เพราะความลับไม่มีในโลก เลยส่งให้ “ตำนานนักร้องลูกทุ่งเกิร์ลกรุ๊ป” กลายเป็นไวรัลอีกครั้ง เธอผู้เคยโด่งดังจากค่ายอาร์สยาม ภายใต้เสียงร้องเพราะๆ และความสดใสของเธอ แต่ใครจะรู้ว่าหูของเธอ “ได้ยินเพียงข้างเดียว” มาตลอดชีวิต และนี่คือเบื้องหลังความพยายาม ก้าวข้ามผ่านความอาย ถูกตราหน้าว่าตกอับ จนมาเป็น “หนูเล็ก” ในวันนี้
ปิดมาทั้งชีวิต เพื่อมาไวรัลวันนี้
“เรารู้สึกว่า สิ่งนี้มันก็พิเศษกว่าคนอื่นเขา นักร้องน้อยมากที่หูจะไม่ได้ยินอีกข้างนึง เราไม่เคยบอกใครว่าเรามีหูข้างเดียวนะ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันทำตามความฝันได้อยู่นะ มันคือความลับที่ทุกคนไม่เคยรู้ ถ้าทุกคนได้รู้ ทุกคนจะต้องอึ้งไปกับหนู ว่าหนูเป็นนักร้องที่มีหูแค่ข้างเดียว”
“หนูเล็ก-บลูเบอร์รี่ อาร์สยาม” หรือ “หนูเล็ก-เบญจวรรณ โภคทรัพย์” นักร้องลูกทุ่งเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังในตำนาน อย่างวง “บลูเบอร์รี่” ที่ประกอบไปด้วย 3 สาว ออม, โบว์, หนูเล็ก ที่แฟนๆ คุ้นชื่อเพลงเป็นอย่างดี อย่างเช่นเพลง ชิมิ, เจ้าที่แรง, โทรจิก, จุงเบย จุงเบย
งานนี้ทำเอาแฟนๆ อึ้งไปตามกันๆ หลังจากที่เธอออกมาเปิดเผยความลับในช่อง TikTok ของเธอ ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ว่าเธอนั้นเป็นนักร้องที่หูดับข้างหนึ่งมาตลอดชีวิต
ทำเอาคลิปดังกล่าว กลายเป็นไวรัล หลายคนต่างเข้ามาคอมเมนต์ส่งกำลังใจให้เธอกันอย่างล้นหลาม พร้อมกับบอกว่า เป็นพรสวรรค์ที่ได้เธอมา และเก่งมากที่ผ่านมาได้
ล่าสุดเธอก็เปิดใจถึงเรื่องราว ที่ทำเอาไวรัลไปทั่วโซเชียลฯ ว่าตกใจที่คนให้ความสนใจ เพราะที่โพสต์ไป ก็ไม่คิดว่าจะมีแฟนๆ ให้ความสนใจ และเข้ามาให้กำลังใจเยอะมากขนาดนี้ แต่ด้วยความที่เรายังร้องเพลงได้ปกติ ทุกคนเลยไม่รู้
“จริงๆ แล้ว เป็นความลับที่หนูไม่เคยบอกใครเลย นานมากๆ เราเป็นตั้งแต่เด็กแล้ว พอเรามาเป็นนักร้อง ก็ไม่เคยบอกใคร แต่พอดีว่ามันมี challenge คอนเทนต์ใน TikTok แบบว่าเขาลงเรื่องความลับต่างๆ กัน เราก็นึกได้ว่าเรามีความลับนี้อยู่นะ ที่ไม่มีใครรู้เลย ว่าเราเป็นนักร้อง แต่มีหูแค่ข้างเดียว
ทั้งเพื่อนสนิทที่เป็นนักร้องด้วยกัน ทั้งเพื่อนมหา’ลัย ก็ไม่มีใครรู้ เราไม่เคยบอกเลย แต่เวลาถ้าใครคุยกับเรา ถ้าเขากระซิบข้างซ้าย เราก็จะแบบไม่เอา เปลี่ยนข้างกระซิบก่อน กระซิบข้างขวา
บางทีเขาก็จะงงว่าอ้าว..ทำไมกระซิบข้างนี้ไม่ได้ เราก็จะบอกว่า ไม่เอาไม่ชอบจั๊กจี้ คือเราไม่เคยบอก คอนเทนต์นี้ ก็ทำให้ทุกคนเข้ามาแล้วก็ตกใจ เฮ้ย..เราหูหนวกข้างนึงจริงๆ เหรอ
ไม่คิดว่ามันจะเป็นไวรัลขนาดนี้ คิดแค่ว่าคนน่าจะอึ้ง เพราะว่าไม่เคยบอกใครเลยจริงๆ ญาติพี่น้องบางทีก็ยังไม่รู้เลย แล้วก็ร้องเพลงของเราเป็นปกติ
ตกใจว่าคลิปมันรันเร็วมากค่ะ แล้วคนมาคอมเมนต์เยอะมาก ว่าพี่เก่งมากนะ บางคนก็ยังไม่เชื่อว่าจริงเหรอ ใช่เหรอ บางคนเข้ามาบอกเราว่าหนูก็เป็นค่ะ ซึ่งพอหนูไปอ่าน คนได้รับการได้ยินข้างเดียวเหมือนหนูก็เยอะมากๆ ค่ะ”
เธอเล่าว่า เธอเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่แม้จะมีข้อจำกัดทางร่างกาย แต่ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักร้องมืออาชีพได้เป็นอย่างดี ด้วยเสียงร้องที่ไพเราะและผลงานเพลงที่โด่งดังมากมาย
“ได้ยินข้างขวา ข้างซ้ายไม่ได้ยิน ก็คือไม่ได้ยินเลยตั้งแต่เด็ก ก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ยินตอนประมาณสัก ป.1 เราไปห้องโสตทัศนศึกษา แล้วเราก็ไปครอบหูฟัง เสร็จแล้วเราก็ฟัง ทำไมมันไม่ดังสักที
จนเราก็ไปเร่งเสียงจนสุด มันได้ยินเป็นเสียงดังตุ๊บๆ เหมือนมีอะไรกระแทกแรงมาก แต่ไม่ได้ยินเสียง พอเราพลิกฝั่งปุ๊บ หูแทบแตก เพราะเราเปิดดังมาก แต่ข้างนี้เราไม่ได้ยิน แล้วเราก็แบบเฮ้ย..ฉันไม่ได้ยินข้างนี้เหรอ
กลับมาบ้านก็มาบอกพ่อกับแม่ แต่เขาไม่เชื่อ เขาคิดว่าเราพูดเล่น ไม่เชื่อเหรอก พูดอะไรเนี่ย หาพูดไปเรื่อย จนเราก็แบบบไม่พูดแล้ว เขาก็คิดว่าเราร้องเพลงได้ คิดว่าเราปกติ และเราก็ไม่เคยบอก แล้วเราก็เป็นคนชอบพูดเล่น พูดไปเรื่อยตอนเด็กๆ จนโตมาก็ไม่ได้บอกใคร ก็มาบอกเขาอีกทีนึงว่าเป็นจริงๆ นะเนี่ย เขาก็บอกว่าเป็นเเหรอ แต่ก็บอกเขาไปว่าไม่เอาไม่รักษาแล้ว
เคยมีไปตรวจ เหมือนเป็นศูนย์รับฟัง ศูนย์เครื่องช่วยฟังอะไรอย่างนี้ค่ะ เขาก็บอกเราว่าจากที่เรารับฟังมา เสียงที่เราได้ยินทั้งหมด มันมาจากข้างขวาหมดเลย คือข้างซ้ายบอดเป็นศูนย์ แต่เขาให้เราไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลต่อ ต้องไปตรวจพวกเส้นประสาท แต่เราก็ไม่ไปแล้ว ปล่อยๆ ไป ไม่เป็นไรแล้วกัน ไม่อยากรู้แล้ว
อีกอย่างก็กลัวว่า ถ้าเรารักษาขึ้นมาจริงๆ และเราได้ยินเสียง เราจะหูวิ้งหรือเปล่า คือเหมือนคนเคยได้ยินข้างเดียวมาตลอด พอมาได้ยินสองข้าง เอ๊ะ..มันจะโคลงเคลงหรือเปล่า เราจะร้องเพลงเพี้ยนหรือเปล่านะ เราก็เลยไม่เอาแล้ว ไม่รักษาดีกว่า
