เปิดใจอินฟลูฯสาวสายเกษตร กับชีวิตสุดพลิกผลัน จากลูกหลานชาวนา สู่ผู้จัดการโรงแรมห้าดาวในจีน เผชิญปัญหาชีวิตคู่จนป่วยซึมเศร้าจนเกือบคิดสั้น กลับบ้านเกิดเอาดีด้านการเกษตรจนปัง นี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด!!
ต้องดิ้นรน เพราะความจนมันน่ากลัว
“ถามว่าแฮปปี้กับชีวิตทุกวันนี้ไหม บอกได้เลยว่าแฮปปี้มากๆ แต่ก่อนไม่เคยคิดว่า 2 มือนี้จะมาอยู่กับคำว่าเกษตร แต่ตอนนี้เกษตรคือหัวใจของมุตาเลย หลายๆ คนมองว่าคำว่าเกษตรเป็นอาชีพสำหรับคนจน แต่จริงๆ แล้วคนในเมืองยังต้องซื้อผลผลิตจากเกษตรกร ถูกไหมคะ เพราะฉะนั้น อย่าดูถูก ไม่ว่าอาชีพไหนมันมีคุณค่า มีศักดิ์ศรีหมด”
“มุตา - ศิริรัตน์ ไชยบัวรินทร์” Influencer สายเกษตรคนสวย วัย 40 ปี บอกกับทีมข่าว MGR Live
เธอคือเจ้าของ Fackbook Fanpage “ผจก.แว๋ คนสวย” ที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคน ส่วนช่อง YouTube ในชื่อเดียวกัน ก็มีผู้ติดตามเกือบ 1.6 แสนคน
กว่าที่ชีวิตของเธอจะเดินทางมาถึงวันนี้ บอกได้เลยว่ามีครบทุกรสชาติ ทั้งการจากเมืองไทยไปเริ่มต้นใหม่ยังต่างแดน ได้งานเป็นผู้จัดการโรงแรมห้าดาวเงินเดือนหลักแสน ผิดหวังจากชีวิตคู่จนเกือบตัดสินใจไม่มีชีวิตอยู่
ก่อนจะก้าวผ่านทุกอุปสรรค กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บ้านเกิด และนับหนึ่งในอาชีพเกษตรกร ไปพร้อมกับการทำช่อง YouTube แบ่งปันความรู้ด้านการเกษตร
ทว่า... ย้อนกลับไปในวัยเด็ก มุตาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวเกษตรกร เธอต้องช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวทุกอย่าง และตั้งใจไว้ว่า สักวันต้องพาครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจนและการทำการเกษตรให้ได้
“ตั้งแต่เด็กๆ พ่อกับแม่ก็จะเผาถ่านขาย แล้วก็จะรับจ้างทั่วไป ทำไร่ ทำสวน แต่ว่าเท่าที่จำได้ก็คือลำบากมาก เป็นครอบครัวที่พูดได้เลยว่าอัตคัดมากๆ ชุดนักเรียนยังไม่มีที่จะใส่ไปโรงเรียน รองเท้าต้องรอคนอื่นเขาบริจาคมาถึงจะมีไปโรงเรียน
มีพี่น้องด้วยกัน 3 คน เป็นคนกลางค่ะ มีพี่ชาย มีน้องสาว ลูกทุกคนต้องทำงานช่วยพ่อกับแม่หมดเลยค่ะ ทำเป็นหมดเลยค่ะ ต้องใช้ควายไถนา คราดนา ดำนา ถอนกล้า แบกต้นกล้า แม้กระทั่งขายของ สมัยแต่ก่อนแม่เขาก็จะหิ้วของไปขาย ขนมจีนถ้วยละบาท ถุงละบาทยังจำได้ ต้องตามเขาไปต้อยๆ กว่าจะได้เงินแต่ละบาทมานี่ลำบากมากๆ
(การทำเกษตร) ไม่ชอบมาก เพราะว่าเราอยู่กับความลำบากมาตั้งแต่เด็ก เราเห็นวิถีชีวิตพ่อกับแม่ที่ทำการเกษตร เรารู้สึกว่ายิ่งทำยิ่งลำบาก ยิ่งการทำนาก็ได้แต่ข้าวกิน แต่พอขายปุ๊บก็ไม่พอกิน อะไรอย่างนี้ค่ะ เพราะว่าเราก็ไม่ค่อยมีที่มีทาง ก็เลยรู้สึกว่าการทำเกษตรมันลำบากมาก กว่าจะไถนาได้แต่ละงาน กว่าจะดำนาเสร็จมือ-เล็บจนเลือดออก
เหมือนมันฝังอยู่ในใจว่าถ้าเราโตขึ้นเราจะไม่กลับมาอยู่บ้าน เราจะไม่ให้พ่อแม่ลำบาก ก็คือตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่เล็กๆ เลยว่าจะทำให้ชีวิตครอบครัวเราดีขึ้น แล้วเราก็จะไม่มาอยู่กับเกษตรเด็ดขาด”
ด้วยเพราะทางบ้านขัดสนหนัก มุตาในวัยเด็กต้องทำงานเพื่อหาเงินไปโรงเรียน และยังต้องแบ่งเวลาเพื่อทบทวนบทเรียน และเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เธอก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงตามลำพัง ด้วยหวังจะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวอีกแรง
“การเรียนคือต่ำมากๆ เราต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 ไปตลาด แล้วก็ต้องช่วยแม่เตรียมของขาย แทบจะไม่มีเวลาไปเข้าแถวหน้าเสาธง พอเพื่อนเขามีงานอะไร เราก็ไม่ได้ไปทำงานกลุ่มกับเขา แทบไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เพราะว่าตอนนั้นเราโฟกัสแค่ว่าทำยังไงถึงจะได้เงินมาซื้อกับข้าว ถึงจะได้เงินไปโรงเรียน ก็เลยต้องโฟกัสที่จะช่วยพ่อกับแม่ในการขายของ มากกว่าการเรียน
พอช่วงประมาณ ม.3 แม่ก็เริ่มขายของได้เยอะขึ้นเพราะว่าได้ขายของในโรงเรียน เราเริ่มโต เริ่มแบ่งเวลาได้ ก็เลยสปีดตัวเองจนการเรียนดีขึ้น พอจบ ม.3 เกรดจะอยู่ที่ 3.8 ไปยืมทุนเรียนด้วย แล้วก็ทำงานอยู่ร้านอาหารตามสั่ง วันละ 40 บาท แค่ขอมีข้าวกิน แล้วก็ได้เงิน 40 บาทไปโรงเรียน บางทีก็มีน้อยใจบ้างว่าทำไมชีวิตเราลำบาก อยู่ร้านอาหารตามสั่งจนจบ ม.6 ค่ะ
พอจบ ม.6 ก็ไปอยู่กรุงเทพฯเลยค่ะ พ่อไปส่ง ก็ไปอยู่หอหญิง มีเงินติดตัวอยู่ประมาณ 5,000 เหมือนตอนนั้นก็คิดว่าไปเอาดีดาบหน้า ยังไม่ได้คิดว่าจะไปเรียนหรือไปอะไร คิดแค่ว่าจะหาเงิน เป้าหมายตอนนั้นคิดแค่ว่าเงินเท่านั้นที่จะสามารถสร้างความสุขให้เราได้ เงินเท่านั้นที่จะทำให้ครอบครัวเราดีขึ้น เงินเท่านั้นที่จะตอบโจทย์สำหรับทุกอย่างในชีวิต
เป็นคนที่วิ่งหาเงิน ไปรับจ้างสระผมร้านเสริมสวย ไปรับจ้างขายของ ทำแทบทุกอย่างเลยค่ะที่กรุงเทพฯ ผ่านไป 2 ปีก็เริ่มดีขึ้น เราก็ถือว่าเจอคนดีๆ มิตรสหายที่ดี มันเป็นการสร้างโอกาสให้กับตัวเองไปด้วย ชีวิตในกรุงเทพฯ ก็ถือว่าดีขึ้นมากๆ
ไปกรุงเทพฯ ครั้งแรก คิดว่ายังไงก็ได้ดีดาบหน้า ก็ผลักดันตัวเองจนได้มีรายได้หลักหมื่นขึ้น จนถึงหลักแสน แต่บอกไว้เลยว่า 2 ปีแรกที่อยู่ในกรุงเทพฯ เป็นชีวิตที่ทรหดอดทนมากๆ (หัวเราะ) มันลำบากมาก เพราะว่าเราโฟกัสแค่เงิน”
“ครอบครัวมาก่อนเสมอ” คือคำที่หญิงสาวสลักไว้ในใจ เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้ เธอตั้งใจเก็บหอมรอมริบไว้เพื่อใช้หนี้ให้ที่ทางบ้าน เงินก้อนแรกที่เก็บได้คือ 50,000 บาท สำหรับจ่ายค่ารถไถนา ส่วนก้อนต่อๆ มา คือการทยอยสร้างบ้าน สะสมไปเรื่อยๆ จนได้บ้านหนึ่งหลัง และเมื่ออายุได้ 20 ปี ก็สามารถปลดหนี้ให้ครอบครัวได้จนหมด
และเพราะการศึกษาจะเป็นประตูที่เปิดโลกไปได้กว้างไกล มุตาจึงตัดสินใจเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมกับทำงานควบคู่ไปด้วย ด้วยความขยันในทุกหน้าที่ ทำให้เธอเรียนจบภายใน 4 ปีอย่างที่ตั้งใจ
“เราไปโฟกัสว่าเงินคือสิ่งสำคัญที่สุด เราไปโฟกัสแต่ความสุขของคนข้างหลังเยอะกว่า จนลืมไปว่าจริงๆ มีสิ่งอื่นที่เราน่าจะนึกถึงก็คือสุขภาพของเรา ความสุขของเรา ตัวเราก็มีหัวใจ ก็เลยเริ่มหันกลับมารักตัวเอง แล้วก็ไปสมัครเรียนปริญญาที่รามคำแหงไว้ สาขามนุษยศาสตร์ สื่อสารมวลชนค่ะ
ทางบ้านคือชนบท เขาก็มีความหวังอยู่แล้วว่าอยากจะเห็นลูกรับปริญญา เพราะตั้งแต่เด็กๆ พ่อกับแม่ก็จะปลูกฝังว่าถ้าไม่อยากลำบาก ลูกต้องโตไปต้องเรียนสูงๆ ได้เป็นหมอ ได้เป็นพยาบาล ได้เป็นตำรวจ เหมือนเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว
เราก็เลยมีความรู้สึกว่า พี่ชายเขาไม่ได้ปริญญาตรี น้องสาวเขาก็ไม่ได้ เหลือเราแค่คนเดียว ก็เลยไปสมัครเรียนไว้ ตั้งใจไว้ว่าอีก 4 ปีข้างหน้า จะเอาใบปริญญาไปกราบพ่อกับแม่ (ยิ้ม)
เป็นการเรียนที่ตั้งใจมากๆ เพราะว่ารามคำแหงเป็นมหาวิทยาลัยเปิด เข้าง่าย-ออกยาก เราไม่มีเวลาไปเรียนเลย แล้วก็ต้องหาเวลาอ่านหนังสือ เราทำงานแทบทั้งวันเลยค่ะ ได้นอนแค่ 3-4 ชั่วโมง บางคืนแทบไม่ได้นอน เพราะขายของรอบดึก
บางทีขายของเสร็จ ก็หอบสังขารตัวเองไปสอบที่รามคำแหงเลย แทบไม่ได้อ่านหนังสือ แต่เป็นการเรียนที่ตั้งใจมากๆ 4 ปีเป็นอะไรที่ตั้งใจกับเป้าหมายนี้มากๆ ค่ะ ว่าอยากได้ปริญญาไปกราบพ่อกับแม่
ตอนแรกก็โทร.บอกให้พ่อกับแม่ลงมามาหาที่กรุงเทพฯ เขายังไม่รู้ว่าจบปริญญาหรืออะไร พอเขามาแล้ว เราบอกว่าเราจบปริญญาแล้วนะ พ่อกับแม่ก็มีน้ำตาไหลเลย เขาก็รู้สึกภูมิใจ เหมือนเป็นความหวังของเขา ว่าเขาอยากให้ลูกได้เรียนสูงๆ ยิ่งเราผลักดันตัวเองมาด้วย 2 มือของเรา เขาก็ยิ่งเห็นความตั้งใจของเราว่าเราเก่งนะ เราทำได้แล้ว เขาก็ภูมิใจค่ะ”
บ้านหลังที่ 2 งานรุ่งเงินเดือนหลักแสน
การผจญภัยบนเส้นทางชีวิตครั้งใหม่ของมุตา เริ่มขึ้นหลังจากที่เธอเรียนจบ นั่นคือการออกเดินทางและลงหลักปักฐาน ณ เมืองซูโจว ประเทศจีน บ้านหลังที่ 2 ที่วาดฝันไว้ตั้งแต่ยังเด็ก
“เรียนจบก็วางแผนว่าจะไปอยู่ประเทศจีน เพราะเป็นประเทศแห่งความฝัน เป็นเป้าหมายตั้งแต่ ป.4 เราอยากไปประเทศนี้ เราชอบภาษาจีน ตัดสินใจขายกิจการที่เมืองไทย ขายรถ ขายทุกอย่างไปเริ่มต้นใหม่ที่ประเทศจีน ปี 2010 ก็บินไป
ตอนแรกมีแฟน ก็คุยกันว่าไปที่โน่นจะไปหาที่ทำกิจการ น่าจะเป็นอาหารไทยหรือไม่ก็เป็นนวดแผนไทย เราคิดว่ามันจะรุ่ง แต่พอบินไปแล้วเราคาดการณ์ผิด เราไม่ได้ศึกษาก่อนว่าที่นู่นเขาอยู่กันยังไง เขากินยังไง วัฒนธรรมของเขาเป็นยังไง
ไปถึงก็รู้สึกตกใจ อาทิตย์แรกอยู่ยากมาก เพราะว่าในเมืองที่เราไปอยู่ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย เพราะตอนนั้นเราใช้ภาษาอังกฤษสื่อสาร เราไม่ได้ภาษาจีนสักคำเลย แค่สั่งอาหารเรายังคุยไม่เป็นเลย ไม่มีใครสื่อสารกับเรา เราไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ นั่นคือปัญหาใหญ่ แต่ว่าก็ยังไม่ล้มเลิกเพราะเราอยากได้ภาษาจีน
เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราต้องได้ภาษาก่อน ก็ได้ไปเรียนภาษาจีนที่มหา’ลัยซูโจว แต่การเรียนก็ใช่ว่าราบรื่น ไปวันแรกก็ถึงขั้นนั่งร้องไห้ เพราะว่าเราไม่เข้าใจ เราฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีภาษาอังกฤษ คุณครูพูดภาษาจีนล้วนๆ มันมืดไปหมดเลย แต่ก็คิดว่าลองดูสักตั้งนึงว่ามันจะไปยังไงต่อ เพราะว่าคนที่ไปเรียนไม่น่าจะมีเราแค่คนเดียวที่ไม่ได้ภาษาจีน
ผ่านไปประมาณอาทิตย์นึงเราเริ่มรู้เทคนิค teacher ว่าเขามีเทคนิคที่จะทำให้นักเรียนต่างชาติพูดภาษาของเขาได้ หลังจากนั้นก็สปีดตัวเองขึ้นมา จากคนที่ไม่รู้ภาษาจีนแต่ว่าสอบได้ที่ 1 ของห้องทุกเดือน แล้วก็ได้รับรางวัลหลายรางวัลเลย”
[ ท้าทายแต่ต้องสู้ กับตำแหน่งผู้จัดการโรงแรมห้าดาวในจีน ]
ถ้าอยากฝึกภาษาให้เก่งขึ้น ก็ต้องนำไปใช้อย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน สาวไทยคนนี้จึงเริ่มฝึกด้วยการทำงานที่ร้านอาหาร ก่อนจะได้รับโอกาสใหญ่ คือการเป็นผู้จัดการโรงแรมห้าดาว ที่เงินเดือนก้าวกระโดดไปถึงหลักแสน
“เรียนได้ประมาณ 3 เดือนก็เริ่มไปหาสมัครงานพาร์ทไทม์ เพื่อที่ว่าจะไปฝึกภาษาตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น ก็ไปทำงานร้านอาหารญี่ปุ่น เป็นพนักงานเสิร์ฟ เป็นแคชเชียร์ แล้วหลังจากนั้นเรารู้สึกว่าเราเริ่มลื่นนิดนึงแล้วนะ จากเล็กก็อยากจะคิดใหญ่ ก็เลยสมัครโรงแรมห้าดาวเลย ผลตอบรับกลับมาว่า ‘yes’ เรารู้สึกตื่นเต้นมากตอนนั้นเพราะเป็นโรงแรมห้าดาว
เราสมัคร information แต่เขาให้ตำแหน่งใหญ่ มีหน้าที่ดูแลห้องอาหาร เขาทำเกี่ยวกับอาหารไทย แล้วเราเหมาะสมที่สุดที่จะอยู่กับคำว่าไทยๆ เพราะเป็นคนไทย ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่า ภาษาเราเริ่มแข็งแรงขึ้นเร็วกว่าที่เราไปนั่งอยู่ห้องเรียน
ตอนทำงาน 2-4 ชั่วโมงต่อวัน เขาให้ชั่วโมงละ 400-500 บาท แต่พอได้ไปทำงานที่โรงแรม เดือนแรกได้ประมาณ 50,000 เดือนที่ 2 ก็แตะขึ้นมา 70,000 บ้าง จนถึงแสนค่ะ
จริงๆ แล้วเราไม่ได้หวังว่าเราจะได้ตำแหน่งเยอะ สมมติว่าเราได้ตำแหน่งสูงขึ้น ความกดดันมันก็จะสูงขึ้น เป็นคนที่ชอบทำงานแล้วไม่ชอบกดดันเยอะ ชอบทำงานให้มีความสุข ให้ร่าเริงให้แจ่มใส แต่พอเราได้ตำแหน่งสูงมา ความกดดันมันก็จะเริ่มมาแล้ว เพราะเราอยู่กับคนจำนวนเยอะ เราก็ต้องยอมรับตรงนั้นไปว่ามันก็ต้องมีคนรัก คนเกลียด
ถามว่าอุปสรรคเยอะไหม ก็เยอะเหมือนกันค่ะในเรื่องของการดูแลบุคลากร เพราะว่า 1.เราเป็นต่างชาติ 2. เราอายุน้อยกว่าเขา 3.เราเพิ่งมาหลังเขา แล้วจะให้เราไปดูแลคนที่เขาอยู่ก่อน มันยากมากๆ แต่ว่าเราก็ผ่านมันมาได้”
หลังแต่งงาน working woman อย่างมุตา ได้ลาออกมาเป็นแม่บ้าน แม้วิถีชิวิตต้องเปลี่ยนไปแต่ทุกอย่างก็ราบรื่น กระทั่งมีลูกชายคนแรกมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ แต่หลังจากนั้นไม่นาน มรสุมชีวิตลูกใหญ่ ก็กำลังก่อตัวและคืบคลานเข้ามา
“หลังจากนั้นก็แต่งงาน ก็ออกมาอยู่เฉยๆ มาดูแลสุขภาพ โฟกัสที่สุขภาพตัวเอง เพื่อเริ่มวางแผนจะมีลูก ถือว่าเป็นสาวมั่นคนนึงในเรื่องของการทำงาน แล้วพอวันนึงมีครอบครัวแล้วได้มาอยู่เป็นแม่บ้าน เรารู้สึกเบื่อหน่ายมากๆ ก็หาอะไรทำ เราก็ขายอาหารไทย เหมือนทำเป็น food box ทำเป็น home cook ขายในเฉพาะคอนโด ทำเล็กๆ น้อยๆ
หลังจากนั้นเราก็เริ่มศึกษาแล้วว่าที่ประเทศจีนเขาขายของกันยังไง คือขายของออนไลน์ที่ประเทศจีน เขาขายอะไร คนจีนชอบอะไรของไทย ก็เริ่มศึกษาตลาดตรงนั้น เราก็เอาของไทยไปขายพวกยาดม ยาหม่อง ของกินขบเคี้ยวกรุบกริบ เราเริ่มรู้สึกดีขึ้นกว่าช่วงแรกๆ ที่เราต้องมาออกกำลังกายเตรียมพร้อมที่จะมีครอบครัว มันก็เป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ก็ถือว่าโอเค
ชีวิตหลังแต่งงานตอนมีลูกคนแรกถือว่ายังสวยหรูค่ะ แต่พอเราตั้งครรภ์คนที่ 2 สามีเก่าเขาต้องไปทำงานต่างเมือง แล้วต่างคนก็ต่างอยู่ เดือนนึงเจอกัน 3-4 ครั้ง ไม่ใช่แค่ระยะทางที่เราห่าง แต่มันเป็นความรู้สึกที่ห่างกันไป ตอนที่ความสัมพันธ์เริ่มไม่เหมือนเดิม คนแรกได้ 2 ขวบ ท้องลูกคนที่ 2 ได้ประมาณ 7 เดือน พอคลอดลูกออกมายิ่งไม่เหมือนเดิม”
และแล้ว สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดมากที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ ความฝันของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยากมีครอบครัวพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก ก็พังลงราวกับคลื่นซัดปราสาททราย ในตอนนั้น มุตา ต้องดูแลลูกน้อย 2 คนตามลำพัง ไปพร้อมกับหัวใจและความรู้สึกที่แหลกสลาย ปัญหาที่เกิดขึ้น หนักหนาเกินกว่าผู้หญิงคนนึงจะรับไว้ จนเกือบทำให้เธอตัดสินใจทำบางสิ่งลงไปเสียแล้ว ...
“เคยเห็นไหมผู้หญิงคนนึงที่เทิดทูนความรัก ถึงขั้นขายคอนโดที่กรุงเทพฯ ขายรถ ขายกิจการร้านจิ้มจุ่ม มีอะไรขายหมดเพื่อที่จะตามเขาไป เพราะว่ารักเขามาก เป็นคนที่รักใครก็คือรักคนเดียว คิดว่าถ้าได้รักแล้ว ก็อยากมีลูกด้วย อยากมีครอบครัว อยากสร้างชีวิตใหม่ มันเพอร์เฟคมาก ความรักที่เรามี ความรู้สึกมันมากกว่าน้ำผึ้งอีก มันหวาน มันเต็มไปด้วยสีชมพู
เราไปฝากความฝันของเราไว้ในกำมือของเขา พอมันไม่ได้ดั่งใจ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวังไว้ เราก็รู้สึกเสียใจเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่มันไม่ธรรมดาคือเรามีลูก เราห่วง เราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ลูกก็ยังมารับรู้ด้วย เรารู้สึกกดดัน ปรึกษาใครไม่ได้ พี่น้องก็ไม่ได้คุย พ่อแม่ก็คุยให้ฟังไม่ได้ กลัวเขาเป็นห่วงเพราะว่าเราอยู่ไกล มันเหมือนเป็นโลกแห่งตัวคนเดียว
ตอนแรกพยายามที่จะยอมรับสภาพการไม่เหมือนเดิม ทุกข์ทรมานมากกับชีวิตคู่ ผู้ชายคนนี้เราคิดว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายแล้วที่เราจะอยู่ด้วย ที่เราจะสร้างครอบครัวด้วย เป็นความหวังของผู้หญิงทุกคนเนอะ อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ เราไม่ได้คาดหวังว่าถ้าวันนึงครอบครัวมันไม่เหมือนเดิม ความรักมันไม่เหมือนเดิม เราจะรับมือยังไง เราไม่ได้เตรียมตรงนั้น
ปุ๊บปั๊บมันเกิดขึ้น เราก็เลยเตรียมอะไรไม่ได้ เหมือน failed ไปเลย ต้องเจอจิตแพทย์ รับไม่ได้กับสภาพที่ตัวเองและลูกต้องเจอ กับสถานะที่อยู่กับคุณแม่ ไม่มีคุณพ่อ ลูกคนเล็กเริ่มหัดเดิน พื้นที่ทุกตารางนิ้วในคอนโด ไม่มีตรงไหนที่เราไม่เคยนั่งร้องไห้ แม้กระทั่งใต้โต๊ะกินข้าว เราร้องไห้ทุกวัน ถ้าสมมติว่าน้ำตาเป็นสายเลือดได้มันคงเป็นไปแล้ว
มีอยู่วันนึงเรารู้สึก out รู้สึกมันหลุดออกไปแล้ว ตอนนั้นจำไม่ได้เลยว่าจะทำอะไร มารู้อีกทีตัวเองอยู่ระเบียง เหมือนปีนขึ้นไปจะกระโดดแล้ว แต่พอลูกชายเรียก ‘หม่ามี้ๆ’ เราก็หันมา เฮ้ย… เราทำอะไรอยู่ ตอนนั้นเหมือนตั้งสติ ทำไมเราถึงทำแบบนี้ได้ จริงๆ แล้วคนที่เราน่าจะรักเขามากที่สุดก็คือตัวเรา ตอนนั้นรู้สึกสงสารตัวเองมากๆ แล้วก็สงสารลูก
ตอนนั้นรู้แค่ว่ามันมืดไปหมดเลย เราตั้งคำถามไว้เยอะ ทำไมเขาถึงไม่รักเรา เราผิดอะไร ผู้หญิงคนนั้นดียังไง ทำไมเขาถึงไปมีคนอื่น คำถามมันมีอยู่ในหัวเรา แต่มันไม่มีใครตอบอะไรให้เราเลย จริงๆ คำตอบมันอยู่ที่ตัวเรานี่แหละ แต่เราไม่มีสติเลยตอนนั้น เพราะว่าเราเหมือนโดนความรักครอบงำ (หัวเราะ) แต่ว่าก็ยังดีใจค่ะที่คิดได้”
จุดจบของชีวิตคู่ คือจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตอยู่
เมื่อตัดสินใจแยกทางกับพ่อของลูก ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจบได้โดยง่าย เพราะต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ที่ต้องเสียทั้งเงิน เวลา และพลังกายใจในการกลับมาฮึดสู้อีกครั้ง
“ก่อนที่จะแยกทาง ตอนนั้นกลับมาตั้งสติใหม่ สิ่งแรกเลยที่ทำก็คือรักตัวเองให้มากขึ้น ก็เริ่มมาเรียนรู้การขอบคุณตัวเอง คุยกับตัวเองว่าเราเก่งนะ ขอบคุณตัวเราที่อยู่กับเรามาตลอดเวลา แม้ว่าจะทุกข์หรือสุข คนที่เราควรจะเห็นใจ ควรจะให้เกียรติ ให้ค่าที่สุดก็คือตัวเรา ก็เริ่มรักตัวเองเยอะขึ้น กลับมาแต่งหน้า ทำผม เริ่มกลับมาดูแลตัวเองให้เขาเสียดายเอาง่ายๆ
ตอนนั้นพ่อของลูกเขาก็ไม่ยอมหย่านะ ยื้อมาเกือบเป็นปีค่ะ เราต้องใช้เงินกับการจ้างทนายความเยอะมาก แล้วก็ใช้เวลาในเรื่องของการให้เขายอมเซ็นใบหย่าให้ ฝ่ายโน้นก็เหมือนบังคับว่าเราใช้เงินเขา ถ้าเราไม่มีเงินเขา เราจะอยู่ได้ไหมล่ะ
เออเนอะ… เราเป็นผู้หญิง ไม่ว่าเราจะมีสามีเลี้ยง ไม่ว่าสามีจะรวยแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญที่สุด เราต้องหาเงินเองได้ เรายอมที่จะมาเป็นแม่บ้านให้เขา แต่เราลืมไปว่าเราใช้เงินเขาอยู่
เราถึงมารู้ว่าความหมายของคำที่เขาบอกว่า ‘เราไปไหนไม่พ้น เพราะเราใช้เงินเขาอยู่’ คำนั้นคำเดียวเลยค่ะ ที่เปลี่ยน mindset ว่าฉันต้องเก่ง ฉันต้องรวย ฉันต้องสวย ฉันต้องเด่น กลับมามีพลังอีกครั้งในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เรื่องของเมื่อวาน จะเปลี่ยนให้มันเป็นเรื่องของปัจจุบัน มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดีใจที่สามารถที่จะปรับความคิดของตัวเองได้ ชีวิตเปลี่ยนจริงๆ”
[ รับงานถ่ายแบบและทำข้าวกล่องขาย เพื่อตัวเองและลูกน้อย ]
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มุตาบอกว่า เป็นช่วงเวลาที่หนักที่สุดในชีวิต นี่คือเป็นบทเรียนให้ผ่านเข้ามา และสอนให้เธอรู้ว่า แม้จะเจอเรื่องยากแค่ไหน แต่ชีวิตต้องไปต่อ
“ถามว่าเสียใจไหมที่ตัดสินใจไปฟ้องหย่า จริงๆ ไม่ได้เสียใจเลย ตอนแรกทำไมถึงไม่ยอมฟ้องหย่าสักที เพราะคิดแค่ว่าอยากประคองครอบครัวไว้ ไม่อยากให้ลูก 2 คน กลายเป็นเด็กที่ไม่มีพ่อ
แต่จริงๆ แล้วการที่เราไปยื้อเขาไว้ ยิ่งทำให้เราเจ็บ ลูกก็เจ็บไปด้วย เราไม่สามารถไปแอบร้องไห้ที่ไหนได้ เพราะว่าเราอยู่ในคอนโด ลูกเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ก็เลยคิดว่าทางออกที่ดีที่สุด น่าจะเป็นทางที่ต่างคนต่างไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ค่ะ
ก็ถือว่าเป็นการให้โอกาสกับตัวเองด้วย แล้วก็ให้โอกาสพ่อของลูกด้วย เขาจะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่เขารัก การที่เราจะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว อยู่ที่ไหนก็ได้ขอแค่มีเป้าหมาย แล้วก็มีลูกอยู่ข้างๆ คิดว่ายังไงก็คงสำเร็จ ตอนนั้นก็เลยขอหย่า คำตอบที่ได้มาก็คือ ‘yes’ ไม่มีถามเลยว่าทำไม เหมือนกับว่าพ่อของลูกเขาก็รอให้เราพูดคำนี้ออกมา
เราอยู่ต่างประเทศ เราไม่มีใครเลย เรามีแค่เพื่อน ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่หนักที่สุดในชีวิตแล้ว เท่าที่ครึ่งชีวิตที่เกิดมา ตอนนั้นเราอาจจะคิดว่ามันเป็นความล้มเหลวของการมีชีวิตคู่ แต่ตอนนี้มองกลับไป เราคิดว่ามันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการมีชีวิตอยู่ ต่อจากนั้นต่างหาก สิ่งที่เคยเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่การที่เราจะไปต่อยังไง มันสำคัญกว่า”
คำพังเพยที่ว่า “มือก็ไกว ดาบก็แกว่ง” คงเปรียบได้กับชีวิตของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนนี้ เพราะเธอต้องทำงาน ไปพร้อมๆ กับการดูแลลูกน้อยทั้งสอง
“หลังจากวันนั้นก็หางานทำ หอบลูก 2 คนไปด้วย ดีหน่อยที่มีมิตรสหายที่ดี มีแต่คนช่วยเอางานให้เรา แล้วเราก็สามารถเอาลูกไปได้ด้วย ถือว่าโชคดีที่มีเพื่อนที่เป็นเจ้าของ kindergarten เราก็เลยได้ไปสอนพื้นฐานภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆ ตอนนั้นวางแผนชีวิตใหม่หมดเลย แบ่งเวลา แบ่งการดำเนินชีวิต เราจะทำอะไรบ้าง แล้วจะต้องหาเงินได้เท่าไหร่ต่อเดือน
แต่ว่าการที่หอบลูกไปสอนหนังสือ สงสารมากๆ น้องคนเล็กเขาเพิ่งได้ขวบกว่าๆ เขาก็ไม่ได้นอนกลางวัน ไปสอนหนังสือเขาก็นั่งอยู่ด้วย เรารู้สึกสงสารลูก ก็เลยขอกลับมาตั้งหลัก บอกเพื่อนว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่ จะกลับไปสอนที่โรงเรียนเขา
มานึกว่าทำอะไรที่เราทำ แล้วสามารถอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา ก็เลยมาทำข้าวกล่องขายในคอนโด ที่โน่นโลกโซเชียลฯ มันจะไปเร็วมาก เราเริ่มโพสต์ เพื่อนเขาก็แชร์ไป เริ่มมีบริษัทหลายบริษัทที่มา book ข้าวกล่องเราเพราะเป็นอาหารไทย
เราเริ่มทำไม่ทัน ทำคนเดียว ต้องตื่นแต่เช้าส่งลูกชายไปโรงเรียน แล้วก็พาลูกสาวคนเล็กไปตลาด เพื่อที่จะซื้อกับข้าวมา แล้วก็เตรียมไว้ตอนเย็นตอนที่เขานอนแล้ว เราเริ่มสนุกกับการทำงานตรงนั้น ถามว่าเหนื่อยไหม มันเหนื่อยมากเพราะเรานอนไม่กี่ชั่วโมง เราต้องเลี้ยงลูก 2 คน แต่พอเห็นกำไรในเดือนแรกที่เราขาย ได้กำไรอยู่ประมาณ 50,000 ดีใจมาก
จนถึงขั้นมีคนมาชวนไปเปิดร้านอาหารไทย แต่เนื่องด้วยเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบร่วมทำอะไรกับใคร เคยเสียเพื่อนเพราะคำว่า ‘ทำด้วยกัน’ มาแล้ว ก็เลยบอกประมาณว่าขอลองทำดูก่อน แล้วก็ไม่รู้เลยว่าเราจะหย่าได้ตอนไหน เราจะวางแผนชีวิตยังไง ไม่รู้ว่าในอนาคตจะอยู่ตรงไหน เราคิดเยอะ ก็เลยยังไม่ทำอะไรกับใคร จัดการเรื่องของตัวเองให้ได้ก่อนก็คือเรื่องหย่า”
หลังจากกระบวนการหย่าเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย มุตาได้เป็นผู้ดูแลลูกสาวคนเล็ก และได้กลับมาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการโรงแรมดังเดิม
“ตอนแรกก็เอาลูกไปด้วย เขาก็โอเค อยู่แต่ในห้องทำงาน เราก็จะห่วงแค่เรื่องปลั๊กไฟ แต่เราก็สงสารเขาอยู่ดี เราอยู่ในฐานะผู้จัดการโรงแรม เป็นตำแหน่งที่ถือว่าใหญ่พอสมควร เราไม่มีเวลาอยู่กับลูกเลย ก็เลยตัดสินใจเอาลูกมาฝากไว้ที่บ้าน
บอกพ่อกับแม่ว่าฝากแค่ 4 เดือนนะ ขอให้กลับไปหาเงินก่อน ตอนนั้นจริงๆ ตัดสินใจแล้วว่าอยากจะกลับมา อาจจะเข้าไปอยู่ในเมือง ไม่ได้คิดว่าจะมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ตอนนั้น 2 มือแล้วก็ 1 ใจ มันไม่สามารถที่จะหอบลูก 2 คนไปโน่นไปนี่ เพื่อที่จะหาเงินเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงน้องได้เลย เสียใจมากๆ ที่ไม่สามารถเอาเขา (ลูกชายคนโต) มาด้วย
กลับไปทำงาน เรามาวางแผน 4 เดือน เราจะหาเงินได้ประมาณสักเกือบ 2,000,000 เราก็เลยวางแผนรับงานตรงนั้นตรงนี้ เป็นนางแบบให้เขาถ่ายภาพสินค้าต่างๆ ในประเทศจีน ก็ทำงานไปด้วย รับจ็อบข้างนอกไปด้วย ก็ถือว่าโอเคมากๆ”
เหล่าซือบ้านนา สู่เกษตรกรมือทอง
การเริ่มต้นบทชีวิตใหม่ด้วยลำแข้งของตนเอง ในตอนแรกดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางแล้ว แต่ใครจะคิดว่าต้องมาเจอวิกฤตใหญ่ที่ไม่อาจเลี่ยงได้ นั่นก็คือ “โควิด-19”
“ชีวิตกำลังจะไปได้สวยก็มาเกิดโควิดก่อน ครอบครัวของเพื่อนสนิทก็คือเสียหมด เรารู้สึกกลัว คิดถึงพ่อแม่ รู้สึกว่าชีวิตเรามันมีความหมายมากกว่าที่จะมาเป็นอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว ก็เลยตัดสินใจกลับมา ตั๋วมีอยู่ 3 ใบสุดท้าย ได้ 1 ใบเราดีใจมาก แล้วพอออกมาจากเมืองซูโจวปุ๊บ ไม่ถึง 3 ชั่วโมง ซูโจวปิดคนเข้า-ออกเลยค่ะ เราแค่มีชีวิตกลับบ้านมันก็ดีแล้ว
เอาตรงๆ ตอนที่บินกลับมาคิดว่าอีกแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้บินกลับ ก็เลยตัดสินใจไม่เอาอะไรมา เงินก็เอามาแค่ติดตัวมา พวกเพชร พวกสร้อย ไม่เอาอะไรมาเลย มาแค่เสื้อผ้าชุดเดียว ทางโรงแรมเปิดไม่ได้ แต่เงินชดเชยเขาก็ยังมีให้พนักงาน มันก็ไม่ได้เต็มจำนวน แต่การที่เรามาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน เงินประมาณ 30,000 - 40,000 ต่อเดือนมันก็อยู่ได้
แต่พอกลับมาได้ 4 เดือนก็คือตกงานเลย โรงแรมโดนยุบ ในเมืองจีนอย่างที่ได้ข่าวก็คือโดนยุบไปเยอะมาก ก็เริ่มคิดว่า ถ้าสมมติว่ากลับไปไม่ได้ เหมือนยังหลอกตัวเองว่ายังไงก็ต้องกลับไปหาเงิน เพราะที่นู่นหาเงินง่ายมากสำหรับเรา
ใจนึงก็ลองถามตัวเอง แล้วถ้ามันกลับไปไม่ได้ เราจะไปต่อยังไง แต่ว่าที่ทุกอย่างที่คิดอยู่ตอนนั้น ต้องมีการลงทุน แล้วคำว่าลงทุนก็คือเงิน เราไม่มีเงินเก็บเลย การกลับมาครั้งนี้คือเริ่มจากศูนย์จริงๆ เราก็มานั่งทบทวนตัวเองว่าเราจะหาเงินยังไง
ก็เลยมานั่งดูตัวเองว่าเรามีความสามารถอะไรบ้างที่จะเอาออกมาใช้ มีสิ่งนึงที่คนหลายคนไม่มีก็คือภาษา เรามีภาษาจีน เราภาษาอังกฤษ แล้วเราเป็นคนชอบบวกเลขเหมือนพวกจินตคณิต เราสามารถดึงมาสอนเด็กได้หมดเลย”
[ เหล่าซือมุตาของเด็กๆ ]
เมื่อจำเป็นต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ที่บ้านเกิด หลังตกผลึกได้ว่าตัวเองมีต้นทุนความรู้ด้านภาษาจีน มุตาจึงหารายได้จากการรับสอนพิเศษ และยังสละเวลามาสอนภาษาจีนฟรีๆ ให้กับคนในชุมชนอีกด้วย
“อยู่ที่อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี แถวในอำเภอที่เราอยู่ไม่มีใครทำ อาจจะมี แต่เขาอาจจะไม่ได้ใบประกาศหรือรางวัลที่เราเคยได้ ของมุตาก็จะได้รางวัลสำเนียงดีเด่นภาษาจีน เราก็คิดว่าเราน่าจะเป็นเหล่าซือ เป็นคุณครูได้
ตอนนั้นก็ยังโควิดอยู่ เราไม่สามารถเอาเด็กเยอะๆ มารวมกันได้ ก็จะสอนตามบ้านค่ะ ไปไม่เกิน 10 กิโล สอนเป็น private เป็นกลุ่มก็มี พอเปิดสอนปุ๊บ มีคนจองๆๆ จันทร์-อาทิตย์ จนไม่มีวันหยุดเลย เดือนแรกเราได้เงินมาประมาณ 55,000 ก็รู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษกับเงินก้อนแรกที่ได้มาจากการสอนภาษา เพราะเป็นเงินที่ไม่คิดว่าเราจะหาได้ในชนบท
แต่ละวันถามว่าเหนื่อยไหม มันไม่ได้เหนื่อย เพราะว่าเราทำในสิ่งที่เรารัก ตอนแรกก็สอนเก็บตังค์ค่ะ แต่พอสอนไปสอนมา เรานึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ เราอยากเรียนภาษาจีน พอไปดูแล้ว โอ้โห… คอร์สแพงมาก เราเห็นเด็กที่มีความสามารถ เด็กเรียนดี แต่ว่ามีฐานะค่อนข้างที่จะอัตคัด อยากเรียนคอร์สภาษาก็คือต้องใช้ทุนสูงมาก ต้องเข้าไปเรียนในเมือง 50 กิโล
เราก็เลยคิดว่าเราน่าจะแบ่งปันได้ เราเคยเรียนตรงนี้ ใช้ชีวิตเติบโตอยู่ตรงนี้ มันน่าจะถึงเวลาแล้วที่เราหยิบยื่นอะไรตอบแทนให้กับสังคมที่เราเคยอยู่ ก็เลยมาทำเป็น ‘ซุ้มความรู้เหล่าซือ’ จันทร์-ศุกร์ก็จะไปสอนเอาตังค์ เสาร์-อาทิตย์มาสอนฟรี
ไม่ใช่แค่เด็กที่สนใจ ผู้ปกครองก็มานั่งฟัง มีคนสนใจเยอะมาก แต่ถ้าเราไม่ทำตามกำลัง เด็กได้กันไม่ทั่วถึง ก็เลยรับแค่ 60 คน ช่วงนี้ก็ปิดมาหลายเดือนแล้วค่ะ ข้อมือเขียนหนังสือไม่ค่อยได้ แล้วการถ่ายทำ YouTube มันก็ต้องถือไม้กันสั่น ข้อมืออักเสบมาประมาณ 2 ปีแล้ว คุณหมอก็เหมือนกับว่าอย่าพึ่งเขียนหนัก ก็เลยหยุดมาดูแลตัวเองก่อน
แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับมาสอนอีกครั้งค่ะ เพราะว่าเด็กๆ แถวนี้ คนที่เคยมาเรียน ตอนนี้ก็ได้ไปสอบได้ระดับเขต ระดับจังหวัดแล้ว เราก็รู้สึกภูมิใจว่าเราสามารถที่จะสร้างเด็กตรงนี้ได้ให้พื้นฐานที่ถูกต้อง ที่ดีกับเขา (ยิ้ม)”
[ “น้องเทียนซิน” กำลังใจของแม่มุตา ]
ไม่รู้อะไรนำพาหรือชะตาลิขิต เพราะชีวิตของเธอได้หวนกลับมาสู่การทำการเกษตร ที่พยายามหนีมาทั้งชีวิตอีกครั้ง...
“ตอนแรกไม่คิดว่าจะมาทำเกษตรเลย แทบไม่ได้อยู่ในลิสต์ของความฝัน ของเป้าหมาย เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบความลำบาก ไม่ชอบแดด ไม่ชอบจอบ ไม่ชอบเสียม มันเป็นชีวิตที่ลำบากเพราะเราเห็นพ่อกับแม่ทำมาแล้ว
ตอนนั้นเรายังไม่รู้เกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวง เรารู้แค่การทำเกษตรหมายถึงการปลูกข้าวโพด ทำไร่ ทำนา ไม่ได้นึกว่าสามารถทำแบบผสมผสานได้ แล้วความหมายของเกษตรทฤษฎีใหม่ มันสามารถต่อยอดให้เป็นรายได้ได้ ไม่ใช่แค่มีอยู่มีกิน
เราก็คิดแค่ว่า ปลูกผักไว้กินเพราะเราไม่มีอะไรทำ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ก็เริ่มจากการปลูกข้างบ้าน เห็นแม่ไม่ได้ซื้อผักแล้ว แม่ได้แบ่งปัน สมมติว่าวันนี้เราไม่มีมะเขือเทศ แต่ทางโน้นมี เราเอาข่าไปแลกไหม เราเอาตะไคร้ไปแลกไหม
เริ่มมองเห็นการแลกเปลี่ยน ระบบการแบ่งปันกันกิน เรารู้สึกมันน่ารัก เหมือนชุมชนคนแถวนั้นก็รักกันมากขึ้นเพราะการปลูก เราก็เริ่มมองเห็นว่าจริงๆ การปลูกมันไม่ได้ย่ำแย่อะไรขนาดนั้น ก็เลยเริ่มมาศึกษาการทำเกษตร
พอมาเปิด YouTube ก็เห็นเกษตรทฤษฎีใหม่ เราก็เริ่มไปศึกษา แต่ไม่ได้คิดใหญ่ขนาดนี้ คิดแค่ว่าปลูกไว้กิน ปลูกกล้วยไม่กี่ต้น พอปลูกไปปลูกมา มันเริ่มตอนนี้เป็นหมื่นๆ ต้น ตอนนี้มีที่เท่าไหร่ก็ไม่พอที่จะปลูกค่ะ
ปลูกเองหมดเลยค่ะ ต้นกล้วยทยอยลง แต่บอกเลยว่าปีแรกที่ทำลำบากมาก เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตร เราปลูกแค่ต้นกล้วย ตะไคร้ ข่า ตายแทบหมด ปากบอกว่าอยากทำก็คือทำเลย เราคิดว่ากล้วยมันไม่ต้องดูแลยาก แต่ลืมไปว่าเราต้องให้น้ำเขาสม่ำเสมอ เราก็ทำการขุดบ่อ ปรับที่เสร็จ เงินหมดเกลี้ยงบัญชี เหลือแค่ 400 ยังจำได้
จะไปต่อยังไง ก็เริ่มศึกษามาทีละเรื่อง พอเรื่องน้ำเสร็จ แล้วก็มาเจอปัญหาเรื่องดิน ก็มาศึกษาเรื่องดิน เจออะไรก็ศึกษาเรื่องนั้น เรายิ่งศึกษา รู้เยอะ เราก็ยิ่งพัฒนาเยอะ เราเริ่มรู้สึกว่ามันสำเร็จง่ายนะ มันไม่ได้ยากเหมือนคนอื่นเขาพูดเลย”
แม้ทำงานสุจริต แต่ก็ยังเจอถ้อยคำสบประมาท แต่การเจอถ้อยคำดูถูก กลับกลายเป็นแรงผลักดัน และสวนกลับคนเหล่านั้น ด้วยความสำเร็จจากฝีมือตนเอง
“ช่วงที่ทำเกษตรแรกๆ มีแต่คนเขาว่าให้เรา เป็นบ้าเหรอมาทำเกษตร ไปเรียนจบเมืองนอกเมืองนาแล้วมาทำเกษตร คุณไม่อายเขาเหรอ คนอื่นที่เขามองว่าเราไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่ได้เป็นตำรวจ พยาบาล เขาคิดเหมือนกับว่าล้มเหลว ยิ่งเราเป็นเด็กนอกกลับมาอยู่กับคำว่าเกษตร เขาก็คิดว่าล้มเหลว เดี๋ยวมันก็ไปไม่รอด เดี๋ยวก็กลับไปเหมือนเดิม
ช่วงแรกๆ มีจิตตกบ้างไหม ก็มีบ้าง แต่ถ้ามองในอีกมุมนึง ก็คิดว่าทำไมเราต้องใช้คำลบๆ ของคนอื่นมาทำให้จิตเราป่วยด้วย ทั้งๆ ที่คนอื่นไม่ได้มีส่วนได้เสียกับชีวิตเราเลย เราสำเร็จได้ก็ด้วยตัวเรา เราล้มเหลวก็ด้วยตัวเรา ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
ก็เลยช่างเขา กลับมาโฟกัสที่เป้าหมาย เป้าหมายของเราตอนนั้นก็คือใหญ่ขึ้น เพราะว่าเราโดนคำดูถูกนั่นแหละ คำดูถูกมันเป็นแรงผลักดันเราเลยว่าเราต้องสำเร็จ แล้วก็ต้องสำเร็จด้วยมือของเรา ด้วยความรู้ของเรา และความสำเร็จของเรา
มุตาโดนเยอะเหมือนกันว่าเป็นอาชีพสำหรับคนที่ไม่มีทางไป จริงๆ มันไม่ใช่ทางเลือก มันเป็นทางรอด ถูกไหมคะ การที่ใครสักคนที่เขาตัดสินใจมาทำเกษตร เขาหาความสุขเจอแล้วนะ แล้วการที่เราอยู่แบบนี้ มันเป็นการสร้างคลังอาหารให้กับตัวเราเอง ให้กับครอบครัว แถมยังเป็นมรดกให้กับลูกหลาน แล้วลูกเราก็ได้เรียนรู้ธรรมชาติไปด้วย นี่คือสิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดเลย”
YouTuber ขายความเรียลมัดใจคนดู
อย่างที่ได้รู้จักเธอในปัจจุบัน มุตาลุยทำ YouTube ด้านการเกษตร ในช่อง “ผจก.แว๋ คนสวย” ที่เปิดมาได้ 2 ปีแล้ว
“การเริ่มต้นเป็น YouTuber คิดแค่ว่าเห็นคนอื่นเขาสำเร็จ ก็คิดว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าเราเอา storyline ของเรา เอาไปถ่ายทอดให้คนอื่นเขาเห็น การถ่ายทอดของมุตามันไม่ใช่ถ่ายทอดแค่ความสำเร็จ เราถ่ายทอดแม้กระทั่งความล้มเหลว ความผิดพลาด หรือเจอเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราก็อยากจะแชร์กับคนอื่น
พอเราเห็นรุ่นพี่ที่เขาทำ YouTube ก็เลยมีความรู้สึกว่ามันจะดีแค่ไหน ถ้าเรามีโอกาสได้ไปเยี่ยมสวนอื่นบ้าง การที่เราได้ไปเยี่ยมสวนอื่น คือการไปรับรู้ข่าวสาร ความรู้ ประสบการณ์ ความสำเร็จ หรือความล้มเหลวของเขา
มันเหมือนไปเข้าห้องเรียน ตรงนั้นเป็นครูที่ดีมากๆ เพราะเราไปเห็นภาพจริง ไม่ใช่แค่ไปนั่งฟัง เรามีความยินดีมากๆ มีความปลาบปลื้มมากๆ ที่เจ้าของสวนอื่นยอมให้เราเข้าไปถ่ายทำ เพื่อที่จะถ่ายทอดให้อีกหลายๆ คนที่อยากจะทำเกษตรค่ะ
คอนเทนต์ในช่องก็จะเกี่ยวกับการทำการเกษตรหมดเลย ตอนนี้ก็จะมีออกไปถ่ายทำวางแผนเดือนนึงออกไป 2 ครั้ง ไปต่างจังหวัด ก็จะเก็บคลิปมาฝากท่านผู้ชม ยิ่งโดยเฉพาะคนที่กำลังวางแผนอยากทำเกษตรแต่มีงานประจำอยู่แล้ว ก็จะแนะนำเขาว่าอย่าเพิ่งออกมาเลยนะ เราทำงานไปด้วย ค่อยๆ ทำเกษตรไปด้วย พอรู้สึกว่าเรามาถูกทางถูกจริต เราค่อยตัดสินใจ
ก็เหมือนกับว่าเราจะเป็นแนวทางในการวางแผนชีวิต ว่าอีก 20 ปี คุณวางแผนไว้หรือยังว่าคุณจะอยู่ยังไง หลายๆ คนตอนนี้ก็เริ่มวางแผนเกษียณกันแล้ว แต่ส่วนใหญ่ที่ไปถ่ายทำมาเยอะๆ ก็จะเป็นคนในเมืองนะ ที่สนใจทำเกษตร”
ลองให้เธอวิเคราะห์ตัวเอง ว่าเพราะอะไรที่ทำให้มีแฟนๆ ติดตามกันอย่างเหนียวแน่น อย่างบนแฟนเพจ “ผจก.แว๋ คนสวย” มีผู้ติดตามถึงหลักล้าน ส่วนช่อง YouTube ในชื่อเดียวกัน ยอดผู้ติดตามก็เป็นหลักแสน ในระยะเวลาไม่นาน
“จริงๆ การทำ YouTube มันยากตรงที่ไม่เหมือนแต่ก่อนที่จะมี TikTok แต่จะเป็นคนที่ทำอะไรแล้วทำให้มันที่สุด เพราะว่าเรามีความศรัทธาในตัวเรา เรามีความศรัทธาในการทำเกษตรอยู่แล้ว เราก็เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราถ่ายทอดออกไปมันเป็นประโยชน์แก่สังคม แก่เกษตรกรที่เขาอยากได้ความรู้
ตัดต่อเอง ถ่ายทำเอง เราแค่มีวินัยในการทำ และศรัทธาในทุกคลิปที่วางออกไป ไม่ได้ตั้งความหวังไว้ว่าปีนี้คนติดตามต้องกี่แสน กี่ล้าน เพจตอนนี้มีคนติดตามจะล้านแล้ว (ยิ้ม) ยิ่งมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เราพยายาม สิ่งที่ตั้งใจมันไม่ได้สูญเปล่าเลย
รู้สึกภูมิใจในความมีวินัยของเรา เพราะว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราลงคลิปสม่ำเสมอมากๆ ไม่มีช่วงไหนที่เรารู้สึกว่ามันขาดช่วง อยากได้เรื่องตรงไหนเราก็สามารถที่จะเอามาถ่ายทอดให้คนอื่นได้ ยิ่งคนอื่นนำไปใช้ได้สำเร็จ ยิ่งรู้สึกภูมิใจเป็นอีกเท่าเลย
การที่คนหลายคนมาติดตาม เราคิดว่าเขาคงชอบในความเป็นเรา เพราะว่ามีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ทุกคนมีความสามารถ มีเอกลักษณ์ในการพูดหรือการนำเสนอไม่เหมือนกัน เราไม่ได้มานั่งสร้างภาพ สิ่งที่เราแสดงออกไปนั่นแหละคือตัวตนของเรา แล้วก็คิดว่าคนที่เขามาติดตามเรา เขาก็คงชอบในความเป็นเรา ชอบในความเรียลของเรา อะไรประมาณนี้ค่ะ”
อดีตผู้จัดการโรงแรมห้าดาวในจีน ได้หยิบสิ่งที่ได้เรียนรู้จากตอนนั้น มาใช้ในการลุยโซเชียลมีเดียและการเกษตร โดยเฉพาะการรับมือกับความกดดันและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
“ประสบการณ์ที่เราเคยทำงานโรงแรม เกี่ยวข้องกันยังไงกับอาชีพในปัจจุบัน คงจะเป็นความกดดัน โลกโซเชียลฯ มันก็จะเป็นดาบสองคมเนอะ มีคนชอบกับคนไม่ชอบ คอมเมนต์ไม่ดีบ้าง ถ้ามันร้ายแรงจนเกินไป เราก็แค่ตัดตรงนั้นออก
ถ้ามีคำติชมเราก็นำมาพัฒนาตัวเอง เราต้องมองโลกในแง่บวก เราต้องยอมรับว่าเราเป็นสื่อ แต่เราต้องเป็นตัวของตัวเราเอง เราต้องมีจุดยืนว่าเจตนารมย์ที่เราเผยแพร่จุดนี้เพื่ออะไร แล้วคนที่ดูเขาจะได้อะไรจากเรา ก็คือจบค่ะ ไม่ได้ซีเรียสตรงนั้น
การที่เราไปอยู่โรงแรมมา ความกดดันมันเยอะมาก งานของโลกโซเชียลฯ ยังไม่ได้เสี้ยวนึงของการทำงานโรงแรมเลยในความกดดัน เพราะฉะนั้น มันขี้ปะติ๋วมากๆ เลยค่ะ ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าปัญหาเลยในชีวิต เพราะเรามองว่ามันเป็นสิ่งที่ดีไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นคือดีหมดเลย อะไรเกิดขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให้เราพัฒนาขึ้น เก่งขึ้น ยิ่งเรารู้เยอะ เรายิ่งพัฒนา
รายได้ตอนนี้ก็มาจาก YouTube แล้วก็ Pages Facebook แต่ว่ารายได้ที่เป็นกอบเป็นกำ ก็มาจากการรีวิวสินค้า อะไรอย่างนี้ค่ะ ถ้าเป็นสวนนี้ รายได้ก็จะมาจากกิ่งพันธุ์ไม้โดยตรง ส่วนใหญ่ก็จะมาจากกิ่งพันธุ์เพราะเราจะมีการตอนกิ่ง
รายได้ก็จะมาจากพวกกล้วย ข่า ตะไคร้ พวกปลา อะไรอย่างนี้ค่ะ กิ่งพันธุ์ก็จะได้ขายทุกวัน ตอนนี้ก็ขยายมาจะมีร้านต้นไม้ ขายพันธุ์ไม้ทุกชนิดเลย แต่ถ้ารายได้หลักๆ เลยก็จะมาจากการขายออนไลน์ สนุกมากกับการขายออนไลน์”
สุดท้าย ในฐานะที่เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ก้าวผ่านอุปสรรคในชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ได้ฝากข้อคิดถึงทุกคนที่ต่อสู้กับเรื่องอะไรก็ตามในชีวิต ว่าปัญหาที่เจอแต่ละครั้ง คือบททดสอบที่จะทำให้เราเป็นคนที่แกร่งขึ้นในปัจจุบันนั่นเอง
“อยากจะฝากในเรื่องของการวางแผนดีกว่าค่ะ ถ้าเราวางแผนดี เราจะเดินง่าย เวลาที่เราจะวางแผนชีวิต ควรที่จะตั้งเป้าหมายก่อน ถึงแม้ว่าบางทีเราจะตกคลอง ตกทางไปบ้าง แต่ยังไงเราก็รู้เป้าหมายของเราวางอยู่ตรงไหนใช่ไหมคะ
ให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ เพราะว่าปัจจุบันจะเป็นสิ่งบ่งบอกเลยว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง ถ้าเราคิดบวกได้ มันก็จะดึงดูดแต่สิ่งดีๆ เข้ามา จริงๆ ชีวิตมันไม่ได้ยากอะไรเลย เรามาถึงจุดนี้ เราอยู่จุดที่เรารู้สึกว่าเรามีความสุขที่สุดแล้ว แล้วพอเราหันกลับไปมองวันที่เราหนักๆ เรารู้สึกว่าแค่ดีดนิ้ว กล้าที่จะเดินออกมาแล้วเริ่มต้นใหม่ เรารู้สึกว่ามันง่ายมากๆ
เพราะว่าปัญหาทุกอย่างไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน อยากให้คิดว่ามันก็เป็นแค่ข้อสอบ ยิ่งสอบบ่อยๆ เราจะยิ่งแข็งแรง เราจะยิ่งรู้เยอะ ก็เป็นกำลังใจให้กับอีกหลายๆ ท่านที่เจอปัญหาอยู่ ควรที่จะรักตัวเองให้มากๆ อยู่กับปัจจุบันให้ได้ (ยิ้ม)”
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพ : Facebook "ผจก.แว๋ คนสวย"
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **