xs
xsm
sm
md
lg

“เปรียญธรรม = บันไดไต่ยศ” พระโกงเพื่อสมณศักดิ์ สถาบันโกงเพราะชื่อเสียง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มีมานานแล้ว เจาะเบื้องหลัง “สนามสอบผ้าเหลือง” จ้างคนสวมรอย สอบเปรียญธรรม โกงหวังยศทางธรรม ชี้นี่เป็นเพียงยอดภูเขาแข็งของ “ระบบศึกษาสงฆ์ไทย” ที่ไม่สะท้อนคุณธรรมที่ควรมี แม้แต่นิดเดียว

** เกาะทางธรรม ปั้นลาภยศ!! **


กลายเป็นเรื่องฉาว ของ “วงการสงฆ์ไทย” อีกครั้ง เมื่อมีเจ้าอาวาสวัดดังในเชียงใหม่ ซึ่งเป็นถึงระดับเจ้าคณะตำบล ถูกจับคาหนังคาเขาว่า “โกงการสอบเปรียญธรรม 5 ประโยค” โดยการ “จ้างพระสงฆ์รูปอื่นไปสอบแทน”

ล่าสุดก็มีการ “สั่งปลด”เจ้าอาวาสรูปดังกล่าวแล้ว โดย “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)” กำลังสอบขยายผลเพิ่มเติม และบอกว่าความผิดนี้ร้ายแรง มีโทษทางวินัย แต่ก็ไม่ถึงขั้นปาราชิกที่ต้องขาดจากความเป็นพระ



หลังเรื่องนี้กลายเป็นข่าว อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง เจ้าของเปรียญธรรม 9 ประโยค อย่าง “แพรรี่” ไพรวัลย์ วรรณบุตรก็ออกมาโพสต์แฉผ่านเฟซบุ๊กว่า เรื่องแบบนี้มีมานานแล้ว

“ต่างจังหวัดก็ทุจริตกันฉ่ำ ข่มขู่ พระอนุจรที่เอาข้อสอบไปเปิดก็มี พวกนี้เป็นพวกที่อยากได้ยศได้ศักดิ์เฉยๆ ไม่ได้สนใจเรื่องความรู้อะไร สรุปคือโง่ แต่อยากได้ อยากมี อย่างเขา จบ”



                                                  {“แพรรี่” อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง}

อยากได้ยศศักดิ์? การสอบได้เปรียญธรรม มันมีผลประโยชน์อะไรแฝงอยู่หรือ ทีมข่าวจึงต่อสายหานักวิชาการด้านศาสนาพุทธ จาก ม.ธรรมศาสตร์ อย่าง “โจ้” รศ.ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ให้มาช่วยเจาะลึกให้ฟัง

แต่ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า “เปรียญธรรม(ป.ธ.)” คืออะไร มันคือ ระดับชั้นการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ของคณะสงฆ์ไทย โดยแบ่งตามนี้
ชั้นที่ 1 “เปรียญตรี” จะเรียน ป.ธ.1-2 ประโยค ถึง ป.ธ.3 ประโยค
ชั้นที่ 2 “เปรียญโท” จะเรียน ป.ธ.4 ประโยค ถึง 6 ประโยค
และชั้นที่ 3 “เปรียญเอก” จะเรียน ป.ธ.7 ประโยค ถึง ป.ธ.9 ประโยค

นักวิชาการด้านพุทธศาสนารายนี้ อธิบายว่า จุดประสงค์ของการเรียน ก็เพื่อให้ “พระสงฆ์ศึกษาธรรม” แต่สอบผ่านเปรียญธรรม มันก็ดันไปผูกโยงกับ “สมณศักดิ์” หรือ “ยศ” ของพระสงฆ์

“พูดง่ายๆ เหมือนคนจบปริญญาตรี ปริญญาโท นึกออกไหม เขาก็จะได้รับโอกาส ทางอาชีพการงานของพระ”



                                                   {“รศ.ดนัย” กูรูด้านศาสนาพุทธ}

อย่างผู้ที่เรียนเปรียญตรี สอบได้ชั้นตั้งแต่ ป.ธ.3 ประโยคเป็นต้นไป ถ้าเป็นพระจะมีคำนำหน้า “พระมหา” ซึ่งหากจบเปรียญสูงๆ ก็มีโอกาสได้สมณศักดิ์ที่สูงตาม “โจ้” อธิบายต่อว่า ยศศักดิ์ที่สูง “มันก็นำมาซึ่ง ลาภสักการะ”

“พระที่มีชื่อเสียง ก็จะมีการระดมทุน บริจาคบ้าง มันก็มีโอกาสจะได้ปัจจัยจากเงินทำบุญ ลาภสักการะอะไรง่ายขึ้นกว่า พระที่ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีสมณะ อันนี้เป็นเรื่องปกติ”

แปลว่า จากจุดประสงค์เพื่อศึกษาธรรม มันเปลี่ยนเป็นเพื่อผลประโยชน์แล้วหรือเปล่า? กูรูด้านศาสนาพุทธรายเดิมบอกว่า ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีพระอีกหลายรูป ที่ตั้งใจเรียนเพื่อศึกษาธรรมจริงๆ

“แต่ว่าแน่นอน มันก็อาจจะมีพระบ้างรูป ที่มองตรงนี้เป็นโอกาส เป็นcareer path โอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก็อาจจะตั้งใจเรียนเพื่อสิ่งนี้ก็ได้เนอะ”



** เรียนธรรมแต่โกง ย้อนแย้งขั้นสุด **

“ยศศักดิ์” และ “ลาภสักการะ” ไม่ใช่เหตุผลเดียว ที่ทำให้เกิดการทุจริต นี่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง ของระบบการศึกษาสงฆ์ไทย “โจ้” ยืนยันอีกเสียงว่า “การโกงสอบ” แบบนี้มีมานานและหลายรูปแบบ

“คนที่อยู่ในวงการก็รู้กัน อย่างหลักสูตรนักธรรมบาลี บางทีก็ครูบาอาจารย์ที่คุมสอบเองเป็นคนบอกข้อสอบนักเรียนเสียด้วยซ้ำ ก็มี”

สิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ เพราะวัดในบ้านเราหลายแห่งเปิดเป็น “สำนักเรียนบาลี” แล้วเวลาคนมาเรียน “สอบตกเยอะ” พระผู้ใหญ่ก็จะมองว่า “สำนักนี้ไม่มีคุณภาพ” ทำให้วัดหรือสำนักเรียนต่างๆ ก็ตั้งเป้าแค่ว่า ทำยังไงให้คนสอบผ่าน

“พอเราไปคิดว่า มาตรฐานคือการสอบผ่านอย่างเดียว ก็กลายเป็นว่า ทุกสำนักก็อยากให้คนในสำนักตัวเองสอบผ่าน ก็อาจจะนำมาซึ่งความโกงอย่างที่เราเห็น”

เพราะแทนที่จะไปดูว่า คุณภาพการเรียนการสอนดีพอไหม สอบไม่ผ่านเพราะอะไร แต่กลับช่วยกันดัน ให้คนของตัวเองสอบผ่าน ทั้งที่ความรู้ความสามารถไม่ถึงเกณฑ์ เพราะ “กลัวเสียชื่อ” สำนักที่เรียนมา

นักวิชาการด้านศาสนารายเดิมบอกว่า ความกลัวเสียชื่อนี้ หนักขนาดบางวัด หากพระสอบไม่ได้เปรียญธรรมตามที่กำหนด ก็ถึงขั้นไม่ให้อยู่ในวัดก็มี เหล่านี้ก็เป็นปัจจัยให้เกิดทุจริตในการสอบ

“อันนี้มันเป็นความย้อนแย้งสุดฤทธิ์ว่า เรากำลังจะเรียนธรรมขั้นสูง ถูกไหม แต่คุณธรรมขั้นพื้นฐาน คือศีลธรรม เราบกพร่องแล้วอะ มันก็สะท้อนแล้วว่า ไอ้การศึกษานี้มันมีปัญหาอะไรบางอย่างหรือเปล่า”



เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนความคิด ที่มองแค่ผลลัพธ์ อย่างจำนวนพระที่สอบผ่านกับไม่ผ่าน ว่าการสอบคือ “เครื่องมือวัดคุณภาพ” ถ้าคุณภาพการสอนดีแล้ว แต่ยังมีคนตก นั่นก็เท่ากับว่า เรากำลังรักษามาตรฐานอยู่

“แต่การที่ปล่อยคนที่ไม่สมควรผ่าน ให้ผ่าน ไอ้นั่นมันคือการทำลายมาตรฐาน ทำลายคุณภาพมากกว่า”

และพอพูดถึง “คุณภาพการสอน” นี่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องทบทวน กูรูรายเดิมบอกว่า การเรียนบาลีของเรา ตำราที่ใช้เรียนหรือหลักสูตรที่สอน มันก็ถูกเขียนมาเป็น 100 ปีแล้ว

“มันไม่มีการ reviseใหม่ นึกออกไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วเนี่ย มันควรจะมีการปรับปรุงตำรา ปรับปรุงวิธีการเรียนการสอน หรืออาจจะทำระบบ สอบตก อาจจะมีการซ้อม หรือเก็บหน่วยกิตอะไรก็แล้วแต่ สมมติอะนะ”

อีกเรื่องที่สำคัญนอกจาก “หลักสูตร” หรือ “ทัศนคติ” ของสำนักสงฆ์ต่างๆ ที่กลัวเสียชื่อแล้ว คือ “ระบบตรวจสอบ” แน่นอน เคสที่เป็นข่าว ก็กรณีที่จับได้ แต่มันก็น่าเชื่อเหลือเกินว่า ยังมีอีกหลายเคส ที่จับไม่ได้

“งวดนี้ก็ถือว่าดีนะ ใช่มะ จับคนสวมรอยมาสอบได้ แต่ว่าในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะต้องทบทวนแล้ว ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อันนี้เป็นกรณีที่จับได้ใช่ไหม แต่กรณีที่จับไม่ได้เนี่ย ก็อาจจะมีก็ได้นะ ถูกไหม”



สกู๊ป : ทีมข่าวMGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “ไพรวัลย์ วรรณบุตร”, “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น