ส่องเคส “เจ๊พีม” ไม่กลัวกฎหมาย ทำร้ายร่างกายรุ่นน้อง เหยื่อแฉไม่ใช่ครั้งแรก “ชอบอ้างแบ็กดี” นี่แหละ “วัฒนธรรมหลบหลังผู้มีอำนาจ” แบบไทยๆ เพื่ออยู่เหนือกฎหมาย!!
** “แบ็กดี” เลยกล้าทำ? **
ทนเคสนี้ไม่ได้ จน “กลุ่ม LGBTQ+”กว่า 500 ชีวิต ต้องรวมตัวกันที่คอนโดฯ ย่านรังสิต เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้เหยื่อของ “เจ๊พีม” รุ่นพี่สาวสองฯ ที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายรุ่นน้องกลางร้านอาหาร
จริงๆ แล้ว ก่อนหน้าเคยจัดหนักรุ่นน้องมาหลายรูปแบบแล้ว ทั้ง“ตัดผม”, บังคับให้ “ถอนวิชาเรียน” และข่มขู่ไม่ให้กลับมาเรียนอีก จนมาถึงคลิปสะเทือนใจ “สาดน้ำซุปร้อนๆ”จนกลายเป็นอีกคดีที่สังคมจับตา
ยังไม่จบแค่นั้น หลังก่อเหตุ มือสาดน้ำร้อนยังบุกไปถึงคอนโดฯ ของเพื่อนเหยื่อ “เอาพัดลมมาฟาดหัว” พร้อมขู่ว่าถ้าอยากให้หยุดคุกคาม ต้องจ่ายมา 50,000 บาท
ยิ่งเรื่องร้อน ยิ่งถูกขุดเยอะ จึงผุดข้อมูลเพิ่มว่า นี่ไม่ใช่เคสแรกจากน้ำมือเจ๊พีม เพราะมีเหยื่ออีกรายออกมาแฉว่า เคยโดนยกพวกมา “รุ่มตบ-เตะหัว” และ ิมาแล้วเหมือนกัน
เหตุเพราะคิดว่าเหยื่อรายนี้ขโมยบุหรี่ไฟฟ้าไป แถมแก๊งรุ่นพี่แก๊งนี้ ยัง “อัดคลิปตอนรุมสกรัมเหยื่อ”เอาไว้ พร้อมขู่ว่าถ้าไปแจ้งตำรวจ จะทำให้หายไปจากโลกนี้
{กลุ่ม LGBTQ+บุกทวงความยุติธรรม}
ที่น่าสนใจคืออันธพาลรายนี้ อ้างอย่างภาคภูมิว่า “มีแบ็กดี” เป็นถึง “ตำรวจ” หนำซ้ำยังจ่ายส่วยให้ตำรวจหลายครั้ง เพื่อให้ได้ทำธุรกิจขายบุหรี่ไฟฟ้าได้
ล่าสุด หลังเป็นประเด็นได้ 2-3 วัน ตำรวจก็เข้ารวบตัวเจ๊พีมเรียบร้อยแล้ว พร้อมข้อหาอย่าง “ร่วมกันทำร้ายร่างกาย” “กรรโชกทรัพย์” และ “ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ“ เบื้องต้นตำรวจคัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวน และส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดธัญบุรีแล้ว
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เคสแรก ที่มีการทำร่างกายกันแบบอุกอาจ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน ก็เพิ่งมีเคส “แก๊งโอริโอ้” ยกพวกรุมทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทั้ง “ใช้ไม้เบสบอลตีตัว” “จับเหยื่อแก้ผ้า” “บังคับให้กินหญ้า” แถมยัง “อัดคลิปประจาน”
เหตุทั้งหมดมาจากแค่ทะเลาะกันในเกมอย่าง “FiveM” ซึ่งหลายคนในแก๊งนี้เป็น “ลูกคนดัง-หลานนักการเมือง” แถมมีพฤติกรรมชอบอ้างชื่อ ใช้บารมีพ่อ-แม่ตัวเอง บางคนก็อ้างว่า “พ่อแฟนเป็นตำรวจ” เลยไม่กลัวเกรงกฎหมาย
** “สังคมอุปถัมภ์” หนุนระบบ “ผู้มีอิทธิพล” **
จากทั้ง 2 เคสตัวอย่างล่าสุด ผลักให้ผู้คนในสังคมหลายส่วนอดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพราะระบบคอนเน็กชั่น “แบ็กดี”แบบนี้หรือเปล่า เหล่าผู้ก่อคดีเลยกล้าทำซ้ำๆ
และนี่คือมุมมองจาก “โต้ง” รศ.พ.ต.ท.ดร. กฤษณพงค์ พูตระกูลรองอธิการบดี ประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ช่วยวิเคราะห์ไว้ว่า นี่คือภาพสะท้อนปัญหา “ผู้มีอิทธิพล” ในบ้านเรา?
“แบ็กข้าใหญ่ เลยไม่กลัวกฎหมาย” นี่คือ “มายาคติ”โดยเฉพาะ “คนไทย”จำนวนไม่น้อยที่มองว่า “นักการเมือง”หรือ “ข้าราชการ” ยิ่งเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ “เราต้องเกรงใจ”เพราะคนเหล่านี้สามารถโยกย้ายเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานได้
“ดูแล้วเหมือนมีอำนาจ ทำให้คนเกิดความเกรงกลัว เจ้าหน้าที่เกิดความกลัว ว่าจะมีผลต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน ถึงแม้เจ้าหน้าที่ระดับผู้ปฏิบัติงาน จะทำอย่างตรงไปตรงมานะ ต้องรับความจริงก่อน”
{“โต้ง” ดร.กฤษณพงค์นักอาชญาวิทยา}
บวกกับ “วัฒนธรรมแบบไทยๆ” ที่เป็น “สังคมอุปถัมภ์” ก็ยิ่งผลักให้ผู้คนวิ่งเข้าหา “ผู้มีบารมี” ดังนั้น เวลามีปัญหา ทำให้เรื่องการ “อ้างชื่อผู้มีอำนาจ” ในบ้านเมืองเรา กลายเป็นเรื่องปกติไปโดยปริยาย
“ถ้อยทีถ้อยอาศัย อันนี้เป็นวัฒนธรรมของเอเชียเหมือนกันนะ โดยเฉพาะคนไทยที่..ไม่เป็นไร เรื่องนี้คุยกันได้ เรื่องนี้จบกันได้”
ทำให้เราเห็นกันบ่อยๆ ว่า ไพ่ตายใบสุดท้ายเวลามีปัญหาก็คือ “อ้างชื่อผู้มีอิทธิพล” เพราะคนเหล่านี้เขาเคลียร์ได้ ถือเป็นวิธีแก้ปัญหาที่สร้างปัญหา แบบหยั่งรากลึกไปถึง “การปลูกฝังในครอบครัว”
โดยเริ่มมาตั้งแต่การทำผิดกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ ที่พ่อ-แม่ช่วยเคลียร์ให้ได้ เพราะรู้จักกับเจ้าหน้าที่รัฐ จนลามมาถึงคดีใหญ่ๆ ในตอนหลัง
การปลูกฝังแบบนี้ “ดร.โต้ง” มองว่า มันพาไปสู่การละเมิดกฎหมายที่รุนแรงได้ เพราะก็เท่ากับเราสอนให้ คนละเมิด และมองข้ามกฎเกณฑ์ของสังคมมา “ตั้งแต่เด็กๆ” จนสั่งสมจิตสำนึกผิดๆ ตั้งแต่เรื่องเล็ก จนขยายไปเป็นเรื่องใหญ่
และจากงานวิจัยเมื่อหลาย 10 ปีก่อน หรือแม้แต่ปัจจุบัน ต่างก็ยืนยันว่าการอบรมของครอบครัว มีผลต่อ “การตัดสินใจ” และ “ตรรกะ” ของเด็กในตอนโต อย่างที่นักอาชญาวิทยารายเดิมบอกไว้
“ถ้าครอบครัวไหนก็ตาม มีการขัดเกลาทางสังคมที่ดี มีความรัก ความอบอุ่น โอกาสที่สมาชิกครอบครัวจะละเมิดกฎหมาย ก็น้อยลง”
** “จับสักเคส” จะได้เลิกอ้าง **
ถ้าต้องการหยุด “วัฒนธรรมหลบหลังผู้มีอำนาจ” อย่างจริงจัง “ดร.โต้ง” แนะว่า อย่างแรก เจ้าหน้าที่รัฐต้องมีความตรงไปตรงมา ร่วมกับการเปลี่ยนค่านิยมของคนไทยเสียใหม่
“ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ก็ต้องเริ่มลงมือทำครับ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นค่านิยมที่สืบทอดกันไป จากรุ่นสู่รุ่น”
ถอดบทเรียนจากเคสล่าสุดอย่าง “เจ๊พีม” ที่ชอบอ้างว่า “มีแบ็กเป็นตำรวจ” แถมจ่ายส่วยเพื่อขายบุหรี่ไฟฟ้าอีกต่างหาก จึงอาจแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ “1.มีแบ็กจริง” กับ “2.แค่อ้างเฉยๆ”
แต่ไม่ว่าจะเข้าข่ายข้อไหน...
“ประเด็นคือ หน่วยงานที่ถูกแอบอ้าง ก็ควรต้องมีการตรวจสอบนะครับ เพื่อความโปร่งใส จะได้รู้ว่ามีหลักฐานเกี่ยวข้องจริงหรือไม่”
เพราะการลงโทษ ก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่อย่างนั้น ถ้าเจ้าหน้าที่แค่ถูกอ้างชื่อเฉยๆ ก็จะไม่เป็นธรรม ซึ่งเรื่องนี้สามารถไล่ตรวจสอบได้ เช่น พื้นที่ไหนที่ถูกอ้างชื่อ หน่วยงานใดบ้างที่เกี่ยวข้อง อย่าง “บุหรี่ไฟฟ้า” นอกจากตำรวจแล้ว “กรมศุลกากร” มีเอี่ยวด้วยหรือเปล่า?
แต่เท่าที่เห็นจากข่าว คนทำผิดก็ได้รับโทษกันไป แต่เรื่องที่ไม่เคยถูกสาวไปถึงเลยคือ “ผู้มีอิทธิพล” ที่ถูกอ้างชื่อ
ไม่ต่างจากเคส “ส่วยเทวดา” ของ “The iCon” ที่บอกว่า มีจ่ายให้บิ๊กๆ หลายคน เพื่อคอยหนุนธุรกิจนี้อยู่ และที่เป็นแบบนี้ “ดร.โต้ง” บอกว่า..“พวกนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใบเสร็จครับ”
ปัญหาคือส่วนใหญ่ “หลักฐานเชื่อมโยงไปไม่ถึง” บุคคลเหล่านี้ ไม่ว่าจะ “นักการเมือง” หรือ “ข้าราชการ” ว่า เป็นคนที่คอยหนุนหลังอยู่จริงๆ โดยเฉพาะเส้นทางการเงิน แต่นักอาชญาวิทยารายเดิมก็บอกว่า จริงๆ มันก็ไปต่อได้
“ต้องหาความเชื่อมโยงอย่างอื่น พูดง่ายๆ คือต้องมีความจริงใจ ในการจะจัดการกับปัญหาครับ ร่องรอยหลักฐานที่มีอยู่เล็กน้อย ก็ต้องเอามาขยายความ เพื่อจะสาวไปให้ถึงให้ได้ครับ ”
หากมีตัวอย่างสักคดี ที่เหล่า “แบ็ก” พวกนี้ ต้องออกมารับโทษ วัฒนธรรมการ “อ้างชื่อผู้มีอิทธิพล” เพื่อให้ตัวเองอยู่เหนือกฎหมาย ก็จะค่อยๆ ลดลง จนหายไปได้ในที่สุด...
สกู๊ป : ทีมข่าวMGR Live
ขอบคุณภาพ : X @nobraoriginal”, @yanith_sa
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **