xs
xsm
sm
md
lg

“หมอลำ แม่ยกหลักล้าน!!” ซุป'ตาร์ TikTok แปลงเพลง-เพิ่มเอื้อนจนปัง [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ใจรัก” อย่างเดียวไม่พอ ต้อง “พยายาม” และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เจาะเส้นทางสู่ “ดาวTikTok”ยอดฟอลหลักล้าน!! กับความสำเร็จที่แลกมาด้วยคราบน้ำตา





ไวรัล!! สลัดลุคเรียบร้อย สู่อาชีพหมอ..ลำ

“ตอนเด็กแม่อยากให้เป็นหมอ ตอนนี้เป็นหมอให้แม่ได้แล้วนะ”“เก๋-วรรณ์ฐกานต์ โลกคําลือ”นักร้องสาวหน้าสวยเสียงใส วัย 25 ปี เจ้าของคลิปไวรัลดังใน TikTok ที่ได้ออกมาแชร์คลิปอัปเดตชีวิตของเธอ จากเด็กเรียนดี สู่อาชีพหมอลำ
ที่ทำเอาหลายคนดูแล้วอึ้ง ไปตามๆ กัน เพราะภาพแรกที่เห็นนั้น เธอเป็นนักเรียนทรงเด็กเรียน ใส่แว่น มีเกียรติบัตรการันตีเรื่องเรียนดี ที่ถ้ามองแล้วมั่นใจว่า เรียนเก่งความสามารถเข้าเกณฑ์แบบนี้ คงต้องสอบเข้าเรียนหมอได้ไม่ยากแน่ๆ แต่พอในคลิป ภาพตัดมาอีกที กับเป็นภาพนักร้องหมอลำสุด ที่ทั้งร้อง ทั้งเต้นสุดเหวี่ยงบนเวที

ทำเอาหลายคน เข้ามาชื่นชมความสามารถของเธอ ที่มีความหลากหลาย และทำเต็มที่ในทุกด้าน ทั้งการเรียน ทั้งการเป็นหมอลำ จนชาวโซเชียลฯ ถูกอกถูกใจ กับวลีเด็ดที่เธอโพสต์ เอาไปเล่นต่อๆ กันจนกลายเป็นไวรัลโด่งดัง

เธอเปิดใจถึงไวรัลในครั้งนี้ว่า รู้สึกดีใจ และตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนดูเยอะขนาดนี้ และตอนนี้มียอดคนดูเกือบ 4 ล้านวิวเข้าให้แล้ว

“ก็รู้สึกดีใจค่ะ แล้วก็ตกใจด้วย ไม่คิดว่าจะมีคนดูเยอะขนาดนั้น เพราะว่าหนูลงไปตอนดึกๆ ประมาณ 3 ทุ่ม 4 ทุ่มได้ พอตื่นเช้ามาก็ขึ้นหลักแสนแล้ว ตอนนี้หลักล้านแล้ว

ตอนนั้นหนูไม่มีคอนเทนต์จะลงในช่องค่ะ คือปกติหนูจะร้องเพลงลงในช่องใช่ไหมคะ แต่พอดีว่าเราไม่รู้ว่าเราจะร้องเพลงอะไรแล้ว เราก็เลยนั่งเลื่อนฟีดเล่นไป แล้วก็เห็นคนเล่นคอนเทนต์ประมาณว่า อยากเป็นหมอ แต่หมอที่เป็นได้ เป็นได้แค่หมอลำ อะไรประมาณนี้

หนูก็เลยคิดออกว่าเอ๊ะ..ถ้าสมมติว่าเราเอารูปสมัยเรียนเรา ที่ดูเป็นเด็กเรียน แล้วก็เอามารวมกับเรา ที่เคยเป็นหมอลำ ลองเอามารวมกัน มันน่าจะตลกดี มันน่าจะฮาดี คนน่าจะแบบพีค

คนบอกว่าเหมือนทรงหมอจริงๆ เหมือนเด็กที่เรียนหมอจริงๆ เพราะว่าดูเนิร์ด ใส่แว่นดูเรียบร้อย แล้วก็มีรางวัลด้วย รูปตอนนั้นอายุประมาณ 16-17 ปีค่ะ

ตอนนั้นหนูเรียนสายศิลป์ ภาษาจีน เป็นเด็กศิลป์ค่ะ เราก็มีความฝันว่าใจลึกๆ เราก็อยากเป็นนักร้อง แต่เราไม่รู้ว่าอนาคต จะมีโอกาสได้โด่งดังเป็นนักร้อง เหมือนที่คนอื่นเขาเป็นหรือเปล่า”


สาวเหนือผู้มีใจรักในเสียงเพลงลูกทุ่ง เธอเล่าว่า สมัยเด็กๆ เธอเป็นคนเรียนเก่งอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ตัวเองชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก 

ซึ่งเพลงที่ร้องก็จะเป็นแนวลูกทุ่ง จนมีโอกาสได้ไปเข้าร่วมแข่งขันในรายการ “หมอลำไอดอล” ได้ผ่านเข้ารอบ และได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตกับคณะหมอลำชื่อดัง เลยเกิดเป็นคอนเทนต์ดังกล่าวที่ตนได้มีโอกาสไปเป็นหมอลำแทนการเป็นหมอรักษาคน

“จริงๆ แล้วมันเป็นคอนเทนต์ค่ะ แต่ว่าตอนเด็กๆ เราก็เป็นเด็กที่ผลการเรียนดีมาตลอด แล้วก็ได้รับรางวัลอะไรต่างๆ สุดท้ายเราก็เลือกเส้นทางในการเป็นนักร้องมากกว่า

พอเราเริ่มมาทำ TikTok เริ่มมาทำคอนเทนต์ คนก็ได้เห็นเราร้องเพลงมากขึ้น เราก็ได้มีโอกาสในการร้องเพลงมากขึ้น ก็เลยโอเค เราตัดสินใจว่า อยากเป็นนักร้อง เราจะลุยสายนี้เลย