คือมันน่าจะเป็นศูนย์ตั้งแต่แรกหนูว่า เราไม่รู้เรื่องเลยว่ามันได้ยินหรือไม่ได้ยิน แต่ว่าตอน ป.1 เราเริ่มรู้เรื่องแล้ว เราก็เลยอะ..ไม่ได้ยินจริงๆ”
“ชัดเป็นพิเศษ” ทดแทนหูอีกข้าง
ส่วนเรื่องที่เพิ่งออกมาบอกถึงความลับนี้ เธอบอกว่า เหตุผลส่วนนึงคืออาย ถ้าบอกไปแล้ว ก็กลัวจะโดนเพื่อนล้อ จึงไม่อยากบอกใครไปเลย
“เราอยู่กับมันตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็ได้ยินอีกข้างนึง เราก็เลยไม่ได้ซีเรียสมาก แต่แค่ตอนเด็กๆ เราอาจจะยังไม่กล้าบอกใคร ว่าฉันไม่ได้ยินข้างนี้นะ บางทีอาจจะโดนล้อ เราก็เลยไม่พูดไปเลยดีกว่า เดี๋ยวเพื่อนมาว่าไอ้หนวก เดี๋ยวเราจะเศร้าไปเอง ก็เลยไม่พูดเลย
คือเราไม่รู้ว่าเราพูดไป แล้วเขาจะพูดกับเราต่อยังไง ขี้เกียจมานั่งอธิบายต่อว่า เราไม่ได้ยินจริงๆ เราก็เลยเลือกที่จะไม่พูดเลย ก็มีอายนิดๆ หน่อยๆ ก็เลยไม่บอกเพื่อนแล้วกัน เพื่อนไม่รู้เลย เพื่อนสนิทก็ไม่รู้”
ส่วนอุปสรรคในการใช้ชีวิต เธอก็บอกว่า ก็ยังโชคดีที่ยังมีข้างขวาอยู่ มันก็เลยทำให้อุปสรรคมันไม่ค่อยมี ทั้งในการใช้ชีวิต และการร้องเพลง
“มันก็ยังโชคดีที่ยังมีข้างขวาอยู่ มันก็เลยทำให้อุปสรรคมันไม่ค่อยมี จะมีแค่แบบใครมากระซิบไม่ได้ยิน หรือถ้าใครพูดเบาๆ เราก็จะห๊ะ อะไรอย่างนี้ แล้วเราก็จะเป็นคนที่พูดดังกว่าคนอื่นเขาหน่อย เพราะว่าเราไม่ได้ยินอีกข้างนึงแค่นั้นเลย แต่เรื่องอื่นๆ ก็ยังใช้ชีวิตได้ปกติ
ในการร้องเพลงก็เป็นคนที่ร้องเพลงแล้วตรงคีย์มากๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว หมอบอกว่าข้างขวาได้ยินเยอะกว่าปกติ เหมือนสมมติคนปกติ 100 เราอาจจะได้ยินสัก 120-130 เยอะกว่าปกติ เหมือนประมาณว่า ข้างซ้ายย้ายมาอยู่ข้างขวา น่าจะปรับตัวแล้วก็เลยได้ยิน
ของคนอื่นหนูไม่แน่ใจ แต่ว่าของหนูที่เราไปตรวจมา พิเศษกว่าข้างซ้าย เวลาที่เราไปร้องเพลงตามงานคอนเสิร์ต เราจะได้ยินเสียงมอนิเตอร์ หรือว่าสมมติถ้าเป็นเสียงสะท้อน เสียงก้องๆ เราจะสามารถจับเสียงต้นได้ ทั้งที่บางคนอาจจะงงๆ มันก้องมันตีกลับ แล้วเราก็ร้องเพลงตามจังหวะถูกได้
หนูว่าคือด้วยความที่เราอยู่กับมัน หนูไม่แน่ใจว่ามันยากไหม แต่ถ้าสำหรับหนูมันไม่ยาก แต่ถ้า ณ ปัจจุบัน มีการใส่อินเอียร์ ถ้าเป็นยุคหนู หนูคงไม่ได้ใส่
เพราะว่าถ้าสมมติเราปิดข้างนี้แล้ว อีกข้างนึงเราก็จะไม่ได้ยินอะไรแล้ว เพราะเหมือนว่าข้างนึงฟังเสียงร้องตัวเอง อีกข้างนึงฟังเสียงดนตรี ซึ่งหนูอาจจะได้ยินแค่อย่างเดียว มันก็ไม่สามารถใส่อินเอียร์ได้
ซึ่งเวลาร้องเพลงหนูไปซื้อหูฟัง หนูก็ใส่แค่ข้างเดียวนะ หนูก็ไม่ได้ใส่ 2 ข้าง เพราะหนูรู้สึกว่าข้างนี้ใส่ไปมันก็ไม่ได้ยิน แต่ถ้าอยู่ข้างนอกก็อาจจะแอ๊บใส่บ้าง ให้คนไม่รู้ ตอนนี้ก็ไม่ต้องแอ๊บแล้ว ทุกคนรู้แล้ว
อีกอย่างคือหนูชอบร้องเพลงมาตั้งแต่ 2 ขวบ สมมติตรงนี้เราร้องเพลงผิดคีย์เรารู้แล้วว่าเพี้ยน แต่สำหรับคนอื่นหนูก็ไม่รู้ว่าเขาฟังดนตรี เส้นเสียงมันเหมือนกันไหม”
ดังได้เพราะแม่บอก
ย้อนกลับไป รู้จักเธอให้มากขึ้น สำหรับการเส้นทางการเป็นนักร้องของเธอนั้น เธอบอกว่า จุดเริ่มต้นมาจากการชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก บวกกับคุณพ่อคุณแม่ก็ซัพพอร์ตเต็มที่ ทั้งช่วยฝึกร้อง และส่งไปเรียนร้องเพลงแบบจริงจัง เพื่อจะผลักดันให้ลูกทำตามความฝันแทนตัวเอง ที่อาจจะไปไม่ถึงฝัน
“ตั้งแต่จำความได้ คุณแม่บอกว่าก็เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ 2 ขวบ เหมือนเริ่มพูดได้ ก็ร้องเพลงเลย คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะสนับสนุนตลอด เพราะว่าเขาชอบ เขาก็จะส่งไปเรียนร้องเพลง ก็ไปเรียนกับ‘ครูอ้วน-มณีนุช เสมรสุต’ ไปเรียนกับหลายๆ ที่เลยค่ะ แล้วก็เริ่มมาประกวดร้องเพลง เดินสายตามงานวัด
คุณแม่ชอบร้องเพลงมาก แต่ด้วยความที่คุณแม่เกิดในครอบครัวคนจีน เขาจะไม่สามารถออกไปร้องเพลงได้ คือก๋งก็เป็นคนจีน คุณยายก็เป็นคนไทย เหมือนว่าคนจีนเขาก็จะมีความเชื่อในสมัยก่อน เต้นกินลำกิน อย่าไปหาให้ลูกร้องเพลง
คุณแม่เขาก็คิดมาตลอดว่าฉันอยากร้องเพลง ทำไมฉันไม่ได้ร้อง พอเขารู้ว่าลูกเขาชอบร้อง ฉันจะส่งเสริมลูกฉันให้สุดความสามารถ เท่าที่ฉันจะทำได้ แล้วก็พาเราไปประกวดร้องเพลง พาเราไปเรียนร้องเพลง คือทำทุกอย่างให้ลูกได้ร้องเพลง
ส่วนการมาเป็นศิลปิน ก็เหมือนเป็นจุดหนึ่งที่เราได้สานฝันของเขาด้วย เขาก็จะมีความสุข เพราะเหมือนมีคนอยากให้เขาไปร้องเพลง แต่เขาไปร้องไม่ได้ เพราะว่าก๋งกับยายเขาก็ไม่ให้ไป”
เธอเริ่มจากเดินสายประกวดตามงานวัด ที่เริ่มจากการร้องเพลงสตริง จนพอจับจุดได้ว่าตัวเองเหมาะกับเพลงลูกทุ่งมากกว่า จึงหันเข็มทิศเบนไปสู่วงการลูกทุ่ง
“จริงๆ ตอนแรกเราไม่ได้ร้องลูกทุ่ง คุณแม่บอกว่าถ้าอยากได้เงินเยอะๆ แกต้องร้องเพลงลูกทุ่ง เพราะว่าเงินมันเยอะ งานมันเยอะ ก็เลยโอเค ตอนแรกร้องสตริง
คุณแม่เป็นคนชอบร้องเพลงอยู่แล้ว เขาก็จะร้องเพลงลูกทุ่งของแม่ผึ้ง-พุ่มพวง เราก็ฟัง แต่ว่าเราก็ยังร้องไม่ค่อยเก่ง เราก็มาฝึก เพราะแม่บอกว่าถ้าอยากรวยต้องร้องเพลงลูกทุ่ง
เราก็เลยเริ่มฝึกร้องเพลงลูกทุ่ง ก็เริ่มประกวดร้องเพลงลูกทุ่งเดินสายไปเรื่อยๆ แล้วเหมือนงานวัดทุกวัด มันจะต้องมีศิลปินลูกทุ่งไป เราก็โอเคร้องเพลงลูกทุ่งแล้วกัน ก็เริ่มร้องมา แล้วก็รู้สึกว่าเสียงเรามันเข้ากับลูกทุ่งมากกว่า
ตอนแรกๆ ร้องสตริง เพื่อนก็จะบอกว่ามันออกลูกทุ่ง เราก็อ้าว..เเหรอ เราก็ร้องลูกทุ่งเลย จนตอนเรียนโรงเรียนมัธยมที่ ป.ร.อ. (โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง) ที่ปราจีนบุรี ไปร้องเพลงคุณลำใย ของลูกนก สุภาพร
พอหนูร้องเพลงนี้เท่านั้นแหละ ทั้งโรงเรียนเรียกหนูลำใยหมดเลย ทั้งโรงเรียนให้ฉายานี้ คือเดินไปไหนก็มีแต่คนล้อ ว่าไงคุณลำใย ตอนนั้นคือคุณลำใยกำลังดัง ก็เลยร้องเพลงลูกทุ่งตั้งแต่ตอนนั้น”
จากนั้น เธอเดินเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่งแบบจริงจัง เมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยการประกวดดาวรุ่งลูกทุ่งไทยแลนด์ ของค่ายอาร์ สยาม ด้วยการเป็นศิลปินเดี่ยวก่อน
หลังจากนั้นก็ได้กลายเป็นศิลปินฝึกหัดของค่ายอาร์สยาม ทางค่ายจึงจับมารวมตัวกันในชื่อ“บลูเบอร์รี่” โดยปรับแนวเพลงจากลูกทุ่งแท้ กลายเป็นลูกทุ่งโมเดิร์นร่วมสมัย จนเพลงก็ยังถูกหยิบยกมาร้องมาเต้น และเป็นก็ยังเป็นที่พูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้
“ถ้าประกวดแบบจริงจังเลย ก็จะประกวดมาตั้งแต่ ม.1 ประกวดงานโรงเรียน งานวัด แต่ที่มีจะประกวดที่ทำให้หนูเข้ามาเป็นนักร้องได้ ก็คือตอนช่วง ม.6 หนูประกวดโครงการดาวรุ่งลูกทุ่งไทยแลนด์ คล้ายๆ ฟีล AF ที่เอานักร้อง 77 จังหวัดมาอยู่บ้านด้วยกัน แล้วก็ถ่ายทอดตามช่องทีชาแนล
เราได้ที่ 1 ของโครงการนั้น แล้วทีนี้ผู้ใหญ่เขาก็เลยเข้าไปคุยกับทางอาร์เอส เอาเด็กๆ ไปแล้วก็ให้เด็กๆ ไปออดิชั่น ก็เลยได้เข้าไปอาร์เอส นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปิน
เข้ามาอาร์เอส ก็คือออดิชั่นเด็กๆ จากการประกวดนี้ได้ 10 คน อาร์เอสก็ออกเพลงให้คนละ 1 เพลง ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเพลงเดี่ยว ก็จะมีพี่ออม พี่โบว์ ซึ่งอยู่ในนี้ด้วย แต่ละคนก็จะมีเพลงเดี่ยว แต่ก็ยังไม่ดัง
แล้วมีอยู่วันนึงไป outing กับอาร์สยาม ปีใหม่ เขาก็เลยให้ขึ้นไปร้องเพลง เราก็เลยจับกลุ่มกันขึ้นไปร้องเพลง แล้วเพลงที่เราร้องน่าจะเป็นเพลงแม่ผึ้ง-พุ่มพวง ค่ะ อื้อฮือ...หล่อจัง
แล้วเหมือน ‘พี่เณร-ศุภชัย นิลวรรณ’ เห็น แล้วเขาก็บอกว่า น่าเอา 3 คนนี้มาปั้นเป็นเกิร์ลกรุ๊ป เพราะมันยังไม่มี เสร็จแล้วก็เรียกมาคุย เราก็โอเคๆ แต่จริงๆ ตอนแรกเลยพี่เณรบอกว่า กลุ่มลูกค้าตอนแรกจริงๆ ไม่ใช่เด็กๆ หรือแบบว่าที่ทุกคนฟัง
ตอนแรกก็จะให้ป๋าๆ ฟังดีกว่า คุณมีอายุฟังหน่อย สุดท้ายพอเพลงออก มีแต่เด็กอนุบาลเต้น ทุกคนเต้นเพลงหนูยกเว้นป๋าๆ ไม่มาฟังเลย (หัวเราะ)”
ต้องบอกเลยว่าในตอนนั้น บลูเบอร์รี่ปล่อยเพลงแรกออกมา ก็ดังเปรี้ยงเลย คือพวกเขาเปิดตัวในเพลง “ชิมิ” โดยมีแนวดนตรีลูกทุ่งกึ่งป็อป มีความทันสมัยมากขึ้น จึงทำให้วงบลูเบอร์รี่เป็นที่นิยมได้อย่างง่ายดาย
จนต่อมา พวกเขาได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 ออกมาอย่างเพลง “มีเวลาโทรมาด้วยเเหรอ” ก็ยังได้รับการเสียงตอบรับที่ดีเหมือนเคย หรือแม้แต่ปล่อยซิงเกิลที่ 3 ออกมา คือเพลง “เจ้าที่แรง” ก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้น เรียกได้ว่าเพลงดังเกือบทั้งอัลบั้ม จนส่งผลให้บลูเบอร์รี่ กลายเป็นเกิร์ลกรุ๊ปชั้นนำในขณะนั้น
“มันจะเหมือนเป็นลูกทุ่งป๊อป เป็นการทำครั้งแรกเหมือนเปิดมิติใหม่ของวงการลูกทุ่ง คือทางอาร์เอสเข้ามามีส่วนร่วมกับทางอาร์สยาม นักแต่งเพลงก็จะมาจากทางฝั่งอาร์เอส สไตล์ที่เราร้องเป็นลูกทุ่งนะ แต่ดนตรียังเป็นสตริง มีความผสมกันแล้วลงตัวพอดี ด้วยความแปลกใหม่ อย่างออกเพลงชิมิมา เจ้าที่แรงมา มันไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนศิลปินคนไหนที่เคยออกมาเลย เป็นวงแรก เป็นเกิร์ลกรุ๊ปลูกทุ่ง ก็เลยทำให้ดัง
คือเอาจริงๆ การที่พวกหนูดัง หนูถือว่าเป็นโบนัสแล้ว เราไม่เคยคิดเลยว่าเราจะดัง เราไม่เคยคิดว่าเพลงชิมิออกมา แล้วเราจะดัง เพราะเราอัดเพลงคือแค่ทำขำๆ ว่า เออลองเอาไอ้ 3 คนนี้ ไปร้องเพลงด้วยกันสิ แล้วเราก็ไม่ได้คิดว่าเพลงเรามันจะดังเปรี้ยงขนาดนี้ค่ะ
เพลงไม่ทันออก หนูได้ไปลองไปโชว์ก่อนที่งาน FM 95 ไปขึ้นเวทีปีใหม่เขา เรายังไม่ได้มีชื่อวงเลยด้วยซ้ำ แล้วเราก็ไม่มีท่าเต้น หนูเป็นคนบอกเพื่อนว่า ชิมิ ชิมิ เต้นยังไงดี ก็บอกว่านี่ทำงี้ๆ แค่นั้นเลย เราก็บอกเพื่อนหลังเวทีอย่างนั้นเลย ก็ขึ้นไปร้อง
พอลงจากเวทีเท่านั้น เดินผ่านโต๊ะไหนทุกคนเรียก ชิมิ ชิมิมานี้หน่อย ชิมิ ชิมิ ถ่ายรูปหน่อย แล้วหลังจากนั้น FM 95 เปิดก็เริ่มดัง ทีนี้ก็เลยตีตลาดทั่วประเทศ”
โดนดูถูก อาชีพเต้นกินรำกิน
แม้จะโด่งดัง เป็นที่ยอมรับ เธอยังเคยโดนดูถูกว่าทำอาชีพเต้นกินรำกิน แต่เธอก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจคำพูดด้านลบของคนเหล่านั้น
เพราะเธอรู้สึกว่า อาชีพนักร้องนักร้อง เป็นอาชีพที่น่าภูมิใจมาก ต้องใช้ทั้งความอดทน ความพยายาม และความสามารถเยอะมาก
“บางคนเป็นศิลปินเป็นดารา เงินเยอะมากค่ะ เลี้ยงครอบครัวได้หมดเลย คือหนูเฉยๆ มากเลยนะ เพราะเขาไม่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่คืออะไร เราไม่ได้ไปเต้นโอ้โห..เปลื้องผ้า
คือเราไปร้องเพลงจริงๆ ก็ไปทำงาน ได้เงินกลับมาบ้าน ไม่ได้ไปทำอย่างอื่นที่มันไม่ดี และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราชอบ เราก็เลยเฉยๆ กับคนที่เขาพูด เขาไม่ได้เป็นเรา เขาก็ไม่รู้เหรอก เราจะรู้ตัวเองดีว่าเราทำอะไรอยู่ เราก็เต็มที่กับความฝันของเราไป”
นอกจากจะเคยดูถูกว่าเป็นอาชีพแค่เต้นกินรำกินแล้ว เธอยังบอกอีกว่า สมัยก่อนเพลงลูกทุ่ง ไม่ได้รับการยอมรับมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะการจ้างงานก็ยังมีข้อจำกัดหลายๆ อย่าง เช่นเธอบอกว่า ค่านิยมสมัยก่อน การจะจ้างนักร้องลูกทุ่งไปร้องเพลงบนห้างฯ ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก รวมถึงไปถึงใครฟังเพลงลูกทุ่งสมันก่อน จะโดนว่าเป็นบ้านนอก
“เคยจำได้ว่าบางทีแบบ เราจะไปร้องเพลงตามผับหรือตามห้างฯดังๆ เขาก็ยังแบบร้องลูกทุ่งไม่เอา ไม่ให้ขึ้นห้างฯนะ ขึ้นไม่ได้ ไม่เอาดีกว่า หรือเราจะไปเล่นละครหรือทำอะไร ลูกทุ่งเเหรอ ยังไม่เอาน้องดีกว่า มันจะมีค่านิยมอะไรแบบนี้อยู่ในตอนนั้น
เราก็รู้สึกแบบทำไมวะ ลูกทุ่งแล้วมันทำไม แต่เรามีความสามารถนะ ฉันก็เล่นละครได้ เพลงฉันก็ดังนะ แต่ว่าร้องไม่ได้ ห้างฯเขาไม่ให้ร้อง ซึ่งมันก็รู้สึกแหละ อย่าให้เห็นร้องเพลงลูกทุ่งนะ เราก็ได้แต่คิดในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในสมัยนั้น
เขาเรียกว่ามันจะมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ ความลูกทุ่งกับความสตริง การดูแล การได้รับการต้อนรับอะไรอย่างนี้มันก็จะมี แต่เราก็ปล่อยผ่าน เราก็ได้แต่คิดว่า อย่านะถ้าลูกทุ่งดังขึ้นมานะ เราก็ได้แต่คิดในใจไป เราไม่สามารถไปพูดได้ เพราะว่าตอนนั้นด้วยกระแสลูกทุ่งมันก็ยังไม่ได้ขนาดนี้
แต่ก่อนในผับน้อยมากที่จะร้องเพลงลูกทุ่ง แต่สมัยนี้เอาไปร้องกันหมดเลย เพลงแต่ละเพลงที่ดังๆ ในผับเอาไปเล่นหมดเลย แล้วคนร้องเพลงลูกทุ่งในผับเยอะมาก
คือเพลงบลูเบอร์รี่ก็มี อย่างท่าช้าง ก็มีเพลงตัวเองเปิดอยู่ คือสมัยก่อนเพลงลูกทุ่งเขาจะไม่เปิดเลย เขาจะเปิดแต่สตริง แต่ในสมัยนี้เพลงพี่ตั๊กแตน เพลงแกรมมี่ อาร์เอสเปิดหมด แล้วคนก็ร้องตามกันกระหึ่มมาก
ด้วยความที่สมัยนี้เข้าถึงง่าย ทุกคนร้องหมด ทุกคน enjoy ลูกทุ่งมันคือบ้านเรา แต่สมัยก่อนมันคือจะแบบอุ้ย..ลูกทุ่งเหรอ อี้อะไรอย่างนี้ แต่ถ้าสมัยนี้ ลูกทุ่งมันเริ่ด มันมัน มันม่วน ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเพลงขึ้นทุกคนต้องเต้น อย่างหมอลำแต่ก่อนไม่มีเหรอกวัยรุ่นไปดู เดี๋ยวนี้มีแต่วัยรุ่นไปดูหมอลำ สนุกมาก”
ในทางกลับกัน เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ตอนนี้เธอดีใจมาก เพราะเรียกได้ว่าค่นิยมมันเปลี่ยนไปเยอะมาก เพระตอนนี้ลูกทุ่งแมสไปในคนทุกกลุ่ม
“แต่ตอนนี้ดีใจ เพราะรู้สึกว่าไปไหนคนก็เข้าถึงลูกทุ่งหมดเลย คือจริงๆ แล้วรากฐานของคนไทยมันคือเพลงลูกทุ่ง ทุกคนปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าฉันไม่ฟังนะเพลงลูกทุ่ง ขึ้น 30 ยังแจ๋วมา ยังไงคุณก็รู้ ยังไงคุณก็ร้องได้
แต่ก่อนมันจะมีความแอ๊บอยู่ว่าไม่เอา ไม่ฟัง แต่ถ้าสมัยนี้นะเพลงนี้มาปุ๊บ ลุกขึ้นเต้นกันหมด เพลงชิมิ เจ้าที่แรงมา ก็ช่วยกันร้อง มันรู้สึกดีใจที่เพลงลูกทุ่งอยู่กับทุกคน แล้วก็อยู่กับคนทุกกลุ่มค่ะ
อาจจะด้วยหลายๆ อย่าง ลึกๆ แล้วคนไทยก็ฟังเพลงลูกทุ่ง แล้วก็เด็กสมัยนี้มีการเปิดรับมากขึ้น หนูว่าวัยรุ่นยุคนี้เขา enjoy กับทุกอย่าง เขากล้าแสดงออกว่าเขาชอบอันนี้ หรือเขาจะทำอันนี้ มันก็เลยทำให้เวลาเขาฟังเพลงลูกทุ่ง ฉันก็ร้องเพลงลูกทุ่งทำไม มันเป็นยังไง ก็เลยทำให้แมสได้ง่ายมากยิ่งขึ้นค่ะ
สมัยก่อนการจ้างมันจะเป็นแบบ ส่วนมากมันจะเป็น Backing Track พอเป็น Backing Track ความสนุกมันน้อย หลังๆ มานี้ศิลปินทุกคนจะรับงานเป็นวงหมดเลย คือ Backing Track ก็จะน้อยลง
แต่ในสมัยหนูส่วนมากก็จะเป็น Backing Track บางทีเราไปเล่น ความสด ความสนุกมันจะไม่เท่าวง ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันดีกว่าเดิมนะ แล้วในสมัยนี้คนฟังเข้าถึงเพลงลูกทุ่งได้มากขึ้น ง่ายขึ้น เป็นไวรัลได้เร็ว แป๊บเดียวดังง่ายค่ะ แล้วคนก็ฟังแต่เพลงลูกทุ่ง”
ตำนานที่คนเรียกร้องให้กลับมา
แม้จะร้างเวทีกันไปหลายปี แต่แฟนๆ ก็ยังหยิบจับเพลงของ 3 สาวบลูเบอร์รี่ มาเล่นมาร้อง ในช่องทางโซเชียลฯ โดยเฉพาะใน TikTok อยู่บ่อยๆ
เธอยังบอกอีกว่า ดีใจมากๆ ที่แฟนๆ ยังนึกถึง ไปไหนมาไหนเวลาคนได้ยินคนเปิดเพลงบลูเบอร์รี่ มักจะมีแฟนๆ ส่งมาให้ดูอยู่บ้าง และเรียกร้องให้กลับมารวมกันอยู่ตลอด ซึ่งพวกเธอก็มีการคุยกันตลอดว่าอยากกลับมา
