xs
xsm
sm
md
lg

#ยิวยึดปาย เสียงปฏิเสธ ขัดคนพื้นที่ กูรูแนะ “ตรวจคนเข้าเมือง” ให้เข้ม ป้องกันตั้งรกราก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คลื่นลูกใหม่ “ชาวยิว” ทยอยตั้งรกรากในไทย? กูรูบอก “เข้ามากันสักพักแล้ว” และไม่ใช่แค่อิสราเอลชาติเดียว รัฐปัดไม่เกี่ยวกับ “ฟรีวีซ่า” แต่ที่ผ่านมาชี้ชัด ภาครัฐบกพร่องตรวจเข้มนักท่องเที่ยว

** คนปายสุดจะทน โดนชาวยิวยึด!! **

กลายเป็นประเด็นร้อนสำหรับชาวไทย เมื่อมีการปูดว่า “อำเภอปาย”จ.แม่ฮ่องสอน กำลังถูก “ชาวยิว” หรือชาวอิสราเอล “ยึด” โดยต้นเรื่องแชร์จากแฟนเพจบนเฟซบุ๊ก “หมอบ่น AggressiveDoctor”

เขาโพสต์เล่าเรื่องที่หมอประจำโรงพยาบาล อ.ปาย ต้องเจอประจำคือ “คนไข้ชาวอิสราเอล”เข้ามารักษา แล้ว “ด่าทอ” บุคลากรทางการแพทย์ จนไปถึง “การทำลายทรัพย์สิน” ของโรงพยาบาล

หลังจากนั้นก็มีคนออกมาบอกอีกว่า “กลุ่มชาวยิว”มีการสร้าง “โบสถ์” สำหรับคนยิว ที่ด้านหลังสถานีตำรวจ อ.ปาย แถมมีการคุมเข้ม “ห้ามคนไทยเข้า”อีกด้วย

โดยโบสถ์แห่งนี้จะจัดกิจกรรมทางศาสนา ทุกวันศุกร์-เสาร์ จะมีนักท่องเที่ยวชาวยิวมาร่วมกันกว่า 100 ชีวิต มีการ “จัดปาร์ตี้” เสียงดัง รบกวนชาวบ้าน จนหลายคนกังวลว่า มันจะกลายเป็นแหล่งมั่วสุมหรือเปล่า

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบโบสถ์ดังกล่าวแล้ว แต่ “ไม่พบการกระทำผิดกฎหมาย” ด้านผู้ดูแลโบสถ์แห่งนี้ก็ยืนยันว่า มีเพียงการจัดศาสนกิจของชาวยิวเท่านั้น ไม่ได้มีการจัดงานปาร์ตี้อย่างที่มีคนร้องเรียน


                                                          {โบสถ์ยิว หลังโรงพัก อ.ปาย}

แต่ข้อมูลจากอีกมุม อย่างตำรวจท่องเที่ยว อ.ปาย รายนึง ยืนยันผ่านโพสต์บนเฟซุบ๊กว่า “นักท่องเที่ยวยิว” มีกลุ่มที่ทำตัวมีปัญหาจริงๆ คือเต็มไปด้วยพฤติกรรม “ไม่เคารพกฎหมาย” หลากหลายรูปแบบ

ทั้งขับมอเตอร์ไซค์เช่าด้วยความเร็วฝ่าไฟแดง, ทำตัวไม่มีมารยาท “สูบบุหรี่ทุกที่”แถมยังมีปัญหา “เมาเละเทะ” “ทำลายข้าวของ” “ทะเลาะวิวาท”“ลักขโมย”รวมถึง “บุกรุกสถานที่”ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการแฉอีกว่า คนเหล่านี้ “แอบเปิดธุรกิจ” อย่าง “ผับ-บาร์” “ร้านกาแฟ” “ร้านสัก” “ร้านตัดผม” และ “ร้านให้เช่ารถ”ผ่านนอมินีคนไทย

รวมถึงข้อมูลที่ว่า ทุกวันนี้มีคนยิวในปายกว่า “30,000 คน” จนผลักให้ประเด็นนี้กลายเป็นกระแส ด้วยการติดเทรนด์ในXว่า “#ยิวยึดปาย”

เมื่อกลายเป็นประเด็นร้อน “เอกวิทย์ มีเพียร”ผู้ว่าฯ จ.แม่ฮ่องสอน จึงต้องออกมาแก้ข่าวว่า ตัวเลข 30,000 กว่าคนนั้น คือจำนวนนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล ที่สะสมตลอดทั้งปี แต่จริงๆ แล้ว จำนวนชาวอิสราเอล ที่มาท่องเที่ยวและพักอาศัยใน อ.ปาย มีเพียง 2,000-3,000 คนเท่านั้น

ส่วนนายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” ก็ออกมาโต้เรื่อง “คนยิวยึดปาย”และติดป้ายห้ามคนไทยเข้าพื้นที่ว่า “ไม่เป็นความจริง”พร้อมทั้งบอกว่า ภายในสัปดาห์นี้ “อนุทิน ชาญวีรกูล”รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย “จะลงพื้นที่ตรวจสอบ”


                                    {ชาวอิสราเอล “ทำมึน” สูบบุหรี่ในโรงพยาบาล}

** “แอบ” เข้ามาสักพักแล้ว **

น่าสนใจตรงที่คำบอกปัด ปฏิเสธของฟากภาครัฐ ไม่ตรงกับข้อมูลจากนักวิจัยด้านการย้ายถิ่นฐานของแรงงานยุคใหม่ อย่าง “ผศ.ดร.ชาดา เตรียมวิทยา” อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่บอกกับทีมข่าวว่า “เรื่องนี้มีมาสักพักแล้ว”

โดย “ชาวอิสราเอล” ที่เข้ามา “ไม่ได้มีแค่ใน อ.ปาย” แต่ยังมีการกระจายตัวไปตามที่ต่างๆ ทั้ง “เชียงใหม่” “เกาะพะงัน” “ภูเก็ต” “หัวหิน” และตาม “เมืองรอง” ต่างๆ เริ่มจากการเข้ามาในรูปแบบนักท่องเที่ยว

“แต่พอมาอยู่นานๆ เนี่ย เราเห็นว่าไม่ได้มาแค่เรื่องการท่องเที่ยว แต่เริ่มมีธุรกิจขนาดเล็ก อย่างพวกร้านอาหาร คาเฟ่ โฮสเทล หรือแม้กระทั่งการสอนโยคะ ของกลุ่มชาวอิสราเอล


ส่วนเหตุผลที่ “ชาวอิสราเอล” ทยอยเข้ามาในไทย เพราะตอนนี้ที่บ้านเมืองของพวกเขา กำลังเจอกับ “ภาวะสงคราม” และ “ค่าครองชีพที่สูง” และกลุ่มคนที่เข้ามาส่วนนึง คือหนุ่ม-สาวที่ “ปลดประจำการจากกองทัพ” และต้องการหาที่พักผ่อน

หาสถานที่ที่สงบและค่าครองชีพไม่แพง ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ในไทย แต่ยังมีใน “ลาว” อย่าง “หลวงพระบาง” และ “เวียงจันทน์” ด้วยเหมือนกัน

จากสถิติการแจ้งพักของชาวต่างชาติใน อ.ปาย ปี 67 พบว่า มีชาวอิสราเอลแจ้งพักราวๆ 30,000 ราย และมีการ “ขออยู่ต่อในไทย” ประมาณ 1,800 ราย โดยใช้เหตุผลว่าขอเที่ยวต่อ ซึ่งกูรูด้านการย้ายถิ่นฐานอย่าง “ดร.ชาดา” มองว่า

“อย่าลืมว่า อิสราเอลเป็นประเทศที่มีธุรกิจStart Up มากพอสมควร เพราะฉะนั้น พอเขามาถึง มันเป็นไปไม่ได้ที่ว่า จะท่องเที่ยวในระยะเวลายาวกว่า 1 เดือนเขาก็ต้องใช้โอกาสนี้ทำธุรกิจด้วย”

โดยใช้ “สื่อโซเชียลมีเดีย” ในการสร้างเครือข่าย เพื่อรองรับและเชิญชวนคนจากประเทศตัวเอง เช่น การเช่าห้องพัก แล้วปล่อยเช่าต่อให้นักท่องเที่ยวคนอื่นแทน



เรื่องน่ากังวลคือ “คนยิว” เหล่านี้ ไม่ได้ทำธุรกิจโจ่งแจ้งแบบชาวจีน แต่การทำงานผ่านโซเชียลฯ ฉะนั้น ไทยควรเริ่มปรับประเภทของวีซ่าทำงานแล้วหรือเปล่า

โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่สร้างรายได้บนโลกออนไลน์ ทั้งกลุ่มอินฟลูฯ และกลุ่มStartup เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเหล่านี้ แอบมาเที่ยวไป-ทำงานไปอย่างที่เป็นอยู่

“การที่เขามาทำธุรกิจในบ้านเราเนี่ย ไม่ผิด ไม่แปลก แต่ว่าเมื่อเข้ามาแล้ว เสียภาษีให้คนในท้องถิ่นไหม เพราะว่า เขาได้ใช้ทรัพยากรคนไทย”

และพอเริ่มมีเรื่องชาวยิว ย้ายมาตั้งรกรากในไทย สิ่งนึงที่หลายคนกลัวคือ “ผู้ก่อการร้าย” จะตามมาไหม เพราะคู่ขัดแย้งของอิสราเอล ก็มีหลายกลุ่มที่เป็นผู้ก่อการร้าย

เกี่ยวกับเรื่องนี้กูรูรายเดิมมองว่า “ไม่น่าถึงขั้นนั้น” เพราะประเทศเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางความขัดแย้งเรื่องนี้ ดังนั้น ประชาชนไม่ต้องกังวล แต่เพื่อความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ควรละเลยประเด็นนี้ และต้องเฝ้าระวังเอาไว้เหมือนกัน



** “ฟรีวีซ่า” ไม่ผิด!!? **

การรวมตัวจำนวนมากของชาวอิสราเอลอย่างที่เป็นอยู่ ถือว่าพวกเขาเตรียมตั้งรกรากในไทยแล้วหรือเปล่า? และนี่อีกหนึ่งประเด็นที่ ดร.ชาดา ช่วยวิเคราะห์เอาไว้

โดยมองว่าตอนแรกเป้าหมายการย้ายถิ่นฐานของพวกเขา “ไม่ใช่ไทย” แต่มองไปที่ “สหรัฐอเมริกา” “แคนาดา” หรือแถวๆ “ยุโรป” กับ “ลาตินอเมริกา”

แต่ด้วยตอนนี้ “อเมริกา” มี “นโยบายผลักดันคนเหล่านี้” ออกนอกประเทศ ส่วนยุโรปกับลาตินอเมริกา “ค่าครองชีพสูงขึ้น” เลยผลักให้ในสายตาคนอิสราเอลแล้ว ประเทศแถบ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” จึงกลายเป็นจุดหมายใหม่ที่เริ่มน่าสนใจ

ทั้งนี้ ปัญหาชาวต่างชาติที่แอบเข้ามาอาศัย และใช้เมืองไทยเป็นแหล่งทำมาหากิน ไม่ได้มีแค่ชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังมีอีกกลุ่มที่น่ากังวลพอๆ กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนเทา คือ “กลุ่มเอเชียใต้” อย่าง “อินเดีย” และ  “ปากีสถาน”



คนเหล่านี้เข้ามาโดย “วีซ่านักท่องเที่ยว” และอาศัยเครือข่ายจากคนที่อยู่ก่อน ในการหาที่พัก หางาน จากธุรกิจที่ใช้คนไทยเป็นนอมินี บวกกับกฎหมายบ้านเมืองเราเองที่ “ไม่เข้มงวดเรื่องวีซ่า” ทำให้คนเหล่านี้ทะลักเข้ามาไม่หยุด

เมื่อถามว่า นี่คือผลพวงของการ “ฟรีวีซ่า” หรือไม่ จากเคสล่าสุดของชาวยิว “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบคำถามสื่อไว้ว่า “ไม่เกี่ยว”

เช่นเดียวกับนักวิจัยเรื่องการย้ายถิ่นที่มองไปในทิศทางเดียวกัน และระบุเพิ่มเติมว่า เป็นปัญหาของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ดูแลเรื่องตรวจคนเข้าเมือง เพราะมุกเดิมที่ผีน้อยเหล่านี้ใช้คือ เข้าด้วยฟรีวีซ่า พอครบเวลาที่กำหนด ก็ออกนอกประเทศ แล้วเข้ามาใหม่ ใช้ชีวิตวนไปอยู่แบบนี้

“ปัญหานี้มันเกิดจากคนดูแลกฎหมายของบ้านเราเอง คือเขาไม่ใช่ทัวร์ไกด์ แต่ทำไมเข้ามาแล้ว ออกไปบ่อยเหลือเกิน ทำไมเราไม่ตรวจสอบตรงนี้”



สกู๊ป : ทีมข่าวMGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook“หมอบ่น AggressiveDoctor”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น