หมอลำ จริงๆ หนูมาเริ่มร้องตอนมาแข่งขันในรายการค่ะ จริงๆ หนูเป็นคนเหนือ ไม่ได้ร้องหมอลำเป็นเลยตั้งแต่แรก เหมือนเรามีโอกาสว่าเราอยาก challenge ตัวเอง ว่าเราจะสามารถร้องหมอลำได้ไหม ก็เลยลองออดิชั่นรายการหมอลำไอดอลดูค่ะ แล้วก็ได้ผ่านเข้ารอบไป

หลังจากจบรายการ เขาก็ให้เราไปทัวร์คอนเสิร์ตกับเขา ในฐานะของหมอลำไอดอล แล้วก็ร่วมกับคณะอีสานนครศิลป์ค่ะ มันก็เลยเป็นจุดกำเนิดที่เราได้ลองทำหมอลำ ได้ลองเป็นหมอลำดู

ถ้าในเส้นทางหมอลำ อาจจะยังไม่ได้มุ่งไปทางนั้นค่ะ ก็ยังเป็นนักร้องอยู่ แต่ถามว่าเราร้องได้ไหม เราสามารถนำประสบการณ์ตรงนั้นมาใช้ได้แน่นอนค่ะ เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ แล้วหนูได้อะไรเยอะมากๆ จากการเป็นหมอลำ”




จุดเริ่มต้นจากแม่อุ้มขึ้นเวทีงานแต่ง

นักร้องสาวเหนือจาก จ.แพร่ เธอบอกว่า เริ่มร้องเพลงมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เพราะความชื่นชอบในเสียงเพลง บวกกับคุณแม่ของเธอก็ชอบร้องเพลงด้วย แถมคุณแม่ ยังเป็นครูคนแรกให้กับเธอด้วย

“ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ คุณแม่ชอบร้องเพลงค่ะ แต่ว่าคุณแม่ไม่ได้เป็นนักร้อง พอดีเขาเห็นแววว่าเราดูชอบร้องเพลงนะ ชอบเต้นนะ เขาก็สนับสนุน ช่วยสอนร้องเพลงให้เรา

คุณแม่บอกว่า หนูร้องเพลงตรงคีย์ค่ะ แล้วก็จำเนื้อได้ โดยที่อ่านหนังสือไม่ออก เหมือนฟังแค่ 2-3 ครั้ง ก็ร้องได้ทั้งเพลงแล้ว คุณแม่ก็เลยเห็นแววว่า เออ..น่าจะเป็นนักร้องได้นะ ก็เลยฝึกมาตลอดค่ะ

จริงๆ ตอนเด็กๆ คุณแม่เขาก็มีความฝันอยากเป็นนักร้องนี่แหละค่ะ แต่ว่าเขาไม่ได้มีโอกาสในการเป็นนักร้อง หนูว่าคุณแม่อาจจะอยากสานฝันให้กับตัวเอง แล้วก็คือเขาเห็นความสามารถในตัวเรา ว่าเราเป็นนักร้องได้ เขาก็อยากทำให้มันเต็มที่ที่สุด แล้วก็รวมถึงตัวเราด้วยว่า เรามีความพยายามอยากจะเป็น

ตอนเด็กๆ คุณแม่ค่อนข้างเคร่งนะคะ ตอนสอนเราร้องเพลง หนูก็ต้องร้องเพลงหน้ากระจก ทำท่าทางไปด้วย แม้กระทั่งการจับไมค์ การยืน คุณแม่ดูหมดเลย ตั้งแต่หัวจรดเท้า การแสดงออกทางสีหน้าต้องยังไง เรื่องเสียงด้วยค่ะ”
[สลัดคราบสาวเนิร์ด สู่หมอ..ลำสาวเสียงใส]



จากเวทีแรกในงานแต่งงานของญาติ พอเข้าสู่วัย 6 ขวบ ก็เริ่มกล้าที่จะไปประกวดตามเวทีต่างๆ แถมประกวดครั้งแรก เธอก็ยังกวาดรางวัล ได้ที่ 1 กลับมาฝากคุณพ่อกับคุณแม่ด้วย

“ครั้งแรกที่หนูได้ร้องเพลงบนเวที ตอนนั้นคุณแม่พาไปงานแต่งงาน ตอนนั้นประมาณ 5 ขวบค่ะ เป็นงานแต่งของญาติๆ แม่ก็ถามว่าลองขึ้นไปร้องไหม ก็อุ้มขึ้นเวที แล้วแม่ก็ลุ้นว่าหนูจะร้องได้ไหม หนูจะร้องจบเพลงไหม หนูร้องจนจบเพลงค่ะ แล้วคือมีญาติๆ เอาตังค์มาให้ เอาติ๊บมาให้เยอะมาก

ตอนนั้นร้องเพลงสะใภ้นายกค่ะ ร้องว่า ฝันดี ฝันดีหรือฝันร้าย เมื่อคืนฝันไปได้เป็นสะใภ้นายก ในฝันแม้มันช่างตลก ฉันฝันว่าคุณโอ๊ค มาขอแต่งงาน เมื่อก่อนจะร้องลูกทุ่งค่ะลูกทุ่งจ๋าเลย ลูกทุ่งสมัยแม่ผึ้ง-พุ่มพวง แม่ผ่องศรี”

เธอพยายามฝึกฝนในการร้องเพลงของตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ จนรู้สึกซึมซับว่า การร้องเพลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ ที่ไม่สามารถขาดไปได้แล้ว เพราะนอกจากจะได้เงินเลี้ยงตัวเองแล้ว เสียงเพลง ยังช่วยเยียวยาให้เธอหายเครียดได้


“ครั้งแรกเลยที่ได้ร้องไห้คนอื่นฟัง ที่ไม่ใช่พ่อกับแม่เรา ตอนนั้นเราคิดว่าโห..เราได้เงินเยอะมาก จากญาติๆ ที่เขาให้มา เยอะค่ะเป็นหลักพันเลย แล้วเราก็ได้เอาเงินนั้นไปซื้อของเล่น ซื้อขนม ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ มันก็เลยเป็นเหมือนความฝันของเด็กๆ ที่ว่าร้องเพลงแล้วได้ตังค์เยอะจังเลย เราก็เลยอยากร้องมาเรื่อยๆ ก็เลยไปประกวด

พอได้เงินมา เราก็ได้มีขนม ได้มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่ แต่คุณแม่ก็เก็บเงินไว้ให้ เอาไว้สำหรับเป็นค่าเทอมด้วยค่ะ ตอนแรกเรามองแค่ว่าร้องเพลงแล้วเราได้เงิน แต่พอร้องมาเรื่อยๆ ก็ซึมซับ แล้วมันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เรายิ่งรักการร้องเพลงขึ้นไปเรื่อยๆ ค่ะ

แล้วพอมันอยู่กับเรามาเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นส่วนนึงไปแล้ว แล้วเราขาดสิ่งนี้ไปไม่ได้ มันช่วยเยียวยาเราในวันที่เรารู้สึกว่าเราท้อ เราเครียด

ตอนนั้น 6 ขวบหนูยังไม่ได้คิดว่า โตมาเราจะต้องเป็นนักร้องให้ได้ แต่แค่ว่าเรารู้สึกว่าเราสนุกจังเลย กับการขึ้นไปร้องเพลง ไปเต้นบนเวท แล้วเขามีความสุข เราก็คิดว่า เราอยากร้องเพลงให้เขาดูอีก ให้เขามีความสุขอีก

ความคิดของเด็ก อาจจะยังไม่ได้คิดว่า โตขึ้นจะอยากเป็นนักร้อง แต่พอเราได้ทำมันเรื่อยๆ ไปประกวดร้องเพลงเรื่อยๆ จนได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปประกวดต่างจังหวัด ก็เริ่มรู้สึกว่า หรือชีวิตเราต้องมาสายนี้”




ลองผิดลองถูก กว่าจะ mass

จริงๆ แล้วเธอบอกว่า เธอเริ่มเป็นที่รู้จัก จากการ cover เพลง “คิมิโนโต๊ะ” ที่คนเข้าใจว่า เธอร้องเป็นแนวลูกทุ่ง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ และด้วยความบังเอิญนั่นแหละ ก็เป็นจุดเริ่มต้น ทำให้เธอค่อยๆ mass ขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้

“หนูทำช่อง TikTok ช่วงแรกๆ ค่ะ เหมือนเป็นการลองผิดลองถูกว่า โอเคเราเหมาะกับอะไร หรือว่าคนจะชอบดูเราจากอะไร แล้วก็อัดร้องเพลงไปเรื่อยๆ ร้องไปเกือบปีคนดูหลักร้อย เราก็เริ่มรู้สึกท้อแล้วว่า เราจะทำต่อ หรือว่าเราจะหยุดแค่นี้

แต่แม่เราก็บอกว่า ทำต่อไป สักวันนึง มันอาจจะมีสักคลิปนึงที่มัน mass ขึ้นมา เราก็เลยเริ่มร้องต่อไป เพราะเริ่มจับทางได้ว่า ช่องเราคนเริ่มชอบลูกทุ่งแล้ว พอเราเริ่มร้องลูกทุ่งคนเริ่มดูเยอะ หลังๆ มาเริ่มหาย เราเริ่มจับหาประเด็นอีกว่าตัวเราเหมาะกับอะไร

หนูก็เลยเอาความเป็นคนเหนือของตัวเองเข้าไปในเพลง ในการแต่งตัว เวลาอัดคลิปก็ใส่ชุดเหนือบ้าง หรือว่าร้องเพลงจากเพลงภาคกลาง เป็นภาคเหนืออะไรอย่างนี้ เอาเนื้อเพลงมาแปลงบ้าง เหมือนกับให้เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมากขึ้นทุกคนจะได้จดจำเรามากขึ้นค่ะ

แล้วยิ่งถ้าช่วงไหนที่เพลงไหนเป็นกระแสใน TikTok มากๆ แล้วก็หยิบเพลงนั้น มา cover ลงช่องตัวเองให้เร็วมากที่สุด ให้เหมือนกับว่า คนไหน cover ก่อนช่วงแรกๆ มันก็มีโอกาสดันฟีดมากขึ้น

ส่วนมาก TikTok คลิปที่ลงจะยาวไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำค่ะ ส่วนมากหนูก็จะร้องแค่ท่อนฮุก คอร์ดมีประมาณไหน เราก็ไปแกะมา บางครั้งในเว็บ มันก็มีคอร์ดให้ เราก็ไปเอาตรงนั้น แล้วก็จำเนื้อท่อนฮุกให้ได้ ว่ามันร้องยังไง แล้วก็รีบแกะตอนนั้นเลย

สมมติว่าเพลงปล่อยมาได้ประมาณ 2-3 วัน เพลงเริ่ม mass แล้ว วันที่ 4 เราต้องเริ่มร้องได้แล้ว แล้วก็วันที่ 5 เราก็ปล่อยลงเลย ไม่เกิน 1 อาทิตย์

จริงๆ ตอนนั้นเพลงที่ mass มันเป็นเพลงญี่ปุ่น เพลงคิมิโนโต๊ะ แล้วหนูก็ร้องเป็นลูกทุ่ง ผ่านไปเป็น 2 อาทิตย์ได้ค่ะ คลิปมันก็เริ่มแบบอ้าว ทำไมคนดูมันเยอะขึ้น ตอนนั้นหมื่นเดียว หนูดีใจมาก แคปลงให้แม่ดู ให้เพื่อนดู คนไลก์ 1 พัน คนดูหมื่นนึง ตกใจ ดีใจค่ะ

คอมเมนต์ก็เริ่มมาบอกว่าน่ารัก เสียงเพราะ แล้วคนก็เข้ามาแซวว่า ร้องเพลงญี่ปุ่นแต่สำเนียงลูกทุ่ง ตอนแรกหนูไม่ได้ร้องเพลงคิมิโนโต๊ะเป็นลูกทุ่งนะคะ แต่มันดันออกลูกทุ่งเอง (หัวเราะ) คนก็เลยคิดว่า เราไปร้องเพลงสำเนียงลูกทุ่ง แต่ที่จริงมันติดมาเอง กลายเป็นว่าคนชอบ”


นอกจากเธอจะยังเป็นที่รู้จัก จากการ cover เพลงฮิตลง TikTok แล้ว เธอยังสามารถเล่นกีตาร์ และแต่งเนื้อ หรือแปลงเนื้อเพลง ให้กับแฟนๆ ที่เรียกร้องเข้ามาอีกด้วย

เพลงที่เธอเอามาแปลงเนื้อ หลายคนอาจจะคุ้นหูกันอยู่บ้าง นั่นก็คือเพลง “ชวนน้องล่องใต้” ของ“แน๊ท-ราเชนทร์ feat. กล้วย แสตมป์”ที่นำมาทำเป็นเวอร์ชั่นภาษาเหนือ กับภาษาอีสาน

“เพลงที่หยิบมาแปลง เริ่มเป็นกระแส ทำให้คนรู้จักเรา คนแชร์เยอะมาก คลิปนี้คนดูเป็นหลัก 10 ล้านเลยค่ะ คือเพลงชวนน้องล่องใต้ แล้วหนูนำมาแปลงเป็นภาคเหนือ แล้วก็มีเวอร์ชั่นภาคอีสานด้วย เป็นจวนปี้แอ่วเหนือ กับชวนอ้ายเที่ยวอีสาน

เวอร์ชั่นต้นฉบับเขาก็จะร้องว่า น้องจะพาพี่ล่องใต้ ไปเที่ยวทะเล นั่งเรือลงเล ดำดูปะ การัง แล้วหนูเอามาแปลงเป็นเหนือก็ น้องจะจวนปี้แอ่วเหนือ ไปแม่กำปองนั่งกิ๋นน้ำพริกอ่อง ข้าวซอย ผักกาดจอ แล้วก็จะมีเวอร์ชั่นภาษาอีสาน ก็จะเป็นน้องสิพาไปอีสาน ไปเที่ยวเชียงคาน นั่งริมหนองหาน เบิ่งงานบุญบั้งไฟ น้องสิพาอ้ายขึ้นไป ผามออีแดง ไปนั่งเบิ่งแสงตะเว็นนำกัน

ตอนนั้นเพลงมันดังมากเลยใน TikTok หนูก็เลยร้องชวนน้องล่องใต้ลง คนก็เลยแบบพาไปเที่ยวเหนือได้ไหม พาไปเที่ยวอีสานได้ไหม

หนูก็นั่งคิด เข้าไปใน google เสริช์หาสถานที่ท่องเที่ยวในภาคเหนือ สถานที่ท่องเที่ยวในภาคอีสาน ว่ามีที่ไหนบ้าง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักการะบูชาที่ไหนบ้าง แล้วก็เอามาจดหลายๆ ที่ แล้วก็เอามาเชื่อมโยงว่า คำนี้ลงท้ายด้วยสระนี้เหมือนกันนะ เวลาเอาไปแต่งเพลงมันจะได้สัมผัสกันค่ะ ก็เลยมานั่งเขียนใหม่

หนูไม่คิดว่าตัวเองจะแต่งเพลงได้เลย แต่เราอยากหาลูกเล่นอะไรใหม่ๆ ให้กับตัวเอง เราอยากเพิ่มศักยภาพให้กับตัวเอง ซึ่งนักร้องสมัยนี้ แค่ร้องเพลงเก่ง เล่นดนตรีได้อย่างเดียวมันไม่พอแล้ว มันต้องทำเพลงเองได้ด้วย แต่งเพลงเองได้ด้วย”

หลายคนอาจจะสงสัยว่า เธอเองก็เป็นคนเหนือ ทำไมถึงร้องเพลงลูกทุ่งอีสานได้ไพเราะ และชัดเจน เหมือนกับเจ้าของภาษามาเอง เธอบอกว่า ช่วงที่อยู่มัธยม กระแสเพลงอีสานอินดี้ ไม่ว่าจะเป็น ลำไย ไหทองคำ หรือ แซ็ค ชุมแพ กำลังโด่งดังมากในตอนนั้น เธอจึงได้ฟังบ่อยๆ บวกกับชอบร้องเพลงแนวนี้ด้วย ก็เลยทำให้ซึมซับภาษาอีสานเข้าไป


ร้องไห้-เฟล-เกือบแขวนไมค์

ในตอนที่กำลังสับสนกับชีวิต ว่าจะเอายังไงต่อในเส้นทางชีพนักร้อง ช่วงโควิด-19 ก็มีค่ายเพลงนึง จุดไฟฝันของเธออีกครั้ง ด้วยการชวนเธอไปอยู่ในค่าย จนทางค่ายก็ได้ทำเพลงให้เธอ ที่มีชื่อว่า “สถานะโสด”แต่ก็ดูเหมือนว่า จะไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จนเธอหมดสัญญา เธอก็ตัดสินใจฮึดสู้ เดินตามฝัน ด้วยการพาตัวเอง ไปบนเวทีประกวด เท่าที่จะไปได้

หากย้อนไทม์ไลน์ชีวิตดู สาวน้อยคนนี้ เธอพยายามประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก มาจนถึงประถม มัธยม แต่ช่วงมหา’ลัย ก็เริ่มมีเหตุผล ที่ทำให้ห่างหายการประกวดไป เพราะว่าเริ่มเรียนหนัก

“เริ่มเรียนหนักแล้ว ปี 2 ก็เลยเริ่มหยุดร้องเพลงไปช่วงนึง เพราะว่าเหมือนเราไม่ได้เรียนสายดนตรี หนูเรียนมศว. (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) แต่ว่าเป็นคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาจีน

ก็จะเริ่มเรียนเข้มข้นมากขึ้น แล้วก็ไม่มีเวลาไปร้องเพลงด้วย ก็เลยพักตรงนั้นไว้ เริ่มบอกแม่ว่า ถ้าเรื่องประกวด หนูอาจจะต้องขอพักไปก่อนนะ เพราะว่าเรียนหนัก เหมือนอาจารย์เขาอยากจะให้เราตั้งใจเรียนมากกว่า แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าก็ยังอยากให้ฝึกร้องอยู่ อยากให้คงความร้องเพลงอยู่ เพราะว่าถ้าไม่ได้ร้องนาน อาจจะไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม

ตอนพอเราอยู่มหา’ลัย ทั้งระบบการเรียน ทุกอย่างมันไม่ค่อยเอื้อ กับการที่เราต้องไปประกวดร้องเพลง เราไม่ค่อยได้ไปประกวดร้องเพลงมากเท่าเดิมแล้ว เราก็ประกวดมาเยอะ เราก็ไปออดิชั่นหลายรายการ ส่งนู่นนี่นั่นไปเยอะมาก แต่ไม่ผ่านเข้ารอบ หรือมันจะไม่ใช่ทางของเราแล้ว

อะไรต่างๆ รอบกายมันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า เออ..หรือเราจะต้องหยุดการร้องเพลงไว้เท่านี้ แล้วก็ไปตั้งใจเรียน เพื่อที่จะไปเป็นไกด์ ไปเป็นนักพิสูจน์อักษรตามที่เราเรียนมา ก็เลยกลับมาตั้งใจเรียนดีกว่า

จนกระทั่งโควิด มันต้องมาทำให้เราเรียนออนไลน์ ก็เลยได้มีเวลากลับมาร้องเพลง ได้มีเวลาใช้เวลากับตัวเอง กับดนตรี กับกีตาร์มากขึ้น ก็เริ่มมาทำช่อง TikTok แล้วก็เริ่มมีคนติดต่อมา มีค่ายเพลงติดต่อมา เป็นค่ายแรกเลยที่เขาสนใจอยากให้เราไปร่วมงาน ไปทำ cover กับเขา แล้วก็มีซิงเกิ้ลให้เราซิงเกิ้ลนึง”


เธอเคยคิดว่า อยากจะหยุดร้องเพลง เพราะรู้สึกว่า พยายามแค่ไหน ก็ยังไม่เป็นผล ยังไม่เป็นที่รู้จักมากพอ จนเกือบแขวนไมค์ หันหลังให้กับการร้องเพลงไปแล้วด้วยซ้ำ

“ตอนแรกเราคิดว่าเราอาจจะหยุดร้องเพลงไปแล้วแหละ อาจจะไม่ใช่ทางเรา เริ่มรู้สึกท้อด้วยค่ะ ตอนนั้นเหมือนเราเริ่มประกวดมาเยอะแล้ว แล้วเราไม่ได้ผ่านเข้ารอบ เราไม่ได้เป็นนักร้อง ก็เลยอาจจะพักก่อน แต่พอมีโควิด แล้วคนเริ่มเข้ามาชวนเราไปอยู่ค่ายเพลง ไปทำเพลง เราเริ่มกลับมามีไฟในการร้องเพลงอีกครั้ง

จริงๆ ตอนแรกหนูก็แอบมีเฟลเหมือนกัน เพราะว่าเหมือนเราได้มีโอกาสเข้าไปทำเพลงกับค่ายแล้ว แต่เราก็ไม่ได้เป็นที่รู้จัก ไม่มีคนติดตามค่ะ คือปล่อยเพลงไป คนก็ไม่ได้รู้จักเรามากขึ้น ตอนนั้นก็รู้สึกว่าก็แอบเฟลเหมือนกัน แต่เราก็พยายามผลักดันตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าช่วงนั้นกระแส TikTok ก็เริ่มมา ก็เลยไปเล่น TikTok แต่ก็เล่นอยู่เกือบปี ถึงจะเริ่มเป็นที่รู้จัก”

เธอต้องเสียน้ำตา บนเส้นทางบนขวากหนาม และคราบน้ำตามานักต่อนัก พร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอว่า ทำดีแค่ไหน ทำไมถึงไม่เป็นผู้ที่ถูกเลือก และทำไมไม่โด่งดัง เหมือนคนอื่นเขาสักที

“มันร้องเยอะมากค่ะ จนหนูจำไม่ได้ มันร้องตลอดเลย เป็นคน sensitive มาก เคยมีคนบอกว่าคนที่รักดนตรี มักจะมีอารมณ์ที่อ่อนไหว เหมือนกับทุกครั้งที่เราพ่ายแพ้ มันก็มีครั้งที่เราร้องไห้ ไม่ร้องไห้ก็มีค่ะ บางทีเราก็ยอมรับมันได้ แต่บางทีเราก็รู้สึกว่า เราทำดีนะ ทำไมเราถึงไม่เป็นผู้ที่ถูกเลือก ทำไมเราถึงไม่ได้โด่งไม่ดัง เหมือนคนอื่นเขาสักที ยังตอนเด็กๆ เราก็คิดว่าเรายังเด็กอยู่ไม่เป็นไรหรอก

พอเริ่มโตมาอายุ 20 กว่าแล้ว ก็ไปประกวดที่ไหน ออดิชั่นที่ไหน เขาก็ไม่ได้เลือกให้เราผ่านเข้ารอบ เราก็ไม่ได้ผ่านสักที โทษตัวเองว่า หรือตัวเราไม่ดีพอ หรือตัวเราไม่ได้เหมาะกับสายนี้หรือเปล่า”


กว่าจะเป็น “เก๋-วรรณ์ฐกานต์” ได้ในวันนี้ นอกจากความพยายามตั้งแต่เด็กแล้ว เธอต้องอดทนอย่างหนักเช่น กัน บางครั้งต้องหยุดเรียนหลายวัน เดินทางจากจังหวัดแพร่ เพื่อเข้าไปออดิชั่นที่กรุงเทพฯ หรือตามจังหวัดๆ อื่นๆ ที่เปิดรับสมัคร ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีการออดิชั่นแบบออนไลน์ เหมือนกับทุกวันนี้

นอกจากเธอต้องหยุดเรียนแล้ว พ่อกับแม่ก็ต้องหยุดงาน เพื่อพาลูกสาวเดินตามฝันให้ถึงที่สุด ซึ่งการเดินทาง ก็มีค่าใช้จ่ายที่ค่อยข้างสูงเช่นกัน ในการเดินทางแต่ละครั้ง

“ก็มีตกรอบ มีทั้งแพ้ มีชนะ ได้ที่ 1 ก็มี ไม่ผ่านเข้ารอบก็มีค่ะ ที่จริงความรู้สึกท้อ ความรู้สึกเฟล มันมีมาตลอดของการประกวดร้องเพลงตั้งแต่เด็กๆ เราประกวดออดิชั่นไหนไม่ผ่าน เราก็รู้สึกเฟล แต่ที่มาเริ่มรู้สึกเฟลเยอะตรงที่ว่า เราไปออดิชั่นต่างจังหวัด เราต้องหยุดเรียน แล้วพ่อแม่เราก็ต้องออกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งมันเยอะมากๆ แล้วก็ค่ารถ ค่าเดินทาง มันเยอะมาก จนบางทีพ่อกับแม่ไม่ไหวค่ะ

ตอนนั้นหนูพูดตรงๆ ว่าหนูไม่ทราบเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะว่าพ่อกับแม่ไม่เคยบอกเลย แต่ว่าเขาก็พยายามเต็มที่ ในการผลักดันเรา แต่เราไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยว่าเขาต้องลำบากเรื่องเงิน ต้องเอาเงินมาช่วยเราในการไปออดิชั่นแต่ละที่ เขาไม่อยากให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง ก็เลยไม่ได้บอกหนูเรื่องนี้ค่ะ

ถ้าไม่มีแม่ตั้งแต่วันนั้น วันนี้หนูก็อาจจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ที่จริงเขาซัพพอร์ตเราตลอด เขาสนับสนุนเต็มที่เลย ขนาดเขาไม่มีตังค์ เขาก็ไม่ได้บอกหนูว่าเขาไม่มี แต่ว่าเขาก็พยายามหามาให้ เพื่อให้เราได้ไปออดิชั่น ได้ไปร้องเพลง”

เธอเล่าถึงความยากลำบาก ในตอนวัย 9 ขวบให้ฟังอีกว่า ตอนนั้นไปออดิชั่นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ เดินทางไปกับพ่อกับแม่ รู้สึกว่ามันเดินทางยาวนานมาก ต้องนั่งรถเมล์หลายสาย และเป็นการนั่งรถเมล์ครั้งแรกของเธอด้วย จนเธอป่วย เพราะรู้สึกว่ารถเบรคเยอะมาก


จบเส้นทางพนักงานออฟฟิศ เพื่อสานฝันบนเวที

จากเด็กน้อย ที่หลงใหลในเสียงเพลง เธอค่อยๆ พอตัวเอง ขึ้นมาเป็นนักร้องประจำโรงเรียน แม้จะเติบโตเข้าสู่วัยทำงานแล้ว เธอก็ยังตัดสินใจลาออกจากเป็นพนักงานออฟฟิศ เพื่อสานฝันตัวเองให้สำเร็จ

“เวลาที่เขาให้เขียนว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เราก็เขียนว่าเราอยากเป็นนักร้อง แต่ด้วยความที่ใจเราเป็นนักร้องนะ แต่คนรอบข้างของเรา หรือว่าคุณครู หรือว่าเพื่อนๆ อาจจะมองว่าอาชีพนักร้อง เป็นอาชีพเสริม มีรายได้ที่ไม่แน่นอน หรืออาจจะเลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงดูครอบครัวยังไม่ได้ ใจเราตอนนั้นเราก็คิดว่า หรือเราจะทำมันเป็นแค่อาชีพเสริม

แต่พอเราเรียนจบมาจากมัธยม ก็ได้มาอยู่มหา’ลัย เราก็ยังเดินทางไปประกวดร้องเพลงอยู่ คือเหมือนเราตัดสิ่งนี้มันไม่ขาดออกจากชีวิต พอเราจบมหา’ลัย เราก็ลองออกไปทำงานอย่างอื่น ทำงานบริษัทอะไรอย่างนี้ มันก็ยังรู้สึกว่าเราก็ยังโหยหาการร้องเพลงอยู่ สุดท้ายแล้วเราก็เลยโอเคตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วก็มาทำตามความฝัน ของการเป็นนักร้องค่ะ”


อย่างที่เธอบอกไปว่า แม้จะหันไปทำอะไรก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกโหยหาในการร้องเพลงอยู่เสมอ การได้อยู่บนเวที คือความสุขมากกว่า อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน

“หนูเรียนจบจากมหา’ลัย แล้วก็ออกมาทำงานเป็นพนักงานบริษัท ทำได้ไม่ถึงปีก็ตัดสินใจลาออก เพราะรู้สึกว่า เราอยากกลับมาอยากร้องเพลงอีกครั้ง

ตอนนั้นหนูเป็นแอดมินอยู่ในบริษัทนึง หนูต้องตื่นมา 7 โมง 8-9 โมง ต้อมมีคอมตั้งอยู่บนโต๊ะ ทำทุกวันๆ เรารู้สึกว่าหนูไม่อยากเอาหน้าตัวเอง ไปอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน เราอยากไปอยู่หน้าเวทีมากกว่า เราอยากแต่งตัวสวยๆ เราอยากร้องเพลงให้ทุกคนฟัง แล้วรู้สึกเสียดายสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่เด็ก พยายามมาตั้งแต่เด็ก ว่าเราชอบร้องเพลง เราอยากเป็นนักร้อง เราอยากเอาความฝันตรงนั้นมาทำให้มันเป็นจริง ไม่ได้อยากนั่งอยู่ในบริษัททำงานอยู่ในคอม

ถ้าหนูเลือกทำงานในบริษัทต่อไป หนูอาจจะต้องมานั่งเสียดายทีหลัง ว่าทำไมวันนั้น หนูถึงไม่กลับมาร้องเพลงนะ หนูอาจจะดังหรือว่าไม่ดัง แต่แค่หนูได้ลองกลับมาทำ อย่างน้อยดีกว่าไม่ได้ลองทำ”






ตอนที่ตัดสินใจลาออก โชคดีตอนนนั้น เธอยังมีอีกหนึ่งอาชีพรองรับ คือการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ จากที่เริ่มทำช่อง TikTok มา ทำมาตั้งแต่ประมาณช่วงปี 4 ทำให้เธอเริ่มมีคนรู้จัก จากคลิปร้องเพลง cover

“กว่าคลิปหนูจะเป็นที่รู้จัก หนูใช้เวลาเกือบปี ทำช่องของตัวเอง จนมีคนเข้ามาติดตาม ทำมาเกือบปี คลิปเริ่ม mass เริ่มมีคนรู้จัก ช่วงประมาณปี 4 ช่วงใกล้เรียนจบ คนติดตามอยู่ประมาณหลักแสน แล้วเราก็รู้สึกว่า คนก็จ้างเรารีวิวเยอะนะ เราก็ได้เงินจากตรงนี้ด้วย เป็นเหมือนอาชีพเสริมไป

เขาจะรู้จักเราจากการร้องเพลงลงช่อง TikTok ช่วงแรกๆ หนูทำช่องเกี่ยวกับการร้องเพลง แต่ว่าไม่ได้ถ่ายเห็นหน้าตัวเอง คนอาจจะจำหน้าได้ไม่เยอะ อาจจะเห็นแค่นิดเดียว กับกีตาร์ตัวนึง คนก็จะจำเสียงเราได้มากกว่า ว่าอันนี้คือเสียงน้องเก๋นะ

แต่ว่าถ้าไปข้างนอก อาจจะมีน้อยคนที่จำหน้าเราไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ค่อยถ่ายลง ช่วงหลังๆ มาก็เริ่มถ่ายหน้าตัวเองลงมากขึ้น ให้คนจำเราได้”

รายได้จากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ตอนนั้น อยู่ประมาณ 2 หมื่นต่อเดือน ซึ่งตอนนั้นเธอยังไม่ได้รับงานรีวิวเยอะมากเท่ากับตอนนี้


ความสำเร็จเริ่มเห็นผล เพราะไม่หยุดที่จะทำ

ในที่สุด วันนี้คำถามที่เธอพยายามคอยถามตัวเองซ้ำๆ ว่า หรือตัวเองจะไม่เหมาะกับการเป็นนักร้อง วันนี้ก็เริ่มเห็นผลทีละนิดแล้ว

“ตอนนี้คำถามเหล่านั้น หนูรู้สึกว่าเริ่มเคลียร์แล้วค่ะ เหมือนกับสิ่งที่เราพยายามมาทั้งชีวิต 20 ปี มันเริ่มที่จะเห็นผลทีละนิด ถึงมันจะยังไม่สำเร็จตอนนี้ 

แต่เรารู้สึกว่า ถ้ากลับไปย้อนดูวันแรก จากที่เราไม่มีอะไรเลย จนถึงทุกวันนี้ เรามีผู้ติดตาม เรามีงาน เรามีเงิน เรามีคนรอบข้างที่คอยให้กำลังใจ เริ่มมี fc ถึงแม้มันจะยังไม่ได้เยอะ แต่เรารู้สึกว่ามันทำให้เราเป็นแรงผลักดัน ในการที่อยากจะให้เราทำสำเร็จไปอีกขั้นนึง”

จุดเปลี่ยนความคิด ที่ทำให้เธอเริ่มคิดว่า เธอเองก็ดีพอ สำหรับเส้นทางนี้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องกระแส ที่เธอเป็นไวรัลในตอนนี้ จนเธอกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เธอ อยากสร้างสรรค์ผลงาน ให้คนที่ติดตามเธอได้ดูต่อไปเรื่อยๆ

ซึ่งเธอก็เข้าใจว่า กระแสมันไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา เราควรมองหาอะไรหลายๆ อย่างเผื่อไว้ ถ้าวันนึงเราไม่ได้เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง อย่างที่เราตั้งใจไว้ เราจะไปใช้ชีวิตในแบบไหน อาจจะผันตัวไปอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า อันนี้เธอก็บอกว่า ต้องรอดูอีกที แต่ตอนนี้ อยากทำหน้าเวที ที่ทุกคนได้เห็นให้มันดีที่สุด

มาจนถึงวันนี้ เธอยอมรับว่า ดีใจมาก สิ่งที่พยายามทำ เริ่มเห็นผลชัดมากขึ้น เพราะของแบบนี้ มันไม่ใช่ทำแค่วันสองวัน แล้วจะโด่งดังเลย แต่มันเป็นการเก็บประสบการณ์ในแต่ละช่วงเวลา แล้วเราก็จะได้มีประสบการณ์มากขึ้น แล้วพอเรามีประสบการณ์มากขึ้น สิ่งที่เราแสดงออกไป มันก็จะเติบโตสวยงามอย่างดี

“สำหรับคนที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่ ว่าเราชอบอะไร หรือว่าเราอยากไปถึงจุดหมายที่เราตั้งเป้าไว้ แต่มันยังไม่สำเร็จ คือหนูอยากให้ทุกคนโฟกัสกับตัวเองในปัจจุบัน แล้วก็ทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน แล้วก็อย่าลืมโฟกัสกับคนรอบข้างด้วยนะคะ อย่าลืมโฟกัสคนที่อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา และคอยซัพพอร์ตเราด้วย

สิ่งที่สำคัญมันอาจจะไม่ใช่เป้าหมายในอนาคต ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ก็ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่สิ่งที่เราจะได้มากที่สุด คือได้ประสบการณ์ค่ะ”


เธอยังบอกอีกว่า แค่รักในเสียงเพลง หรือรักในการร้องเพลง จะทำให้ไปถึงจุดหมายได้ยาก เพราะแค่ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ เราต้องลงมือทำ และพัฒนาตัวเองด้วย

“มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แค่ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ เราต้องลงมือทำด้วย ถ้าคนไหนที่รักในสิ่งนั้นจริงๆ มันจะไม่แค่รักอย่างเดียว มันจะต้องหาอะไรเสริมสิ่งนั้นให้ตัวเองได้พัฒนามากขึ้น

อย่างเช่นว่า เราชอบร้องเพลง แต่เราไม่ได้ขวนขวายอะไรใหม่ๆ กับการร้องเพลงเลย หรือว่าวิธีการร้องเพลงใหม่ๆ อย่างหนูตอนแรกแค่ชอบร้องเพลงอย่างเดียว แต่หนูไม่ขวนขวายการเล่นดนตรี ทักษะการร้อง หรือแม้กระทั่งการแต่งเพลง มันก็ไม่ได้มาถึงจุดนี้ หนูก็เลยอยากฝากถึงคนที่รักการร้องเพลงจริงๆ ว่า ให้ลงมือทำในสิ่งนั้น เพื่อให้สิ่งนั้นมันเบ่งบานมากขึ้นดีกว่า

ตอนแรกหนูก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะแต่งเพลงได้เหมือนกันค่ะ แต่ว่าถ้าเรายังย่ำอยู่กับที่ เราไม่ได้ลงมือทำ มันก็ไม่เห็นผลสักที ว่าเราทำสิ่งนั้นได้นะ เราแค่อย่าสบประมาทตัวเองก็พอ สิ่งที่สำคัญคืออย่าดูถูกตัวเอง ว่าทำไม่ได้ แค่ลองทำดูก่อน ว่ามันได้หรือเปล่า”

ตอนนี้เธอบอกว่า ภูมิใจกับตัวเองมากๆ แม้จะยังไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าหมาย แต่ก็มองว่า ใกล้กับความสำเร็จมากๆ แล้ว ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ตอนนี้ จากคะแนนเต็ม 100% เธอให้ตัวเอง 70%

“ตอนนี้ภูมิใจกับตัวเองมากๆ ค่ะ เป้าหมายมันอาจจะยังไม่สำเร็จอย่างที่เราตั้งเป้าไว้ แต่ว่าตอนนี้ สิ่งที่อยู่รอบตัวหนู มันดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ เลย ทั้งครอบครัว ทั้งคนรอบข้าง ทั้งคนที่เขาสนับสนุน รวมถึงตัวหนูด้วย

จากเมื่อก่อนก็ไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นที่รู้จัก ไม่ร้องเพลงเก่งเหมือนขั้น diva แต่ว่าตอนนี้เราพอใจ เราภูมิใจในตัวเองมากๆ แล้วก็จะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง สำหรับหนูมันใกล้กับความสำเร็จมากๆ แล้ว เหลือแค่ว่าเราเลือกที่จะทำมันต่อไป แล้วก็ไม่หยุดที่จะทำมันต่อ”


  มีพี่ “ลำไย” เป็นไอดอล


 

 “ถ้าทางลูกทุ่งอีสาน ชอบพี่ ลำไย ไหทองคำ เขาเป็นคนที่เอนเตอร์เทนคนเก่งมากๆ แล้วพี่ลำไยเขาทำงานทุกวัน แต่ energy เขาเต็มร้อย เกินร้อยทุกวัน 


แล้วกว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้ เขาโดนทั้งกระแสดราม่า ทั้งคนเข้ามาด่าเยอะมาก แต่ว่าเขาก็รับมือกับสถานการณ์ดราม่าได้ ดีแถมไม่มีโต้ตอบ ไม่มีคำพูดอะไรที่ทำให้กระทบจิตใจผู้ฟังเลย เขาก็เป็นคนน่ารัก ซึ่งก็เป็นเหมือนไอดอลของเราด้วยค่ะ


เรื่องของ energy แล้วก็พลังในการร้องเพลงบนเวที คือเขาทั้งร้อง ทั้งเต้น แต่เสียงเขาไม่ตกเลย เราก็พยายามฝึก อย่างน้อยให้ได้ครึ่งพี่เขา ก็โอเคแล้วค่ะ


ก็อยากเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงเหมือนพี่ลำไยค่ะ อาจจะไม่ใช่ในแบบลุคพี่ลำไย แต่แค่เราเห็นเขาเป็นโมเดล มองว่าเขาสำเร็จ”







ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)






@livestyle.official ...“ใจรัก” อย่างเดียวไม่พอ ต้อง “พยายาม” และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เจาะเส้นทางสู่ “ดาวTikTok” ยอดฟอลหลักล้าน!! กับความสำเร็จที่แลกมาด้วย “คราบน้ำตา” @wantha_kae... . #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #เก๋วรรณ์ฐกานต์ #หมอลําไอดอล #หมอลํา #ศิลปิน #นักร้อง #แรงบันดาลใจ #TheVoiceTH2024 #TheVoiceTH #TheVoiceThailand ♬ original sound - LIVE Style


สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์

คลิป : ชยพัทธ์ พวงพันธ์บุตร
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ

ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : Facebook “เก๋ วรรณ์ฐกานต์”, Instagram @wantha_kae และ TikTok @wantha_kae



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


กำลังโหลดความคิดเห็น