละ ลงมาจากรถต้องยกไหว้นะ ก้มหัวลง หรือบอกให้นั่งเรียบร้อยหน่อย อย่านั่งแยกขา มิดชิดหน่อย มันก็แล้วแต่อริยาบท เราก็บอกได้เท่าที่บอก
เวลาปั้นนักร้องแต่ละคน เราก็พยายามสอนอยู่แล้ว อันไหนที่ไม่ดี อันไหนที่ดีเราก็บอกอยู่แล้ว แต่ว่าพอถึงจุดนึงความเป็นผู้ใหญ่ หรือว่าความรับผิดชอบมันก็โตตามมาแล้ว เราจะไปพูดบ่อยหรือว่าไปยุ่งเกี่ยวในชีวิต ในบริบทของแต่ละวันของแต่ละคน มันจะเป็นการล่วงล้ำเข้าไปในชีวิตส่วนตัวเขาเกินไป เราก็ดูอยู่ครับ
เพียงแต่ว่าในจุดนึง พอเขารับผิดชอบตัวเองได้ การตัดสินใจของแต่ละคน นักร้องยังไม่ดังกับนักร้องดังมันต่างกันนะ ตอนยังไม่ดังบอกอะไรก็ได้นะ ไม่ใช่แค่น้องลำไยนะครับ ทุกคน
ลำไยก็ไม่ดื้อกับผม ทุกวันนี้ก็ไม่เคยงอนผม หรือว่าไม่เคยหลับตาซัง (ทำหน้าไม่พอใจ) ใส่ผม ต่างคนต่างเข้าใจว่าลูกอาจจะกดดัน ลูกอาจจะเหนื่อย ลูกอาจจะพลั้งเผลอชั่วขณะหนึ่ง หรืออาจจะเป็นความคึกคะนองอะไรว่าไป เขาก็ปลอบใจว่า สักวันนึง เขาจะกลับขึ้นมาในร่องที่เขา(เคยเป็น)
เขาไม่เคยออกอาการตายไมค์อะไรเลยนะ เขาก็เก่ง ตอบคำถามก็ถือว่าเป็นคนที่เป็นศิลปินเบอร์นึง ที่ประสบความสำเร็จทั้งการร้อง การตอบคำถามด้วยซ้ำไป”
ร้องดี สวย มีวินัย คอสตูมว้าว
3 สิ่งที่เจ้าของค่ายบอกไว้ในการจะหยิบศิลปินมาปั้นก็คือ อันดับแรกคือความสามารถในการร้องเพลง อันดับ 2 คือความสวย อันดับ 3 คือ วินัยและนิสัย
“ผมดูความสามารถในการร้อง หุ่น-หน้าตาก็ตามมานะ นิสัยอะไรก็ค่อยมาสอนกันได้ แต่ความสามารถในการร้อง เราคือค่ายเพลง เรามาร้องเพลง สิ่งแรกที่ต้องเก่งเลยคือ ร้องให้เก่ง ถ้าร้องผิดคีย์ ก็เป็นนักร้องไม่ได้เลย สวยยังไงก็เป็นไม่ได้ ไม่ใช่ประกวดนางงาม
แหล่งนี้คือแหล่งผลิตอุตสาหกรรมเพลง ระบบนิเวศของการทำเพลง ผมดูตั้งแต่ต้นน้ำมา ต้นน้ำมีอะไร คนแต่งเพลง คนทำดนตรี คนทำ MV คนทำพีอาร์คือมีเดีย แล้วก็ marketing
แล้วคนที่จะมาเป็นตัวสื่อสารคือบริษัทเพลง สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือความสามารถในการร้องเพลง ความสวยอันดับ 2 วินัยนิสัยอันดับ 3
ถึงจะร้องดี ถึงจะสวย ในเมื่อนิสัย วินัย สันดานไม่ผ่าน ก็ต้องกลับบ้านก่อนนะ เพราะคุณเข้าสังคมไม่ได้ คุณใช้ชีวิตในสังคมไม่ได้ ก็เท่ากับว่า เป็นปรปักษ์ต่อสังคม เราต้องใช้ชีวิตให้มันครบถ้วน กับสังคมที่เราอยู่ ก็น่าจะเป็นการปรับตัวที่ดี
วันนี้เรามาในสังคมเพลง การไหว้คือการแสดงออกการอ่อนน้อมถ่อมตน สังคมไทยไม่ชอบอะไรที่แข็งกร้าว หรือว่าอีโก้ ยกตนข่มท่าน อยู่ได้ไม่นานเดี๋ยวก็ไป เสมอต้นเสมอปลาย อยู่ได้นาน ไม่ว่าจะอายุผ่านไปกี่ปี”
นอกจากความสามารถที่ว่ามาทั้ง 3 ข้อแล้ว อีกสิ่งที่ค่ายให้ความสำคัญคือเรื่องคอสตูม เจ้าของค่ายบอกว่าได้ reference มาจากศิลปินต่างประเทศ เอามาปรับใช้ จนเกิดเป็นความว้าว
“ผมดูจากศิลปินดังๆ ของอเมริกา ของยุโรป หรือว่าญี่ปุ่นเกาหลี ผมมองอะไรที่มองบวกและสวยงาม ผมอยากจะเป็นหมอลำโมเดิร์น อยากเป็นอินดี้โมเดิร์น อยากก้าวตามแฟชั่นที่เขามี
ไม่ใช่ว่าพ่อแม่เราเป็นหมอลำ พ่อแม่เราเป็นลิเก เราก็จะอยู่แต่ในร่องเดิม แต่นั่นคือครูบาอาจารย์ เรายกไว้ในความเป็นครูบาอาจารย์ ทั้งทางศาสตร์ทางศิลปะ การแสดงยิ่งใหญ่ของเรา อย่างลิเก หมอลำ ก็เป็นการแสดงพื้นบ้าน
แต่ทีนี้พอเราจะไปสู้กับตลาดต่างประเทศ หรือว่าตลาดในผับ ในกรุงเทพฯ ในงานเฟสติวัลต่างๆ เราก็อยากมีความว้าว ความสวยของชุดที่ทันสมัย
แต่ในความเป็นไห พอเราได้เรฟเฟอเรนซ์ (แบบอ้างอิง) มาปุ๊บ อยากให้ออกมาในแนวทันสมัย โมเดิร์น เป็นลายประยุกต์มากกว่าทั้งรุ่นเก่า”
ยอมจำนำสร้อย แลกฝันปั้น “ลำไย”
เจ้าของค่ายบอกว่า สิ่งที่เห็นในตัวลำไยคือ ร้องดี เต้นดี และการเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ดี ทำให้เห็นแววว่าเด็กคนนี้น่าจะมีของ และน่าจะลองจับไปปั้นดู
“ตอนนั้นผิวก็ยังคล้ำๆ ยังไม่ขาวใส ออร่าก็ยังไม่มี ดั้งก็ยังไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่ได้มองจุดนั้น มองว่าน้องร้องดี มีเพี้ยนบ้างเล็กน้อย ลำไยเป็นคนที่เต้นเก่ง มูฟเมนต์ดี ถ้างั้นเราก็ต้องเอามา ไม่ได้คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ แค่เอามาหากินหาอยาก พอประทังชีวิตตัวเอง
น้องร้องเก่ง ผมเป็นก๊อบปี้โชว์ ตั้งวงกันมาเหมือนคณะตลกก็ได้ คือให้มันมีครบทีม ให้มันมีผู้หญิงผู้ชาย ยังไม่ได้คิดว่าจะแต่งเพลงให้เขาดังอะไรมากมายหรอก คิดว่าลองดู เผื่ออาจารย์ฝากครูเพลงที่ใหญ่กว่าเราได้ เราคิดว่าเป็นครูเพลงระดับอนุบาล แต่อาจจะมีระดับครูสลา ครูอะไรต่างๆ ที่อาจจะเห็นแววเราในอนาคต ก็จะฝากได้แหละ แค่มาเพาะบ่ม ให้ดูทรงก่อนว่า จะไปทางไหนได้”
ด้วยความที่ลำไยเต้นเก่ง ร้องดีอยู่แล้ว จึงวางลุคเห็นเป็นนักร้องแนวเซ็กซี่ แนววาไรตี้ สนุกแบบม่วนจอย แต่ก็ต้องยอมรับว่า นักร้องสายนี้ คู่แข่งทางการตลาดก็มีเยอะ
“ลำไยอายุ 16 ย่าง 17 ลำไยร้องเพลงตัวเองอยู่ 3 เพลง เพลง 17 สิเข้า, ดื่มเหล้ามันขม ดื่มนมเถอะพี่, เมียด่ามาหาหนู ปีแรกยังไม่ดัง หาตัวตนของลำไยอยู่ เป็นแนววาไรตี้ แนวสองแง่สองง่าม แต่ตอนนั้นคู่แข่งทางการตลาดก็เยอะด้วย”
จนดังเปรี้ยงขึ้นมาจากเพลง “ผู้สาวขาเลาะ” ที่ตอนนี้มียอดวิวพุ่งไปถึง 400 ล้านวิวแล้ว เพลงที่แต่งมาจากทาง สปป.ลาว ที่แค่ได้ยินเสียงร้องไกด์คำว่า“กดดัน” อาจารย์ก็รู้สึกได้เลยว่า เพลงนี้มาแน่นอน
“ตอนนั้นไม่มีเงินหรอกครับทำเพลง ก็เอาสร้อยคอไปจำ แต่มันไม่มีอะไรที่จะเสียแล้ว มีอะไรก็ต้องงัดออกมาสู้ คิดว่าครั้งนี้แหละ อาจจะเป็นเพลงที่เปลี่ยนชีวิตเราก็ได้ ลองทุ่มเท ตอนนั้นบาทละ 8 พันเอง
ห้องอัดก็ห้องอัดเล็กๆ ของเพื่อนครับ ไปขอนอนโซฟาเขา ลำไยก็นอนบ้านเช่าอยู่พรานนก เวลาเทียวไปเทียวมาก็ให้ค่าแท็กซี่ทีละ 500-600 ไปกลับ ค่าตัวเองก็หมดไปกับค่าแท็กซี่ครับ”
จาก “ลำยอง” สู่ “ลำไย”
จุดเริ่มต้นจริงๆ คือเริ่มแต่งเพลงให้ “ลำยอง หนองหินห่าว” และ “เมรี หนองฮีใหญ่” เปิดตลาดด้วยการนำหมอลำซิ่งมาปิดวิกที่กรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น บัวผัน,เด่นชัย ศรีจันทร์, วัชราพร, กุ้ง-สุภาพร, จีระพันธ์
พอเริ่มเห็นตลาดนี้ มีคนดูเยอะ ก็เลยไปหาหมอลำซิ่งมาปั้น จนได้ลำยองมาปั้นก่อน จนอาจารย์สวัสดิ์ สารคาม ครูเพลงชื่อดัง สนใจในตัวลำยอง หนองหินห่าว ก็เข้ามาขอกับอาจารย์ประจักษ์ชัยว่า
อยากขอลำยองเข้าสู่ค่ายใหญ่ อย่างแกรมมี่ ซึ่งตอนนั้นก็ยินดีมาก เพราะถ้าได้เห็นอนาคตคนที่ปั้นมากับมือได้ไปเติบโตขึ้น ก็ยินดีส่งต่อให้ เพราะตอนนั้นเหมือนจะอยากแขวนนวมจากวงการทำเพลง เพื่อไปเป็นนักการเมืองอยู่ที่ บ้านเกิด จ.ยโสธร
จนผ่านไปประมาณ 5 ปี การเมืองไปได้ไม่รุ่งเหมือนเมื่อก่อน ก็หันกลับเข้าวงการเพลงอีกครั้ง ก่อนที่จะมาเจอกับ “ลำไย ไหทองคำ” ตอนนั้นเขายังทำงานเป็นก๊อบปี้โชว์อยู่ โดยเจอลำไยที่ลานเบียร์ ลำไยมาร้องเพลง ก็เลยติดต่อ ชวนมาร่วมงานกัน
จากนั้นเริ่มพาลำไยไปถ่ายภาพนิ่ง เพื่อเอาภาพมาโพสต์ขายงานผ่านโซเชียลฯ ตอนนั้นไม่มีเงินไปถ่ายสตูฯ ดีๆ ก็พากันไปถ่ายในร้านถ่ายรูปในห้างสรรพสินค้า รูปละ 40 บาท ประมาณ 4-5 รูป จากนั้นก็ให้ทางร้านไดคัท และแต่งภาพให้ เพื่อเอาภาพมาโพสต์ขายงานผ่านโซเชียลฯ
“มันต้องตั้งโจทย์ก่อน ว่าเราจะไปร่องไหน จะเป็นเพลงร่องหวาน หรือเพลงอินดี้ จะเป็นสายหมอลำ หรือเป็นสายสตริง ตอนนั้นยังไม่มีคำว่าอินดี้ด้วยนะครับ ก็ตบปากรับคำ วันต่อมาก็มาทำสัญญากันที่ร้านลาบ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของลำไย”
ไหทองคำ ถือว่าเป็นรุ่นบุกเบิกวงการลูกทุ่งอินดี้เลยก็ว่าได้ ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักคำว่าเพลงลูกทุ่งอินดี้ด้วยซ้ำ เพราะถูกมองว่าเป็นเพลงนอกกระแส แต่สุดท้ายในวันนี้ก็โด่งดังไปทั่วประเทศได้
“ถือว่าเป็นผู้บุกเบิกของวงการเพลงอินดี้ยุคแรก 11 ปีผ่านไป ลำไยมาได้ตอน 9 ปีย้อนหลัง ลำไยถือว่าเป็นศิลปินค่ายไหทองคำเป็นเบอร์แรก”
กู้วิกฤตด้วยคุณภาพ “อาฟเตอร์ช็อก” ไหทองคำ
ตอนนี้เรียกว่า ค่ายไหทองคำ เป็นอีกหนึ่งค่ายที่ตอนนี้น่าจะไม่มีใครไม่รู้จักแล้ว เพราะนอกจากข่าวดราม่าที่เพิ่งผ่านมา ค่ายก็ยังการันตีด้วยผลงาน และคิวงานแน่นขนาดนี้ และเจ้าของค่ายเอง ก็มองว่า ตอนนี้มาไกลเกินฝันมาก
“เกินฝันมาก มหาศาล ปาฏิหาริย์ด้วย บทจะล้มจะตายก็ฟื้นขึ้นมาได้แต่ละดอก คือไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ทุกอย่างผ่านดราม่ามาหมด ไม่ได้มีแบบเบาๆ ดราม่าแบบเอาเป็นเอาตายเลย ไม่รอดก็ตายอย่างเดียว
เมื่อกี้ค่ายก็พังเลย แต่ด้วยบุญบารมี อาจจะเป็นความดี คอนเน็กชั่น คาแรกเตอร์ผมเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนด้วย พี่ๆ สื่อ น้องๆ ในวงการ ก็ให้ความเอ็นดูผม ให้ความรัก ก็เลยยืนหยัดมาได้”
อีกหนึ่งช่วงวิกฤตในชีวิตที่ต้องเจอ เขาเล่าว่า คือช่วงที่หันไปเล่นการเมือง แล้วสอบตก สจ. แล้วจะหันกลับเข้าสู่วงการเพลงอีกครั้ง
หนักขนาดที่ว่า เคยโดนยึดรถมาแล้ว 5 คัน เคยเป็นหนี้ดอกรายวัน ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ก็เคยมาแล้ว แต่ผ่านมาได้เพราะไปขออยู่กับเพื่อนตามเพลิงแรงงาน ผ่านความผิดหวังมาเยอะแยะ แต่ไม่เคยท้อ เพราะมีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากทำอะไร
“ก็ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน วางตัวเองให้ชัดเจน คนรวยไม่มีว่าไม่มีเป้าหมาย ไม่มีได้ด้วยฟลุค ไม่ได้ยินงงในดงเงิน เขาสำเร็จได้คือเขามีเป้าหมายจริงๆ ผมก็เล่นดนตรีมาแต่เด็ก แต่ผมพึ่งมาถามว่าตกลงเราไปตรงไหนแล้วได้ตังค์ ตกลงไปทำอะไรแล้วเขากับชีวิตที่เราถนัด
ทุกคนมีเรื่องเก่งอยู่หนึ่งเรื่องในตัวตนนั้น ขอให้ตัวเองเจอให้ได้ว่า ถ่ายภาพสวย ไดคัทสวย กราฟิกสวย ทำแบบมีสมาธิ ดูเยอะๆ แล้วก็จะเกิดไอเดีย คือทุกคนมันจะเก่งคนละอย่าง
บางคนบอกว่าไปร้องรำทำเพลง ไปเต้นกินรำกินไร้สาระ ผมกลับมองว่าทั้งๆ ที่ผมจบนิติศาสตร์ ผมไม่ได้ใช้กฎหมายมาประกอบอาชีพเลย แต่ผมสามารถเอาความไร้สาระที่คนหลายๆ คนมองว่าการไปร้องเพลง ไปเต้นไปเด้ง ไปเด้า ผมจะสายเพ้อเจ้อ แต่เป็นเพ้อเจ้อที่ใฝ่ดี เพ้อเจ้อที่เขาเรียกว่าแปลงความไร้สาระเป็นเงิน”
สิ่งสำคัญที่ทำให้ค่ายฝ่าวิกฤตดราม่าต่างๆ ที่เข้ามาอย่างถาโถม เขาบอกว่า เรื่องคุณภาพของผลงานงานด้วย ที่คงความมาตรฐานความเป็นมืออาชีพไว้เป็นอย่างดี
“คุณภาพของงาน เรากล้าว่า เรามีงานที่เป็นมาตรฐาน ไทยมีแผ่นดินไหว เราก็เหมือนมีแผ่นดินไหวในค่าย มีอาฟเตอร์ช็อกก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน ก็ต้องเฝ้าระวังทุกสถานการณ์ ทุกวัน ทุกชั่วโมงเหมือนกันนะครับ ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ก็จะรักษามาตรฐานของเรา
สิ่งที่คนรู้จักแบรนด์ ของคำว่าไหทองคำ มันเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง แบรนด์ที่ติดตลาดโดยไม่คาดฝัน จากมือเล็กๆ ของผม สมองน้อยๆ 1 สมอง กับ 2 มือ คิดคนเดียว แล้วก็จ้างคนที่เป็นมืออาชีพมาช่วยคิด เพราะผมอยากทำงานกับมืออาชีพ
มืออาชีพจะคิดแทนเรา เราไม่เก่งการเงิน การคลัง ก็เอาพวกที่จบเศรษฐศาสตร์มาช่วยคิด ไม่เก่งการตลาดก็เอา marketing มาช่วยคิด ไม่เก่งพีอาร์ หรือโปรดักชั่น หรือโปรดิวเซอร์
สำเร็จมา มีต้นทุนมาระดับหนึ่งแล้ว เราก็ควรที่จะใช้คนที่เก่งเฉพาะด้าน ชำนาญเฉพาะด้านมาสอนเรา เราต้องเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้ว ถ้าเราเต็มแก้วซะเอง แล้วใครจะมาสอนเรา”
ลำไยจากค่าตัวคืนละ 250 บาท ตอนนี้อยู่ที่ 240,000 บาท แม้จะมีประเด็นดราม่าที่ผ่านมา แต่ด้วยความสามารถที่เขาพิสูจน์ให้เห็น ก็ยังมีงานจ้างติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ แต่ทางค่ายก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามที่จะแก้ไขภาพลักษณ์นี้ของศิลปินออกมาให้ได้ดีที่สุด
“มันก็หลายทวีคูณเลย ไม่คิดไม่ฝัน ลำไยก็แทบจะไม่ได้ใช้เงินนะครับ นอกจากซื้อรถ ซื้อบ้าน ความต้องการยังมีอยู่ ขนาดน้องลำไยมีกระแสเหมือนอาฟเตอร์ช็อกมาเมื่อเร็วๆ นี้ เราก็พยายามที่จะแก้ไข พยายามที่จะรักษาภาพลักษณ์
แต่ในเมื่อมันผิดพลาด พลาดพลั้งด้วยความคึกคะนองของเด็ก หรือว่าด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็เป็นจุดบอร์ดหนึ่งที่เราต้องนำมาแก้ไข แต่น้องลำไยก็ยังไปต่อได้อีก
วันนี้คิวไปถึงปี 70-71 แล้ว ถ้าเป็นวันลอยกระทง สงกรานต์ ปีใหม่ แรงงาน วันพ่อ วันแม่ ออกพรรษา อยู่ที่นี่หมด เพราะว่าถ้าผมพูดตรงๆ ก็คือเราก็วิเคราะห์ทุกก้าวย่างของการเติบโตของศิลปินแต่ละเบอร์ ในแต่ละช่วงเวลา”
นอกจากดังในไทยแล้ว ลำไยยังเป็นที่นิยมอย่างมากในบราซิล ถึงขึั้นชาวบราซิลเปรียบเทียบให้เห็น “Joelma” นักร้องชื่อดัง ที่ครองใจชาวบราซิลมาแล้ว 20 ปี
และนอกจากคิวจะแน่นในไทยเดือนนึงมีกว่า 50 คิว หรือบางเดือนพุ่งไป 60 กว่าคิวก็ยังมี แต่คิวทัวร์ต่างประเทศก็ติดต่อเข้ามาทุกปีเช่นกัน ปีที่แล้วก็ไปทัวร์ยุโรป 9 วัน 9 ประเทศ
ปีนี้เจ้าของค่ายบอกว่า มีแพลนจะไปทัวร์จะไปออสเตรเลีย ประมาณเดือนสิงหาคม จากนั้นเดือนกันยายน ก็จะไปอเมริกาต่อ
เพราะไม่ท้อ “เด็กเสิร์ฟ” สู่ “นายห้างยอดนิยม”
กว่าจะได้เป็นนายห้างชื่อดัง แห่งค่ายไหทองคำ เขาเริ่มจากเป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เอาแกลลอนน้ำมันมาตีเป็นกลองชุด ตั้งแต่อยู่ ป.1 จนเริ่มตามฝัน ด้วยการออกประกวดร้องเพลงตามงานวัด แต่ที่บ้านอยากให้รับราชการ เพราะครอบครัวไม่มีใครมาด้านดนตรีเลย
ทำให้พอจบ ม.6 จากเด็กยโสธร ก็เข้ามาเรียนระดับชั้นปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาทำมาหลากหลายอาชีพ หลังจากเรียนจบ ก็ได้ทำงานฝ่ายกฎหมาย กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ด้วยเงินเดือน 8 พันบาท ทำได้สักระยะนึง ก็ออกมาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ และร้องเพลงในร้านอาหาร เพราะใจยังรักในเสียงดนตรี
ไม่ใช่แค่นั้น กว่าจะมีวันนี้ เขาทำมาหลากหลายอาชีพ สมัยเรียน เคยเล่นดนตรีหน้ารามฯ ค่าตัววันละ 200-250 เพื่อให้มีค่าข้าว ค่าหอพัก
ทั้งยังเคยเป็นเซลล์แมนขายเครื่องกรองน้ำ เซลล์ขายหนังสือพิมพ์ ไปเป็นรปภ. หรือกระทั้งไปเป็นไปเป็นผู้ช่วย สส. ไปเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ก็เคยทำมาแล้ว
เพราะใช่ว่าความสำเร็จในเส้นทางสายดนตรี จะมาถึงง่ายๆ เมื่อการเป็นนักร้องในร้านอาหารมีรายได้ที่ไม่แน่นอน เขาได้กลับบ้านไปเล่นการเมืองท้องถิ่น และได้เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร (สจ.) อยู่1 สมัย
ระหว่างนั้นก็ไม่ทิ้งสิ่งที่รักในเรื่องดนตรี ก็มีโอกาสได้แต่งเพลงให้กับพรรคการเมืองต่างๆ ด้วย แต่สมัยต่อมาก็สอบตกทางการเมือง ทำให้เขากลับมาทำงานด้านดนตรีต่อ
ในขณะนั้นก็มีคนมาชวนให้ไปเป็นก๊อบปี้โชว์ เพราะมีหน้าตาคล้ายกับตลกชื่อดัง “เท่ง เถิดเทิง” โดยให้ใช้ชื่อว่า “เท่ง เปิดเปิง” ระหว่างนั้นเจ้าตัวก็ได้แต่งเพลงเพื่อปั้นนักร้อง เพื่อเป็นใบเบิกทางให้เขาได้เป็นนายห้างดังในทุกวันนี้
“ในชีวิตผมไม่เคยคิดว่า ต้องเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งกับคำว่าท้อนะ ผมเป็นเด็กเสิร์ฟ ผมเป็นยาม ผมเป็นเซลล์แมนขายเครื่องกรองน้ำ ขายมือถือ เดินขายหนังสือพิมพ์ ก็ขายมาหมดแล้ว ไม่เคยท้อ เชื่อว่าสมองยังไม่ตาย ก้านสมองยังทำงานได้ดีอยู่ ก็เลยต้องเดินต่ออยู่”
แตกไลน์ “ไหทองคำ” ขายได้หมด แบรนด์ติดตลาด
นอกจากเป็นค่ายที่ปั้นนักร้อง ทำปลาร้าขาย เจ้าของเรือใหญ่ก็บอกว่า ตอนนี้ก็เติบโตพอสมควร สามารถแตกแบรนด์ได้ทุกด้าน เพราะชื่อแบรนด์ติดตลาดแล้ว ส่วนรายได้ที่เข้ามา ก็มีเกิน 100 ล้านอยู่แล้ว “ตัวเลขมันยังไม่นิ่งหรอกครับ มีหลัก 100 (ล้าน) แต่ปลาร้ายังไม่เกิดผลนะ ปลาร้าเพิ่งได้ 5-6 เดือน ในส่วนของทำเพลงมา 9 ปี ก็มีเกินหลัก 100 (ล้าน) อยู่แล้วแหละ สิ่งที่คนรู้จักแบรนด์ ของคำว่าไหทองคำ มันเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง แบรนด์ที่ติดตลาด โดยไม่คาดฝัน จาก 1 สมอง กับ 2 มือ ผมคิดคนเดียว แล้วก็จ้างคนที่เป็นมืออาชีพมาช่วยคิด เพราะผมอยากทำงานกับมืออาชีพ ผมเชื่อว่าธุรกิจเพลงไม่มีวันตาย ลูกทุ่งไม่มีวันตาย อินดี้ก็เหมือนกัน สตริงก็เหมือนกัน ทุกดนตรีแหละครับ ทุกชนชาติ ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก ฉะนั้นผมทำธุรกิจเพลงเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะมีเยอะเป็น 100 คน ผมก็รับได้ เพราะว่าเก่าไปใหม่มา ดวงดาวเต็มท้องฟ้ามีเป็นล้านๆ ดวง แต่ใครล่ะจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ เราเฟ้นหาช้างเผือก เราค้นหาดอกไม้ ใครจะมาเป็นดอกไม้เบ่งบานในป่า เราก็จะให้พื้นที่ของไหทองคำ เป็นพื้นที่ของคนล่าฝัน เป็นพื้นที่ของคนตามหาฝันด้วยเสียงเพลง” |
มีครูสลาเป็นไอดอล
“ดูครูสลาเป็นเรฟเฟอเรนซ์ เป็นไอดอล ผมก็ซื้อหนังสือครูมาอ่าน ครูก็บอกวิธีการเขียนเพลง ทำยังไงให้มันโดนใจ ขึ้นต้นโดนใจ เนื้อในคมชัด ประหยัดคำพูด ไม่วกวน ถ้าสรุปไม่ได้ ทิ้งท้ายเป็นคำถาม รองเท้าคู่นั้นเป็นใคร ช่างหยามใจพี่ชายเหลือเกิน, มื้อแลงว่างบ่, กินข้าวแล้วหยัง, ไผโทรมาน้อ, เหนื่อยไหมคนดี มีพี่เป็นแฟน เริ่มจับทางว่า อ๋อ..แต่งเพลงต้องมีคำถามขึ้น จะดีกว่าประโยคบอกเล่า แต่ถ้าถามปุ๊บ มันจะหยุดจึกเลยคนที่ฟัง ก็เลยได้แนวคิดมาเรื่อยๆ ก็เริ่มจับทางถูก เขียนเพลงเสนอค่ายเพลง บางทีก็ผ่าน บางทีก็ไม่ผ่านค่ายใหญ่หลายๆ ค่าย จนได้เป็นโปรดิวเซอร์ร่วมกับอาจารย์ที่แต่งเพลง ก็เริ่มเข้าใจว่า อ๋อ..ถ้าแต่งเพลงให้ค่ายใหญ่ ต้องมีการสร้างคอนเทนต์ แต่ก่อนเขาไม่ได้เรียกว่าคอนเทนต์ เขาเรียกว่าสร้างอัตลักษณ์ ว่าศิลปินควรจะมีอะไรเป็นตัวจำ อาจจะมีผ้าขาวม้ามัดหัว หรืออาจจะมีเข็มขัดหมุนติ้วๆ อาจจะมีเสื้อผู้ใช้แรงงาน เสื้อลายสก็อต เป็นสื่อออกมาว่า คนนี้ต้องจับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน คนนี้ต้องจับกลุ่มของผู้หญิงที่พลัดพรากบ้านเมืองมา หรือเป็นคาแรกเตอร์ของคนต้องเซ็กซี่ เต้น เด้ง เด้า เริ่มตั้งแต่เพลงละ 3 พัน 5 พัน 7 พัน หมื่นนึงบ้าง ซื้อขาดก็หมื่นห้า 2 หมื่น พอขายได้บ้าง ผมก็เริ่มมีทุนมาทำดนตรี ก็หาคนมาทำเพลง ก็ไม่ดัง ตอนนั้นคือบ้าคลั่งในการทำเพลงมาก อยากจะมีนักร้องเป็นของตัวเอง” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : Facebook “ประจักษ์ชัย ไหทองคำ”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **