เด้งเอวเป็นเหตุ จนก่อสัมพันธ์สวาท? สังคมตั้งคำถามหนัก ผลักให้ตราบาปเหมือนไปอยู่ที่ “ท่าเต้น” จากเคสข่าวร้อนระหว่าง “แดนเซอร์ชาย” กับ “นักร้องสาว หมอลำคนดังแห่งยุค” 1 กูรูนักเต้น กับอีก 1 วงในสายหมอลำ ชวนมอง ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
** หวั่นไหว เพราะ “เด้งแรง”? **
กลายเป็นเรื่องฮอตให้ตามกันตลอดทั้งอาทิตย์ กับนักร้องลูกทุ่งหมอลำสาวชื่อดังอย่าง “ลำไย ไหทองคำ”ที่มีประเด็นร้อนแรง ถูกวิจารณ์หนักทั้งเรื่อง “แดนเซอร์ชายมือที่สาม”ทั้งเรื่องที่ค่ายเดินหน้า “ฟ้องร้อง” อดีตแฟนสาวของนักเต้นคนที่เป็นประเด็นเดือด
เหตุเพราะ “ละเมิดสัญญาเก็บความลับ” ที่เคยเซ็นสัญญากันไว้ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางค่าย “ไหทองคํา เรคคอร์ด” ตัดสินใจจ่ายเงินสูงถึง “2 ล้านบาท” เพื่อให้อดีตแฟนสาวของแดนเซอร์คนนี้ หยุดพูดหรือพาดพิงศิลปินสาวให้เกิดความเสียหาย
แต่ปรากฏว่า คู่กรณีสาวกลับไม่หยุดเคลื่อนไหว ยังโผล่ไปให้สัมภาษณ์ตามรายการต่างๆ จนเป็นที่มาของการฟ้องเรียกค่าเสียหายถึง “20 ล้านบาท” แต่ล่าสุด หยุดที่การ “กราบขอขมา” กลางรายการ จนปิดจบที่เจ้าของค่าย ตัดสินใจ “ไม่ฟ้อง”แล้ว
{ลำไย ไหทองคำ}
ที่น่าสนใจคือ พอประเด็นความสัมพันธ์ ระหว่าง “ศิลปิน” กับ “แดนเซอร์” ถูกส่องสปอตไลท์หนักมาก ภาพและคลิปต่างๆ ที่สะท้อน “ความสัมพันธ์ใกล้ชิด” ชนิดถึงเนื้อถึงตัวผ่านท่าเต้นบนเวที ก็ถูกหยิบมารีรัน จับผิดกันยกใหญ่
เป็นที่มาของการตั้งคำถามว่า “ท่าเต้นเด้งเอว” แนวตั้งใจให้ส่อไปในเชิง“เสริมมุกทะลึ่ง” ที่เกิดขึ้นระหว่างโชว์ คือต้นเหตุหลักๆ ของ “สัมพันธ์สวาท” ครั้งนี้หรือไม่?
และดูเหมือนนายห้าง เจ้าของค่ายไหทองคำ อย่าง “ประจักษ์ชัย ไหทองคำ” จะมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องรีบหยุดไว้ เลยตัดสินใจออกมาประกาศกฎใหม่ “ห้ามเต้นเด้งแรงเกินควร” ด้วยการให้เหตุผลว่า “บางทีมันเด้าแรง มันเกิดอารมณ์กันได้นะ”
เตือนชัดว่าท่าเต้นบางท่า มันก็ดูแรงเกินไปจริงๆ เพราะฉะนั้น เวลาเต้นที่ต้องมีการเด้งใส่ ลูบไล้ ต่อไปคงต้องตั้งกติกาใหม่ว่า แตะเนื้อต้องตัวกันได้ขนาดไหน บวกกับกฎเหล็กใหม่ที่เพิ่งตั้งเพื่อตัดปัญหา คือต่อไปนี้ “ไม่รับแดนเซอร์ชายแท้” อีกเด็ดขาด
ตกลงแล้วงานนี้ ต้องโทษ “ท่าเต้น” ใช่ไหม? ที่ทำให้คนทำงานโชว์ ซึ่งต้องเต้นเน้นเซ็กซี่ ไปจนถึงแนบชิดถึงเนื้อตัว เกิดอารมณ์จนนำไปสู่สัมพันธ์สวาท
เพื่อตอบข้อสงสัยนี้ ทางทีมข่าวจึงขอให้ครูสอนเต้นและนักเต้นอาชีพ ผู้อยู่ในวงการนี้มากว่า 30 ปี อย่าง “บอส” มนตรี มกราเจริญมงคล”มาช่วยวิเคราะห์ให้ฟัง ผ่านสายตาคนทำงานสายเดียวกัน ซึ่งยืนยันชัดว่า “ไม่เกี่ยว”
เพราะในมุมมองแบบมืออาชีพ ต่อให้ท่าเต้นจะแรง หรือดูแนบชิดขนาดไหน มันก็เป็นเพียงการแสดงบนเวทีเท่านั้น และถึงจะเป็นแนว Sexy Dance ยังไงท่าเต้นก็จะ “เซฟนักร้อง” อยู่แล้ว
โดยปกติแล้ว จะมีการซ้อมเต้น รวมถึงพูดคุย ระหว่างนักร้องและแดนเซอร์ก่อนว่า สามารถแตะเนื้อต้องตัว หรือแนบชิดกันได้ถึงขนาดไหน
“คือมันจะต้องมีมุมที่เขาเรียกว่า มารยาทการแสดง ของนักเต้นกับศิลปิน แม้กระทั่งลิซ่า แดนเซอร์ที่เต้นกับลิซ่า ยังต้องเซฟลิซ่า ไม่จับจริง ไม่กอดจริง มันเหมือนจะมองดู เนื้อจะแนบเนื้อ แต่มันออกห่างนิดนึงครับ”
ในฐานะมืออาชีพอย่างบอสมองว่า “เมื่อการแสดงจบ ก็จบกัน” แค่นั้น ลงเวทีอาจมีการขอโทษขอโพย หากรู้สึกว่ามีท่าเต้นที่ล่วงเกินนักร้องเกินไป แต่เรื่องจะคุยกันหลังไมค์ จีบกันหลังม่าน อันนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคล ย้ำชัดว่า “ท่าเต้นไม่เกี่ยว”
** “ศิลปะ” ไม่ใช่ “เต้นยั่ว” **
เหตุที่คนมองว่า “Sexy Dance” คือต้นเหตุทำให้เกิด “เรื่องชู้สาว” ระหว่างคนทำงาน อาจเป็นเพราะไม่ได้มองว่า ท่าเต้นแบบนี้คือ “ศิลปะ” หรือมองนักเต้นในฐานะ “มืออาชีพ” แต่มองว่า “Sexy Dance = เต้นยั่ว”
ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ เพราะจริงๆ แล้ว “Sexy Dance” ที่เป็นศาสตร์นึงของการเต้น ไม่ใช่แค่การร่อนสะดือ-กระพือเอว อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ต้องใช้เทคนิคมากมาย และฝึกฝนอย่างหนัก กว่าจะนำเสนอศิลปะชนิดนี้ออกมาได้
“เพราะว่าการใช้ Isolation ของผู้หญิง อก เอว ขา สะโพก ทุกอย่างมันเป็นศิลปะ อย่างการเหวี่ยงหัว เหวี่ยงยังไงให้ผมไม่พันหน้า เหมือนศิลปินเกาหลีทำ มันก็จะมีเทคนิคของเขา”
รวมถึงมีการ “ฝึกกล้ามเนื้อ” เพื่อให้เวลาเต้นดูมีพลัง ต้องฟังจังหวะเพลงให้ออก ไม่ใช่แค่จังหวะกลองหรือเบส แต่ต้องรวมถึง “melody”ของเพลงด้วย และคนออกแบบท่าเต้นก็ต้องมองออกว่า ทำยังไงให้ออกมาสวย คนดูแล้วรู้สึกว้าว!!
“ส่วนมากครูผู้หญิงที่คิดท่า เขาจะมองเรื่องเทคนิคการใช้สรีระ ว่าทำยังไงถึงจะสวย มุมมองตรงไหน มาดูการใช้เอว ใช้อะไรตรงไหน ถึงจะดูสวย หรือดูน่าดู ไม่ใช่ดูน่าเกลียด”
นอกจากจังหวะสรีระ ที่ไหลลื่นไปตามเสียงเพลงแล้ว ต้องเสริมด้วย “แสง-สี” เข้าไป เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามออกมา ซึ่งคนนอกจะไม่มีทางรู้เลยว่า กว่าจะได้ท่าเต้นที่ดูเร่าร้อนออกมา มันยากขนาดไหน
และการเต้นแนวๆ นี้คือศาสตร์สากล ที่รู้จักกันในนาม “Sexy Dance” ซึ่งเป็นแค่นิยามกว้างๆ แต่แต่ละพื้นที่จะมีชื่อและรูปแบบเฉพาะของงตัวเองอยู่
{“บอส” ครูสอนเต้น-นักเต้นอาชีพ}
อย่าง “อเมริกา”ก็มี “Street Jazz” คือการเต้นที่ผสมระหว่างดนตรี Hip-Hop กับ Jazz ด้วยท่าทางการเต้น Sexy เบาๆ
ส่วนถ้าจะขยับขั้นของความเผ็ดร้อนขึ้นมา ก็จะเรียกว่า “High Heel”คือการเต้นบนรองเท้าส้นสูง ที่เอาความเป็น Jazz และลาติน มาผสมกัน ซึ่งการเต้นแนวนี้ นิยมมากในละครเพลง Broadway และการแสดงละครเวที
{“High Heel”การเต้นบนรองเท้าส้นสูง}
หรือจะเป็น “Dance Hall” สไตล์การเต้นที่ถูกพัฒนามาจาก เพลง Pop ของ “ประเทศจาเมกา (Jamaica)” ซึ่งท่าเต้นจะเน้นส่วนหน้าอกและสะโพก พร้อมกับจังหวะเพลงที่สนุกสนาน
อีกแนวที่พัฒนามาจากท่าเต้นชนเผ่าพื้นเมืองของแอฟริกา คือ “Afro Dance” เป็นการเต้นที่เน้นช่วงล่างของร่างกายเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้ทั้ง “Dance Hall” และ “Afro Dance” กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในบ้านเรา
{Afro สไตล์การเต้น จากขนเผ่าแอฟริกา}
อีกประเภทที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือ “Latin Dance” สไตล์การเต้นที่ถือเป็นภาพจำของใครหลายคน กับท่าทางอันแสนเซ็กซี่เย้ายวน คือเน้นการใช้ช่วงล่างตั้งแต่ “เอว-สะโพก-ก้น”ไปจนถึง “ต้นขา”นำเสนอลีลาออกมา
ที่สำคัญคือในระดับเวิลด์ไวด์ การเต้นพวกนี้ได้รับการยอมรับ และมองว่าเป็น “ศิลปะ” ชนิดนึง เพราะต้องอาศัยการฝึกฝน และใช้เทคนิคมากมาย
รวมไปถึง “Pole Dance”ที่คนไทยรู้จักการในชื่อ “เต้นรูดเสา” ที่ถือว่าเป็นอีกสไตล์การเต้นที่โหดหิน ต้องผ่านการฝึกที่หนักหน่วงมากๆ โดยเฉพาะการสร้างพลังกล้ามเนื้อ ยากถึงขนาดมีการจัดแข่งขันอย่างจริงจังในอเมริกากันเลยทีเดียว
{“Pole Dance” ต้องฝึกหนัก ถึงจะเต้นได้}
** จาก “หมอลำฟังธรรม” สู่ “วัฒนธรรมเด้งเอว” **
จำเป็นไหม? ที่โชว์ของ “เวทีหมอลำ” จำเป็นต้องมี “ท่าเด้งรัวเอว” ที่มีให้เห็นจนชินตา จนเหมือนกลายเป็นอีกหนึ่ง “วัฒนธรรมท้องถิ่น” ของการแสดงแนวนี้ไปแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ กูรูหมอลำและครูแคน อย่าง “อ้น-แคนเขียว” พงศพร อุปนิ มองว่า ท่าเต้นเด้งๆ ของหมอลำ มีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แต่อาจจะมีไม่มาก หรือไม่ได้ถูกเน้นให้เด่นชัด
แต่พอ “หมอลำ” กลายเป็น “ธุรกิจคอนเสิร์ต” มากขึ้นในยุคหลังๆ วัฒนธรรมการโชว์หลายๆ อย่างก็ถูกปรับเปลี่ยนไป
“ส่วนนึงก็วิวัฒน์ไปตามสมัยด้วย เพราะว่าแต่ก่อน เขาจะเต้นรำในรูปแบบคำว่า มันม่วน ม่วนอยู่ในความพอดี ความเป็นวัฒนธรรม”
และถ้าเป็นยุคก่อนๆ “การแสดงหมอลำ” จะไม่ได้จัดกันบ่อยอย่างทุกวันนี้ เน้นหลักๆ เฉพาะเวลามี “งานบุญ” โดยเฉพาะช่วงออกพรรษา
และคนที่มาดูหมอลำ ส่วนใหญ่จะมาปูเสื่อ นั่งฟังกลอนที่เล่า ซึ่งจะพูดถึงพุทธประวัติ สลับไปกับนิทานต่างๆ และการเล่าเรื่องตลก เล่นมุกสองแง่สองง่ามบ้างประปราย เพื่อให้คนฟังยังรู้สึกร่วม สนุกไปด้วยได้ และไม่เบื่อกับเนื้อหาไปเสียก่อน
“โบราณ ถ้าตามสเต็ป เขาเรียกว่าเป็นหมอลำกลอน เริ่มจากลำยกอ้อยอครู(ไหว้ครู) แล้วก็ลำล่อง สุดท้ายก็ลงลำเต้ยครับ เต้ยใส่แคนนะ ค่อยวิวัฒนาการมาเป็นหมอลำซิ่ง หรือว่าหมอลำกลอนซิ่ง”
และช่วง “ลำเต้ย” นี่เอง ที่มีทำนองเพลงสั้น จังหวะสนุกสนาน เป็นช่วงที่ผู้ชมจะออกมาร่วม “เต้นม่วน” ไปพร้อมกับหมอลำ
แต่พอถึงยุคที่เกิด “หมอลำซิ่ง”หรือ “หมอลำกลอนประยุกต์”ซึ่งหยิบเครื่องดนตรีสากลมาใช้ บวกกับการแสดงที่เน้นไปทาง “ลำเต้ย”
หมอลำจึงกลายเป็น “ความบันเทิงเต็มรูปแบบ” กระทั่งผันเปลี่ยนให้ “ท่าเต้นเด้งเอว” ถูกหยิบมาใช้มากขึ้น เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่คนดู จนกลายมาเป็นประเด็นร้อนในตอนนี้
{“อ้น-แคนเขียว” กูรูด้านหมอลำ}
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Instagram @lamyailion, ailey.org, gophergroningen.com, nairobroo.com
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **