เจาะเส้นทางชีวิต “ผอ.พีซ” เจ้าของไวรัลดัง เพราะความหน้าเด็ก แยกไม่ออกจนคิดว่าเป็นนักเรียน ม.6 จับไมค์ร้องเพลง ได้ใจเด็ก พร้อมพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงาน ในฐานะนักบริหารรุ่นใหม่ ลบคำครหาอายุน้อย หน้าเด็ก ดูไม่น่าเชื่อถือ จนขึ้นมาเป็น ผอ. สวย เก่ง มากความสามารถ บริหารโรงเรียนจนไวรัล
ไวรัลเพราะหน้าเด็กจนแยกไม่ออก
“สำหรับไวรัลที่เกิดขึ้นนะคะ ก็จะเป็นคลิปที่ ผอ.ใส่ชุดนักเรียน ขึ้นไปร้องเพลงงานอำลากระโปรงบาน น้ำตาลชมพู เป็นงานปัจฉิม ม.6 ของนักเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ก็ดูจากคอมเมนต์ คนบอกว่า ดูหน้าตา อาจจะดูไม่แตกต่าง(นักเรียน) มาก ก็เลยอาจจะเป็นประเด็นในสังคมตอนนี้ค่ะ”
“ผอ.พีซ”หรือ “ดร.ศรประภา สิริภัทรวิช”อายุ 38 ปี ผู้อำนวยโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ที่กำลังเป็นไวรัลหลังจากใส่ชุดนักเรียนแบบเต็มยศ ขึ้นไปร้องเพลงอำลาเด็กๆ ในงานปัจฉิมนิเทศของโรงเรียน
แต่ใครจะคิดว่า แค่คลิปร้องเพลงธรรมดา จะดันกลายมาเป็นคลิปสุดไวรัล เพราะสิ่งที่ทำให้ชาวโซเชียลฯ ฮือฮา คือ ความสวยและหน้าเด็กของ ผอ. ที่กลมกลืนไปกับนักเรียนจนแยกแทบไม่ออก
และนอกจากจะได้ใจลูกๆ นักเรียนโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยแล้ว งานนี้ ผอ.สาวสวยมากความสามารถคนนี้ ยังได้ใจนักเรียนเกือบทั้งประเทศ จนทำให้คนแห่แชร์ภาพและคลิปไปทั่วโซเชียลฯ กันรัวๆ เพราะอยากรู้จัก ผอ.คนนี้ให้มากขึ้น บางคนอยากไปติดตาม ขอเป็น FC กันเพียบ หรือบางคนถึงขนาดอยากสมัครไปเป็นนักเรียนกันเลยทีเดียว
“ก็แซว เมื่อก่อนเวลาเดินเข้ามาโรงเรียน เขาก็จะบอก ผอ. หนูรักผอ. แต่ว่าพอเป็นไวรัล กลายเป็นเด็กกรี๊ดทีนี้ เพิ่ม level จากที่รักผอ. ก็เพิ่ม level เป็นเสียงกรี๊ด เดินเข้ามาเด็กก็กรี๊ด เป็น FC หนูเห็นผอ. ในข่าวด้วย หนูช่วยรีโพสต์ กดไลก์ให้ค่ะ แล้วเพื่อนก็ถามหนูใหญ่เลย เขาก็อยากจะเล่าให้ฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่เกี่ยวกับไวรัลในครั้งนี้
มี request ให้ร้องเพลงอื่น แต่ว่าคือไม่สามารถร้องฉับพลันได้ แต่ถ้าให้พูดฉับพลันนี่พูดได้นะ คือแบบว่าเป็นผู้บริหารเนอะ เราก็จะผ่านหลักสูตรของการพัฒนาการพูดฉับพลันอะไรอย่างนี้ แต่ว่าร้องเพลงฉับพลันเนี่ย ผอ.จะเครียดนิดนึง”
ผอ. ขวัญใจชาวโซเชียลฯ ก็เปิดใจถึงไวรัลในครั้งนี้ว่า ดีใจที่คนชื่นชอบ แต่ตอนที่คิดจะทำกัน คือไม่ได้คิดว่าจะทำให้เป็นไวรัล เพียงแค่อยากมอบความสุขให้กับลูกๆ นักเรียน ที่จะจบการศึกษาไปเพียงก็เท่านั้น
“เห็นคอมเมนต์นึงเขาบอกว่า นึกว่าผอ. คือคนที่เล่นกีตาร์อยู่ข้างๆ แล้วก็นึกว่า ผอ.เป็นนักเรียน ม.6 หรือว่า ม.5 ที่มาร้องเพลงให้กับพี่ๆ คือเราก็ไม่ได้คิดว่าจะแต่งเพื่อย้อนวัยไปเท่ากับเด็ก ม.6 ขนาดนั้น เราก็คิดว่าใส่ไปให้กลมกลืนกับนักเรียนแค่นั้นเอง”
จุดเริ่มต้นคือ มีการปรึกษากันภายในโรงเรียนสำหรับครูและผู้บริหาร ในการจัดกิจกรรมปัจฉิมนิเทศ จนมีคุณครูได้เสนอให้ ผอ.ร้องเพลง เพื่อมอบความสุขให้กับเด็กๆ เพราะด้วยความที่ ผอ. ก็เพิ่งมาบรรจุเป็นผู้อำนวยที่โรงเรียนนี้เป็นที่แรก คือเมื่อ7 ตุลาคมปีที่แล้ว
ผอ. บอกอีกว่า ตอนที่คุณครูมาบอกให้ร้องเพลง ก็ปฏิเสธไป เพราะคิดว่าทำไม่ได้ แต่ก็คิดว่าทำเพื่อเด็กๆ ก็เริ่มใจอ่อน ยอมฝึกร้องเพลงในสิ่งที่ไม่ถนัด
“คนที่คิดจริงๆ นะคะ คือครูดิว คนที่เป็นเจ้าของคลิปที่ว่าออกไปเป็นไวรัล 2 ล้านกว่าวิว ครูดิวก็มาคุยกับ ผอ.ว่าเดี๋ยวงานกระโปรงบาน น้ำตาลชมพู ผอ.ขึ้นไปร้องเพลงหน่อยได้ไหม ก็บอกว่าไม่ได้ ผอ.ไม่ถนัดร้องเพลง ขอทำอย่างอื่นได้ไหม
เขาก็เลยหายไป 5 นาที กลับมาใหม่ ผอ.ไม่ได้จริงๆ เพื่อเด็กนะ ทำให้หน่อย เพื่อเด็กหรอ เพลงเดียวใช่ไหม เพลงเดียวเลยนะเพราะว่าเราจะไปซ้อมมา ก็ซ้อมมาหนึ่งเพลง ตอนแรกเข้าใจว่าขึ้นไปร้องบนหอประชุมชั้น 7 โอเคอาจจะมีแค่นักเรียน ม.6 เราร้องให้เขาส่งท้าย
ปรากฏว่าเอ๊ะ..ทำไมเขาจัดเวทีข้างล่าง ก็คือมีทุกระดับเลยตั้งแต่ ม.1 - ม.6 แต่ว่าเราก็รับปากไปแล้ว ก็ the show must go on ไม่เป็นไร จัดกิจกรรมในโรงเรียนก็ถือว่าเป็นลูกๆ นักเรียนของเราเองอยู่แล้ว ก็ขึ้นไปร้องเพลง คุณครูก็เล่นเอง ตีกลอง กีตาร์ เบส ร้องเพลง จริงๆ คุณครูร้องกันเป็น 10 เพลงนะคะ ทั้งหมดที่โรงเรียนทำให้ค่ะ แต่ว่า ผอ. ร้องเพลงเดียว
คือทุกคนตั้งใจซ้อม เพื่อที่จะจัดกิจกรรมให้นักเรียน ครูก็อยากให้ ผอ.มีส่วนร่วมด้วย ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ก็เลยให้ผอ.ขึ้นไปร้องเพลง ตอนแรกก็จะเห็นชุดที่เป็น ผอ.ใส่ผ้าไทย ไปอวยพรให้โอวาทนักเรียนชั้น ม.6 ก่อน แล้วหลังจากนั้น ผอ. ก็กลับมาเก็บตัวในห้อง เปลี่ยนชุด ผอ. คิวที่ 8 ก็ได้ขึ้นไปร้อง”
สำหรับเพลงที่ ผอ. เลือกร้อง จนกลายเป็นไวรัล คือเพลง “ไม่เคย” ของวง “25hours” และนี่เป็นครั้งแรก ที่ได้ขึ้นเวทีไปร้องเพลง เพราะเรื่องการร้องเพลง เป็นสิ่งที่ไม่ถนัด ไม่มั่นใจ และเครียดทุกครั้งที่ต้องทำ ยิ่งการร้องเพลงก็ว่ายากแล้ว ร้องกับวงดนตรีเล่นสดก็ไม่เคยทำ ยิ่งต่อหน้าคนมากขนาดนี้ ยิ่งกดดัน
“ครั้งแรก ไม่เคยขึ้นเวทีไปร้องเพลงดนตรีสดต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้ ไม่ค่อยชอบร้องเพลงค่ะ แต่ชอบฟังเพลง ถ้าคนที่รู้จักกันมานานๆ ก็จะรู้เลยว่าเราร้องหนีคีย์ตลอด
ร้องคาราโอเกะก็ไม่ค่อยตรงคีย์ พอร้องกับดนตรีที่เขาเล่นสด มันก็ยากอยู่ค่ะ เพราะเหมือนเราไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ว่าเสียงเราออกไปมันเป็นยังไง วันนั้นก็ the show must go on อย่างเดียว ยากอยู่นะคะ”
ก่อนจะเป็นไวรัลให้คนได้ชื่นชม ถึงขั้นเอ่ยปากว่า ยอมรับว่าเครียด แม้จะร้องแค่เพลงเดียวก็ตาม แต่ให้บริหารงาน ยังรู้สึกสบายใจกว่าร้องเพลง แต่ถึงยังไงก็ตั้งใจซ้อม เพื่อลูกๆ นักเรียนอย่างเต็มที่
“รู้ที่ครูดิวมาคุยด้วยนะคะวันอาทิตย์ แล้วก็ได้ร้องจริงวันศุกร์ ก็ซ้อมไป ฟังวนๆ ไปว่าเป็นยังไง แล้ว ผอ. ก็มานั่งเขียนว่าท่อนนี้ขึ้นสูง ท่อนนี้ลงต่ำ ทำการบ้าน แล้วก็ซ้อมๆ เองค่ะ
พอวันพฤหัสบดี ก่อนที่จะขึ้นไปแสดงจริง ก็ขึ้นไปซ้อมวงกับคุณครู ก่อนวันจริง 2 รอบ กับดนตรีสด คุณครูก็น่ารักค่ะ ผอ. ก็ไม่มั่นใจ ผอ.ได้หรือเปล่า ครูก็บอกได้ครับได้ คือทุกคนก็แบบว่า Cheer Up เราก็เลยโอเคได้ ก็ร้อง”
จับไมค์ได้ใจเด็ก
นอกจากเสียงชื่นชมในโรงเรียน ผอ.ท่านนี้ ยังได้ใจเด็กๆ และคุณครูหลายคน ถึงขั้นยกให้เป็นไอดอล พร้อมเดินตามรอย ผอ. คนเก่ง
“เราเห็นแววตาที่เขาชื่นชม แล้วก็สิ่งที่เขาพยายามทำ เราก็ให้คำพูดเชิงบวกกับเขา ตอนนี้ก็น่าไม่ใช่แค่ในโรงเรียนนะคะ ก็ขอบคุณทางตามสื่อออนไลน์ต่างๆ
ก็มีคนคอมเมนต์เข้ามา เด็กๆ นักเรียน มีลูกของเพื่อน ก็คือในแก๊งค์เดียวกัน กลายเป็นที่ประทับใจของเด็ก หรือว่าเป็นครูที่เป็นโรงเรียนอื่นๆ ก็เหมือนเห็นเราเป็นแบบอย่าง ในการที่จะพัฒนาตัวเองในเส้นทางนี้
ก็รู้สึกดีใจที่เราอาจจะเป็นส่วนนึงเล็กๆ ของการศึกษา ที่อาจจะเป็นแบบอย่างในบางมุมได้ ในการที่จะพัฒนาตัวเอง หรือว่าไปสู่เป้าหมาย ในแต่ละคนต้องการ
ผู้ปกครองก็แฮปปี้นะคะ เหมือนกับว่าผอ.ใกล้ชิดกับนักเรียน ใกล้ชิดกับบุตรหลานเขา ให้ความรักความใส่ใจในบุตรหลานของเขา เขาก็แฮปปี้มากขึ้น”
ผอ. ขวัญใจชาวโซเชียลฯ ยังบอกอีกว่า นอกจากที่นักเรียนจะยกให้เป็นไอดอลแล้ว สิ่งงหนึ่งที่ได้จากลูกๆ นักเรียนคือ ได้พลังบวกจากลูกศิษย์ทั่วประเทศด้วยเช่นกัน ที่ส่งกำลังใจมาให้ทั้งทางโซเชียลฯ โดยเฉพาะพลังบวก จากเหล่าบรรดาลูกศิษย์จากโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย
“โรงเรียนเราก็ไม่ได้กว้าง ก็ประมาณ 4 ไร่กว่าๆ เวลาเดินผ่านกันก็จะทักทาย นักเรียนก็อัธยาศัยดี เวลาเจอ ผอ. คือเด็กๆ เขาก็ทักทาย ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ทำท่าทางเหมือนแบบ เอ๊ะ..ทำไมเด็กมาทำอย่างนี้กับเราเป็นผู้บริหาร
เราก็โอเค เป็นยังไงลูก กินข้าวหรือยัง วันนี้จะสอบอ่านหนังสือยัง พร้อมไหม วันนี้แข่งกีฬาอะไร คือเราก็เหมือนชวนคุยไปด้วย เขาก็รู้สึกว่าเราอาจจะเข้าถึงได้ คุยได้ เข้าพบได้
เด็กเป็นพลังบวกของ ผอ.มากเลย เพราะว่าไปทางไหนเด็กก็จะแบบรัก ผอ.นะคะ ผอ. สวยจังเลยวันนี้ เราก็เลยมีพลังบวกในการทำทุกๆ อย่าง เด็กเขาก็น่ารัก เป็นสังคมที่น่าอยู่ค่ะ”
นอกจากยกให้เป็นไอดอลแล้ว ยังได้รับฉายาจากชาวโซเชียลฯ ว่าเป็น ผอ. ที่สวยที่สุดในประเทศด้วย ซึ่งเจ้าตัวเองก็บอกว่าขอบคุณมากๆ สำหรับฉายานี้ พร้อมกับบอกว่า ยังมีคนสวยคนเก่ง อยู่ในประเทศเราอีกเยอะมาก เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้น อาจจะยังไม่ได้เป็นไวรัลแบบนี้ ก็เลยอาจจะยังไม่มีใครรู้จัก
“ก็ที่มีคนบอกนะคะว่า เป็น ผอ. ที่สวยที่สุดในประเทศ รู้สึกดีใจ แล้วก็ขอบคุณนะคะ จริงๆ มีคนสวยเยอะมากๆ เลยนะคะ ที่เป็นทั้งผู้บริหาร แล้วก็คุณครูในประเทศไทย เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้มาปรากฏในสื่อ หรือว่าอาจจะไม่ได้เป็นไวรัล ก็เลยไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่านั้นเอง มีอีกหลายคนเลยที่ทั้งสวย แล้วก็ทั้งมีความรู้ความสามารถ เป็นคนเก่ง คนดี มีเยอะมากๆ ค่ะ”
ยอมรับว่า พอเป็นที่พูดถึงในสื่อโซเชียลฯ มากๆ ก็ค่อนข้างที่จะปรับตัวไม่ค่อยทัน เพราะก็มีกดดันบ้าง ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้น เหมาะสมหรือเปล่า แต่ถึงยังไงก็ขอบคุณทุกคน ที่ชื่นชมมา
“เรามีความตั้งใจดีที่อยากจะทำให้กับโรงเรียน อยากจะทำให้กับการศึกษา ตอนแรกก่อนที่ยังไม่เป็นไวรัล ก็ไม่ได้กดดันอะไรนะคะ เพราะว่าคือเราก็ทำไปตามธรรมชาติของเรา อะไรที่มันดีกับนักเรียน กับบริบทของโรงเรียนเราก็ทำ เพราะเราตั้งใจที่จะพัฒนานักเรียน พัฒนาครู แล้วก็โรงเรียนอยู่แล้ว มันก็คือเกิดจากความตั้งใจดีของเราอยู่แล้ว เราก็ไม่ได้กดดัน
แต่พอเหมือนเป็นไวรัล มีคนจับตามองมากขึ้น ก็รู้สึกกดดันนิดนึงว่า เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันดีพอหรือยัง มีความกังวลนิดนึงนิดนึงว่า เราทำอันนี้มันดีไหม หรือมันจะยังไม่ดี แต่ว่าก่อนหน้านี้เราก็ทำจากความตั้งใจของเรา โดยที่เราไม่ได้คาดหวังว่าใครจะมองเราแบบไหน
อันแรกก็คือดีใจ ที่ส่วนใหญ่คอมเมนต์มันจะเป็นไปในทางบวก แต่ว่าอีกมุมนึง ผอ. ก็จะปรับตัวไม่ค่อยทันเท่าไหร่ เพราะว่าจริงๆ เราเรียนในสายบริหาร เราเป็นครู เราไม่ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการอยู่ในสื่อที่เยอะ หรือว่ากว้างขนาดนี้ค่ะ มันก็เลยทำให้เราแบบปรับตัวนิดนึง เพราะว่าเหมือนเรากลายเป็นที่สนใจของสังคมภายนอก ความคาดหวังสูงขึ้น
คือเราเป็นคนที่ค่อนข้างแบ่งพาร์ทชัดเจน พาร์ททำงานก็คือพาร์ททำงาน กลับบ้านก็คือเป็นพาร์ทของครอบครัว ก็จะไม่ได้เอามาผสมกันเท่าไหร่ แต่ว่าพอเราอยู่ในสื่อออนไลน์ เริ่มมีการผสมปนเปเข้าไป ผอ. ก็เริ่มปรับตัวนิดนึง”
จากความฝันตั้งแต่เด็ก สู่ ผอ.ที่อายุน้อย
ผอ.พีซ เธอเล่าว่า มีความฝันอยากเป็นครูตั้งแต่เด็ก โดยที่คุณป้าเห็นแวว จึงแนะนำให้ไปสอบ จนเรียนจบระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์บัณฑิต สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ด้วยทุนครูพันธ์ุ ใหม่ 5 ปี หลังจากเรียนจบ ก็ได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยทันที ในวัย 23 ปี ที่โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ
“ชอบเล่นสอนหนังสือกับเด็กกับเพื่อนตั้งแต่ประถม แต่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่า นี่คือเป็นอินเนอร์ของเรา เราก็ชอบเล่นไปเฉยๆ เราก็มาสังเกตตอนเรียนมัธยม เพื่อนไม่เข้าใจตรงไหน จะเริ่มสอนเพื่อนตัวต่อตัว ถ้าเพื่อนมาถามนะคะ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นตั้งตัวแบบไปเขียนกระดานอะไรอย่างนี้
ทีนี้ป้าก็เห็นว่า พีซเหมาะนะ น่าจะอยากเป็นครู เพราะเขาเหมือนดูจากพฤติกรรม ดูจากสิ่งที่เราทำ ป้าก็แนะนำให้ไปสอบ ก็ได้เป็นครู
แม่ก็รับราชการนะคะ อยู่เทคนิคมีนบุรี คุณพ่อก็อยู่กรมป่าไม้ อาจจะคุ้นชินกับการเป็นครู เพราะว่าป้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ราชภัฏสุราษฎร์ธานีค่ะ ก็จะอยู่วงการการศึกษา
น่าจะซึมซับหรือเปล่าเนาะไม่แน่ใจ บางทีป้าให้นักศึกษาทำข้อสอบ เราก็เป็นคนตรวจบ้าง ป้าก็แบบเจาะรูมีเฉลย เราก็นั่งนับคะแนนให้ป้า อยู่ในรั้วมหา’ลัย อยู่กับบริบทการศึกษามาตลอด มันก็อาจจะซึมซับไปโดยที่เราไม่รู้ตัวค่ะ”
สำหรับเส้นทางชีวิต จากความฝันที่อยากเป็นครูตั้งแต่เด็ก จนพยายามไต่ระดับความสามารถขึ้นมาเป็น ผอ. แน่นอนว่าไม่ง่าย
หลังจากบรรจุเป็นครูผู้ช่วย โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ เมื่อปี 2552 จากนั้นปี 2554 ก็สามารถบรรจุเป็นครู แล้วค่อยๆ ขยับความสามารถขึ้นไป ปี 2558 ก็ได้ดำรงตำแหน่งครูชำนาญการโรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ
จากนั้นวัยเพียง 28 ปี ในปีเดียวกัน ก็สามารถขึ้นไปรองผู้อำนวยการชำนาญการโรงเรียนลาดปลาเค้า พิทยาคม ปี 2561 ย้ายไปดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการชำนาญการ โรงเรียนสารวิทยา ปี 2563 ขึ้นดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนสารวิทยา
ปี 2565 ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย จนเมื่อ 7 ต.ค. ปีที่แล้ว ก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ในปัจจุบัน
“ก่อนที่จะขึ้นมาเป็นผู้บริหาร มันก็จะมีเกณฑ์นะคะ ในการที่จะสอบได้ ซึ่ง ผอ.ก็คือบรรจุครูมาก่อน ของ ผอ. เป็นครูพันธุ์ใหม่ ก็คือได้ทุนจากรัฐบาลในตอนนั้น เรียนจบ 5 ปี ก็สามารถที่จะบรรจุเป็นครูได้เลย แต่ว่าจะต้องเป็นตามภูมิลำเนา ซึ่งภูมิลำเนาของ ผอ.อยู่กรุงเทพฯ ผอ.ก็เลยได้บรรจุครูที่กรุงเทพฯ ที่แรกโรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญค่ะ
ในการพัฒนาวิชาชีพ ก็ต้องเป็นครูก่อน ในการสอบผู้บริหาร ก็ขึ้นอยู่กับความขาดแคลน หรือว่าอัตรากำลังในแต่ละช่วงนั้น ว่าอาจจะขาดผู้บริหารเยอะไหม หรือตำแหน่งวุฒิภาวะ หรือประสบการณ์แค่ไหน ที่จะเหมาะสมกับการเป็นผู้บริหารในยุคนั้นๆ นะคะ ซึ่ง ผอ. ก็เป็นครูอยู่ประมาณ 6 ปี เกือบ 7 ปี นะคะ แล้วก็มาเป็นรองอีก 9 ปี แล้วค่อยมาสอบเป็นผู้อำนวยการ”
เห็นผู้อำนวยการเป็นผู้หญิง ในโรงเรียนหญิงล้วนแบบนี้ ผอ.พีซ บอกว่า จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวเลยว่า โรงเรียนหญิงล้วน ต้องเป็นผู้หญิงบริหารเท่านั้น เพราะก่อนหน้านั้น เธอเองก็เคยเป็นผู้บริหารในโรงเรียนสหศึกษามาก่อนแล้ว จะชายหรือหญิง ก็สามารถบริหารได้หมด ไม่มีข้อจำกัด
“ไม่ได้กำหนดนะคะว่า ผอ.โรงเรียนชายล้วน ต้องเป็นผู้ชายหรือเปล่า หรือว่าโรงเรียนหญิงล้วน ต้องเป็นผู้หญิงหรือเปล่า แต่ว่ามันอาจจะเป็นความคาดหวังเล็กๆ ถ้าโรงเรียนผู้หญิง ผอ.ผู้หญิงอาจจะมีความเข้าใจมากกว่าหรือเปล่า
แต่ว่าจะถามว่าเป็นคุณสมบัติที่เฉพาะไหม ก็คือไม่ค่ะ จริงๆ ก็เปิดกว้าง โรงเรียนหญิงล้วนหรือชายล้วน ก็สามารถที่จะเป็นผู้บริหาร ที่เป็นทั้งผู้หญิงแล้วก็ผู้ชายได้เลย ไม่ได้จำกัดค่ะ
ตอนที่เป็นรองผู้อำนวยการ ก็เป็นโรงเรียนสหศึกษาทั้งหมดนะคะ โรงเรียนลาดปลาเค้าพิทยาคม โรงเรียนสารวิทยา หรือ โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ก็เป็นโรงเรียนสหศึกษาทั้งหมดนะคะ ซึ่งจำนวนนักเรียนก็ค่อนข้างสูงอยู่
อย่างลาดปลาเค้าก็ประมาณ 1,600 กว่าคน แล้วก็สารวิทยาอยู่ที่ 2,900 คน แล้วก็ฤทธิยะวรรณาลัยเนี่ย ที่สุดท้ายก่อนที่ ผอ. จะมา ก็อยู่ที่ประมาณ 3,800 คนค่ะ
ก่อนที่ผอ. จะมาบรรจุเป็นผอ.ที่นี่ ซึ่งมีนักเรียน 1,758 คน ก็ผ่านกระบวนการการเป็นผู้บริหารในโรงเรียนที่ขนาดใหญ่พอสมควรมาก่อน ก็จะมีมุมมองจากโรงเรียนที่หลากหลายบริบท ในการนำมาพัฒนาที่นี่ค่ะ”
กล้าคว้าโอกาส จนโตเร็วสายบริหาร
ด้วยวัยแค่เพียง 38 ปี ก็สามารถขึ้นเป็น ผอ. ที่คนยอมรับได้ แน่นอนว่ากว่าจะผ่านมาจนถึงวันนี้ได้ ผอ.พีซ บอกว่าไม่ง่ายเลย เพราะด้วยความที่หน้าเด็ก และอายุยังน้อย สามารถขึ้นมาเป็นรอง ผอ.ตั้งแต่อายุ 28 ปี จึงพยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงาน ลบคำครหาอายุน้อย หน้าเด็ก ดูไม่น่าเชื่อถือ จนเพื่อนร่วมงานยอมรับ
“เป็นรองตอนที่อายุ 28 29 ปี ก็จะผ่านจุดนี้มาก่อน เพราะว่าครูที่เราดูแลก็จะไม่ใช่แค่ 20 กว่า ก็จะมีจนไปถึงคนใกล้เกษียณ เพราะฉะนั้นเรื่องหน้าก็มีผลแหละ
แต่ว่าสุดท้ายแล้ว คนยอมรับที่ความสามารถ การที่เราหน้าเด็ก มันอาจจะเป็นกำแพงแรกที่คุณเห็น แล้วคนอาจจะรู้สึกว่าจะไว้ใจได้ไหม จะเชื่อมั่นได้ไหม ทำได้หรือเปล่า อาจจะใช้เวลานานกว่าในการพิสูจน์ตัวเอง เหนื่อยหน่อยในช่วงแรก
แต่ถ้าเกิดความสามารถเรามีจริงๆ รับฟังความคิดเห็น ทำงานไปด้วยกัน อาจจะ Gen ที่อายุน้อยกว่าเรา เท่าเรา หรือว่ามากกว่า แล้วก็เอามาผสมกลมกลืนเข้า สุดท้ายก็ยอมรับนะคะ
จริงๆ ผอ. ทำงานมาตลอด 9 ปีที่เป็นรอง ก็คิดว่าส่วนใหญ่น่าจะโอเคนะคะ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าเราจะเริ่มเป็นรองตั้งแต่อายุ 28 29 ปี ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ก็ใช้เวลาเกือบเทอมนึงเหมือนกันนะคะ แต่เราก็เข้าใจได้”
นอกจากความสามารถ ที่พิสูจน์ให้เพื่อนร่วมงานเห็นแล้ว สิ่งหนึ่งที่ ผอ. พีซ ใช้การันตีความสามารถ ความเหมาะสมตำแหน่งของตัวเองก็คือ การมุ่งมั่นที่จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พร้อมกับยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลับเกษตรศาสตร์ ซึ่งตอนนั้น เริ่มเรียนปริญญาเอก ในวัยเพียง 28 ปี เรียนไปได้ 1 เทอม ก็สามารถขึ้นเป็นรองผู้อำนวยการได้แล้ว
“ตอนที่เราไปเป็นผู้บริหาร ครูผู้ใหญ่อาจจะเยอะ การมีปริญญามันอาจจะช่วยด้วย ตอนนั้นก็เรียนปริญญาเอกด้วย ก็คือมีคุณครูท่านหนึ่ง ที่โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ท่านก็บอกว่า พีซ ครูรู้ในความสามารถของหนูนะ แต่ถ้าหนูไปเป็นผู้บริหาร แล้วหนูเด็กขนาดนี้ คนเขาจะไม่เชื่อ หนูไปเรียนปริญญาเอกไหมลูก เพื่อที่ว่าอย่างน้อยมีคุณวุฒิอยู่นะ
ก็เป็นมุมมองจากผู้ใหญ่ที่เขาให้คำแนะนำตอนนั้น ผอ. ก็เลยไปเรียนปริญญาเอกตั้งแต่อายุ 28 ปี เพื่อที่ถ้าเราก้าวเข้าสู่เส้นทางสายบริหาร ยังไงก็ต้องเรียนปริญญาเอก
คือเราอยู่ในวงการการศึกษา ความรู้เราก็ต้องพัฒนาให้สูงที่สุด ที่เราจะสามารถไปพัฒนาเด็กๆ ได้ ก็ไปเรียนปริญญาเอก ไปทำงานช่วงแรกเราก็เข้าใจได้ว่า คนอาจจะตั้งข้อสังเกต ไม่แน่ใจว่าทำได้หรือไม่ได้ แต่อย่างน้อย รองเขาก็เรียนเอกนะ เขาก็เหมือนมีมาชั่งน้ำหนักด้วยกัน
เรียนไปได้เทอมนึง ก็เข้าไปรับตำแหน่งรองผู้อำนวยการค่ะ เราก็ใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเอง บางทีในการช่วยเขาแก้ปัญหา ในการร่วมวางแผนงานกับเขา เขาก็จะเห็นว่า เขาได้ทำงานร่วมกับเราจริงๆ เขาก็จะเห็นว่าจริงๆ เราทำได้ไหม
แต่ว่าเราก็ไม่ได้ไปบอกเขาว่าต้องยอมรับเรา หรือว่าไม่เคยใช้อำนาจว่าเราคือรอง you ต้องฟังนะ ว่ารองอยากให้ทำแบบนี้ แต่ว่าเราให้เขาค่อยๆ ยอมรับเราจากความสามารถ ที่เขาได้ทำงานร่วมกับเรามากกว่า ก็เลยไม่ค่อยได้ใช้อำนาจ
เพราะรู้สึกว่าถ้าเราใช้อำนาจ มันก็อาจจะหมดไป แต่ถ้าเราใช้บารมี เขาใช้คำว่าอำนาจกับบารมีต้องมีคู่กัน ถ้าเราใช้บารมีมันก็จะทำให้เรายั่งยืนมากกว่าในการทำงาน”
อย่างที่บอกไปว่า ได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยตั้งแต่อายุ 23 ปี จากนั้นพอพ้นจากการเป็นครูผู้ช่วย ก็สามารถกระโดด ได้รับเลือกมาเป็นหัวหน้ากลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ด้วยวัยเพียงอายุ 25 ปี ซึ่งโดยปกติแล้วในทางวิชาชีพครู ก็ถือว่าเป็นความสามารถที่ก้าวกระโดดอยู่พอสมควร และถ้าไม่เก่งจริง ก็ไม่สามารถขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้
“ก็ไม่น่ามีค่ะ เพราะว่าจริงๆ ตอนนั้นสังคม Gen ก็จะเป็นผู้ใหญ่ ทีนี้พอเวลาเราไปประชุมกลุ่มบริหารวิชาการ ก็จะเป็นอายุ 50 อัป เราก็เหมือนเด็กสุด ซึ่งเหมือนเราก็ดูแลกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ สมาชิกประมาณสาม 30 กว่าคน ที่เราต้องดูแล
ตอนนั้นเขาก็บอกว่าเป็นได้ ให้เราเป็นหัวหน้ากลุ่มสาระตอน 25 ปี เพิ่งพ้นครูผู้ช่วย เราก็เครียด แต่ว่าทีนี้ก็มีครูผู้ใหญ่เขาให้แนวคิด เขาบอกว่า พีซ หนูทำไปเถอะลูก ตอนนี้หนูเป็นหัวหน้ากลุ่มสาระ เราถือโอกาสได้เรียนรู้งาน วันนี้ถึงเราจะทำผิดทำพลาดอะไร คนก็เข้าใจว่าเราเด็ก
แต่ถ้าวันนึงเราไม่เคยผ่านการทำงาน ไม่เคยผ่านการฝึกฝนทักษะเลย พอเราอายุมากขึ้นความคาดหวังจากรุ่นน้องก็จะคิดว่าเก่ง พอเราทำพลาดอะไร เขาไม่มีโอกาสให้เราพลาดแล้ว
ถือว่าได้โอกาส ที่เราสามารถที่จะเรียนรู้จะผิดพลาด จะทำถูกทำผิดได้ โดยที่คนเขาก็จะไม่ตำหนิหนู พวกเขารู้ว่าหนูอายุน้อย เราก็เลยก็เปลี่ยนมุมมอง ในเมื่อผู้ใหญ่แนะนำอย่างนั้น เราก็เลยโอเคงั้นก็ลองดู
แต่ว่าก็เป็นความยากนิดนึงเนาะ เพราะว่าคนในกลุ่มสาระส่วนใหญ่ก็จะอายุเท่ากัน หรือมากกว่า ก็คือไม่ค่อยมีรุ่นน้อง เพราะว่าเราก็เพิ่งผ่านจากการบรรจุมาแค่ปีสองปี”
ผอ. สาวสวยมากความสามารถ เธอบอกว่า ตอนนั้นเป็นความท้าทายมาก เพราะด้วยอายุยังน้อย แต่ก็พยายามเรียนรู้งานจากทุกฝ่าย เพื่อมาบริหารครูในกลุ่มสาระของตัวเอง
“ก็ถือว่าเป็นความท้าทายในช่วงนั้น แล้วก็เครียดมากอยู่ค่ะ แต่เราก็เลือกที่จะไปเรียนรู้งานแต่ละฝ่าย แล้วเอามาวางแผนในกลุ่มสาระ เหมือนเราไม่รู้ว่างบประมาณจะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เราก็ไปเรียนรู้จักงบประมาณมา แล้วก็มาประชุมกลุ่มสาระ
เหมือนเราก็เอาความรู้มาบอก แล้วตั้งเป็นคณะกรรมการในกลุ่มสาระ ว่าคนนี้ดูแลเรื่องวัดผล คนนี้ดูแลเรื่องนิเทศนะ ก็คือเหมือนกระจายอำนาจให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนากลุ่มสาระร่วมกัน ก็เป็นวิธีในการเรียนรู้งานในช่วงนั้นค่ะ”
ทริกเข้าใจเด็ก ยิ้มง่าย รับฟัง
สำหรับทริกที่ทำให้ ผอ. ได้ใจเด็กๆ ไปเต็มๆ คือ การพยายามคลุกคลีพูดคุยกับเด็กให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องถือตำแหน่งว่าเป็น ผอ. นั่นจึงทำให้เด็กจึงกล้าที่จะเข้าหา และพูดคุยเป็นกันเองได้
“ก็อาจจะเป็นคนยิ้มง่าย เป็นคนอารมณ์ดีตลอด ทำให้เด็กอาจจะกล้าพูด กล้าคุย หรือว่าพื้นฐานเด็กที่นี่เป็นคนน่ารัก เป็นคน nice เจอเราเขาก็ทักทาย เราก็ทักทายกลับ เขาก็แฮปปี้ เราก็แฮปปี้”
ผอ. มองว่าเด็กสมัยนี้ ค่อนข้างจะมีความคิดเป็นของตัวเองสูง ซึ่งแตกต่างกับสมัยที่ตัวเองยังเป็นวัยรุ่น เพราะเทียบกับตัวเองตอนเป็นวัยรุ่น จะถูกสอนมาให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ เพราะมีประสบการณ์มากกว่า
แต่พอกลายมาเป็นผู้ใหญ่เอง ก็เข้าใจว่า ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ไม่ควรเอาประสบการณ์ตัวเองที่มีไปตัดสินเด็ก เพราะประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะมีข้อจำกัดในชีวิตที่เราอาจไม่รู้ ดังนั้น การที่จะเข้าใจเด็กๆ ได้ดี คือควรแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกันมากกว่า
“ถ้าเทียบกับตัวเองก็อาจจะมีความต่างนิดนึงนะคะ เพราะว่าตอนเด็กๆ อาจจะถูกสอนถูกเลี้ยงดูมาอีกแบบนึงว่า ถ้าผู้ใหญ่พูดยังไงเราก็เชื่อแบบนั้น ก็คือผู้ใหญ่บอกอย่างนี้ แสดงว่าผ่านประสบการณ์ ผ่านการคิดวิเคราะห์มาแล้ว ว่าแบบนี้คือดี วิธีการคิดแบบนี้นะ อย่างนี้คือมารยาทที่ดี ควรทำหรือไม่ควรทำอะไร เราก็จะเป็นเด็กที่ค่อนข้างเชื่อฟังผู้ใหญ่
เป็นเด็กเรียน เรียบร้อย ไม่เคยเข้าห้องปกครอง แต่ว่าในยุคปัจจุบัน มันก็อาจจะมีสื่อ มีอะไรมากขึ้น ที่เด็กๆ เขาจะสามารถหาข้อมูลความรู้ อาจจะไม่ได้รับแค่พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือจากโรงเรียน เขาสามารถที่จะเสิร์ชหาข้อมูล หรือความรู้ได้มากขึ้น
พอเขาหาความรู้ได้มากขึ้น เขาอาจจะมีมุมมอง ที่อยากจะมาแลกเปลี่ยนกับเรามากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เพราะเขามีมุมมองที่หลากหลาย ถ้าเราไปตีกรอบว่า แบบนี้คือดีเท่านั้น มันก็จะทำให้เขารู้สึกว่าทำไมต้องบังคับให้เขาคิดแบบนี้ ในเมื่อเขาก็ไปหาข้อมูล แล้วเขาก็เห็นว่าแบบอื่นมันก็ดี”
สิ่งสำคัญอีกอย่างนึง ที่เป็นทริกเข้าถึงเด็กๆ ได้ง่ายๆ ผอ. บอกว่า คือการเปิดใจรับฟัง และให้เด็กลองผิดลูกถูกได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องสะท้อนผลกระทบให้เด็กได้เห็นหลายๆ มุมมอง
“การเปิดใจรับฟัง แล้วเราลองคุยกันดูสิว่า แล้วหนูหาข้อมูลมาแล้วหนูว่ามันเป็น มันทำได้ไหม แล้วมุมมองโรงเรียนว่ายังไง จากประสบการณ์ของเราที่เราผ่านมา
อยู่ที่นี่ก็ยังไม่ค่อยได้ถกเถียงกับนักเรียน อย่างเช่นว่า นักเรียนเขาอาจจะอยากจัดกิจกรรมแบบนี้ หรืออาจจะทำแบบนี้ได้ไหม ก็เป็นมุมมองของเด็กที่สมมติเขาอยากทำขึ้นมา เราก็บอกว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้วหนูคิดว่ายังไง แล้วมันเกิดประโยชน์หรือไม่ ก็คือให้เขาเห็นมุมมอง
คือเราไม่ได้บอกให้เขาคิดตามเรา แต่เราค่อยๆ ให้เขาคล้อยตาม เพราะเหมือนเราอาจจะมีประสบการณ์มากกว่า ถ้าสิ่งที่เขาคิดให้เขาลองผิดลองถูก แล้วมันไม่เกิดความเสียหาย ก็ให้เขาลองผิดลองถูกได้
แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่มันอาจจะเกิดความเสียหายกับชีวิตเขา หรือมันอาจจะทำให้ชีวิตเขาผิดเพี้ยนหรือบิดเบี้ยวไป เดี๋ยวก็จากค่อยๆ ตบความคิดเขามา ควรเกิดจากการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน จากฐานข้อมูลของเขา มาบวกกับประสบการณ์ของเรา”
“ก็อยากจะฝากมุมมองแบบนี้นะคะว่า ตอนนี้คือทุกคนอาจจะคิดว่ามีแค่ ผอ. คนเดียวหรือเปล่า ที่ใกล้ชิดกับเด็ก หรือว่าเข้าถึงเด็ก จริงๆ อยากจะบอกว่าในยุคปัจจุบัน ผู้บริหารหลายๆ ท่าน ก็ใกล้ชิด เข้าถึงเด็กๆ นะคะ แล้วก็มีการบริหารที่หลากหลาย ก็เปลี่ยนไปตามบริบท ตามเจนเนอเรชั่นของนักเรียน
ก็ไม่ได้มีแค่ ผอ. คนเดียวหรอกเนาะในประเทศนี้ เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้เป็นประเด็นในสังคมที่ได้นำมา ก็เลยอยากจะให้ลองดูที่บริบทของโรงเรียนบุตรหลาน ซึ่งจริงๆ ผอ. ว่าเขาก็อาจจะทำได้ดียอดเยี่ยมไม่แพ้กัน หรืออาจจะดีกว่า ผอ. ก็ได้นะคะ ฝากให้กำลังใจกับผู้บริหารทั่วประเทศด้วยนะคะว่า ก็ดีเก่งไม่แพ้กันเลยค่ะ”
ต้นแบบผู้นำ “พระศรีสุริโยทัย”
ด้วยความที่นี่เป็นโรงเรียนหญิงล้วน ทางโรงเรียนก็มีแนวคิดในการบริหารโรงเรียน คือมุ่งมั่นที่จะพัฒนาในความเป็นผู้นำหญิงให้อย่างมีคุณภาพ โดยมีต้นแบบจากสมเด็จพระสุริโยทัย ที่ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น “วีรสตรีของชาติ”
“ผอ.มีสมเด็จพระศรีสุริโยทัยเป็นต้นแบบ เนื่องจากว่าเราอัญเชิญพระนามของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยมาตั้งชื่อเป็นโรงเรียนของเราด้วย ก็เลยคิดว่า เราจะนำเอาต้นแบบ ก็คือสมเด็จพระศรีสุริโยทัย มาหลอมรวมกับความเป็นปัจจุบัน
ผอ. ก็เลยมองอย่างนี้ว่า ในยุคปัจจุบันเราไม่ได้มี Gender หรือว่าในเรื่องของเพศ คือมีความเท่าเทียมทางเพศ เพราะฉะนั้นเราก็รู้สึกว่าเราอยากจะสร้างให้กับลูกๆ นักเรียนเป็นผู้นำ คือผู้หญิงก็สามารถที่จะเป็นผู้นำได้ในหลากหลายวงการ
เราก็เลยอยากให้ลูกๆ มีความเป็นผู้นำ เหมือนกับสมเด็จพระศรีสุริโยทัย แล้วก็มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะพัฒนาเขาในส่วนของผู้หญิงค่ะ
ก็คือจุดแข็งของเรา เราอยู่ใกล้กับโรงเรียนราชมงคลพระนครใต้ ซึ่งเขามีจุดเด่นในเรื่องของคหกรรม ในเรื่องของความเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว ซึ่งนักเรียนสามารถที่จะเดินไปเรียนรู้ได้ เราก็มีการร่วมมือทางวิชาการร่วมกัน กับราชมงคลพระนครใต้นะคะ ในการที่จะพัฒนาลูกๆ นักเรียน
เพราะ ผอ. เชื่อว่าในปัจจุบันการศึกษา มันอาจจะไม่ได้อยู่แค่ความรู้ทางวิชาการอย่างเดียว แต่ว่าทักษะชีวิต แล้วก็คุณธรรม มันน่าจะหลอมรวมให้ลูกๆ เป็นคนที่สมบูรณ์มากขึ้น”
นอกจากจะผลักดันให้เป็นเหมือนกับวีรสตรีแกร่งของชาติแล้ว สิ่งที่ทางโรงเรียนไม่ลืมที่จะผลักดันในเรื่องของทักษะชีวิตด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นพื้ฐานของการเป็นแม่บ้านแม่เรือน ที่อยากให้มีติดตัวควบคู่ไปกับคุณธรรมที่ดีด้วย
“นอกจากจะผลักดันให้เป็นผู้นำในสังคมไทยและสังคมโลกก็ตาม ก็อยากจะให้ลูกๆ มีทักษะชีวิตของผู้หญิงในเชิงของผู้หญิง อย่างน้อยก็คืออาจจะทำงานบ้าน กวาดบ้าน รีดผ้า สามารถทำได้
อย่างน้อยให้เด็กๆ เขามีทักษะเบื้องต้น การเนา การเย็บ แก้ไขปัญหาเบื้องต้น หรือว่าการประกอบอาหารเบื้องต้น หรือในอนาคตเขาอาจจะไม่ได้ไปประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับด้านนี้โดยตรง แต่อย่างน้อยเขาได้รู้ เพื่อที่เขาจะได้นำไปใช้ต่อในชีวิต หรือว่าในอนาคตได้
ในขณะเดียวกัน เราก็เน้นย้ำในเรื่องของมารยาท ก็คือจะไหว้แบบสวย จะไหว้อย่างไทย เพราะว่าเราส่งเสริมในเรื่องของ มารยาทไทยให้กับลูกๆ นักเรียน
แล้วก็อีกเรื่องนึง นี่ถือว่าเราเป็นจุดที่ส่งเสริมเลยก็คือ การดูแลนักเรียนค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าโรงเรียนเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง เพราะว่านักเรียนใช้เวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แปลว่าโดยส่วนใหญ่นักเรียนก็คือใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียน
การที่ผู้ปกครองจะส่งบุตรหลานมา ก็แปลว่าเขาจะต้องมั่นใจแล้วว่า โรงเรียนดูแลบุตรหลานของเขาได้ ให้มีความปลอดภัย แล้วก็อยู่แล้วก็ได้ทั้งความรู้คู่ทักษะชีวิต แล้วก็คุณธรรม
เราก็เลยเน้นย้ำในเรื่องของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ให้ลูกๆ นักเรียนได้รู้สึกเหมือนกับอยู่บ้าน แล้วก็หันไปปรึกษาครูที่ปรึกษา หรือว่าร่วมแก้ปัญหาร่วมคิดไปด้วยกันได้ ก็ถือว่าเป็นจุดที่เราเน้นย้ำในการดูแลโรงเรียนให้ลูกๆ อยู่โรงเรียน แต่อบอุ่นเหมือนกับอยู่กับครอบครัวแบบนี้ค่ะ”
สื่อสารเข้าใจ เป็นทักษะผู้นำที่ดี
สำหรับคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่ดี ที่ขาดไม่ได้เลย ผอ.พีซบอกว่า การสื่อสารสำคัญมาก โดยเฉพาะการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในการให้กับบุคลากรรอบๆ ตัว เพราะเชื่อว่านั่นส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จ
พร้อมกับเชื่อว่า การสื่อสารที่ดีและสื่อสารเป็น ล้วนเป็นทักษะที่ผู้นำทุกคนพึงมี เพราะการสื่อสาร เป็นปัจจัยหลักในการเจรจาสื่อสารงานทุกด้าน
“ภาวะผู้นำมีความจำเป็น การสื่อสารทุกคนอาจจะคิดว่า มันดูเป็น point เล็ก แต่ ผอ. ว่ามันมีความจำเป็นมาก เพราะว่าถ้าสมมติว่าเราเป็นผู้บริหาร เราไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่เราคิด ไม่สามารถสื่อสารออกไปยังคนที่ปฏิบัติได้ การทำงานมันก็จะไม่ไปในตามทิศทางที่เราต้องการ
แล้วก็เรื่องมนุษยสัมพันธ์ เพราะว่าการเป็นผู้บริหาร สำคัญคือการทำงานกับคน ถ้าสมมติว่าเราไม่สามารถทำงานกับคนได้ คือถ้าเราไม่ได้ใจคน งานมันก็ไม่ได้สำเร็จ เพราะ ผอ. คนเดียว ไม่สามารถทำงานทั้งโรงเรียนได้นะคะ
มีคุณครูมีใครที่ช่วย ผอ. เยอะมาก ก่อนที่ ผอ. จะมาถึงจุดนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ได้ใจคน เราพัฒนาความสัมพันธ์กับคนไม่ได้ การที่เราจะทำให้งานสำเร็จมันยาก หรืองานอาจจะสำเร็จแต่ได้ไม่ดี
ถ้าสมมติว่าเราได้ใจคน คนก็จะทำงานอย่างเต็มที่ด้วยใจ ด้วยความทุ่มเท แต่ถ้าเราไม่ได้ใจ เขาก็ทำนะคะ แต่ว่าทำตามหน้าที่ เพราะฉะนั้นความสำเร็จมันอาจจะไม่ได้เท่ากัน สำเร็จเหมือนกันแต่ไม่ได้เท่ากัน เพราะว่าสำเร็จแค่พอให้ผ่าน กับสำเร็จเพราะว่าเราอยากสำเร็จไปด้วยกัน
เพราะว่าเรารัก เพราะเราเชื่อมั่น เราศรัทธา เราชื่นชม เราอยากจะพัฒนาไปข้างหน้าด้วยกัน ความตั้งใจ แล้วก็ความมุ่งมั่นในการใส่เข้าไปในงานมันจะไม่เท่ากัน ก็เลยคิดว่ามนุษย์สัมพันธ์ในการสร้างกับบุคลากร แล้วก็คนที่เกี่ยวข้องก็เป็นส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนด้วยเช่นเดียวกันค่ะ”
การเป็นผู้นำที่ดี ก็ไม่ได้มีตัวอย่างแบบเดียวที่ถูกต้องเสมอไป เพราะแต่ละสังคม ก็ต้องการผู้นำที่แตกต่างกันออกไป ส่วนเรื่องเพศก็มองว่า ไม่ใช่คุณสมบัติสำคัญ แต่ทุกวันนี้ดูที่คุณภาพการบริหารมากกว่า
“ถ้าเราเรียนรู้จริงๆ ผู้นำมันมีหลายรูปแบบนะคะ แล้วมันก็ไม่ได้มีตายตัวหรอกว่า ผู้นำแบบนี้คือเป็นผู้นำที่ดีที่สุด บางครั้ง บางสังคมเหมาะกับเป็นภาวะผู้นำแบบเผด็จการ บางอันก็เหมาะกับผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่เหมาะกับบริบทต่างๆ
แต่ถ้าเกิดถามว่าผู้ชายผู้หญิงแตกต่างกันไหม ผอ. ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแตกต่างกัน ถ้าเรามองในเชิงของการบริหาร เราไม่ได้มองที่เพศนะคะ
เพราะเดี๋ยวนี้ในเรื่องของ Gender คือทั่วโลกเราไม่แบ่งเพศแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าเราคัดคนมาทำงาน แปลว่าเราประเมินคนจากการทำงาน ถ้าเราคาดหวังผู้บริหาร ก็มองเขาจากการบริหาร ถูกไหม เราไม่ได้คัด ไม่ได้ดูการบริหารที่เพศ เราดูคุณภาพการบริหารจัดการบริหาร เราดูคุณภาพการสอนจากการที่คุณครูสอน ก็คิดว่าไม่น่าเป็นข้อจำกัดมั้ง
แต่ว่าอาจจะเป็นความคาดหวังหรือเปล่า หรือเป็นภาพจำซ้ำๆ ว่าควรจะเป็นแบบนี้ แต่ว่าถ้าเราเปิดมุมมอง เปิดใจรับ มันก็ได้มุมมองที่หลากหลายมากขึ้นค่ะ”
ห่วงเด็กซึมเศร้ามากขึ้น “การศึกษาก็เป็นสิ่งพื้นฐาน ที่โรงเรียนจะสามารถมอบให้กับเด็กๆ ก็อยากจะบอกเด็กๆ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษา ทุกวันนี้เด็กๆ อาจจะอยากไปมีชีวิตของตัวเองที่ค่อนข้างเร็วขึ้น การศึกษามันอาจจะเป็นแค่ช่วงหนึ่งของชีวิต เป็นแค่ช่วงหนึ่งที่จะหล่อหลอม แล้วก็ให้เราได้เรียนรู้ เพื่อสร้างตัวตน แล้วก็เพื่อสร้างคุณค่า สร้างเราขึ้นมาให้เป็นคนที่มีคุณภาพในอนาคต วันนี้เราอาจจะอยู่ในกรอบ อยู่ในการศึกษาใดๆ ก็แล้วแต่ ที่เราอาจจะชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แต่ว่าสุดท้ายแล้ววันนึง เราก็จะสามารถเลือกเองได้ว่า เราอยากจะเป็น หรือว่าเราอยากจะอยู่ในสังคมแบบไหน ในวันนึงที่เราสามารถที่จะผ่านกระบวนการฝึก ผ่านกระบวนการที่พัฒนาได้ ผอ. ก็ว่ามันเป็นประโยชน์ เราได้เป็นตัวของตัวเองแน่นอน เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเรา เราก็จะได้เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ แล้วก็มีคุณภาพด้วย เชื่อว่าทุกคนก็จะได้เป็นตัวเองที่มีคุณภาพในสังคม แล้วก็ทำประโยชน์ให้กับสังคม แล้วก็มีคุณค่าในตัวเองด้วย ก็อยากจะฝากให้ทุกคนเห็นคุณค่า แล้วก็รับมือตัวเอง ถ้าเกิดสมมติว่าเราเห็นคุณค่า แล้วก็รักในตัวเอง เราก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายจิตใจ หรือว่าทำร้ายร่างกายเราได้ เพราะว่ายุคปัจจุบัน ความรู้สึกของเด็กๆ ก็จะเปราะบาง เราก็จะค้นพบว่าเด็กๆ เขาเป็นซึมเศร้ามากขึ้น ซึ่งก็เป็นอีกปัญหาการศึกษานึงที่โรงเรียนเจอ ผอ. ก็เลยอยากจะฝากลูกๆ นักเรียนนะคะว่า ให้ดูแลจิตใจให้รักตัวเอง แล้วก็เห็นคุณค่าในตัวเอง พยายามมองหาสิ่งที่เป็นความสุข หรือว่าพลังบวกจากเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่รอบตัวค่ะ ถ้าเรามีความสุขได้จากการให้ เราจะมีความสุขได้ทุกวัน แต่ถ้าเรามีความสุขกับการรอรับ ถ้าคนอื่นไม่ให้ วันนั้นเราก็จะไม่มีความสุข เพราะว่า ผอ. ก็เป็นห่วงในเรื่องของสภาพจิตใจของเด็กๆ ที่เป็นซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้นอะไรอย่างนี้นะคะ ซึ่งก็อยากให้ลูกๆ ได้เห็นคุณค่าตรงนี้ แล้วก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตในทุกๆ วันมากขึ้นอะไรอย่างนี้ค่ะ” |
“วินัย” เป็นพื้นฐานในการพัฒนาคน
“เน้นในเรื่องของกาลเทศะมากกว่า ถ้าเราอยู่ในสังคมไหน มีกฎระเบียบแบบไหน ก็ให้เราเคารพตามกฎระเบียบสังคม อย่างที่บอกว่าโรงเรียนเหมือนเป็นสังคมจำลอง อาจจะมีระเบียบวินัยเยอะหน่อย แต่ก็เพื่อให้เขาเรียนรู้ว่า ถ้าเราอยากอยู่ในสังคมจำลองแบบนี้ เราควรจะปรับตัว หรือว่าวางตัวยังไง ให้มันเหมาะสมกับกาลเทศะ ในวันที่เขาออกไปจากรั้วโรงเรียน รั้วมัธยมแล้ว เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกอิสระได้เต็มที่ตามเขาต้องการ แต่ว่าในวันที่เราอยู่ด้วยกัน ในสังคมร่วมกัน ก็ให้ทำตามที่เหมาะที่ควร ตามกาลเทศะที่เหมาะสมมากกว่า มันเป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันในสังคม ในเรื่องของระเบียบวินัย การที่เรามีระเบียบวินัยตัวเอง มันก็ทำให้เราพัฒนาตัวเอง หรือว่าเป็นคนที่มีคุณภาพ หรือประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้านได้ วินัยเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาคน” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : Facebook “Peace Sornprapa” และ TikTok @peacesornprapa
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **