xs
xsm
sm
md
lg

เจาะเคส "ซิงซิง" เปิดทริควงในค่ายยักษ์ แยกมิจฯ ค้ามนุษย์ “งานจริง-งานลวง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ส่องมุก “แก๊งมิจฯ ชาวจีน” แฝงตัวในกลุ่ม “หลอกดาราจีน” ผู้จัดการศิลปินเผยวิธีที่แก้เผ็ด เช็กง่ายๆ อันไหน “งานจริง-งานต้ม” กระทบหนัก ท่องเที่ยวไทยซวย “จีนหลอกจีน” แต่ไทยรับกรรม

** “ค้ามนุษย์” แฝงตัวเข้าหา “คนดัง” **


จากนักแสดงสู่ “เหยื่อขบวนการค้ามนุษย์” เคสดังของดาราจีนอย่าง “ซิงซิง”หรือ “หวัง ซิง” ที่โดน “มิจฉาชีพ”หลอกผ่าน “We Chat” อ้างตัวว่า บริษัทยักษ์ในไทย อย่าง “GMM GRAMMY”ต้องการให้เขามาเล่นหนังในไทย

แต่พอบินมาถึง สุดท้ายเขากลับหายตัวไป บริเวณ “ชายแดนไทย-เมียนมา” จนนำไปสู่การตามหาตัว และเข้าช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ไทยในที่สุด


                                                     {“ซิงซิง” ดาราจีนเหยื่อมิจฉาชีพ}

พอข่าวนี้ถูกตีแผ่ออกไป กลายเป็นว่า “ซิงซิง” ไม่ใช่ดาราคนเดียวที่โดนลวง เพราะมุกแบบเดียวกันนี้ “สี่ว์ต้าจิ่ว” ก็ออกมาโพสต์อีกรายว่า เขาก็น่าจะโดนหลอก จากแก๊งเดียวกันนี่แหละ

แต่ในเคสของ สี่ว์ต้าจิ่ว พอมาถึงไทยแล้ว เขาไหวตัวทัน เลยรีบหนีกลับจีนไปก่อน ทั้งยังแฉเพิ่มว่า เคยมีคนโดนหลอกแบบนี้อีกถึง 3 กลุ่ม โดยที่เขาเป็นกลุ่มที่ 3 ส่วน ซิงซิง เป็นกลุ่มที่ 2 ที่มาถึงก่อนหน้าเขา


                                            {“สี่ว์ต้าจิ่ว” มาถึงไทยแล้ว แต่ไหวตัวทัน}

กลเม็ดของมิจฯ เหล่านี้คือ จะแฝงตัวไปอยู่ในกลุ่ม We Chat “หางานแสดง” ของประเทศจีน โดยตั้งชื่อเป็นบริษัทใหญ่ของเมืองไทยอย่าง “GMM Grammy” และเข้าไปหลอกว่า “มีงานแสดงในไทย”

จากนั้นจะให้เหยื่อ “ถ่ายคลิปตัวเอง” ส่งมา เนียนว่าเป็นการ “casting“ เพื่อคัดเลือกนักแสดง จากนั้นจะตอบกลับเหยื่ออย่างรวดเร็วว่า ให้ผ่านการคัดเลือก แล้วบินมาถ่ายทำที่ไทยทันที

เคสที่เนียนมากคือ กรณีของ “ฟ่านหู่” ที่มีการส่ง “เอกสารโครงการถ่ายละคร” มีข้อมูลครบถ้วนทั้งชื่อเรื่อง, บทหนัง, รวมทั้งการันตีด้วย “ชื่อผู้กำกับ”จึงทำให้เขาหลงเชื่อ ตัดสินใจมากรุงเทพฯ พร้อมเพื่อนนักแสดงอีก 2 คน


                                        {“ฟ่านหู่” ติดต่อผู้กำกับไทย ถึงรู้ว่าโดนหลอก}

แต่ “ฟ่านหู่” รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เลยลองหาชื่อผู้กำกับไทยในเอกสารคนนั้น แล้วติดต่อไปยังเจ้าตัว จึงได้คำตอบว่า “นี่ไม่ใช่ผม เตือนทุกคนว่ามันคือ การหลอกลวง”

เมื่อรู้ความจริงจากปาก “คนที่ถูกแอบอ้าง” ในไทยแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจหนีออกจากที่พัก และบินกลับจีนในทันที



** เอะใจให้ไว!! แยกให้ออก “งานจริง-งานลวง” **

ถ้าไม่อยากตกเป็น “เหยื่อ” ถูกลวงไปค้ามนุษย์ เหล่าคนดังทั้งหลาย รวมถึงคนทำงานสายบันเทิง ต้องสังเกตให้ดีๆ หาวิธีแยกแยะให้ได้ว่า แบบไหน “งานจริง” หรือ “งานลวง”

และนี่คือทริคจากแหล่งข่าววงใน ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ซึ่งทำหน้าที่ดูแลศิลปิน ในบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ของไทย ที่ช่วยแชร์ไว้จากประสบการณ์

“หลักๆ เวลาที่เรามีคนมาติดต่อ อันดับแรกเลยนะ เราต้องใจเย็นๆ ก่อน อย่าเพิ่งกระโจนเข้าหาทุกโอกาส ให้ตั้งสติ แล้วก็หาข้อมูลแวดล้อมให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้”

Artists Management รายนี้เตือนไว้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นงานในประเทศ หรือนอกประเทศ สิ่งแรกที่ต้องดูคือ “โปรไฟล์บริษัท” ว่ามีอยู่จริงไหม เคยทำงานประเภทไหนมาบ้าง ส่วนถ้าเป็นบริษัทต่างประเทศ ก็ดูว่ามีตัวแทนในไทยไหม



ยกตัวอย่างเคส “ซิงซิง” กับ “ฟ่านหู่”ที่มีการสวมรอยเป็นบริษัทใหญ่ที่มีตัวตนจริงๆ รวมถึงปลอมเอกสารต่างๆ เพื่อหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ ซึ่งถือว่าทำได้ค่อนข้างเนียน

แต่ก็ไม่ยากเกินตรวจสอบ ถ้าเหยื่อไม่ปล่อยผ่าน ด้วยการ “ติดต่อสอบถาม” ไปที่บริษัทโดยตรง เพื่อคอนเฟิร์มข้อมูลและรักษาความปลอดภัยให้ตัวเองอีกที

ต่อมาก็เช็ก “คนที่มาติดต่อ” เพราะคนที่ทำงานแนวๆ นี้ จะต้องมี “โปรไฟล์บนสื่อโซเชียลฯ” เพื่อ  “แสดงผลงาน” ว่า เขาเคยร่วมงานกับใครมาบ้าง แต่ก็ยังต้อง “ระวัง” เพราะเดี๋ยวนี้มีคนที่ใช้รูปคู่ดารา มาแอบอ้างก็มีถมเถไป
“เช็กกับเครือข่ายของเรา เราอยู่ในวงการ เรามีเพื่อนอยู่แล้วล่ะ เราหาจุดเชื่อมโยงเลยว่า สมมติเขาติดต่อนักแสดง เรามีเพื่อนเป็นนักแสดง เราลองถามสิ เคยทำงานกับคนนี้ไหม เคยได้ยินชื่อบริษัทนี้ไหม”

อีกกลเม็ดที่จะใช้จับไต๋มุกต้มแบบนี้ได้คือ “นัดประชุม” เพื่อทำความรู้จักกับทีมงาน ถ้าเป็นงานหนัง-ละคร แหล่งข่าวรายเดิมบอกว่า เราควรต้องคุยกับผู้กำกับหนังโดยตรงด้วยซ้ำ

และการนัดประชุมต้องมีอย่างต่ำ 2-3 ครั้งก่อนงานเริ่ม ตรงนี้เองที่จะทำให้เราเริ่มจับสังเกตความผิดปกติได้

“ประชุมวางแผนงานกัน เพื่อว่าเวลาคุยงานไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้แล้วว่า เฮ่ย..เขาเข้าใจงาน เขาน่าเชื่อถือแค่ไหน”



และถ้าตกลงรับงานแล้ว 2 สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ เพื่อความมั่นใจว่า จะไม่โดนหลอก มีอยู่ 2 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1.ถ้า “ไปทำงานต่างประเทศ” ต้องให้บริษัทที่มาติดต่อ ออก “วีซ่าทำงาน” ให้เรา
2.ต้องมี “การเซ็นสัญญาจ้างงาน”ก่อนเริ่มงานหรือเดินทางทุกครั้ง

นอกจากนี้ยังแนะว่า ถ้าเป็นงานแสดงในไทย ให้บริษัทจ่ายค่าตัว 50% ตอนเซ็น และอีก 50% หลังงานจบ แต่ถ้าเป็นงานต่างประเทศ ควรให้เขาจ่ายค่าตัวทั้งหมด 100% ก่อนเดินทาง

ส่วนถ้าบริษัทนั้นๆ “ไม่เซ็นสัญญา”หรือ “ทำวีซ่าทำงาน”ให้เราอย่างที่ควรจะเป็น ให้ตั้งธงเอาไว้ก่อนเลยว่า งานนี้มันแปลกๆ

ทั้งหมดนี้คือวิธีดูที่ง่ายที่สุด ที่เหล่า “นักแสดงไร้ค่าย” หรือคนดังที่ไม่มีผู้จัดการคอยเช็กงานต่างๆ ให้ ต้องมีความรู้ติดตัวเอาไว้ อย่างที่ Artists Management รายเดิมยอมรับว่า การจะตรวจทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียว มันเป็นเรื่องยากจริงๆ


                                          {“ไม่มีสัญญา-ไม่ออกวิซ่าทำงาน” เอะใจไว้ได้เลย}

** ถ้าปล่อยไว้ “ไทยซวย” **

แน่นอนว่าพอเป็นข่าวดัง ทั้งเคสของ “ซิงซิง” กับที่นักแสดงจีนอีกหลายคนที่เจอ “แก๊งจีนหลอกจีน”ย่อมเกิดผลลบต่อ “การท่องเที่ยวของประเทศไทย”
เพราะขบวนการค้ามนุษย์พวกนี้ ใช้ไทยเป็นทางผ่าน พาคนไปยังประเทศที่ 3 อย่าง “เมียนมา” ทำให้ภาพลักษณ์เมืองไทย “ติดลบ” หนัก

ล่าสุดถึงขั้นที่ว่า “เฉิน อี้ซวิ่น” หรือ “Eason Chan”ศิลปินนักร้องชื่อดังจากฮ่องกง ต้อง “ยกเลิกคอนเสิร์ต” ที่จะจัดในไทย วัน 22 ก.พ.นี้อย่างกะทันหัน เพราะ “ห่วงเรื่องความปลอดภัย”


                                    {“Eason Chan” ยกเลิกคอนเสิร์ตไทยกะทันหัน}

ไม่ใช่แค่นั้น “สื่อจีน” ยังตีแผ่ข่าวการหลอกดาราจีนครั้งนี้ไปทั่วประเทศ จนมีการวิเคราะห์ว่า เรื่องนี้ทำให้การท่องเที่ยวไทยในช่วงตรุษจีน เสียหายกว่า “5,000 ล้านบาท” และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนในระยะยาวด้วย

สอดคล้องกับความคิดเห็นของ “วัสน์พล อรรถพรธนเสฐ” นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ที่บอกกับทีมข่าวว่า ภาพลักษณ์เมืองไทย “เสียหายหนัก”

“แล้วนักท่องเที่ยว cancel เยอะไหม จริงๆ มันเยอะ แต่บางคนเขาซื้อตั๋วไปแล้ว บางคนก็สมัครทัวร์ไปแล้ว มันก็ cancel ไม่ได้ แต่คนที่คิดจะมา แล้วไม่มา อันนี้สิเยอะ เพราะฉะนั้น คราวนี้ ถือว่าสาหัสนะครับ”


                                          {“วัสน์พล” นายกสมาคมมัคคุเทศก์ฯ}

นายกสมาคมมัคคุเทศก์ฯ บอกว่า การท่องเที่ยวไทยเพิ่งกลับมาฟื้นตัวเมื่อราวๆ กลางปีที่แล้ว(2567) แต่ดูท่าตอนนี้จะต้องมาสะดุดเพราะเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะไม่ใช่แค่คนจีนที่กลัว “คนฮ่องกง” เองก็เริ่มตระหนกกับประเด็นนี้เหมือนกัน

“ถ้าเราแก้ไขทันจะไม่ยาว ถ้าไม่แก้ไข ยังเอ้อระเหย มันก็คงไม่ต่ำกว่า 3 เดือน กว่าจะค่อยๆ ฟื้น”

ดังนั้น ถ้ายังเรียกความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวกลับมาไม่ได้ คาดว่า “นักท่องเที่ยวจีน”ที่จะมาไทยในช่วงตรุษจีนนี้ “จะหายไปราวๆ ครึ่งนึง”

สิ่งที่ควรทำคือ “รัฐ” ต้องเป็นเจ้าภาพ ดึงเอกชน และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว จัดกิจกรรม เพื่อเรียกความมั่นใจกลับมา


                                              {ภาพลักษณ์ติดลบ นักท่องเที่ยวจีนหายกว่าครึ่ง}

สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : www.scmp.com




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น