เดือดหนัก!! “นักร้อง(เรียน)” กับ “ดาราดัง” อ้างชื่อรายการ “โหนกระแส” หลอกเงิน“บอสปัน The iCon” ถึงเวลากวาดล้าง “ขบวนการตบทรัพย์” ฉะเละเพราะ “ระบบ” เปิดช่องให้เกิด
The iCon ไม่จบ นักตบ(ทรัพย์) ไม่หยุด!!
ยังไม่จบกับประเด็น “The iCon” เมื่อล่าสุดมี “คลิปเสียง” หลุดออกมาแฉ ดาราดัง นักร้อง(เรียน) ที่เรียกตบทรัพย์ “บอสปัน”เป็น “เงิน 20 ล้าน”เพื่อให้ “บอสพอล”ได้ไปออกรายการ “โหนกระแส”
หลังเรื่องลับนี้ถึงหู “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” พิธีกรรายการที่เป็นประเด็น เจ้าตัวก็ออกมาโพสต์เดือดทันทีว่า...
“ตบทรัพย์กันเก่งเนอะ ล่าสุด มีคลิปเสียงศิลปินนักแสดงชื่อดัง ร่วมกับนักร้องสาวนักตบ อ้าง ‘กรรชัย’ ไฟเขียว ออกโหนกระแส เรียก 20 ล้าน”
{“หนุ่ม-กรรชัย” พิธีกรชื่อดัง กับรายการที่ถูกพาดพิง}
จากการตรวจสอบ ยืนยันแล้วดาราดังคนที่ว่าคือ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์”โดยเนื้อหาในคลิปคือ “ฟิล์ม”กับ “นักร้องเรียนสาว”อ้างว่าไป “เคลียร์” กับ “หนุ่ม-กรรชัย”แล้ว เรื่องที่จะให้ “บอสพอล” ไปออกโหนกระแส แลกกับ “เงินสด 20ล้าน”
สรุปใจความคือ จะใช้รายการเป็นที่ “ฟอกขาว”ให้กับ ธุรกิจ “The iCon”เพราะความน่าเชื่อถือของ “หนุ่ม-กรรชัย” ด้าน “ฟิล์ม-รัฐภูมิ” ออกมาแถลงข่าวแล้วว่า ในคลิปเป็นเสียงตัวเองจริง แต่ไม่ใช่การตบทรัพย์
เจ้าตัวอ้างว่า เขารับทำ PR ให้กับ The iCon ในช่วงนั้น และเงิน 20 ล้านคือ ค่าใช้จ่ายในการโปรโมตตามรายการต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “โหนกระแส”
{“ฟิล์ม-รัฐภูมิ”ถูกตรวจสอบประเด็น “ตบทรัพย์”}
ส่วนพิธีกรประจำรายการอย่าง “หนุ่ม” ก็ออกมายืนยันว่า “ไม่เคยเรียกรับเงินจากใคร” และได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความแล้ว ในข้อหา “หมิ่นประมาทและพยายามฉ้อโกง”
ทั้งนี้ ตัวพิธีกรชื่อดัง อดีตนักแสดง บอกในรายการ “ข่าวใส่ไข่” เองว่า “ไม่ใช่เคสแรก” ที่ถูกแอบอ้างชื่อแบบนี้
“คือก่อนหน้านี้ มีคนเอาพี่กับ ‘โหนกระแส’ ไปอ้างบ่อยมาก บ่อยมากๆ พี่บอกเลยนะ มันมีการไปเรียกรับเงินกันตั้งแต่หลัก 1,000 บาท ชาวบ้านเสียหายใช่ไหม เดี๋ยวติดต่อไปให้โหนกระแส พันนึง 2,000 3,000 ก็มี”
ถามว่าสรุปแล้ว เคสนี้เข้าข่าย “ตบทรัพย์”หรือไม่ ทีมข่าวจึงต่อสายหา “พีท” ดร.พีรภัทร ฝอยทองทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย เพื่อตอบข้อสงสัย กระทั่งได้คำตอบว่า “การตบทรัพย์” จะแบ่งเป็นการกระทำ ดังนี้
1.“การรีดทรัพย์”เป็นการ “ขู่”ว่าจะเปิดเผย “ข้อมูลลับ”หากไม่ยอมจ่าย
2.“กรรโชกทรัพย์” คือ “ข่มขู่-ขู่เข็ญ” ทั้งทาง “ร่างกาย-จิตใจ” หรือ “เสรีภาพ”และ “ทรัพย์สิน”เพื่อให้ได้ประโยชน์
และอีกอย่าง คือ 3. “การฉ้อโกง”คือจงใจแสดง “ความเท็จ”หรือ “ปกปิดข้อมูล”แก่ผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์
ทั้งนี้การจะวิเคราะห์ว่า มีพฤติกรรมเข้าข่าย “ตบทรัพย์” หรือไม่ ต้องพิจารณาเป็นรายเคสไป โดยสังเกตได้จาก “มันมีการกระทำใด คำพูดในทำนองไหนนะครับ”
{“ดร.พีรภัทร”ทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย}
ยกตัวอย่างเคสนี้ที่บอกว่า ต้อง “จ่าย 20 ล้าน” เพื่อออกรายการ แล้วทุกอย่างจะจบ ตรงนี้อาจเข้าข่าย “หลอกลวงผู้อื่น” ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อให้ได้ทรัพย์ “ผู้นั้นกระทำผิดฐานฉ้อโกง”
ถ้าสมมติว่า “นักร้องดัง” มีความผิดจริง แต่ยังไม่มีการจ่ายเงินเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้น กฎหมายอาญาก็แก้เกมเอาไว้แล้วว่า ใครที่ “ลงมือกระทำความผิด” แม้การกระทำนั้น “ไม่บรรลุผล” แต่ก็ถือว่าเป็น “ผู้พยายามกระทำความผิด”
“ผู้ใดพยายามทำความผิด ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ของกฎหมาย เพราะฉะนั้น อันนี้เนี่ย ถ้าเขาผิดจริง ก็จะเป็นเรื่องของการพยายามฉ้อโกง”
แฉช่อง “นักร้อง(เรียน)VS นัก(อ้างตัว)เคลียร์”
“ตบทรัพย์-รีดทรัพย์” สุดแท้แต่จะเรียกกัน แต่ถ้าเราย้อนดูข่าว จะเห็นเคสแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนักร้อง(เรียน) ที่ไปเรียก “ตบทรัพย์จากข้าราชการ” ยกตัวอย่าง “คดี The iCon” เอง ก็หลุดข้อมูลออกมาว่า มีทั้งนักการเมือง ข้าราชการ มารีดทรัพย์กับ “บอสพอล”
แล้วอะไรทำให้วิธีหากินแบบนี้ยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ในมุมมองนักกฎหมายอย่าง “พีท” มองว่า ส่วนใหญ่เคสที่เราเห็น มันเป็นการประกอบธุรกิจ หรือการกระทำที่ดู “ก้ำกึ่ง” ระหว่าง “ถูกกฎหมาย” กับ “ผิดกฎหมาย”
พอมัน “เหยียบเส้น” ว่าจะผิดหรือไม่ผิด ก็เป็น “ช่อง” ให้คนเข้ามา “เรียกผลประโยชน์” ทั้งที่มาในรูปแบบการ “ขู่”ว่าจะ “ร้องเรียน” ให้หน่วยงานตรวจสอบ หรือบางก็มาเป็น “คนเคลียร์” เพื่อไม่ให้เรื่องแดง
ถ้าวัดจากประสบการณ์นักกฎหมายที่ผ่านมา พบว่า “มุก” ของ “รักร้องเรียน” ที่มักใช้หลบเลี่ยงกฎหมายคือ เวลาคนกลุ่มนี้ยื่นร้องเรียนต่อหน่วยงาน เขาไม่ได้ชี้ข้อเท็จจริงว่า บริษัทนี้หรือคนคนนี้ผิดอะไร แต่แค่บอกกับหน่วยงานว่า “อันนี้มันน่าสงสัย”
ถือเป็น “สิทธิ์ทางกฎหมาย” ที่ประชาชนสามารถ “ชี้เบาะแส” เรื่องการทุจริตและประพฤติมิชอบได้ โดยได้รับความคุ้มครองจาก “รัฐ” ตามกฎหมาย
ดังนั้น การที่ใครๆ ก็สามารถ “ร้องเรียน” ได้ ข้อดีคือรัฐย่อมได้หูตาเพิ่มจากประชาชน แต่ดาบอีกคมก็คือ มันทำให้เกิด “อาชีพนักร้อง(เรียน)” และ “นัก(อ้างตัว)เคลียร์” ซึ่งบางครั้งต่อให้ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย คนกลุ่มนี้ก็พยายามจะอาศัยช่องโหว่หากินอยู่ดี
ส่งผลให้คนที่ไม่อยากให้ชีวิตเกิดความ “ยุ่งยาก” จึงยอมแลกเวลาที่อาจเสียไป ด้วยการยอมจ่ายด้วยเงิน ส่งให้กลายเป็น “เหยื่อ” ของ “นักตบทรัพย์” เหล่านี้ในที่สุด เพราะมองว่าดีกว่าต้องเป็นคดีความ ตามสุภาษิตติดตลกที่บอกไว้ว่า “กินขี้ ดีกว่าเป็นความ”
“คือเขารู้สึกว่าเป็นความเสร็จ ฉันต้องตั้งทนายไปสู้ ฉันต้องนู่นนี่นั่น เพราะบ้านเรามันไม่ได้มีระบบ ที่มันมาจัดการพวกนี้อย่างจริงจังครับ”
ระบบบ้านเราคือ “กล่าวหาไปก่อน” แล้วค่อยไป “แก้ตัวกันที่ศาล” ซึ่งนอกจากเงินและเวลาที่คุณต้องเสียไปแล้ว อีกอย่างที่เสียไปก่อนแล้วคือ “ชื่อเสียง”
ดังนั้น เหยื่อที่ถูกตบทรัพย์หลายคน จึงยอมจ่ายให้มันจบๆ ไป และถ้าไม่อย่างตกเป็นผู้เคราะห์ร้าย กูรูด้านกฎหมายรายเดิมแนะว่า...
“คุณก็ต้องทำทุกอย่างให้มันรอบคอบ มีรายละเอียดชัดเจน มีสัญญา มีอะไรทุกอย่างให้มันโปร่งใสนะครับ คือถ้าคุณสุจริต มันก็เป็นเกราะป้องกันภัยได้ระดับนึง”
ส่วนการแก้ปัญหาด้าน “ระบบ” ก็คงต้องมาดูกันแล้วว่า จะทำยังไงให้ไม่เกิด “อาชีพนักร้องเรียน” ที่อาศัยช่องโหว่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอีก โดยอาจต้องตรวจผู้ร้องด้วยว่า มีความน่าเชื่อถือ หรือหลักฐานเพียงพอหรือเปล่า
เจาะลึกลงไปให้ละเอียดว่า แต่ละเคสถ้าสุดท้ายเป็นแค่ “การกลั่นแกล้ง” ให้เสียชื่อเสียง โดยไม่มีมูลความจริง จะมีมาตรการจัดการยังไง เพราะถ้าปล่อยให้ยังมี “นักร้อง(เรียน)อาชีพ” มันก็ต้องมี “อาชีพนักเคลียร์” ตามมา วนกันอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : IG @kanchai, @filmrattapoom, Facebook “หนุ่ม กรรชัย”, “Dr.Pete Peerapat”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **