xs
xsm
sm
md
lg

เกิดใหม่เพราะราดหน้า!! ปลุกตำนาน “โรงแรมอลิซาเบธ” โลเกชั่นฮอต “ธี่หยด2”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดใจทายาทรุ่นที่ 2 “โรงแรมอลิซาเบธ” เกือบหลับเพราะ “โควิด-19” ขาดทุน 26 ล้าน หันมาลุย TikTok ด้วยตัวเองจนปัง จากเมนูไวรัล “ราดหน้าเส้นกรอบ" แถมเปิดให้เช่าโลเกชั่นถ่ายทำ บริษัทระดับโลกก็เลือกใช้ “เราต้องวิ่งหาโอกาส ทำให้เราได้เติบโต แล้วก็เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น”

โควิดทำพิษ ห้องพักเป็นศูนย์ ขาดทุนหลายสิบล้าน

“ตอนที่ดิ่งๆ มันเครียด เพราะว่าเราต้องดูแลครอบครัว เราต้องช่วยกันพาครอบครัวเราให้รอด แล้วเราก็เป็นเหมือนหัวแรง เหมือนกับหลังชนฝา เราก็สู้เต็มที่ ประสบการณ์การปรับตัว ทำให้เราได้เรียนรู้การเอาตัวรอดในธุรกิจ ว่าเราเจอวิกฤตแล้วเราจะทำยังไง อยู่เฉยๆ ไม่ได้ เราต้องวิ่งหาโอกาส หาช่องทางโปรโมต ทำให้เราได้เติบโต แล้วก็เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น”


"เปา-สุรกิจ เมธานุกิจ" กล่าวกับทีมข่าว MGR Live ท่ามกลางบรรยายกาศที่มีลูกค้าเดินเข้า-ออกไม่ขาดสาย ของห้องอาหาร “โรงแรมอลิซาเบธ” โรงแรมเก่าแก่แห่งย่านประดิพัทธ์ สะพานควาย ที่เขาเข้ามารับช่วงต่อเป็นผู้บริหารรุ่นที่ 2

แถมในตอนนี้ยังพ่วงหน้าที่ Content Creator ที่ชาวเน็ตรู้จักกันในชื่อ “เปา โรงแรมอลิซาเบธ” จากช่อง TikTok @paois250 ที่มีผู้ติดตามหลักแสน จากเมนูไวรัล "ราดหน้าเส้นกรอบ" สูตรเด็ดกว่า 30 ปี



แต่กว่าที่จะมาถึงวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะก่อนหน้านี้โรงแรมขาดทุนหนักถึง 26 ล้านบาท เซ่นพิษ “โควิด-19” ในฐานะผู้บริหาร เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อพากิจการของครอบครัวให้รอดพ้นวิกฤตไปได้ จนในที่สุดอดีตโรงแรมดัง ก็กลับมาปังได้อีกครั้งอย่างในทุกวันนี้

“โควิดนี่นะครับ ต้องบอกว่าแรกๆ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะว่าเราก็ไม่รู้จักว่าอะไรคือโควิด ช่วงแรกมันไม่ได้ร้ายแรง มันยังไม่ออกข่าว ไม่ได้รู้ตัวว่ามันคือวิกฤตนะ อยู่มาข่าวก็เริ่มประโคม คนนี้ติด คนนั้นติด

อาการที่เห็นมันออกชัดเจน คือปกติแบบแย่ๆ เลยเราจะมี 150 ห้องต่อวัน มันก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ ทุกวัน ช่วงแรกที่มีโควิดเหลือ 120 ผ่านมาอีกซัก 2-3 วัน เหลือ 100 ผ่านมาอีกเหลืออยู่ 80,70,50 เริ่มหนาวๆ แล้ว ทำไมมันแปลกๆ

พอล็อกดาวน์เรียบร้อยเลย เขาไม่ให้คนเข้ากรุงเทพฯ ก็ไม่เหลือเลย ที่บอกว่าแย่ๆ เราจะต้องมี 150 ห้อง ก็คือวันนั้นเหลือห้องเดียว ที่เขาหลงเหลืออยู่คนเดียว เป็นเพราะว่าพี่เขาสร้างบ้านอยู่ เขาไม่มีที่อยู่ก็ต้องมาอยู่โรงแรม ไม่งั้นไม่มีห้องนี้ก็คือจะเป็นโรงแรมที่ไม่มีใครอยู่เลยครับ เรามีแอร์ตัวเล็กครับ เราเปิดให้พี่เขาไป ใช้แอร์ตัวเล็กครับ

เตรียมยังไงก็เตรียมไม่ทันแน่ๆ ก็ลำบากจริงๆ ตอนนั้นเราก็รัดเข็มขัดเต็มที่เลย รัฐบาลช่วยอะไรมาเราก็เอาหมด ที่เขาช่วยประกันสังคมเราก็ใช้ตรงนั้น ช่วงก่อนที่จะเริ่มล็อกดาวน์ เขาประกาศเป็นระยะๆ ก็มี

พูดถึงว่าใช้มาตรการเหมือนโรงแรมอื่นๆ เขาจะเรียกว่า leave without pay ปกติคนเราทำงานเดือนนึง คุณมาทำงาน 15 วัน แล้วเดี๋ยวอีก 15 วันคุณไม่ต้องมา แต่ว่าเงินเดือนเราก็จ่ายคุณ 15 วัน เพราะว่าคุณมาก็ไม่มีลูกค้า มันไม่มีอะไรให้ทำ โรงแรมทั่วประเทศเขาก็ใช้แบบนี้ ต้นทุนก็ร่วงลงมาอีกพอสมควร แต่ว่าก็ยังแย่หนักอยู่ดีครับผม ถือว่าลำบากมาก”



แม้โรงแรมต้องปิดตัวชั่วคราว แต่ค่าใช้จ่ายก็ดำเนินไปทุกวัน ในตอนนั้น โรงแรมอลิซาเบธ ขาดทุนไปถึง 26 ล้านบาท!

“เครียดกันหมดครับ แล้วก็งง ทำอะไรไม่ถูก ใจก็เสีย เหมือนกับว่าเราไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน เปิดมา 30 ปีมันมีลูกค้าทุกวัน แล้วยิ่งปิดไฟ ปิดแอร์ด้วยเพื่อเซฟ บรรยากาศมันก็เงียบเหงาเหมือนป่าช้า บรรยากาศมันก็ยิ่งแย่ ยิ่งหดหู่

โรงแรมมันจะเป็นอย่างนี้ครับ จะมีลูกค้าหรือไม่มีลูกค้า มันต้องจ่ายค่าไฟเดือนนึงประมาณ 500,000 ในวันที่ลูกค้าร่วงลงมาเหลือ 1 ห้อง ค่าไฟก็ยังเดินอยู่ เดือนนั้นจำได้ว่า 300,000 ก็ลงมา แต่มันจะไม่ลงมาเป็นศูนย์นะครับ

ไม่เหมือนแอร์บ้าน ถ้าเรากดปิดแอร์ที่บ้านปุ๊บ ทุกอย่างมันจะเป็นศูนย์ แต่แอร์โรงแรมมันเป็นอีกระบบนึง มันจะยังเดินอยู่ จาก 500,000 ร่วงลงมาเป็น 300,000 สุดท้ายก็ไม่ไหวครับผม ในที่สุดต้องขอปิดโรงแรมเพื่อดับเครื่องยนต์ คราวนี้ดับเครื่องยนต์ปุ๊บมันจะเป็นศูนย์แล้ว มันจะไม่เสียค่าไฟแล้ว

แต่ระหว่างนั้นเราก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เราก็รวมทีมพนักงานช่วยกันทำความสะอาด ซ่อมแซมโรงแรม ทาสี แล้วก็หาอะไรทำ เพื่อรอวันที่เผื่อว่าเราจะกลับมาเปิดได้ ไม่ได้อยู่เปล่าๆ (ปิดนานแค่ไหน) จำได้ว่าประมาณ 2 เดือนครึ่งนะครับ ระหว่างนั้นรัฐบาลก็ช่วย เรารอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เขาจะช่วยพวกเงินสมทบประกันสังคมให้พนักงาน เราก็อยู่ประคองตัวกันมา



ค่าไฟของที่นี่ตกเดือนนึงประมาณ 500,000 ถ้าจะเอาอยู่รอดเลย ผมมี 272 ห้อง ถ้าจะเอาดีๆ หน่อยต้อง 70 เปอร์เซ็นต์ของ 272 ห้อง จะมีกำไรอยู่บ้าง ถ้าน้อยกว่านี้ก็จะลดหลั่นลงไปเรื่อยๆ จนขาดทุน

จากที่โดนโควิดไปประมาณ 2-3 ปี นับได้ขาดทุนไปประมาณ 26 ล้านครับ ถ้าเทียบกับช่วงต้มยำกุ้ง โควิดก็คือโหดสุดเลย เราเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ ต้มยำกุ้งยังร่วงลงมาไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าจากที่คุณพ่อเล่า ลูกค้าหายไป 40 เปอร์เซ็นต์”

เจ้าของโรงแรมหนุ่มผู้นี้ มีความหวังว่า ในความมืดก็ยังมีแสงสว่าง ด้วยเพราะเป็นธุรกิจที่ครอบครัวสร้างมา ไม่ว่ายังไงก็ต้องรักษาไว้ให้ได้

“เราก็มีความหวังอยู่ในใจ แต่ว่าเราก็มั่นใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ จะมาปิดชั่วชีวิตเลยเหรอ มันไม่น่าใช่หรอก เดี๋ยวมันต้องหาย แต่ว่ามันก็นานเหมือนกัน เราก็พยายามมีกำลังใจ ก็หาอะไรทำ หารายได้อย่างอื่น เราก็ประคองกันมาเรื่อยๆ

ช่วงนั้นเราก็ซ่อมโรงแรม ทาสี อะไรไม่ดีเราก็ซ่อมแซม ทำความสะอาด ระหว่างนั้นเราก็เริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆ ตอนที่เขาให้ล็อกดาวน์ เขาให้เราทำได้แค่ delivery โรงแรมเราจะมี 2 ส่วน ก็คือมีห้องอาหารกับโรงแรม


[ ขุด delivery กู้วิกฤตโควิด ]

โรงแรมใช้การไม่ได้แล้วเพราะโดนปิด ก็เหลือห้องอาหาร ผมเคยทำขายอยู่แล้วใน LINE MAN ก่อนโควิดสักปีนึง หยุดไปช่วงนึงก่อนที่จะมีโควิด เราทำขายแต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จ ขายทั่วๆ ไป กะเพราไก่ ข้าวผัด กล่องนึง 99 บาท

จนกระทั่งโควิดเราก็จับตัวนี้มารื้อฟื้นอีกรอบนึง ตอนนั้นอะไรทำเงินได้เราต้องทำไว้ก่อน เพราะเรามองไม่ออกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ไม่คุ้มหรอกครับ เพราะตอนนั้นมันไม่มีทางเลือก มันไม่รู้จะทำอะไร

ณ ตอนนั้นธุรกิจจะมี 2 คนที่โดน คือโรงแรมร้านอาหาร ร้านอาหารเขาไม่ให้กินก็ต้องทำ delivery ของเราก็ต้องทำ delivery เหมือนเป็นภาคบังคับ คนอื่นเขาก็ทำกัน เราก็ต้องทำด้วย ทำโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะยังไงต่อ แต่ว่ามันก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ”

“ราดหน้าเส้นกรอบ” เมนูพลิกชีวิต

พอตัดสินใจหยิบบริการ delivery มาปัดฝุ่นอีกครั้ง ผลลัพธ์กลับไม่ปังเท่าที่ควร กระทั่ง เปา ได้นำราดหน้าสูตรซิกเนเจอร์ ไปพรีเซนต์ในกลุ่ม Facebook “อารีย์ Community” ที่เป็นจุดเปลี่ยน พาให้โรงแรมผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากมาได้

“ช่วงแรกๆ ผมจะมีข้าวผัด ข้าวกะเพราใช่ไหมครับ แฟนเขาก็บอกว่า 'โรงแรมเราราดหน้าอร่อยนะ ทำไมไม่ลองเอามาขายดู' ตอนแรกที่ผมไม่ได้เอามาขาย เพราะผมเห็นว่ามันเป็นน้ำ ผมกลัวว่าไรเดอร์จะทำหก

พอแฟนเขาพูดขึ้นมา ผมก็เออว่ะ… จริงๆ โรงแรมเราราดหน้าอร่อย งั้นก็ลองดู ก็จะมีอยู่ประมาณ 4-5 เมนู จะมีทอดมันกุ้ง ข้าวผัด ข้าวกะเพรา แล้วก็มีราดหน้า งั้นเอานี่แหละเป็นตัวชูโรง เพราะว่าเราจะเอาข้าวกะเพรามันที่ไหนก็มี



รุ่งขึ้นอีกวันผมก็จัดแจงซื้อกล่อง ภาชนะ เราก็ทำข้าวของขายกัน ซื้อกล่อง ถ่ายรูปเอง วางช้อนส้อมเอง โปรโมตเอง ช่วงแรกๆ ก็ขายไม่ดีหรอกครับ สัปดาห์นึงได้ 1-2 กล่อง เวลา LINE MAN ออเดอร์เด้งเข้ามาปุ๊บดีใจมาก (หัวเราะ)

จนกระทั่งมี supplier คนนี้มาแนะนำว่า ลองเอาไปโพสต์ดูขายในกลุ่ม Facebook มันชื่อว่า อารีย์ Community เป็นกลุ่มคนที่พักอาศัยอยู่แถวอารีย์ จะมีคนจำนวนเยอะในนั้น ก็จะมีขายขนม ขายของกิน ขายอาหาร เปิดรับ pre-order

ณ ขณะนั้นผมก็ไม่มีความรู้ ผมก็มั่ว เขาบอกให้ทำเราก็ลองทำดู ผมก็เลยโพสต์ ปรากฏว่ามันขายได้ ทีเดียว 20 กล่องออเดอร์เดียวเลย ดีสุดเลยขณะนั้น 100 กล่องต่อวัน คือเมนูนี้เมนูเดียวนะครับ ซึ่งคือมันเยอะมากเลยนะครับ ลองเทียบกับสมัยก่อนที่ผมบอกว่าสัปดาห์ละกล่องเดียว มันก้าวกระโดดเยอะมาก แล้วก็ทำจะไม่ทันด้วย (หัวเราะ)

สิ่งที่โพสต์เข้าไป อาจจะเป็นในเรื่องของสูตร 30 ปี เป็นสูตรของกวางตุ้ง ก็คือว่าราดหน้าของโรงแรมเราจะไม่เหมือนราดหน้าสไตล์ไทยทั่วๆ ไป ที่เป็นเส้นผัดแล้วก็ใส่เต้าเจี้ยว แต่ของเราจะตรงข้ามเลย เราจะไม่ใส่เต้าเจี้ยว กลิ่นมันก็จะไม่ใช่

เส้นใหญ่เราเอาไปทอดกรอบ วัตถุดิบแล้วก็ให้ชิ้นใหญ่ จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของโรงแรมเราก็คือเราให้จานใหญ่ สิ่งเหล่านี้ก็เลยอาจจะทำให้ลูกค้าชื่นชอบครับ แล้วราคาก็โอเคสมเหตุสมผล ไม่ได้แพงมากก็เลยขายได้”


[ ราดหน้าเส้นกรอบ เครื่องแน่น แตกต่างที่ไม่มีเต้าเจี้ยว ]

หลังจากการคลายล็อกในช่วงโควิด ห้างร้านต่างๆ ก็เริ่มเปิดให้ผู้คนเข้ามารับประทานอาหารที่ร้านได้ ห้องอาหารของโรงแรมอลิซาเบธก็เช่นกัน มีลูกค้าหลั่งไหลมาเพื่อลิ้มลองเมนูดังจากทั่วทุกสารทิศ จนตั้งรับแทบไม่ไหว

“พอเราเริ่มดังในกลุ่ม อารีย์ Community ก็ขายใน LINE MAN ได้เยอะพอสมควร หลังจากนั้นผมไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่เขาเริ่มคลายล็อก คนเริ่มมากินที่ร้าน กินที่ห้างฯ ที่ห้องอาหาร แต่ว่าจะต้องมีเว้นระยะห่าง

คราวนี้ลูกค้าเต็มโรงแรมเลยครับ เขาก็แห่กันมาจากกลุ่มนี้ บางทีไม่อยากกิน delivery อยากมานั่งกิน ดูบรรยากาศ โรงแรมเรามี 43 โต๊ะครับ ก็เกือบหมดครับ ซึ่งประหลาดมาก ไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน แต่ว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่ราดหน้าอย่างเดียว มีอย่างอื่นที่อร่อยๆ ก็มี ทอดมันกุ้ง ข้าวอบสับปะรด กุ้งชุบแป้งทอด ห่อหมกมะพร้าว ลูกค้ามากินราดหน้า เขาก็จะกินเมนูอื่นด้วย

ช่วงแรกปัญหาก็ตรึมเลยครับ เพราะว่าจากเดิมที่เราขายไม่ดี อยู่ดีๆ ขายดี มันรับมือไม่ไหว ก็โดน complain เยอะเหมือนกัน โดนลูกค้าต่อว่า ทำไมอาหารช้ารอเป็นชั่วโมง ปรับตัวยากมากเพราะว่าเราไม่เป็น ไม่เคยเจอสภาพนี้มาก่อน ขายๆ อยู่ผักหมด หมูหมด วิ่งไปตลาด ไปแม็คโคร ก็ลำบากเหมือนกันครับช่วงแรก สักพักนึงก็เริ่มได้ ก็ค่อยๆ ไม่ค่อยโดนด่าแล้ว



อาหารนี่ถือว่าช่วยได้มาก อาหารไม่ว่ามันจะเป็นยังไงขอให้มันอร่อย เขาก็กินได้ทุกเพศทุกวัย มีวัยรุ่น มีเด็ก มีผู้ใหญ่ มีอากง อาม่า เสาร์-อาทิตย์ก็จะมากันแบบครอบครัวก็มี ตอนนี้เป็นเหมือนร้านอาหารแนวครอบครัว แต่ถ้าเป็นจันทร์-ศุกร์ช่วงเที่ยง จะเป็นหนุ่มสาวออฟฟิศ เป็นพนักงานเอกชน ข้าราชการบ้างก็ทาน ก็โอเคอยู่เหมือนกันครับ

บางคนเขาเห็นรีวิวมันน่ากินมาก เขาขับรถจากสมุทรสาครเข้ามาเลย ห้องไม่แพง 1,100 บาท นอนด้วยเลย กินด้วย เพราะว่าขี้เกียจต่อคิว (หัวเราะ) ก็นอนรอคิวไปเลย จะมีอย่างนี้บ้างอาจจะไม่เยอะ ถ้าเยอะจริงๆ จะมาทาน แต่ว่าตามมานอนน้อยครับ แต่ว่าก็ถือได้ชื่อเสียงตรงนี้ ตัวห้องพักได้ผลพลอยได้จากราดหน้าบ้างนิดหน่อย

ลูกค้าที่มาพักโรงแรมจะเป็นกลุ่มที่สูงวัยนิดนึง อาจจะเป็นผู้ใหญ่ที่เขาอาจจะชอบสไตล์นี้ โรงแรมเราต้องบอกว่าจะไม่ค่อยมีวัยรุ่นมานอน เพราะถ้าวัยรุ่น เขาอาจจะไปนอนตามที่มันสมัยใหม่ เราก็จะจับกลุ่มตรงนี้มากขึ้น”

เจ้าของโรงแรม ที่เล่น TikTok ได้นิดหน่อย

เมื่อ Facebook ปิดกั้นการมองเห็นมากขึ้น ทำให้เขาต้องมองหาแพลตฟอร์มอื่นในการโปรโมต นั่นก็คือ TikTok แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่สันทัดโลกโซเชียลฯ นี่จึงเป็นเรื่องใหม่และยากสำหรับผู้บริหารหนุ่มคนนี้

“อยู่มาวันนึงเมื่อปีที่แล้ว เริ่มรู้สึกว่า Facebook ทำไมมันดูตันๆ โพสต์อะไรไปก็ไม่มีใครเห็น เริ่มไม่ปังอย่างที่เป็นมา เรามองแล้วไม่น่าจะไหว ก็เริ่มมองหาแพลตฟอร์มอื่น หรือว่าเราจะไปทำเป็น YouTuber โปรโมตไหม

แต่ว่าจะมี YouTuber ท่านอื่นเข้ามารีวิวที่โรงแรม เขามากันที 4-5 คน กล้องตัวเป็นแสนเป็นล้าน production ก็หลายแสน ไม่น่าไหว อย่าทำเลย ก็ไม่ทำแล้ว ช่วงโควิดเราไม่ค่อยมีเงิน เราก็ต้องเซฟๆ ใช่ไหมครับ



ตอนนั้น TikTok มันกำลังมา เราก็เห็นเขาใช้กัน ใช้มือถือเครื่องเดียว เราก็มีมือถืออยู่แล้ว เราก็อะ… งั้นลองจาก TikTok แล้วกันง่ายๆ ช่วงแรกนี่คือมั่วมาก ถ่ายกินข้าวกะเพราอะไรอย่างงี้ (หัวเราะ) วันนี้อากาศดี กินกาแฟยามเช้า ถ่ายไปเดินห้างฯ ซึ่งมันไร้สาระ คนเขาไม่อยากดู เราเล่น TikTok สไตล์ Facebook ซึ่งมันผิด แต่เราไม่รู้ไงครับ เราก็เล่นมั่วไป

เดือนนึงนั้นเป็นเดือนนึงแห่งความล้มเหลวเลย เราถ่ายอะไรก็ไม่มีคนดู เราไปเที่ยวพัทยาก็ถ่ายทะเล ก็ไม่มีใครสนใจหรอก มั่วๆ อยู่ประมาณเดือนนึงกว่าจะจับทางได้ครับ ตอนหลังก็จะเริ่มมองเห็นว่าเขาไม่ได้เล่นแบบนี้ เขาต้องเล่นเป็น story

ผมก็เริ่มปรับตัว แบบว่าพาไปดูตรงโน้นตรงนี้ เช่น โรงแรมแอร์มันจะตัวใหญ่ ตัวนึง 2-3 ล้าน ซึ่งผมคิดว่าคงไม่ค่อยมีคนรู้จัก ก็พาไปดูก็เลยตั้งหัวข้อคลิปว่า พาไปดูแอร์ตัวละ 3 ล้าน มันก็อาจจะทำให้น่าสนใจ ก็เริ่มมีคนดู

เราก็เริ่มจับทาง อ๋อ เราต้องทำคลิปให้มันดูหายาก ดูน่าสนใจ ไม่ใช่ไปถ่ายกาแฟ มันไม่มีใครอยากดู เราก็เริ่มจับทาง ตอนหลังก็เริ่มทำคลิปที่มันมีประโยชน์ในโรงแรม ความรู้บ้าง ตลกบ้าง ไร้สาระบ้างปนๆ กัน ก็ไต่เต้าขึ้นมา ประมาณนี้ครับ”



แม้การทำคลิปเพื่อโปรโมตโรงแรมจะยาก แต่เขาก็ไม่ท้อ ฝึกฝนด้วยตนเองทุกขั้นตอน จนในที่สุดก็มีคลิปที่แตะหลักล้านวิวได้สำเร็จ และทำให้ชื่อของ “โรงแรมอลิซาเบธ” เป็นที่รู้จักของชาวเน็ตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

“ตอนนั้นช่วงแรกๆ ที่ผมทำมันจะอยู่ประมาณ 100-200 วิว แต่พอคลิปที่ผมเริ่มจับทางได้ เราโพสต์ตอนกลางคืน ตื่นเช้ามามันได้ 6,000 วิว โอ้โห… ดีใจมากเลย (น่าจะเป็นคลิปแอร์) มาถูกทางแล้ว (ยอด Follower) ช่วงนั้นก็ขึ้นนะครับ 100 คนตอนนั้นเยอะมากแล้วครับ (หัวเราะ) ก็คือดีใจมาก เริ่มรู้ตัวแล้วเราต้องมาแนวนี้ครับ เริ่มปรับตัว

1 ปีให้หลัง ผมทำเองหมดเลยนะครับ ตัดเองด้วย ช่วงแรกๆ ตัดต่อไม่เป็นหรอกครับ มั่วมาก ก็หาเอาใน TikTok นั่นแหละ วิธีตัดต่อใน CapCut เราก็เน้นตัดแบบง่ายๆ เพราะเราไม่ใช่ YouTuber จะเอฟเฟกต์อะไรเยอะแยะเราก็ก็คงไม่ไหว แล้วเราเป็นคน low technology เราก็เรียนรู้เอาเอง

เวลาใส่ตัวหนังสือก็ใส่ตัวธรรมดา ตัววิ่งนิดๆ หน่อยๆ สีสันก็ไม่ได้อะไรมากมาย เน้นเนื้อหา ก็เรียนรู้เองหมดเลย มั่วๆ กันเอง แล้วก็มีพี่พนักงานคอยถือมือถือเรา นอกนั้นเราก็คิดหมดเลย ไมค์ก็ช่วงแรกๆ ไม่ได้ใช้ครับ ตอนหลังรู้สึกเสียงมันไม่ดีก็ซื้อมา 200 บาท (หัวเราะ) ไม่ได้แพง ผมไม่ได้ production อะไรมากมาย แค่นี้แหละแล้วก็เน้นเนื้อหาเอา มั่วๆ กันมาครับ


จำได้เลย ไวรัลคลิปแรกมันจะเป็นคลิปที่มีประโยชน์ ผมเล่าให้ฟังว่า ‘4 อย่างในโรงแรม ที่เอากลับบ้านได้’ คนก็เริ่มสนใจ อะไรเอากลับบ้านได้บ้าง ก็จะมีน้ำเปล่า กาแฟ น้ำตาล ครีมเทียม กระดาษทิชชู แล้วก็จะมีรองเท้า slipper ที่มันเป็นแบบบางๆ แปรงสีฟันก็เอากลับได้ มันได้หลายอย่าง ผมก็พูดไป จริงๆ อาจจะมากกว่า 3-4 อย่าง วันนั้นผมพูดแค่ 4 อย่าง

ได้ล้านวิวครั้งแรกในชีวิตก็คือคลิปนี้เลย ตอนนั้นดีใจมาก กระโดดโลดเต้น พอได้ล้านวิว ทีนี้ลูกค้าเยอะเลย ไม่รู้อีท่าไหน พอได้คลิปนี้ปุ๊บ มันก็ไปส่งต่อคลิปราดหน้าที่เราทำ กินราดหน้าโชว์บ้างอะไรบ้าง คือมั่ว ทำไปเรื่อยเปื่อยในโรงแรมนี้

คนก็มาทานที่นี่มากขึ้น ตอนนั้นไม่ได้พูดว่าโรงแรมอะไร แต่เช็กอินโรงแรมตัวเองครับ เขาตามมาทานราดหน้านี่แหละ (หัวเราะ) TikTok จะส่งผลต่อคลิปอื่นๆ ด้วย ถ้าคลิปนี้ดัง คลิปอื่นก็จะโดนดึงขึ้นแล้ว”

และความปังของ “ราดหน้าเส้นกรอบสูตร 30 ปี” ก็ยังฮอตอย่างต่อเนื่อง เพราะหลังจากที่คลิปต่างๆ จากทางโรงแรมกลายเป็นไวรัลบน TikTok ขึ้นมา ทำให้ช่วงพีคๆ มีลูกค้าตบเท้าเข้ามาชิมเมนูนี้ถึงวันละหลายร้อยคิวกันเลยทีเดียว

“มีลูกค้ามาต่อว่า ว่าโรงแรมเราใช้ปลาหมึกแช่แข็ง ปรากฏว่าไม่ใช่ ผมใช้ปลาหมึกสด อาจจะเป็นไปออกบูธที่ The Mall บางแค แล้วเขาอาจจะมองผ่านๆ เห็นว่าคล้ายๆ ปลาหมึกแช่แข็งหรือเปล่า แต่ว่าจริงๆ ไม่ใช่ เราบั้งลายปลาหมึกเอง

ผมทำคลิปนี้ขึ้นมา ได้ล้านวิวเสร็จปุ๊บ มีลูกค้าท่านนึงเขาก็ตามมากิน เขาคงจะชอบมาก เขาก็รีวิวไป ปรากฏว่าคลิปนี้ดังมาก ซึ่งพี่คนนี้ผู้ติดตามเขาแค่ 2,000 คนเอง แต่คลิปมันได้ตั้งประมาณ 2-3 ล้านวิว



หลังจากนั้นก็เป็นกระแสครั้งนึง เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน คราวนี้หนักกว่า 3 ปีที่ผ่านมา หนักกว่าตอน Facebook ก็คือรุนแรงมาก คนนี้ทำ อีกคนนึงก็มาทำตาม influencer ก็มากินกันกับเพื่อนแล้วก็ถ่าย อร่อยๆๆ ราดหน้า ข้าวอบสับปะรด ทอดมันกุ้ง มี 5-6 อย่างที่เขาถ่ายกัน ก็ดังระเบิดเลย influencer ท่านอื่นก็ตามมากิน

LINE MAN ก็โดนสั่งกระจุยเลย Grab มานั่งรอกันเป็นสิบ คราวนี้ก็คือลูกค้าเยอะมาก ช่วงแรกก็โดนด่าเหมือนเดิมครับ ทำอาหารไม่ทัน ของหมด รอนาน จัดคิวก็จัดกันไม่เป็น เกิดมาก็ไม่เคยจัดคิว ทำคิวหล่นมั่ง สลับมั่ง เกือบสัปดาห์นึงกว่าจะตั้งตัวได้ ช่วงที่แรงๆ แค่รอบเช้ารอบเดียวก็เกือบ 200 คิว รอบเย็นอีก 150 คิว รวมกันก็เกือบ 300-400 คิว 1 วันในช่วงนั้น

โรงแรมเรามาทานอาหารแล้วไม่เคยต้องมีคิวเลย เพราะว่าโต๊ะเราเยอะตั้ง 40-50 ตัว กินเสร็จคนใหม่เข้ามา ยังไงโต๊ะมันเหลือเฟืออยู่แล้ว มันเกินพิกัดจริงๆ เลยต้องออกคลิปขอโทษ ต้องแก้สถานการณ์หนักเหมือนกัน เราต้องแก้ใหม่หมดเลย ทุกอย่างต้องเร็วขึ้น การเช็ดโต๊ะต้องเช็ดให้ไว ระหว่างที่นั่งรอ ก็เอาน้ำส้มไปตั้ง กดน้ำทานน้ำก่อนนะครับ เอาเมนูไปตั้ง

ที่กั้นซื้อมาหลังนะครับ ต้องกั้นไม่งั้นลูกค้าเดินเข้ามาแล้วเราคุมไม่ได้ เราก็เอาโต๊ะมาดักจดคิว ตอนนั้นก็คือนอนไม่ค่อยหลับหรอกครับ เพราะว่ากลัวโดนด่า (หัวเราะ) โชคดีที่มีทีมงาน พี่น้อง ช่วยกันคิด ช่วยกันวางแผน”



เมื่อ เปา ได้มาทำ TikTok ก็มีคอมเมนต์ถึงเขา ในฐานะผู้บริหารคนรุ่นใหม่ที่ปรับตัวไปตามโลก แถมยังเป็นกันเองกับพนักงานในโรงแรม จนชาวเน็ตบอกว่า “อยากมีเจ้านายแบบนี้บ้างจัง”

“เราเป็นธุรกิจกึ่งๆ แนวครอบครัว เราก็เน้นดูแลพนักงานให้แฮปปี้ พนักงานเหนื่อย เราก็มีน้ำใจตอบแทน เพราะฉะนั้น เราก็เลยจะดูแลเขาให้ดี มีอาหารอร่อยๆ ให้ทาน มีเงินเดือน มี service charge ผมมีแนวคิดที่ว่าถ้าพนักงานเขาแฮปปี้ ผลงานเขาก็ดี เขาก็มีความสุขกับการทำงาน บางทีก็ซื้อขนมมาแจก

องค์กรเราไม่ได้ใหญ่โตอะไรขนาดนั้น เราก็เลยพอดูแลไหว เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่ เขาก็ช่วยลูกน้องตลอดครับ เดินมาคุยได้ ไม่ได้ถือตัวหรืออะไรครับผม ไม่มีหัวโขน ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ ไม่ค่อยซีเรียสครับ เป็นแนวสบายๆ

จริงๆ ผมใช้แนวของคุณตัน อิชิตัน เขาจะเรียกว่า personal branding เอาตัวเองมาเป็นโลโก้ เอาตัวเองมาเป็นมาสคอต คุณตันทำนู่นทำนี่ ผมก็เล่นแนวนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเขินอะไรครับ

แต่ว่ามันก็จะมีเรื่องแปลก พอทำมาถึงจุดนึง วันนั้นจะไปทำธุระที่ Central ใส่หน้ากากเดินห้างฯ มีคนเข้ามาทัก (หัวเราะ) ก็ตกใจเหมือนกัน จำได้ด้วยขนาดใส่หน้ากาก ทุกทีจะไม่ค่อยมีคนมาทักเลยครับ ชีวิตก็เปลี่ยนนิดหน่อยครับผม”

โลเกชั่น "แอปเปิ้ล-ธี่หยด2" เพิ่มรายได้-คนตามรอย

นอกจากในส่วนของโรงแรมและห้องอาหารที่โด่งดังแล้ว ด้วยการตกแต่งสไตล์ classic ที่คงเอกลักษณ์เดิมไว้ ทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมเพื่อเช่าสถานที่ถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็น ถ่ายแบบ, music video, ละคร, ภาพยนตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

“ในอดีตเคยมีเรื่อง ดาวพระศุกร์ มาถ่าย เวอร์ชันคุณศรราม นานแล้ว 20-30 ปี หลังจากนั้นก็เงียบไป การรับโลเกชั่นก็ไม่ได้เป็นการพูดถึงอีก จนกระทั่งโควิด เราก็เอาทุกอย่างเลย อะไรรับเงินได้ผมก็ต้องเอาไว้ก่อน เพื่อมาหล่อเลี้ยงพนักงาน

ผมก็เหมือนเดิม ไปหาโอกาส ไปโพสต์ในกลุ่มโลเกชั่น ผมมีอย่างนี้ๆ สถานที่โรงแรมสไตล์วินเทจ ถ้าชอบก็เข้ามาได้นะครับ คิดค่าเช่าไม่แพง มาดูก่อน ผมโพสต์ Facebook ธรรมดา ก็มีโลเกชั่นเข้ามาค่อยๆ ดู


[ โต๊ะ no.5 ในโฆษณา Apple ที่ตรงกับบานหน้าต่างพอดี สวยจนคนตามรอย ]

เหมือนวงการถ่ายหนังเขาแคบ เขารู้จักกันหมดเลย อันนี้ก็รู้ๆๆ ช่อง 7 ช่อง 3 ช่อง 5 รู้จักกันหมด เรื่องแรกที่มาถ่ายช่วงโควิดน่าจะเป็น คทาสิงห์ ช่อง 7 เป็นคล้ายๆ แอ็กชั่น ต่อสู้ เขาก็มาถ่ายก็สู้กันในล็อบบี้ หลังจากนั้นก็มีมาเรื่อยๆ พอถ่ายเรื่องนี้มันก็จะมีเรื่องอื่น บางทีก็ขอถ่ายแบบ ถ่าย MV ได้ไหม เราก็รับหมดครับ

แนวการตกแต่งของโรงแรมเราจะเป็นแนว classic vintage ย้อนยุค 90 เป็นสไตล์ไม้ ส่วนนึงจะเป็นละครพีเรียด แต่งตัวคุณหญิงคุณนาย วัยรุ่นบ้าง ย้อนยุคบ้าง ก็จะหลากหลายครับ ตอนนี้ล็อบบี้เราอาจจะของดถ่ายเพราะว่าลูกค้าเยอะ มันรบกวนลูกค้า ก็จะเป็นชั้น 3 ชั้นห้องพัก แล้วก็ชั้นสระว่ายน้ำ พวกนี้ถ่ายได้หมดเลยครับผม”


[ ฉากจากโฆษณา “Apple” ]

และเมื่อเร็วๆ นี้ ทางโรงแรมก็ได้ฝากโลเกชั่น ไว้ในโฆษณา “Apple” ที่มาถ่ายทำที่เมืองไทย และหนังสยองขวัญกระแสแรงอย่าง “ธี่หยด 2” อีกด้วย

“โรงแรมเรา อย่างล่าสุดมีกองถ่ายระดับโลก ก็คือจะเป็นโฆษณาของบริษัท Apple ก็มาถ่ายครับ ตอนนั้นคนเยอะมากครับ ทีมงานเขาเป็นร้อย แล้วก็เคร่งครัดด้วย เขาจะไม่ให้ใครเดินผ่าน มีการ์ดด้วยนะครับ มีฝรั่งยืนกันเต็มเลยครับ รู้สึกทำงานเป็นจริงเป็นจัง ก็ถ่ายอยู่ประมาณวันนึงครับ 1 วันเต็มเลย

มันเกิดจากคล้ายๆ กับว่าโลเกชั่นของคนไทยไปเสนอ ผ่านปุ๊บ ผู้กำกับก็จะเข้ามาดูด้วยตัวเอง กระบวนการตรงนี้ก็หลายเดือนกว่าเขาจะตกลงปลงใจว่าจะเอาที่นี่ครับ เรตค่าเช่าเราจะดูว่าใช้กี่วัน ถ้าใช้เยอะเราก็คิดแพงหน่อย ถ้าใช้น้อยเราก็คิดถูกหน่อย คนจำได้เยอะนะครับ คนมาทักใน TikTok เยอะนะ ว่านี่ถ่ายโฆษณา Apple หรือเปล่า


[ ชั้น 3 ถ่ายทำ ธี่หยด 2 ]

ธี่หยด มาถ่ายกับเรา จำได้ประมาณ 3 วัน ปิดชั้น 3 ถ่ายทั้งหมดเลย เห็นคุณณเดชน์เดินผ่านแวบๆ (พนักงาน) เขาก็ดีใจนะครับ เขาชอบดูดารา แต่ตอนหลังก็เริ่มชิน เพราะว่าดารามาเยอะครับ

ตามรอยหนังยังไม่มีนะครับ แต่มีอินฟลูฯ มาตามรอย Apple เดี๋ยวนี้ชาวโซเชียลฯ เขาจำได้แล้วว่าหน้าต่างนี้โรงแรมอลิซาเบธ โต๊ะเบอร์ 5 จะเป็นโต๊ะซิกเนเจอร์ที่ลูกค้าชอบมาถ่ายรูป จะเป็นโต๊ะที่ตรงกับหน้าต่าง มันก็จะถ่ายออกมาสวยครับ

การที่เรามีชื่อเสียงทางด้านราดหน้า ทีนี้ผู้กำกับมาปุ๊บ เขาก็สั่งราดหน้าให้คุณณเดชน์ คุณญาญ่า คุณเบลล่าได้ลองทาน ปกติแล้ว 30 กว่าปีก่อน โรงแรมเราไม่เคยมีดารามาทานหรอกครับ บางครั้งก็สั่งราดหน้าเข้าฉากเลย ให้พระเอกกินข้าวกับนางเอกอะไรอย่างนี้ก็มี (หัวเราะ) มีดาราหลายท่านได้ทานแล้วเขาก็ชมว่าอร่อย ถือว่าโอเคเลยครับ ได้ชื่อเสียงตรงนี้”



การมองหาโอกาสใหม่ๆ คือทางรอดที่จะทำธุรกิจไปต่อได้ นั่นทำให้ เปา ตัดสินใจที่จะพา “ราดหน้าโรงแรมอลิซาเบธ” ไปเปิดสาขาด้านนอก เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้น

“จุดเริ่มต้นมันก็เริ่มมาจากว่า มีลูกค้ามาจีบเราให้ไปออกบูธตรงโน้นตรงนี้ แรกๆ เราก็ไม่สน หลังๆ เขาก็ทักมาเยอะ เราก็เลย อะ… ลองสักที เราคิดว่าเราเป็นธุรกิจโรงแรม เราก็ไม่คิดว่าตัวเราเป็นร้านอาหารจ๋าขนาดนั้น แต่ด้วยความที่มันโด่งดังขึ้นมา เราก็เริ่มมองหาโอกาส เป็นการขยายออกนอกจากโรงแรม เราก็อาจจะเอาชื่อเสียงราดหน้าไปเปิดข้างนอก

คิดว่าในอนาคตเราอาจจะมีขยายสาขา ไปเปิดตาม Food Center หรือไปเปิดตามห้างฯ เราคงไม่ได้ไปใหญ่ อาจจะเป็น stand alone อย่างช่วงนี้เราก็ไปออกบูธ ล่าสุดไปออก EmQuartier แล้วก็ขายดี ทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ เรามีธุรกิจเดียวมันก็อาจจะเริ่มเสี่ยงแล้ว ถ้าเรามี 2 ธุรกิจก็น่าจะกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า ไม่เหมือนที่ผ่านมา

แต่ว่าโรงแรมนี้ไม่ได้ทิ้งแน่นอน ก็คือยังเป็นห่วงโรงแรมอยู่เสมอ ปีนี้เราก็เริ่มมีการรีโนเวทโรงแรมแล้วครับ เพราะว่าห้องพักเราก็เก่าแก่แล้ว 30 ปีแล้วครับผม เริ่มมีการรีโนเวทแล้วไปเฟดนึงอยู่ที่ชั้น 15 ยังไม่เสร็จครับ

จะเป็นรูปแบบใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น และเป็นสไตล์ modern classic จะไม่ละทิ้งตัวตน แต่ว่าจะเป็นรูปแบบที่ใหม่ขึ้น รองรับลูกค้าต่างชาติหรือลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นขึ้น อะไรอย่างนี้ครับผม”



ในฐานะผู้บริหารหนุ่มที่สามารถพาโรงแรมก้าวข้ามวิกฤตใหญ่ จนกลับมาผงาดได้อีกครั้ง ได้ฝากคำแนะนำจากประสบการณ์ตรง อยากให้ทุกคนลองมองหาความถนัดของตัวเอง ดึงขึ้นมาเป็นจุดขายบนโลกออนไลน์และทำอย่างต่อเนื่อง เขาเชื่อว่า สักวันต้องประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

“ที่ได้เรียนรู้หนักๆ 1-2 ปีมานี้ คือเรื่องของการตลาดออนไลน์ TikTok, Facebook ต้องเน้นเต็มที่เลยครับ ถ้าเกิดใครทำธุรกิจ ผมคิดว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ ณ ตอนนี้ ผมว่าสำคัญอันดับ 1 ก็คือการตลาดออนไลน์ ทุกคนต้องทำ content ครับ ทำอะไรเน้นง่ายๆ ตลกโปกฮาไร้สาระ ทำไปแล้วเดี๋ยวมันมีคนดูเอง ไม่ต้องซีเรียส อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมประสบการณ์ตรงครับ

ที่บอกว่าเป็นจุดเด่น จุดขาย เราต้องหาให้เจอ ผมว่าทุกคน ทุกธุรกิจน่าจะต้องมีจุดขายแน่ๆ ไม่งั้นจะขายได้ยังไง เราอาจจะต้องหาให้เจอ อย่างของผม คุณพ่อคุณแม่ใช้มาตลอด ก็คือเน้นคุ้มค่า คุ้มราคา แล้วก็ไม่เหมือนใคร

อย่างเราทำกะเพราไก่ไข่ดาวไปขาย มันขายไม่ออก เพราะว่ามันก็เหมือนคนอื่น ถ้าเราทำเป็นกะเพราเนื้อแพะได้ไหมล่ะ กะเพราเนื้อจระเข้ได้ไหมล่ะ กะเพราเนื้อนกกระจอกเทศ หรือว่ากะเพราวากิว ผมว่ามันจะขายได้มากกว่ากะเพราไก่ ลองหาจุดขาย จุดเด่นที่ไม่เหมือนชาวบ้าน เน้นทำ content ผมว่าตรงนี้น่าจะไปได้ ยังไงขอให้สู้ให้สุดตัวก่อนครับผม อย่ายอมแพ้ครับ”





ต้มยำกุ้ง” วิกฤตที่รุ่นพ่อต้องเจอ

จุดเริ่มต้นของโรงแรมแห่งนี้ เดิมทีครอบครัวของเขามีอาชีพผลิตและขายรองเท้า ซึ่งคุณพ่อคุณแม่มีความฝันว่า สักวันต้องมีโรงแรมเป็นของตัวเองให้ได้ จึงเก็บหอมรอมริบและกู้เงินจากธนาคารมาสร้าง กระทั่งสำเร็จในปี 2534

“เป็นคนจีนครับแต่เกิดที่เมืองไทย พ่อจบ ป.4 แม่จบ ป.2 ไม่มีสมบัติติดตัว ทุกอย่างก็คือเก็บใหม่หมดเลย พ่อเขาก็เริ่มต้นจากเป็นช่างรองเท้า ทำมาหลายอาชีพก็เจ๊งหมด ล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อยๆ ส่วนคุณแม่ก็ขายขนม

เดิมทีครอบครัวเราค้าขาย มีการเช่าล็อกที่ประตูน้ำ ผลิตรองเท้าหนังขาย ก็ทำมาเรื่อยๆ อยู่มาวันนึงคุณพ่อคุณแม่ไปส่งรองเท้าที่โรงแรมอินทรา รอลูกค้าอยู่ที่ล็อบบี้ แล้วเกิดความรู้สึกโรงแรมนี้สวยจัง หรูจัง ดูดี ถ้าเรามีอย่างนี้บ้างก็ดีนะ

มันก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคุณพ่อคุณแม่ว่าเริ่มเก็บเงิน เริ่มมองหาที่ดินที่จะเริ่มทำตามความฝัน ระหว่างทางที่เรากำลังจะสร้าง ก็กินเวลาเก็บเงินอีกหลายสิบปีเหมือนกัน ที่จะสร้างโรงแรมได้นี่คือไปกู้แบงค์ คุณพ่อกู้มาประมาณ 200 ล้านนะครับผม แล้วก็หมดในรุ่นคุณพ่อให้หลังมาอีกประมาณ 10-20 ปีครับ ตอนผม 3 ขวบก็คือสร้างเสร็จ ที่นี่เปิดปี 2534 ครับ

ช่วงแรกๆ คุณพ่อคุณแม่บอกว่าลูกค้าเยอะมาก มีต่างชาติเยอะครับ เปิดมาวันแรกก็มีลูกค้าพัก 100 ห้องเลย ลูกค้าเยอะมาตลอด สมัยก่อนโรงแรมมีน้อย คู่แข่งมีน้อยด้วย ธุรกิจก็ไปได้ดีในยุค 30 ปีก่อน ไม่ต้องโปรโมตอะไรก็มีลูกค้าอยู่แล้ว

มีพี่น้อง 4 คน ผมเป็นคนที่ 3 ครับ ความทรงจำทุกๆ ปิดเทอม พวกเราก็จะมาวิ่งเล่นในล็อบบี้ (หัวเราะ) แล้วก็โดนพ่อด่า วิ่งเล่นเดี๋ยวรบกวนลูกค้า เสียงดังอะไรแบบนี้ ก็สนุกสนานนะครับ เป็นเหมือนบ้านเราเลย ความรู้สึกก็คือผูกพันครับผม”

เรียกได้ว่าพี่น้องบ้าน “เมธานุกิจ” เติบโตขึ้นมาพร้อมกับโรงแรมอลิซาเบธ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ลูกๆ ก็ได้เข้ามารับช่วงดูแลต่อตามความถนัดของแต่ละคน

“เรามาวิ่งเล่นอยู่ในโรงแรม เราน่าจะรู้อยู่แล้วครับ ว่าเราก็ควรมาช่วยครับผม เด็กๆ ผมเคยดูรายการช่อง 9 การ์ตูน แล้วเหมือนเขาให้ชิงโชค สมัยก่อนกดโทรศัพท์ไปเล่นเกม ก็ชนะได้เงินรางวัลมา 1,000 บาท (หัวเราะ) คุณพ่อเขาก็เลยบอกว่ามีแวว เขาบอกว่าว่องไว เหมือนกับคว้าโอกาส ประมาณนี้ครับ

คุณพ่อเขาก็ปล่อยให้เรียนตามที่อยากเรียน ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นครับ ผมเรียนบริหารการตลาด จบมาผมไปทำงานที่ Toyota อยู่ 4 ปี ช่วงนั้นคุณพ่อไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เป็นทั่วๆ ไปครับ เบาหวาน ความดัน เขาก็เลยเรียกมาช่วย หลังจากนั้นก็เลยมาช่วยอยู่ยาวเลย ผมเข้ามาน่าจะประมาณ 9-10 ปีแล้วครับ

อย่างน้องชาย เขาจะรอบคอบตัวเลข แม่นยำ คุณพ่อก็เลยสนับสนุนให้เรียนบัญชี น้องชายดูการเงินบัญชีให้ ผมก็ดูภาพรวมการตลาด ส่วนพี่สาวเรียนศิลปศาสตร์ ก็เป็นภาพรวม ตอนนี้ช่วยกันดู 3 คน อีกคนนึงเขาทำอาชีพอื่น”



ไม่ใช่แค่ช่วงโควิด ที่ถือเป็นวิฤต แต่มีเหตุการณ์ที่เคยเกิดมาก่อนที่ทายาทรุ่นที่ 2 อย่างเปาและบรรดาพี่น้องจะเข้ามาบริหาร นั่นก็คือ วิกฤตต้มยำกุ้ง แต่โชคดีที่ยังประคับประคองมาได้

“ต้มยำกุ้ง ตอนนั้นครอบครัวเรากู้หนี้ยืมสินมาสร้างโรงแรม เราก็มีหนี้อยู่แล้ว แล้วทีนี้ธุรกิจล้มเยอะ ตอนนั้นเราก็โดนผลกระทบ เหมือนกับว่าพอเศรษฐกิจมันแย่ ลูกค้าก็น้อยลง ฝรั่งก็ไม่มา คุณพ่อบอกว่าลูกค้าหายประมาณซัก 40 เปอร์เซ็นต์ตอนนั้นเห็นคุณพ่อบอกว่าเป็นการรัดเข็มขัด ใช้ให้น้อย ก็พยายามลดตรงโน้น ลดตรงนี้ ให้มันประคองตัวเอาตัวรอด

บางทีระหว่าง 20-30 ปีมานี้ บางจังหวะช่วงวิกฤตสุดวิสัยจริงๆ เราก็ต้องมีกู้เพิ่ม ก็มีบ้าง แย่เหมือนกันแต่ก็พออยู่รอด พอประคองมาได้ครับ ยังเอาตัวรอดได้ ถือว่ายังไม่หนักเท่าโควิดครับต้มยำกุ้ง

ลูกค้าช่วงแรกจะเป็นไทย 50 แล้วก็เป็นฝรั่ง 50 อย่างที่แจ้งว่าแต่ก่อนมันไม่ค่อยมีโรงแรม ตัวเลือกมันน้อย ฝรั่งก็เลยเยอะครับผม รุ่นนั้นที่เห็นดังๆ ก็ดุสิตธานี ใบหยก อินทรา มีน้อยครับ ไม่เหมือนสมัยนี้โรงแรมขึ้นตามซอยเยอะแยะ ตึก 7 ชั้นก็เป็นโรงแรม hostel เพียบเลย ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนจะมีแต่โรงแรมชื่อดังๆ เลย

ในอดีตเราใช้แต่พนักงานขาย เป็นเซลล์ออกไปหาลูกค้า ที่นี่เรารับประชุม สัมมนาด้วย ออกไปตามหน่วยงานต่างๆ หน่วยงานรัฐบาล หน่วยงานเอกชน ทางเซลล์สามารถช่วยหารายได้ให้โรงแรมได้ หาห้องพัก หาทัวร์จีนมาลง

ที่ผ่านมาเราจะใช้เซลล์อย่างเดียวเลย ตอนหลังผมเข้ามา ผมใช้ออนไลน์ Agoda, booking.com ก็เอามาใช้ แต่ก่อนไม่เคยมี ตอนหลังก็เอามาใช้ ก็ได้ลูกค้าเป็นต่างชาติจากพวกออนไลน์มาเพิ่มบ้างครับ

ข้อมูลปีที่แล้วที่ผมเก็บ ตอนนี้ของผมจะเป็นคนไทย 70 ต่างชาติ 30 ใน 30 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 1 ของปีที่แล้วรัสเซีย แล้วก็จะมีฝรั่งเศส รองลงมาจะเป็นชาวจีน แต่ว่าแต่ละปีอาจจะไม่เหมือนกัน”



สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : Facebook "Elizabeth Hotel", ภาพยนตร์ “ธี่หยด 2” และ “Apple”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น