“ไปเที่ยวผับ ไปร้านอาหาร คนก็ยังฟังเพลงบลูเบอร์รี่อยู่ บางทีน้องไป เขาก็จะส่งมาให้เราดูว่า เขาเปิดเพลงแม่แล้วนะ เมื่อไหร่แม่จะกลับมา ซึ่งบลูเบอร์รี่ 3 คนอยากกลับมาร้องเพลงมาก อยากรวมตัวกันมาก งานบางทีด้วยความที่พี่โบว์เขาอยู่ต่างประเทศ การรับงานบางทีก็เลยจะยากนิดนึง ต้องเช็คคิวช้าหน่อย ก็เลยจะยากหน่อย”
หนูเล็กเอง ก็บอกว่าคิดถึงแฟนๆ และการร้องเพลงอยู่ตลอด เพราะเป็นอาชีพที่รักมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็มีคนติดต่อเข้ามาสอบถามคิวงานบ้าง แต่ยังไม่มีใครคอนเฟิร์ม
“ก็คิดถึงตลอด เพราะเรารู้สึกว่า นี่ก็เป็นอาชีพที่เรารักมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว การร้องเพลง คือจริงๆ แล้วงานในวงการเราชอบหมดเลย อยู่ที่ว่าถ้ามีโอกาสเราก็จะคว้าไว้
มีติดต่อมา แต่ยังไม่มีคอนเฟิร์มเลยค่ะ เจ้าภาพขา จ้างหนูหน่อยค่ะ(หัวเราะ) มีถามคิวมา แต่ว่าถามแล้วก็หายไป เรา 3 คนก็นั่งรอ มาไหมนะ เดือนนี้ก็มีถามมานะ อาจจะด้วยหลายๆ อย่างเขาก็ยังเลยไม่ได้คอนเฟิร์มให้ค่ะ
จริงๆ ก่อนที่จะท้อง หนูมีเพลงซิงเกิลออกมากัน 3 คน ที่กลับมารวมตัวกันในรอบ 9 ปี ชื่อเพลงว่ากิมจิ แต่ทีนี้ด้วยความที่เราท้อง เราก็เลยรับงานลำบากหน่อย เราก็เลยมาเลี้ยงลูก ก็มาคุยกันว่าอาจจะกลับเอาเพลงเก่ามาทำใหม่ เป็นเวอร์ชั่นที่เป็นของเรา กำลังคิดกันอยู่ค่ะ
เพราะคนถามหาเยอะมาก ทั้งใน TikTok ใน IG ทุกคนเข้ามาเมนต์เยอะมากว่าเมื่อไหร่จะกลับมา อยากให้พวกพี่ๆ มีงานจังเลย พวกหนูอยากไปดู ก็ขอบคุณมากๆ ที่น้องๆ หรือทุกคนที่เคยฟังเราตอนเด็กๆ ตอนนี้ก็โตแล้ว ก็อยากไปดูงานเรา อยากไปเห็นงานคอนเสิร์ตเรา ก็ฝากพี่ๆ ฝากเจ้าภาพทุกคน ถ้าสนใจจ้างบลูเบอร์รี่ก็ติดต่อได้เลย ไม่แพง ลดหลั่นได้”
ยุคนี้ดังง่าย แต่ต้องมีเอกลักษณ์
ในฐานะที่อยู่แวดวงนักร้องมานาน เธอมองว่า ยุคนี้การเป็นศิลปินนักร้อง เป็นอะไรที่ง่ายมาก แต่ที่สำคัญคือต้องมีเอกลักษณ์ และเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด
“ทุกวันนี้หนูว่าการที่จะเป็นศิลปินได้คือ ต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เอาความเป็นตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุด อย่างในสมัยก่อนเขาอาจจะมีเส้นให้เดินว่า ศิลปินคนนี้ฉันวางลุคไว้ว่าต้องเป็นแบบนี้
แต่ปัจจุบันนี้หนูมองว่า ความเป็นตัวเอง ทำให้เราเข้าถึงคนได้มากที่สุด แล้วคนก็จะชอบในตัวเรา อย่างทุกวันนี้ที่หนูลงคลิปใน TikTok ถ้าได้ดูคลิปหนูหลายๆ คลิป ลึกๆ แล้วหนูเป็นคนตลก เห็นอะไรก็จับมาเล่น เป็นคนตลก อย่างชีวิตหนูมุมตลกเยอะมาก
ถ้าสังเกตทุกคนจะเป็นตัวเองหมดเลย อย่างพี่ก้อง ห้วยไล่, จ๊ะ-นงผณี มหาดไทย, เบิ้ล ปทุมราช ทุกคนเป็นตัวเองหมดเลย แล้วหนูรู้สึกว่าดีนะ เวลาคนรักเราเขาก็จะได้เห็นในมุมมองของเรา ว่าเนี่ยแหละคือตัวตนของเราจริงๆ อย่างคนเข้ามาใน TikTok หนูก็จะบอกว่าเนี่ยแหละคือตัวตนหนูจริงๆ อยากให้เขาได้เห็นจริงๆ ในมุมนี้
หนูสร้าง TikTok มา เพื่อจะให้คนรู้ว่า หนูเป็นคนยังไง บางคนเข้ามาเขาก็จะบอกว่า นี่จริงๆ เป็นคนแบบนี้เหรอ ทำไมตอนอยู่บลูเบอร์รี่หนูเป็นคนเรียบร้อยมากเลย ตอนนั้นพี่อาจจะไม่ค่อยเห็นหนูพูดหรือเปล่า แต่จริงๆ หนูก็เป็นคนตลก เป็นคนทะลึ่ง ซึ่งพอได้ถ่ายคลิป คนเขาก็จะเห็นเราอีกมุมนึง
อาจจะด้วยความเด็กๆ แหละหนูว่า เวลาไปงานก็จะแบบค่ะอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นสมัยนี้อาจจะกล้าพูดมากขึ้น แล้วรู้สึกว่าบางอย่างมันพูดได้ เล่นได้ แต่ก่อนเราก็ไม่กล้าเล่น ความเอิ๊กอ๊ากอาจจะไม่ได้เท่าสมัยนี้ จะเล่นตลก หรือแซว ไม่เท่าสมัยนี้”
ความต่างเทียบสมัยก่อนกับสมัยนี้ เธอมองว่า ข้อดีในยุคนี้คือเพลงจะดัง และแมสเร็วมาก เพราะด้วยความที่สื่อโซเชียลฯ ไปไวมาไว และเข้าถึงคนอื่น ทุกวันนี้เราจึงเห็นศิลปินที่ผลิตผลงานเพลง ที่ไม่จำเป็นต้องมีค่าย ก็สามารถทำเพลงแล้วโพสต์ลงแพลตฟอร์ม หรือช่องทางโซเชียลฯ ของตัวเองให้คนได้รับรู้ทันที
ข้อดีอีกอย่างของนักร้องลูกทุ่งสมัยนี้คือ รายได้ดี เพราะตอนนี้อัตราการจ้างมันเยอะกว่าเดิมมาก ทั้งจำนวนงาน และค่าตอบแทนที่สูงคุ้มค่า
“ช่วงที่บลูเบอร์รี่พีคๆ ก็ประมาณ 15-17 ปีที่แล้ว ก็นานพอสมควรนะคะ ถามว่าต่างจากยุคนี้ หนูว่าต่าง ด้วยสมัยนี้การทำเพลงลูกทุ่ง อาจจะไม่ต้องเป็นศิลปินค่ายก็ได้แล้ว ทำเองได้โดยที่ทำเสร็จ ก็ไปลงตามแพลตฟอร์มต่างๆ
แล้วถ้าเพลงมีไวรัลขึ้นมา เพลงนั้นก็ดังได้อย่างรวดเร็วเลย ข้อดีในยุคปัจจุบันนี้ก็คือ สามารถดังด้วยตัวเองได้ อาจจะต้องไม่ต้องมีค่าอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วก็เพลงในสมัยนี้ หนูรู้สึกว่าเขาจะเน้นแบบสนุกๆ ก็เลยทำให้เพลงเรามันยังอยู่กับยุคปัจจุบันได้ ชิมิ เจ้าที่แรง ทุกคนก็ยังเอามาเล่นเป็นเพลงได้ เอามาใส่ในคลิปได้
ความต่าง ที่หลักๆ น่าจะเป็นเรื่องของทำเพลงเองได้ แต่ข้อดีแล้วก็ความต่างคือ ข้อดีของศิลปินยุคปัจจุบัน หนูว่าเงินดี เงินสูงกว่ายุคหนู อย่างยุคพวกหนู เงินจะไม่ค่อยเยอะ การได้งานแต่ละงานมันก็จะไม่เยอะเท่าศิลปินปัจจุบันนี้
บลูเบอร์รี่ค่าตัวสูงสุดน่าจะอยู่ประมาณ 6 หมื่นหาร 3 น่าจะพีคๆ สุด น่าจะไม่เกิน 7 หมื่นนะหนูว่า ยังไม่เคยถึงแสนเลย ก็จะหักเข้าค่าย ก็จะเหลือถึงเราประมาณ 2 หมื่นต่องาน บางคนก็จะคิดว่าบลูเบอร์รี่รวยมาก ซึ่งเรา 3 คนบอกเลยว่า ยังไม่รวยเลย
ถ้าเป็นสมัยนี้ค่าตัวน่าจะแสนกว่า คือได้งานนึงคือต้องมีคนละ 5 หมื่น แต่สมัยก่อนมันจะได้น้อย บลูเบอร์รี่เคยได้ค่าตัวน้อยสุดน่าจะแบบ 2 พันกว่า 3 พันก็มีนะ ช่วงดังแรกๆ หารกันแล้วเหลือ 3 พัน คือแบบอิหยังว่ะ จนต้องเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่
พี่เณรหนูขอเพิ่มหน่อยนะ ก็จะเพิ่มทีละนิด มาเป็นหมื่นห้า หารกันก็จะเหลือ 5 พัน มาเป็น 2-3 หมื่น เพราะว่าด้วยความที่ค่าตัวศิลปิน แต่ก่อนไม่แรง
แต่ตอนนี้อัตราการจ้างมันเยอะกว่าเดิม ถ้าสมมติดังๆ ค่าตัวต้องมีแสนขึ้น แต่ในสมัยก่อนดังๆ ก็ 6-7 หมื่น ไม่เกินนี้ แล้วก็เอามาหาร 3 มันก็จะเหลือไม่เยอะ แต่ถ้าปัจจุบัน ศิลปินบางคนก็แสนห้า 2 แสนเข้าไปแล้ว แต่สมัยก่อนมันไม่ถึงแสน มันถึงแสนมันก็จะดูแพง โอเวอร์ไป”
โดยเพาะในยุคนี้ ที่ตอนนี้ลูกทุ่งอินดี้กำลังมาแรง แต่ถึงยังไง เธอก็มองว่า ลูกทุ่งดั้งเดิม หรือลูกทุ่งจ๋าๆ ก็ยังไม่หายตายจากไปอยู่ดี
“ลูกทุ่งอินดี้ก็จะเป็นสไตล์อีสาน เขาก็จะมีสไตล์ของเขา มีตัวตนมีเอกลักษณ์ ยุคนึงก็เคยมีพลงลูกทุ่งใต้ก็มา พี่บ่าววี อะไรพวกนี้ เพลงเหนือก็จะมีกระแต ซึ่งมันก็จะอยู่ตามช่วงระยะเวลา ช่วงไหนอะไรจะดัง
แต่ลึกๆ แล้วมันก็จะมีพี่ๆ ที่เขาร้องเพลงลูกทุ่งแท้ๆ อยู่ แล้วอีกอย่างนึงที่หนูรู้สึกว่าที่เพลงลูกทุ่งเก่าๆ ที่เป็นลูกทุ่งแท้ๆ คนไทยก็ยังฟังอยู่ ยังไงก็ไม่หายไปเหรอก ยังไงคำว่าลูกทุ่งมันก็ต้องอยู่กับคนไทยไปตลอด มันหายไปยากมากค่ะ”
จริงๆ แล้วลูกทุ่งก็แบ่งได้หลายแนว ส่วนแนวเพลงที่เธอชอบจริงๆ จะเป็นแนวสนุกๆ โจ๊ะๆ หรือแม้แต่เพลงลูกทุ่งจ๋า ที่ต้องเอื้อนลูกคอ เธอเองก็ชอบด้วยเช่นกัน
“หนูชอบแนวโจ๊ะ สามช่า เพลงสนุก เพราะเราเป็นคนสนุก เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตแล้วมันสนุกมาก เวลาคนมาเต้นหน้าเวที คนก็จะจอยๆ ม่วนกันค่ะ ชอบสามช่าไม่เครียด เพลงลูกทุ่งจ๋าเราก็ชอบ แต่เรารู้สึกว่าเวลาเราร้องเพลงเร็วมันสนุก มันเข้ากับปากเราอะไรอย่างนี้มากกว่า
ถ้าสายประกวด แต่ก่อนก็จะมีโรงแรมใจ กอดฉันก่อนลา หม้ายขันหมาก ถ้าเป็นเพลงเร็วก็จะเป็นพวกพี่แมงปอ-ชลธิชา พวกนางสาวแนนซี่ เพลงลูกทุ่งเก่าๆ ในสมัยก่อนก็จะมีอยู่ไม่กี่เพลง ที่ทุกคนต้องร้องให้ได้ เวลาขึ้นมาประกวด 10 คน ก็ไปแล้วโรงแรมใจ 5 คน คือกรรมการก็นั่งฟังซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
แต่ในสมัยนี้ทุกคนสามารถเอาเพลงทุกเพลงไปประกวดได้เลย แค่ทุกคนมีความเป็นตัวเอง ทุกวันนี้หนูรู้สึกว่า การประกวดร้องเพลง เขาหาความเป็นศิลปิน หาความเป็นตัวของตัวเอง ดึงออกมาใช้ให้มากที่สุด
ถ้าในสมัยก่อนก็คือต้องเป็นแบบนี้นะ ขีดเส้นไว้เลยว่าถ้าร้องลุกทุ่งเธอต้องเอื้อนให้ได้เท่านี้นะ แต่ในสมัยนี้ร้องยังไงก็ได้ให้เป็นตัวเอง ร้องยังไงก็ได้ให้คนฟังรู้สึกว่าเราเป็นศิลปิน”
เธอบอกอีกว่า เธอมี “แม่ผึ้ง-พุ่มพวง ดวงจันทร์” เป็นไอดอล ยึดเป็นต้นแบบในการเป็นนักร้องมาตลอด เพราะรู้สึกว่าแม่ผึ้งเป็นคนที่เก่ง เป็นคนที่มีหลายอย่างอยู่ในตัวเยอะมาก ร้องเพลงอะไรก็เพราะ ไม่ว่าจะเป็นเพลงเร็ว หรือเพลงช้า
ผู้มาก่อนกาล นักร้องกินแดนเซอร์
ช่วงนี้กระแสแดนเซอร์กำลังมาแรง นักร้องกินแดนเซอร์ แดนเซอร์กินนักร้อง ล่าสุดหนูเล็กก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ออกมาโพสต์คลิปขำๆ ออกมาบอกว่า เธอเป็นนักร้องผู้มาก่อนกาล ผู้เปิดตำนานนักร้องกินแดนเซอร์ มาแล้วกว่า 9 ปี ซึ่งเรื่องนี้เธอเล่าว่า จริงๆ ไม่ใช่อยู่วงเดียวกัน ความจริงคือเป็นนักร้องบลูเบอร์รี่ กินแดนเซอร์กระแต อาร์สยาม
“คนละสถานะค่ะ เราไม่ได้เป็นอย่างงั้น อย่างเราก็คือ เขาเรียกว่าต่างคนต่างมาเจอกัน ต่างคนต่างโสดแล้วมาเจอกัน ส่วนแดนเซอร์ของหนูกินไม่ได้ เพราะว่าแดนซ์เซอร์บลูเบอร์รี่เป็นกะเทยกับผู้หญิง ไม่มีผู้ชายเลย”
เธอก็ย้อนเส้นทางความรักของทั้งคู่ให้ฟังว่า ย้อนไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เธอก็เป็นนักร้องดังแห่งค่ายอาร์สยาม ส่วนแฟนก็เป็นแดนเซอร์อยู่ในวง กระแต อาร์สยาม แต่ก่อนแดนเซอร์กระแตดังมาก ต่างคนต่างดัง
แต่ตอนนั้นเธอยอมรับว่า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย วันนึงเธอไปขายของที่เซ็นทรัล แล้วแฟนบังเอิญไปหาน้องศิลปิน จนเดินผ่านบูธเธอ แต่ไม่ได้ทักทายอะไรกัน จนกลับไปบ้าน แฟนของเธอก็มาคอมเมนต์เมนต์ในไอจี ว่าวันนี้พี่เห็นน้องด้วย
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นความรักในครั้งนี้ โดยเริ่มจากที่ผู้ชายทักมาหาก่อน เธอบอกอีกว่า ตอนที่แฟนทักมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นแดนเซอร์กระแต จนได้ไปส่องโปรไฟล์ถึงรู้ จนตอนนี้ทั้งคู่มีลูกชายที่น่ารักด้วยกันในวัย 1 ขวบ 10 ดือน
“ผู้มาก่อนกาล กินแดนเซอร์มาแล้วกว่า 9 ปี หนูกับพี่บอยอยู่คนละวง พี่บอยเป็นแดนเซอร์ เต้นให้กับกระแตอาร์สยาม หนูก็วงบลูเบอร์รี่ ก็มาเจอกันโดยบังเอิญ แต่ว่าเขารู้จักว่าเป็นศิลปิน แต่เราไม่รู้จักเขาเหรอก เขาไปเห็นเราขายของเนี่ยแหละ จากแม่ค้าไปขายของ เขาก็มาแอ๊วเรา แล้วเราก็เข้ามาดูในไอจี คนนี้หล่อเหมือนกันนะเนี่ย
อ้าว..เป็นแดนเซอร์ให้กับกระแต ไหนลองตอบไปหน่อยซิ ก็คอมเมนต์กันไปคอมเมนต์กันมา ตอบกันไปตอบกันมา นัดกันกินข้าว แล้วก็คุยกันมาตลอด เราก็โอเค เพราะตอนที่คบกันเขาก็ยังเต้นให้กับกระแตอยู่
แต่ตอนช่วงหลังๆ คบกันมาได้ประมาณ 2 ปี เขาก็เลิกเต้น เพราะว่าด้วยอายุเขาด้วย หลังๆ มาเขาก็ปวดหลังบ้าง เราทำออนไลน์แบบเต็มตัว ไม่มีใครช่วยเราทำ เขาก็เลยต้องออกมาช่วยเรา”
ท่าเต้นไม่เกี่ยว เธอมองว่าอยู่ที่ความใกล้ชิดมากกว่า ที่จะทำให้อาจจะเพลี่ยงพล้ำกันไปได้ เพราะไม่ใช่แค่วงการนักร้อง หรือแดนเซอร์เท่านั้น แต่มันมีแทบทุกวงการ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คนในที่ทำงานเดียวกัน จะชอบพอกันได้ แต่ต้องรักกันบนพื้นฐานของความถูกต้องด้วย พูดง่ายๆ คือต้องโสดทั้งคู่
“หนูว่าเรื่องความใกล้ชิด ท่าเต้นไม่เท่าไหร่เหรอก เรื่องความใกล้ชิด เรื่องการเจอกันทุกวัน เรื่องการเห็นหน้ากันอยู่ด้วยกันทุกวัน สัมผัสจับกัน อันนี้มีส่วนนิดนึง ถ้าสมมติไม่ได้เว้นระยะห่างเยอะ มันอาจจะมีความเหลื่อมล้ำกันเข้าไปได้
ท่าเต้นมันไม่เกี่ยว ถ้าสมมติผู้ชายมาเด้งๆ เด้าๆ ใส่เรา เราก็ฮู้..ไปกินกันเลย มันก็ไม่น่าใช่แล้ว หนูว่าเกิดจากการสัมผัส การจับมือแล้วมองหน้ากัน อันนี้มีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้สูง
นักร้องกับนักดนตรีมันก็มี นักร้องกับแดนเซอร์มันก็มี นักร้องกับ sound มันก็มี คนเราถ้ามันมองหน้ากันแล้วมันคลิกกัน หนูว่ามันได้หมดแหละ
ถ้ามันไม่ได้มีใคร ไม่ได้มีคนอื่น หรือเขามีเจ้าของอยู่แล้ว มันก็ไม่ได้มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดว่ามันมี มันก็ต้องไปเคลียร์กันก่อน ต้องแยกแยะกันไป
จริงๆ มันก็เป็นทุกวงการแหละ คนในที่ทำงานเดียวกันก็ต้องไปกินกัน มันเป็นเรื่องปกติ เพราะเราเจอกัน แต่อยู่ที่ว่ามันถูกต้องหรือเปล่า บางคนถูกที่ แต่ไม่ถูกเวลา ไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ดี”
ส่วนการออกกฎห้ามเด้งแรงใส่กัน เพื่อป้องกันความเพลี่ยงพล้ำ ระหว่างแดนเซอร์กับนักร้องนั้น เธอมองว่า ก็ไม่ได้ช่วยป้องกันอะไรเลย อยู่ที่คนมากกว่า จะอดใจไหวหรือเปล่า
“มันอยู่ที่คนแล้วแหละ ว่าจะอดใจไหวไหม การเด้งหรือไม่เด้งไม่น่าจะมีผล แต่การเจอหน้ากัน แล้วฉันชอบเธอจังเลย บางทีคนเรามันเจอสเปคเรา โดยที่มันคลิกขึ้นมามันก็มีเป็นไปได้ อยู่ที่ว่าเราจะห้ามใจเราได้ขนาดไหน
หรือถ้าเราก็มองเป็นเรื่องตลกไป ถ้าน้องมาเด้งใส่ สนุก ม่วนๆ แล้วก็ตบมือไปก็ได้ ก็จะไม่คิดถ้าเรามองเป็นตลก ถ้าสมมติเรามองว่าน้องคนนี้มันเต้นดี เอวมันดี มันก็จะมีการคิดไปเยอะนิดนึง ก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำไปได้ แต่ว่าการเด้งการอะไรหนูว่าเฉยๆ ออกกฎมาก็จะไม่ช่วยนะคะนายห้างฯ”
นอกจากนี้ เธอยังมองว่า การออกกฎเพื่อป้องกันความเพลี่ยงพล้ำอีกข้อ ด้วยการไม่ให้มีแดนเซอร์เป็นชายแท้ เธอก็มองว่า ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะนอกจากแดนเซอร์ อย่าลืมว่านักดนตรีก็มี ที่เป็นผู้ชาย
อีกอย่างเธอมองว่า การให้ชายแท้เป็นแดนเซอร์ มันมีความเท่ และสนุกในการโชว์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องบริบทการโชว์ของแต่ละคน เพราะอย่างวงบลูเบอร์รี่ ก็ไม่ควรที่จะมีแดนเซอร์เป็นชายแท้ ควรจะเป็นผู้หญิง หรือพี่กะเทยจะน่ารัก และเข้ากันซะมากกว่า
“ถ้าแดนเซอร์ไม่มีชายแท้ อ๋อ..ไม่กินแดนเซอร์ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวไปกินนักดนตรีแทน ไม่ได้ช่วยเหรอกเอาจริงๆ เอาความสนุกหน้าเวทีดีกว่า สมมตินักร้องจะไปกินแดนเซอร์ นักดนตรีก็มีอีกนะ 3-4 คน ก็ไปเลือกนักดนตรีก็ได้ ถ้าจะกินกัน
ถ้าเป็นผู้ชายแท้มันเท่ ต้องบอกก่อนว่าบางทีเราดูผู้ชายเต้น เขาจะมีเสน่ห์ขึ้นมาทันที มันจะบวกความหล่อขึ้นไปอีก จุดสนใจที่ทำให้ผู้หญิงเราชอบมองผู้ชาย อันนี้พูดเรื่องจริงนะคะว่า คนเรายืนเฉยๆ ไม่หล่อ ถ้าได้เต้นแบบเท่ๆ ก็หล่อขึ้นอีก มันก็จะดึงดูดให้คนหน้าเวทียังมาดูคอนเสิร์ตเรา ก็ขายได้อันนี้
ควรดูตามบริบทของศิลปินวงนั้นๆ ดีกว่า ไม่ควรไปจำกัด อย่างเช่นบลูเบอร์รี่ถ้าชายแท้ จะมายืนเต้นชิมิ ชิมิ มันก็ไม่ได้มีประโยชน์ เพราะว่ามันก็ไม่ได้มาโชว์ศักยภาพอะไร การเต้นของแต่ละคนมันก็จะเอนเตอร์เทนต่างกัน หนูว่าอยู่ที่บริบทอยู่ที่ภาพของนักร้องมากกว่า ที่อยากวางเป็นยังไง”
พลิกเพราะเงิน 500 และม้าโพนี่ 2 ตัว
อีกพาร์ทนึงคือนอกจากเป็นนักร้อง ตอนนี้อาชีพหลักของเธอ ก็คือการเป็นแม่ค้าขายของออนไลน์ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของตัวเอง
“อาชีพหลักๆ คือขายของออนไลน์อย่างเดียวเลยค่ะ คือจริงๆ อยากร้องเพลงไหม อยาก แต่ลูกค้าไหว้ล่ะค่ะ ซื้องานหนูหน่อย (หัวเราะ)
แม่ค้าจริงๆ ก็ขายมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว คือขายของมาตลอด คนอาจจะไม่ได้คิดว่าเราไปเป็นแม่ค้า แล้วพอมาเป็นบลูเบอร์รี่ ช่วงไหนไม่มีงาน งานน้อย เราก็จะไปขายเสื้อผ้า ก็เป็นแบบนี้มาตลอด ก็จะมีข่าวไปลงอยู่ว่าเราเป็นนักร้องตกอับนะ ไปขายของ
ตอนนั้นก็จะมีข่าวอยู่ แล้วก็พอเรางานเริ่มน้อยลง โซเชียลฯ เริ่มแรงขึ้น เราก็เลยมาขายของในออนไลน์ มันก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่เราจริงจังขายของในออนไลน์”
หลายคนอาจจะเข้าใจว่า การที่เธอโด่งดัง และมีกินมีใช้ทุกวันนี้ น่าจะมาจากรายได้ตอนที่โด่งดังเป็นนักร้อง แต่เธอกลับบอกว่าไม่ใช่เลย ก็พอมีเงินบ้างจากการร้องเพลง แต่ก็หมดเป็น เพราะเอามาหล่อเลี้ยงตัวเองในตอนที่ไม่มีงานด้วย
จริงๆ แล้ว ที่มีทุกวันนี้ มีบ้าน มีรถ สามารถสร้างฐานะ ดูแลครอบครัวได้ เธอยอมรับว่า ชีวิตพลิกเพราะเงิน 500 บาท และม้าโพนี่ 2 ตัว
“เริ่มตั้งแต่แต่งตัวเป็นยายสวย ขายตุ๊กตานำเข้า ตอนแรกหนูก็ไม่ได้ขายตุ๊กตา หนูมาเริ่มกันกับแฟนด้วยเงิน 500 บาท เพราะความที่เราอยากได้ตุ๊กตา แล้วก็เดินไปซื้อ ก็บอกว่าอยากได้ม้าโพนี่จังเลย
ตอนนั้นกับแฟนคือไม่มีตังค์ แฟนก็บอกไม่ต้องซื้อเหรอก แต่เรางอน ตอนนั้นเราคบกันใหม่ๆ ผู้ชายก็เลยยอม ผู้ชายก็เลยไปกดตังค์ให้ 500 บาท มาให้เราซื้อตุ๊กตา
แล้วคืนนั้นเราต้องกลับมาขายกางเกงมือ 2 ของเรา แต่เราก็เอาตุ๊กตาวางไว้บนชั้น คนเห็นไม่ถามกางเกงหนูสักคน ถามแต่ตุ๊กตาหนู ก็เปิดประมูลตัวแรก 500 ตัวที่สอง 500 หนูได้กำไรประมาณพันนึง
เรา 2 คน ก็มองหน้ากันแล้ว ความเป็นแม่ค้าเราไม่หวงของ ลูกค้าอยากได้แล้วขายหมด ก็ไปบอกว่าถ้าพรุ่งนี้หนูเอามาอีก จะซื้อหนูไหมคะ เขาก็พิมพ์มา ซื้อๆ อีกวันนึงก็ขับรถไปเอาของ แล้วก็กลับมาขายหมดอีก ก็กลับไปเอา แล้วก็กลับมาขายอีก ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้นอนกันเลย 2 คนกับแฟน
ตอนที่ขายตุ๊กตา เมื่อประมาณ 3-5 ปีที่แล้ว ก็จะพีคหน่อย วันละประมาณ 5-6 หลักค่ะ จนทำให้จากเงิน 500 บาท เราก็สร้างขึ้นมาเรื่อยๆ จนมามีเงินเก็บ ซื้อบ้านซื้อรถ เพราะว่าตอนเป็นบลูเบอร์รี่เราไม่ได้มีเงินเยอะ แต่พอเรามาเป็นแม่ค้า เรามีเงินในการสร้างครอบครัวกันมากขึ้น
บลูเบอร์รี่หนูให้รวมกัน วงเราน่าจะได้กันคนละประมาณ 2 ล้านบาทมั้ง ที่จะมีเงิน ซึ่งเราก็ไปซื้อคอนโด ซื้อรถซื้ออะไร มันก็ไม่มีแล้วที่จะใช้ต่อ เพราะงานเราก็ไม่มีแล้ว
แต่พอขายออนไลน์ ถ้าคนจับจุดถูกจริงๆ มันง่าย เพราะไม่เสียค่าที่ คือไม่ต้องแบกของออกไป คือมันก็ง่ายถ้าเราทำได้ ถึงบอกว่าอยากดังยุคนี้ ถ้าดังยุคนี้บลูเบอร์รี่จะรวย”
ส่วนที่หลายคนอาจจะมองว่า เธอตกอับ ต้องมาเป็นแม่ค้าขายของ แต่จริงๆ ก็อย่างที่เธอบอก เธอไม่ใช่เพิ่งมาขาย แต่เธอเป็นแม่ค้ามาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว อีกอย่างช่วงที่เป็นนักร้อง วันไหนไม่มีงาน เธอก็มักจะออกไปขายของอยู่เป็นประจำ
ใครจะมองว่าตกอับ ก็ไม่ได้ซีเรียสเลย เพราะเธอมองว่า ไม่มีคำว่าตกอับในคำว่าแม่ค้า หลายคนอยากลาออกจากงานประจำ มาเป็นแม่ค้าด้วยซ้ำ เพระาเห็นช่องทางทำเงินที่อาจจะดีกว่า
“ไม่ซีเรียส เพราะว่าก็ฉันทำงาน ฉันทำอาชีพ ถ้าเกิดว่าคำว่าตกอับสำหรับหนู หนูก็เฉยๆ มากเลย เพราะว่าเราขายของมาตั้งแต่แรก มันตกอับตรงไหน
สมัยนี้ทุกคนลาออกจากงานมาเพื่อขายของ เพราะฉะนั้นแม่ค้าเนี่ยแหละ คือการทำเงินได้ดี ถ้าเราทำถูกทาง ถ้าเราคลิกเดียวก็สามารถรวยได้ ยิ่งมีออนไลน์ด้วยยิ่งง่าย ไม่ต้องไปตากฝนตากแดด ขนของอะไรให้เยอะแยะ สบายมาก ทุกวันนี้แม่ค้าเลยเยอะมาก
แต่ถ้าสมัยก่อนทุกคนจะแบบ เป็นแม่ค้าเหรอ ไม่มีตังค์แน่เลย ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้นะ โอ้โห..แม่ค้าขายของดีและรวยแน่นอน ซึ่งหนูรู้สึกว่าไม่มีคำว่าตกอับในคำว่าแม่ค้า ยังไงก็ต้องมีตังค์เข้าทุกวัน”
ตอนนี้เธอบอกว่า ลุยขายออนไลน์แบบเต็มตัว ทุกๆ วันกับแฟน จะไลฟ์ขายของตลอด แม้รายได้จะยังไม่เยอะเท่าร้านใหญ่ๆ เพราะเพิ่งเริ่มหันมาไลฟ์ขายใน TikTok ได้ประมาณแค่เดือนเดียว มีท้อ มีร้องไห้บ้าง แต่เธอก็พยายามสู้มาโดยตลอด
“วันนี้โฟกัสที่การขายของ แล้วก็จะไป enjoy ในการขายของ ในการไลฟ์ของเรา คนเข้ามาดูไลฟ์หนู สิ่งที่หนูอยากให้เขาได้คือ ขายของด้วยแหละ แต่ก็อยากให้เขามีความสุข แล้วก็อยากให้เขาได้เห็นในอีกภาพของเรา หนูรู้สึกว่าถ้าคนเราทำอะไรมีความสุข มันจะอยู่ได้นาน”
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : Facebook “Benjawan Phokkhasap”, Instagram “@nuulekk_benjawan” และ TikTok @nulek_shimi
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **